“ข้ามาตามหาเจ้า” เจียงอวี่เอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น “เจ้าจำเจียงซุ่ยฮวนได้หรือไม่”หญิงผู้นั้นชำเลืองมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “แม่นังเด็กนั่นหรือ จำได้แน่นอน”“เจ้ามีสัมพันธ์อันใดกับนาง”เจียงอวี่ขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำว่า "แม่นังเด็กนั่น" “ข้าเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของนาง”เจียงซุ่ยฮวนเคยอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่วัยเยาว์ จวบจนสิ้นอายุสิบปีเต็มก่อนที่ผู้คนจากจวนโหว จะมารับเจียงซุ่ยฮวนไป เจียงอวี่เคยพาเจียงเม่ยเอ๋อร์แอบมาดูด้วยความสงสัยใคร่รู้ในครานั้น ที่นี่มิใช่อื่นใดนอกจากกระท่อมหญ้าคาหลังหนึ่ง หญิงผู้นี้นั่งอยู่บนม้านั่งกลางลาน คอยสั่งการให้นางเจียงซุ่ยฮวนวัยสิบขวบทำงานไม่หยุดหย่อนเจียงอวี่ในยามนั้นยังเยาว์นัก เห็นน้องสาวที่มอมแมมแลดูโง่งมกลับมิได้สงสารเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับเคืองแค้นว่านางแย่งชิงตำแหน่งธิดาโดยชอบธรรมของเจียงเม่ยเอ๋อร์ไปต่อมา จวนโหวมอบเงินถุงหนึ่งแก่หญิงผู้นั้น และพาเจียงซุ่ยฮวนจากไปเวลาล่วงเลยไปแปดปี กระท่อมหญ้าคาแปรเปลี่ยนเป็นเรือนอันกว้างขวาง ทว่าหญิงผู้นี้กลับแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อยครั้นเมื่อรู้ฐานะของเจียงอวี่ หญิงผู้นั้นก็พลันเปลี่ยนท่าทีเ
“……” เจียงอวี่ไม่เหลียวมองนาง เอียงหน้าส่งเสียงผิวปากแผ่วพลิ้วใส่ม้าขาวที่นอนอยู่บนพื้น “ลุกขึ้นเถิด”ม้าขาวค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างเนิบนาบ แล้วเดินไปยืนอยู่ข้างทางหญิงสาวเบิกตากว้าง เอ่ยพึมพำว่า “เจ้าคือเทพแห่งม้าหรือ”เจียงอวี่เอ่ยถาม “เทพแห่งม้าคือสิ่งใดกัน”“ก็หมายถึงม้าที่บำเพ็ญจนได้เป็นเซียนน่ะสิ!” นางพูดด้วยความตื่นเต้น “เจ้าแค่ผิวปากเบา ๆ ม้าข้าก็ลุกขึ้นแล้ว ท่านต้องเป็นเทพแน่นอน!”เจียงอวี่หัวเราะเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่เทพ เพียงแต่พอมีวิชาฝึกม้าอยู่บ้าง”เขาคุกเข่าลง ตรวจดูขาซ้ายนาง นางเจ็บจนเหงื่อท่วมศีรษะ แต่ก็กัดริมฝีปากแน่นไม่เอื้อนเอ่ยคำใด“หากเจ็บนัก ก็ร้องออกมาเถิด ไยต้องฝืนอดทนไว้”“ไม่เป็นไร” หญิงสาวกัดฟันแน่น “เจ้าช่วยดูทีว่าข้าจะใช้ขานี้ได้อีกหรือไม่ หากไม่ได้แล้ว ขอรบกวนท่านเข้าเมืองหลวง ไปตามบิดามารดาข้ามาที”“บิดาข้าคือท่านอาจารย์จาง หากท่านไม่รู้จวนไท่ซืออยู่ที่ใด ก็เพียงเดินจากประตูเมืองทิศใต้ไปทางตะวันออก ไปถึงสามแยกแล้วเลี้ยวซ้าย……”อาจเพราะความกังวลทำให้นางพูดไม่หยุด เจียงอวี่จึงขัดคำนาง “เจ้าคือธิดาของท่านอาจารย์จาง จางรั่วรั่วหรือ”จางรั่วรั่ว
ท่านโหวกล่าวว่า “ใช่แล้ว ครอบครัวของเรามิได้ร่วมวงสนทนาเช่นนี้มานานนัก”“ครอบครัวที่เคยกลมเกลียว เหตุใดกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้”ครั้นรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตกาล ทั้งสองก็พากันนิ่งเงียบลงทันใดเจียงอวี่ส่งทั้งสองกลับถึงเรือน แล้วจึงควบม้าฝ่าเงาค่ำออกประตูไปเพียงลำพัง แม้มีทหารองครักษ์ประสงค์ติดตาม ก็ถูกเขาห้ามไว้เขามิได้หยุดพัก มุ่งควบม้าออกจากเมืองหลวง ตรงสู่ทิศเหนืออย่างรวดเร็วครานั้นฟ้าค่ำมืด ถนนหลวงนอกเมืองว่างเปล่าไร้ผู้คน แสงจันทร์โปรยปรายเย็นเยียบลงพื้นดินเจียงอวี่มือซ้ายรั้งบังเหียนไว้มั่น มือขวากระหวัดแส้ เฆี่ยนร้องว่า “ไป!”ม้าอาชาควบพุ่งดุจสายฟ้า ในเงารัตติกาลเห็นเพียงเงาเลือนราง เจียงอวี่บนหลังม้า หน้าตาเคร่งขรึม เปล่งวาจาต่ำๆ มิหยุด “เร็วเข้า! เร็วกว่านี้อีก!”ครั้นใกล้ถึงทางแยกสายหนึ่ง จู่ๆ ก็มีม้าขาวพุ่งออกจากทางด้านซ้ายบนหลังม้ามีสตรีนางหนึ่ง เงาร่างมิแจ่มชัด แลเห็นเพียงรูปร่างสูงโปร่ง ท่วงท่าหาญกล้าองอาจเจียงอวี่เร่งรั้งบังเหียนแน่น พลางร้องว่า “หยุด!”ม้าใต้กายยกสองเท้าหน้าขึ้นจนแทบจะยืนขึ้น เจียงอวี่ต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งร่างประคองไว้ จึงไม่ตกจากหลังม้า
เจียงซุ่ยฮวนถึงกับพูดไม่ออก ข่าวลือแพร่สะพัดเร็วเกินคาด ยังไม่ทันข้ามวัน กลับแพร่สะพัดไปถึงจวนโหวเสียแล้วท่านโหว ฮูหยินโหว และเจียงอวี่ยืนเรียงกันสามคน ด้านหลังมีองครักษ์ตามมาอีกสี่นาย เมื่อเทียบกับขุนนางตระกูลอื่นแล้ว พวกเขากลับดูสุภาพเรียบง่ายกว่าเป็นไหน ๆฮูหยินโหวดูซูบเซียวกว่าแต่ก่อนมาก ร่องรอยตีนกาที่หางตาเพิ่มขึ้นหลายเส้น แต่เมื่อเพ่งมองกลับให้ความรู้สึกเมตตายิ่งนักท่านโหวยืนอยู่ข้างกาย หลังจากล้มป่วยหนักเมื่อคราวก่อน ก็แลดูแก่ชราลงมาก ผมหงอกแซมข้างขมับทั้งสองข้าง แม้เพิ่งจะล่วงวัยสี่สิบ แต่ท่วงท่ากลับไม่ต่างจากชายชราเขามิได้เอื้อนเอ่ยคำใด เพียงจ้องมองเจียงซุ่ยฮวนแน่นิ่ง สายตานั้นซับซ้อนนัก แฝงไว้ทั้งความเสียใจและความคิดถึงเจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอ่ยปาก ทว่าฮูหยินโหวตาไวเหลือบไปเห็นเสี่ยวถังหยวนในอ้อมอกนาง ก็ตกตะลึงเอ่ยว่า “ที่เจ้าอุ้มอยู่นั่นคือเด็กผู้นั้นหรือ”เจียงอวี่ก้มหน้ามองลงไป พอเห็นเสี่ยวถังหยวน เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแอบเหลือบมองเจียงซุ่ยฮวน และขมวดคิ้วแน่นเจียงซุ่ยฮวนมิแสดงอารมณ์ใด เพียงใช้แขนปิดบังใบหน้าของถังหยวน แล้วกล่าวเสียงเรียบ “พวกท่านเข้าใจผิดเส
เฉียนจิงอี๋เอนกายพิงพนักเก้าอี้ ยิ้มพลางกล่าวว่า “แน่นอนว่าข้ารอเจ้ากลับมา”“บัดนี้ องค์ชายเป่ยโม่ได้ตายไปแล้ว ไร้ผู้คุ้มครองเจ้า ข้าจึงอดเป็นห่วงไม่ได้”เขาหยิบถ้วยชาที่เจียงซุ่ยฮวนเคยจิบขึ้นมาแนบริมฝีปาก ลิ้มรสเบา ๆ“หากเจ้าเอ่ยเรียกข้าว่าพี่ชายสักคำ วันหน้าข้าย่อมขอรับหน้าที่ปกป้องเจ้าแทนองค์ชายเป่ยโม่”เจียงซุ่ยฮวนขมวดคิ้วอย่างรังเกียจ เอ่ยกับหยวนจิ่วว่า “ถ้วยชานี่ใช้ต่อไม่ได้แล้ว อีกเดี๋ยวไปซื้อชุดใหม่มาเปลี่ยน”หยวนจิ่วพยักหน้ารับอย่างแข็งขันเฉียนจิงอี๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เร่งร้อน “คุณหนูเจียง ข้าแนะนำให้เจ้าคิดให้รอบคอบ โอกาสเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง พลาดแล้วพลาดเลย”เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยเย็นชา “ที่บ้านข้ายังขาดสุนัขเฝ้าประตูตัวหนึ่ง เจ้าสนใจจะมาเป็นหรือไม่”“โอกาสเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง พลาดแล้วพลาดเลย”นางกล่าวย้อนวาจาเดิมของเฉียนจิงอี๋กลับไปไม่ผิดแม้แต่คำเดียว เฉียนจิงอี๋หัวเราะเบา ๆ“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าอยากให้ข้าอยู่บ้านเจ้า จะได้เห็นข้าตลอดเวลาใช่หรือไม่”“...”เจียงซุ่ยฮวนขมวดคิ้ว ผู้นี้ฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องกระนั้นหรือนางเอ่ยเสียงเย็น “ข้าไม่มีเวลามาสิ้นเปลืองกับเจ้าหรอก อย่
ฝูงชนที่มุงดูอยู่ ครั้นได้ยินวาทะอันบิดเบี้ยวเช่นนั้น ต่างก็พากันชี้หน้ายวี่เจี่ยกวงแล้วประณามเสียงดังลั่นเฉียนจิงอี๋โกรธเกรี้ยวหนักยิ่งกว่าเดิม ยกเท้ากระทืบลงกลางอกของเขาอย่างแรงเขาเจ็บปวดถึงกับหอบหายใจแทบไม่ทัน ร่ำไห้พลางร้องว่า “ข้าผิดไปแล้ว! ข้าไม่ควรให้บิดามารดามาชดใช้แทน! ข้ายอมชดใช้เอง!”“สายไปเสียแล้ว” เฉียนจิงอี๋กล่าวเย็นชา พลางหยิบสัญญาค้าทาสออกมา แล้วกรีดลงบนฝ่ามือของยวี่เจี่ยกวง บังคับให้เขาประทับฝ่ามือลงไปเมื่อเสร็จสิ้นทุกสิ่ง เฉียนจิงอี๋ก็เก็บสัญญาค้าทาสอย่างละเมียดละไม ก่อนหันไปสั่งบ่าวด้านหลังว่า “พาตัวเขาไป”“เดี๋ยวก่อน” เจียงซุ่ยฮวนกล่าวขึ้นมา“หรือว่าคุณหนูเจียงเกิดใจอ่อนขึ้นมา อยากจะยื่นมือช่วยเขาไว้กระนั้นหรือ” เฉียนจิงอี๋แย้มยิ้มกึ่งเย้ยกึ่งหยอกเจียงซุ่ยฮวนยังคงสีหน้าเย็นชา ตอบว่า “ไม่ใช่ เพียงแต่เขาเป็นบุตรชายของหัวหน้าพ่อบ้านในจวนข้า ก็ควรให้เขาได้พบหน้าบิดาเป็นครั้งสุดท้าย”กล่าวจบ นางจึงหันไปบอกหยวนจิ่วว่า “เจ้ากลับไปแจ้งเรื่องนี้แก่ยวี่จี๋เสียเถอะ”ยวี่เจี่ยกวงราวกับเห็นฟางเส้นสุดท้าย ตะโกนเสียงดังว่า “ใช่ๆ! บอกบิดาข้าด้วย! ให้ท่านนำเงินมาช่วยไถ่