ยามเฉินล่วงแล้ว ภายในท้องพระโรงหลวง
ความเงียบงันได้เข้าปกคลุมทั่วทั้งโถงพิพากษา มันเป็นความเงียบที่หนักหน่วงราวกับแผ่นศิลาจารึกมรณะ กดทับลงบนบ่าของขุนนางทุกคนที่ยืนเรียงรายอยู่ ณ ที่นั้น ไม่มีเสียงกระซิบกระซาบ ไม่มีเสียงขยับกาย มีเพียงเสียงลมหายใจของแต่ละคนที่ดังแข่งกับเสียงเต้นของหัวใจตนเอง
บนพระแท่นสูงสุด ฝ่าบาทประทับนิ่ง พระพักตร์เรียบเฉยแต่แฝงไว้ด้วยพระบรมเดชานุภาพที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากวิกฤตการณ์ ข้างกายพระองค์คือพระพันปีหลวงในอาภรณ์หงส์อัคคี พระนางประทับสงบนิ่งดุจรูปสลักหยกขาว แต่สายพระเนตรที่ทอดมองลงมานั้นเยียบเย็นและคมกริบยิ่งกว่าคมกระบี่ใด ๆ
เบื้องล่าง กู้เหยียนหลงและตู้เยี่ยนอวี่ยืนสงบนิ่งในตำแหน่งใหม่ของตน พวกเขาเปรียบดั่งทวารบาลสวรรค์ผู้พิทักษ์ความยุติธรรม รอคอยการมาถึงของอสูรร้ายที่จะถูกนำมาพิพากษา
“นำตัวนักโทษกบฏหลิวเจิ้งเข้ามา!”
เสียงของขันทีหลวงผู้ประกาศราชโองการดังกังวานก้องสะท้านไปทั่วทั้งโถง ประตูทองเหลืองบานใหญ่ค่อย ๆ เปิดออกช้า ๆ พร้อมกับเสียงบานพับที่เสียดสีกันราวกับเสียงกรีดร้องของวิญญาณ
ทุกสายตาพลันจับจ้องไปยังทางเข้
ยามซื่อล่วงแล้ว ภายในท้องพระโรงหลวง ทุกสายตาจับจ้องไปยังประตูใหญ่ที่เปิดอ้า...ทว่า เงาร่างที่ก้าวเข้ามามิใช่พยานบุคคลใด ๆ แต่กลับเป็นกองกำลังองครักษ์ในพระองค์ของพระพันปีหลวงแปดนาย พวกเขาแต่งกายในชุดเกราะสีเงินลายหงส์เต็มยศ ทุกย่างก้าวหนักแน่นและพร้อมเพรียงกัน พวกเขาแบกหีบไม้จันทน์สีแดงเลือดนกขนาดใหญ่ใบหนึ่งเข้ามาอย่างระมัดระวัง มันคือหีบใบเดียวกับที่ตู้เยี่ยนอวี่เคยใช้ลักลอบนำบัญชีมรณะเข้าวังบรรยากาศในท้องพระโรงพลันตึงเครียดขึ้นอีกหลายส่วน“พยานที่ดีที่สุด คือสิ่งที่จำเลยมิอาจโต้แย้งได้” พระพันปีหลวงตรัสด้วยพระสุรเสียงที่เยียบเย็น “และหลักฐานที่หนักแน่นที่สุด คือสิ่งที่มาจากน้ำมือของจำเลยเอง”องครักษ์วางหีบใบนั้นลงใจกลางท้องพระโรง ก่อนจะเปิดมันออกช้า ๆสิ่งที่อยู่ภายในมิใช่ทองคำหรืออัญมณี แต่เป็นม้วนหนังแพะเก่าแก่สีเหลืองซีดม้วนหนึ่งที่ถูกมัดไว้ด้วยเชือกหนังสีดำ จางอู๋จีก้าวออกมาข้างหน้า เขาก้มลงหยิบม้วนหนังแพ้นั้นขึ้นมาอย่างนอบน้อม ก่อนจะคลี่มันออกต่อหน้าขุนนางนับร้อยทันทีที่ม้วนหนังแพะถูกคลี่ออกจนสุด...
ยามซื่อ ณ ท้องพระโรงหลวงวาจาของหลิวเจิ้งที่ท้าทายองค์ฮ่องเต้โดยตรงนั้น เปรียบดั่งก้อนหินที่ตกลงไปในบึงน้ำนิ่ง ก่อให้เกิดระลอกคลื่นแห่งความตื่นตระหนกและความสับสนแผ่ขยายไปทั่วทั้งท้องพระโรง พระพักตร์ของฝ่าบาทพลันเผือดสีลงเล็กน้อย พระองค์ทรงตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ระหว่างอำนาจแห่งราชันย์และความรู้สึกผูกพันกับขุนนางเก่าแก่ที่เคยอุ้มชูพระองค์มาในจังหวะที่ความเงียบงันอันน่าอึดอัดเข้าครอบงำนั้นเอง พระสุรเสียงอันเยียบเย็นของพระพันปีหลวงก็ได้ดังขึ้นทำลายทุกสิ่ง“วาจาของเจ้าช่างน่าประทับใจยิ่งนักหลิวเจิ้ง” พระนางตรัสเรียบ ๆ “แต่ในศาลพิพากษาแห่งนี้ เรามิได้ใช้บุญคุณหรือวาทศิลป์มาเป็นเครื่องตัดสิน แต่เราใช้หลักฐาน”พระนางทรงให้สัญญาณด้วยปลายพระเนตรจางอู๋จีผู้ซึ่งรอคอยจังหวะนี้อยู่แล้ว ก้าวออกมาเบื้องหน้าอย่างสงบนิ่ง ในมือของเขาคือหีบไม้สีดำขลับใบหนึ่ง หีบใบเดียวกับที่ถูกนำออกมาจากสุสานใต้ดินของโรงรับจำนำว่านเป่าถัง“ทูลฝ่าบาท พระพันปีหลวง” เขากล่าวเสียงดังฟังชัด “ระหว่างการสืบสวนแหล่งซ่องสุมของกบฏ หน่วยข่าวกรองลับได้ค้นพบห้องลับของอด
ยามเฉินล่วงแล้ว ภายในท้องพระโรงหลวงความเงียบงันได้เข้าปกคลุมทั่วทั้งโถงพิพากษา มันเป็นความเงียบที่หนักหน่วงราวกับแผ่นศิลาจารึกมรณะ กดทับลงบนบ่าของขุนนางทุกคนที่ยืนเรียงรายอยู่ ณ ที่นั้น ไม่มีเสียงกระซิบกระซาบ ไม่มีเสียงขยับกาย มีเพียงเสียงลมหายใจของแต่ละคนที่ดังแข่งกับเสียงเต้นของหัวใจตนเองบนพระแท่นสูงสุด ฝ่าบาทประทับนิ่ง พระพักตร์เรียบเฉยแต่แฝงไว้ด้วยพระบรมเดชานุภาพที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากวิกฤตการณ์ ข้างกายพระองค์คือพระพันปีหลวงในอาภรณ์หงส์อัคคี พระนางประทับสงบนิ่งดุจรูปสลักหยกขาว แต่สายพระเนตรที่ทอดมองลงมานั้นเยียบเย็นและคมกริบยิ่งกว่าคมกระบี่ใด ๆเบื้องล่าง กู้เหยียนหลงและตู้เยี่ยนอวี่ยืนสงบนิ่งในตำแหน่งใหม่ของตน พวกเขาเปรียบดั่งทวารบาลสวรรค์ผู้พิทักษ์ความยุติธรรม รอคอยการมาถึงของอสูรร้ายที่จะถูกนำมาพิพากษา“นำตัวนักโทษกบฏหลิวเจิ้งเข้ามา!”เสียงของขันทีหลวงผู้ประกาศราชโองการดังกังวานก้องสะท้านไปทั่วทั้งโถง ประตูทองเหลืองบานใหญ่ค่อย ๆ เปิดออกช้า ๆ พร้อมกับเสียงบานพับที่เสียดสีกันราวกับเสียงกรีดร้องของวิญญาณทุกสายตาพลันจับจ้องไปยังทางเข้
รุ่งอรุณแห่งเดือนสาม วันต่อมา...แสงแรกแห่งอรุณยังมิทันได้ทาบทาขอบฟ้าดีนัก แต่เมืองหลวงทั้งเมืองก็ได้ตื่นขึ้นจากนิทราด้วยความตื่นตระหนกชาวบ้านที่ออกมาจับจ่ายในตลาดเช้าต่างต้องหยุดชะงักด้วยความตกตะลึง ทหารในชุดเกราะใหม่เอี่ยมของกองกำลังพิทักษ์เมืองหลวงยืนเรียงรายอยู่ทั่วทุกสี่แยกและตรอกซอกซอย ทุกคนมีใบหน้าที่เคร่งขรึมและแฝงไว้ด้วยไอสังหารที่เยียบเย็น การอารักขาเมืองหลวงในวันนี้มิใช่การป้องกันธรรมดา แต่เป็นการปิดเมืองโดยสมบูรณ์!ณ ประตูทางเข้าจวนขุนนางใหญ่หลายสิบแห่งทั่วเมืองหลวง กองทหารม้าเหล็กภายใต้การนำของนายทหารที่ภักดีต่อกู้เหยียนหลง ได้เข้าปิดล้อมทางเข้าออกทั้งหมดอย่างเงียบเชียบแต่เด็ดขาด ประหนึ่งใยแมงมุมเหล็กกล้าที่ถูกถักทอขึ้นในชั่วข้ามคืน ครอบคลุมเหล่าหนอนบ่อนไส้ไว้โดยมิให้รู้ตัวแม้แต่น้อย“เกิดอันใดขึ้น!?” เสนาบดีกรมโยธาตะโกนถามนายกองที่ขวางประตูจวนของตนไว้ “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คือจวนของใคร! บังอาจนัก!”“ขออภัยท่านเสนาบดี” นายกองตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยแต่หนักแน่น “นี่คือคำสั่งโดยตรงจากท่า
หนึ่งราตรีหลังจากการบุกทลายรังอสูร ยามไฮ่อรุณรุ่งที่ควรจะนำพามาซึ่งความหวัง กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความเงียบงันที่น่าอึดอัด ทีมพันธมิตรใต้เงาจันทร์หลบเร้นกายอยู่ในที่พำนักลับ พร้อมกับหลักฐานชิ้นสุดท้ายที่ได้มาด้วยการเดิมพันด้วยชีวิต บัดนี้พวกเขามีดาบอาญาสิทธิ์อยู่ในมือ แต่กลับไม่รู้ว่าจะฟาดฟันดาบเล่มนี้ออกไปได้อย่างไรในเมื่อทั่วทั้งราชสำนักยังคงเต็มไปด้วยกิ่งก้านสาขาของอสรพิษเฒ่าทว่า ในขณะที่ทุกคนกำลังจมอยู่ในภวังค์แห่งความวิตก สัญญาณลับจากวังหลวงก็มาถึง...มันมาในรูปแบบของกล่องเครื่องหอมที่งดงามกล่องหนึ่ง ซึ่งถูกส่งมาโดยนางกำนัลคนสนิทของพระสนมหลี่ เมื่อเปิดออก นอกจากกำยานชั้นเลิศแล้ว ยังมีปิ่นปักผมหยกรูปหงส์ซ่อนอยู่ เป็นดังสัญลักษณ์ที่ตกลงกันไว้ พระพันปีหลวงทรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์!ค่ำคืนนั้นเอง เงาร่างหลายสายได้เคลื่อนไหวอีกครั้ง พวกเขาลอบเข้าสู่วังหลวงที่คุ้นเคย แต่ครั้งนี้มิใช่การบุกรุก แต่เป็นการเดินทางเข้าสู่ใจกลางอำนาจตามคำเชื้อเชิญ ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความตึงเครียดและระแวดระวังปลายทางของพวกเขาคือตำหนักวิเวกส่องจิตที่ประทับส่วนพระองค์ที่ลึกและลับที่สุดข
ราตรีกาลแห่งเดือนสาม ยามอิ๋นใกล้จะสิ้นสุดลง แสงอรุณจาง ๆ เริ่มปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้าในเสี้ยววินาทีที่ดาบสั้นของนายหญิงแห่งเงาแทงเข้าที่จุดเฟิงฉือ และเปิดช่องว่างที่ใหญ่หลวงที่สุดในการป้องกันของนักพรตไร้เงาฝ่ามือของกู้เหยียนหลงก็ได้มาถึงมันมิใช่ฝ่ามือธรรมดา แต่คือฝ่ามือมังกรสุริยันที่อัดแน่นไปด้วยพลังลมปราณหยางอันบริสุทธิ์และร้อนแรงที่สุด มันประหนึ่งดวงตะวันขนาดย่อมที่พุ่งเข้ากระแทกจุดชี่ไห่ หรือทะเลปราณ อันเป็นศูนย์กลางพลังงานของนักพรตไร้เงาอย่างจังตูม!เสียงระเบิดทึบดังขึ้นจากภายในร่างของนักพรตไร้เงา พลังหยางอันร้อนแรงของกู้เหยียนหลงปะทะเข้ากับพลังหยินอันเย็นเยียบของพิษที่สะสมอยู่ในร่างของเขาอย่างรุนแรง เกิดเป็นปฏิกิริยาทำลายล้างที่บ้าคลั่งจากภายในสู่ภายนอก“อ๊ากกกกกก!”นักพรตไร้เงากรีดร้องออกมาเป็นครั้งสุดท้าย โลหิตสีดำอมเขียวพุ่งทะลักออกจากทวารทั้งเจ็ดของเขา ร่างกายที่เคยสงบนิ่งบัดนี้สั่นสะท้านอย่างรุนแรง เส้นลมปราณทั่วร่างของเขาฉีกขาดและแหลกสลาย เขาจ้องมองมายังตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงด้วยแววตาที่ทั้งตกตะลึง เกลียดชัง และโล่งใจอย่างประหลาด ก่อนจะล้มลงแน่นิ่งไป สิ้นสุดชีวิตของย