“อี้ซิน เจ้ามาแล้วหรือ” เสียงทุ้มดังขึ้นที่โถงกลางห้อง
“ท่านพ่อ” หลานอี้ซินค้อมกายเล็กน้อย
ไป๋เฉินเซียงเห็นเช่นนั้นก็ยอบกายตาม
หลานหมิ่นฉีพยักหน้าตอบรับ “อีเอ๋อร์เมื่อคืนหลับสบายหรือไม่”
ไป๋เฉินเซียง “เจ้าค่ะ”
ทุกคนในจวนสกุลหลานต่างมารวมตัวกันอยู่ที่นี่เพื่อรอยลโฉมสะใภ้รองของตระกูล
หลานจิ้นถง “น้องสะใภ้ ตอนนี้อี้ซินกำลังป่วย ลำบากเจ้าแล้ว อย่างไรคงต้องฝากเจ้าดูแลน้องชายข้าด้วย”
ไป๋เฉินเซียงไม่อยากมองใบหน้าของบุรุษปากมันลิ้นลื่นเช่นเขาสักกระผีกริ้น อารมณ์ของนางดิ่งวูบเมื่อได้ยินเสียงเขา ยิ่งเหลือบไปเห็นสีหน้าบิดเบี้ยวแววตาหยิ่งผยองของสตรีข้างกายหลานจิ้นถงไป๋เฉินเซียงก็ยิ่งต้องการระบายโทสะที่หยั่งรากอยู่ในใจ
ไป๋เฉินเซียงกัดฟันยิ้มกว้าง “ท่านพี่เขยกล่าวเกินไปแล้ว ท่านพี่ของข้าเก่งกาจเช่นนี้ คงมีเพียงข้าที่ต้องฝากชีวิตให้เขาดูแล”
ไป๋เฉินเซียงจับมือหลานอี้ซินแน่น หลานอี้ซินสมองขาวโพลนไปขณะหนึ่ง เขาตั้งท่าสะบัดมือออก ทว่าสตรีข้างกายกลับบีบมือเขาและยังใช้อีกฝั่งมากุมไว้แน่นขึ้น
หลานหมิ่นฉีหัวเราะร่า “อีเอ๋อร์ช่างรู้จักพู
ไป๋เฉินเซียงเห็นอีกฝ่ายยืนยันเช่นนั้นก็ประหนึ่งฟ้าถล่มลงตรงหน้า “ทะ…ท่านรู้มานานเท่าใดแล้วเจ้าคะ”“ก็สักพัก”ไป๋เฉินเซียงพูดไม่ออก หลินกวางหมิงจึงเอ่ยเพื่อทำลายบรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้น “แม่นางไป๋ ไม่สิ ข้าต้องเรียกเจ้าว่าสะใภ้รองหลานสินะ เจ้าทำได้อย่างไร ใบหน้าของเจ้าและอีเอ๋อร์จึงได้เหมือนกันราวกับแกะ”ไป๋เฉินเซียงยิ้มแหย “นี่เรียกวิชาแปลงโฉมเจ้าค่ะ”หลินกวางหมิงตาโต “ช่างร้ายกาจยิ่งนัก”ไป๋เฉินเซียงไม่อยากพูดพร่ำทำเพลงใดอีก “อยู่เช่นนี้ข้าก็อึดอัดเหมือนกัน”วูหลิงอีเอ่ย “แม่นางไป๋ ลำบากเจ้าแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็ต้องขอบคุณเจ้า”ไป๋เฉินเซียงพยักหน้าหลานอี้ซิน “หากเจ้าอึดอัดก็ปลดวิชาแปลงโฉมนี้ออกก่อนเถิด”ไป๋เฉินเซียงมองทุกคนสลับไปมา จากนั้นก็ถอนหายใจอย่างนึกปลดปลง “เจ้าค่ะ”พริบตาใบหน้าจิ้มลิ้มงดงาม ก็แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าพริ้มเพราสะสวย หลานอี้ซินมองไป๋เฉินเซียงแทบลืมหายใจ ทั้งยังจ้องเขม็งตาไม่กะพริบไป๋เฉินเซียง “แบบนี้คง ไม่อึดอัดกันแล้วกระมัง”วูหลิงอียิ้มบาง สีหน้าของนางสลดลงพลันคว้ามือทั้ง
ไป๋เฉินเซียงรู้สึกกระอักกระอ่วนกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนสับสน กระนั้นก็ต้องเหลียวมองบุรุษข้างกายด้วยความฉงนเมื่อรถม้าเคลื่อนมาได้สักพักก็หยุดลง“ยังไม่ถึงจวนสกุลวูนี่เจ้าคะ”“เรามีบางอย่างต้องสะสางให้เรียบร้อยเสียก่อน”หลานอี้ซินคว้าแขนไป๋เฉินเซียงออกจากรถม้าด้วยความรวดเร็วเท้าเล็กเดี๋ยวเดินเดี๋ยววิ่งตามแรงดึง “ช้าก่อนเจ้าค่ะ เราจะไปที่ใดกันหรือเจ้าคะ”“ไปถึงเดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” หลานอี้ซินผินหน้าไปยังหลีซงซึ่งทำหน้าที่เป็นสารถีจำเป็น “เจ้าพาคนนำของกำนัลไปยังจวนสกุลวูก่อน บอกว่าข้ากับฮูหยินจะตามไปโดยเร็ว ฮูหยินของข้าต้องการชมความงามของธรรมชาติชั่วครู่”ไป๋เฉินเซียงกะพริบตาถี่ “ข้าอยากชมตั้งแต่เมื่อใดเจ้าคะ ไยท่านจึงคิดเองเออเองเก่งเพียงนี้”หลานอี้ซินแสร้งเมิน “ไปกันเถิดมีเวลาไม่มาก”หลานอี้ซินใช้มือทั้งสองคว้าเอวคอดไว้แน่น จากนั้นยกร่างระหงจนตัวลอยหวือขึ้นนั่งบนหลังม้า ร่างสูงกระโจนตามไปอย่างรวดเร็วพลางโอบแขนรอบเรือนร่างบอบบางเอาไว้ ไป๋เฉินเซียงใจเต้นระรัว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาพลันซับสีแดงระเรื่อ“จับไว้ดี ๆ เล่า” ลมห
ไป๋เฉินเซียงต้องเร่งเตรียมตัวเพื่อกลับบ้านเดิมอย่างกะทันหัน นางพยายามขบคิดหาทางออกให้ตัวเองเพราะยังไม่อยากเผชิญหน้ากับครอบครัวของวูหลิงอีอีกครั้งในยามนี้“หรือข้าต้องส่งจดหมายไปหานางกันนะ” ไป๋เฉินเซียงพึมพำเสียงเบาหลานอี้ซินรับรู้ได้ว่าสตรีข้างกายตนยามนี้กำลังเกิดความกังวล “เจ้าไม่อยากกลับบ้านเดิมหรือ”ไป๋เฉินเซียงสะดุ้ง “…เปล่าเจ้าค่ะ ข้าเอง…ข้าก็คิดถึงท่านพ่อท่านแม่มากเหมือนกัน หลายเดือนมานี้เกิดเรื่องราวมากมายข้าเลยหลงลืมไปชั่วขณะ”หลานอี้ซินพยักหน้า “เช่นนี้เอง ลำบากเจ้าแล้ว”ไป๋เฉินเซียงยิ้มแห้งขอด “ไม่เลยเจ้าค่ะ”“นอนเถิด พรุ่งนี้ต้องเร่งเดินทางแต่เช้า”จากท่วงท่านอนหงายมองเพดาน อยู่ ๆ ร่างระหงก็พลิกกายอย่างรวดเร็ว เดิมทีไป๋เฉินเซียงและหลานอี้ซินเคยนอนร่วมเตียงกันแทบจะนับครั้งได้ จมูกเชิดรั้นยื่นเข้าใกล้หูอีกฝ่ายพลางหรี่ตาลงจนแคบ ลมอุ่น ๆ ที่เป่ารินรดใบหูเป็นเหตุให้หลานอี้ซินใจเต้นระส่ำ“จะ...เจ้าเป็นอะไร”“ท่านเร่งร้อนเกินไปแล้วนะเจ้าคะ คืนนี้ข้ายังไม่รู้จะนอนหลับหรือไม่ ต้องตื่นเร็วเพียงน
เหตุการณ์ก่อนเดินทางไปยังเรือนหวังเหล่ย [1] “เจ้าบอกความจริงมา เกิดเรื่องนี้ขึ้นได้อย่างไร” เสียงทุ้มตวาดลั่น สาวใช้ข้างกายของจูจวิ้นอี๋ตัวสั่น“ท่านแม่ทัพ คือ…”“หากยังอ้ำอึ้งข้าจะตัดลิ้นเจ้าทิ้ง!”สาวรับใช้หลับตาแน่น ยามนี้นางกำลังถูกไต่สวนอย่างหนัก ร่างกายโดนทารุณสารพัดจนสภาพดูไม่จืด แขนขาห้อยต่องแต่งเพราะกระดูกแตกละเอียด“…นั่นเพราะสะใภ้ใหญ่อยากวางยาสะใภ้รองเจ้าค่ะ”หลานจิ้นถงตะคอกโกรธเคือง “ไยนางต้องทำเช่นนั้น”“ในงานวิจารณ์ภาพวาดหนก่อน สะใภ้รองทำให้สะใภ้ใหญ่ขายหน้า ครั้งนี้นางอยากเอาคืน แต่ไม่รู้เหตุใดสะใภ้รองจึงมีสติครบถ้วนไม่ถูกพิษ ทว่ากลับเป็นสะใภ้ใหญ่เองที่โดนพิษนั่น เกรงว่า…กาสุราอาจถูกสับเปลี่ยนเจ้าค่ะ”หลานจิ้นถงกำหมัดจนกายสั่นสะท้าน “บัดซบ!”ฉับ!มือหยาบกร้านตวัดดาบหนึ่งหนด้วยความเดือดดาล โลหิตสีแดงฉานกระเซ็นเปรอะกำแพงเก่าสีลอกล่อน สาวใช้คนสนิทของจูจวิ้นอี๋แต่กาลก่อนถูกปลิดชีพสิ้นลมในที่สุด หากเขาไม่กำจัดนางทิ้ง เ
อนุและบ่าวในเรือนหวังเหว่ยถูกไต่สวนจนถึงรุ่งสาง ทุกคนต่างไม่รู้เห็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะวุ่นวายกันมาทั้งคืนแต่ก็ยังไร้เบาะแส หลานจิ้นถงจำต้องมาเยือนที่เรือนหวังเหล่ย“น้องรอง”มือหยาบระคายที่กำลังยกถ้วยชาขึ้นจิบชะงักลงหลีซงค้อมศีรษะ “ท่านแม่ทัพ”หลานจิ้นถงพยักหน้าเป็นการทักทาย ร่างสูงเดินอ้อมไปยังเก้าอี้ไม้สักขัดเงาอีกด้าน หลานอี้ซินได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ริมฝีปากของเขาขยับยกเป็นรอยยิ้มจาง ๆ“พี่ใหญ่ เหตุใดวันนี้มาที่เรือนข้าแต่เช้า” แววตาของหลานอี้ซินยังคงดูเหม่อลอยไร้แสงเช่นเดิม นัยน์ตาเรียบเรื่อยทอดมองไปเบื้องหน้าหลานจิ้นถงสังเกตสีหน้าน้องชายพักหนึ่ง ต่อมาจึงตัดสินใจนั่งลงขนาบข้าง หลีซงเห็นเช่นนั้นก็เข้ามารินชาให้เขา ก่อนถอยห่างออกไปอย่างรู้หน้าที่หลานจิ้นถงมองควันสีขาวที่ลอยขึ้นจากชาถ้วยเล็ก ยามนี้เขาไม่อาจกระเดือกสิ่งใดให้ไหลผ่านลำคอของตนลงไปได้เลย“พี่ใหญ่ ท่านคงมีเรื่องไม่สบายใจกระมัง”หลานจิ้นถงถอนหายใจ “ข้าคิดว่าเจ้ารู้แล้ว”หลานอี้ซินตอบ “ข้าเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย”หลาน
ปลายยามฮ่าย [1] หลังงานน้ำชาเลิก“สะใภ้ใหญ่ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ”“อย่าเข้ามานะ เจ้าถอยออกไป ถอยไป!” จูจวิ้นอี๋ดึงทึ้งศีรษะของตนประหนึ่งคนเสียสติสาวใช้ข้างกายร่ำไห้น้ำตานองหน้า นางคิดหาทางออกไม่เจอสักทาง พยายามเข้าห้ามทุกครั้งก็ถูกจูจวิ้นอี๋ผลักจนล้มก้นจ้ำเบ้าทุกรอบ ครั้นจะวิ่งไปหาหลานจิ้นถงยามนี้ก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใด อันที่จริงเขาไม่โผล่มาที่นี่หลายวันแล้ว จูจวิ้นอี๋เอาแต่พูดคำเดิมซ้ำ ๆ วนไปมาพลางขับไล่สาวใช้คนสนิทดั่งเห็นปีศาจร้าย จูจวิ้นอี๋เอาแต่ทำร้ายตัวเองจนเกิดบาดแผลเต็มตัว ปลายเล็บของนางจึงเต็มไปด้วยเส้นผมคราบโลหิต“เจ้าอย่าเข้ามานะ ถอยไป ถอยออกไปเดี๋ยวนี้!”ท่ามกลางหมอกควันสีขาวซึ่งลอยโขมงขึ้นกลางอากาศ หญิงสาวร่างระหงสวมอาภรณ์สีขาวบางขาดกะรุ่งกะริ่ง ทั้งตัวของนางเปียกโชกไปด้วยน้ำ เส้นผมยาวสยายดำขลับแนบลู่ปกปิดระใบหน้า ขาเสลาที่เต็มไปด้วยบาดแผลและร่องรอยฟกช้ำค่อย ๆ ย่างกรายเข้าหาจูจวิ้นอี๋ที่กำลังนั่งหดขาตัวเกร็ง แววตาเย็นยะเยือกสาดสะท้อนไอสังหารแล