เร่งฝีเท้าเดินออกจากร้านมาได้ไม่นาน หยูหนิงก็นึกได้ว่าเธอลืมของเสียเเล้ว
“ไม่น่ารีบร้อนออกมาจนลืมหนังสือเลย” เด็กสาวบ่นกับตัวเองเบาๆ ยามหันหลังเดินกลับเส้นทางเก่า ร่างบางผ่านตรอกซอยเล็กๆ ที่อยู่ก่อนถึงจุดหมาย ซึ่งเธอคงจะเดินเลยไป ถ้าในที่เเห่งนั้นไม่มีร่างของคนคุ้นเคยอยู่ ทว่ายังไม่ทันที่หยูหนิงจะส่งเสียงเรียกอีกฝ่าย หนึ่งในสองก็กล่าวคำพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ที่นายคอยหลบหน้าฉันช่วงนี้เป็นเพราะหนิงหนิงสินะ”
“ไม่เกี่ยวอะไรกับหนิงหนิง อย่าลืมนะว่าตั้งแต่แรกพวกเราเองก็ไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่แล้ว” น้ำเสียงเย็นชาของฝ่ายชายดังขึ้นโต้ตอบ
ผู้หญิงอีกคนมองร่างสูงตรงหน้าด้วยดวงตาฉ่ำน้ำ ริมฝีปากบางถูกขบเม้มจนเเน่น ก่อนที่เธอจะถามขึ้นมาอีกครั้ง
“เเล้วที่นายนอนกับฉันมันคืออะไร อย่างนี้นายยังกล้าบอกว่าพวกเราไม่เกี่ยวข้องกันอีกหรือเฉิงเหยียน!”
‘นอนอย่างนั้นหรือ เฉิงเหยียนกับรั่วฉินนี่นะ!’ หยูหนิงตกใจไม่น้อย ร่างเล็กขยับหลบชิดมุมกำเเพงเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นตัวเอง ในใจยังคงสับสนกับสถานะของเพื่อนทั้งสองไม่คลาย
“หึ! ก็เรียก 'sexfriend' ยังไงล่ะ เธอมีความสุข ตัวฉันเองก็พอใจ ในเมื่อพวกเราต่างก็วิน-วินด้วยกันทั้งคู่ แล้วจะมาร้องโวยวายเอาอะไรอีก”
รั่วฉินดวงตาเเดงก่ำ ใบหน้าสวยซีดขาวส่ายไปมาอย่างไม่ยอมรับ จริงอยู่ที่เฉิงเหยียนไม่เคยเอ่ยปากให้สัญญาอะไร เเต่เธอก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไร้เยื่อใยได้ถึงขนาดนี้
“เป็นเพราะนังเอ๋อหยูหนิงใช่มั้ย เธอถึงทำกับฉันเเบบนี้ เฉิงเหยียน ทำไมล่ะ คนปัญญาอ่อนอย่างมันมีอะไรดีกว่าฉันกัน”
เด็กสาวฉวยมือเพื่อนชายควบสถานะเพื่อนนอนมาเขย่า เอ่ยปากตัดพ้อน้ำเสียงไม่ยินยอม เฉิงเหยียนเป็นเหมือนเจ้าชายในหมู่นักเรียนหญิง ต่อให้อีกฝ่ายไม่ยอมรับ รั่วฉินก็ไม่คิดจะปล่อยเขาไปง่ายๆ แน่นอน เธอไม่มีวันยกผู้ชายของตัวเองให้นังเอ๋อนั่นเเน่!
ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่า การช่วยเหลือคนปัญญาอ่อนอย่างหยูหนิงจะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ดีๆ ให้ตัวเธอแล้วละก็ คิดหรือว่าคนที่เพียบพร้อมอย่างรั่วฉินคนนี้จะยอมช่วยดูแลนังเอ๋อคนหนึ่งมาตั้งนมนาน
เฉิงเหยียนอมยิ้มมุมปากกับคำถามนั้น อุปนิสัยของเขากับรั่วฉินเดิมก็ไม่ได้เเตกต่างกันเลยทำให้มองกันออกอยู่แล้ว ผู้หญิงคนนี้ยอมเป็นเพื่อนกับเด็กออทิสติกอย่างหยูหนิง ก็เพื่อสร้างภาพให้พวกผู้ใหญ่กับผู้ชายดูเท่านั้นเอง
ทว่าเฉิงเหยียนเองก็เช่นกัน เพียงแต่ต่างกันตรงที่เขาไม่ได้ช่วยเหลือหยูหนิงเพื่อชื่อเสียง แต่มีจุดประสงค์อยู่ที่ตัวต่างหาก เพราะอีกฝ่ายมีรูปร่างหน้าตาแบบที่เขาชอบ อีกทั้งยังหัวอ่อนไม่น่าจะวุ่นวายมาก
“ต่างสิ เพราะหยูหนิงน่ะฉันยังไม่ได้ ส่วนเธอได้ไปแล้วยังไงล่ะ” พูดจบร่างสูงก็สะบัดมืออีกฝ่ายออกอย่างเเรง
รั่วฉินมองตามหลังคนที่เดินห่างออกไปด้วยดวงตาแดงที่ลุกวาว เธอไม่ยอมเสียเขาให้ใครเเน่นอน
“เฉิงเหยียน จำเอาไว้เลย ฉันไม่ยอมยกนายให้กับนังปัญญาอ่อนหยูหนิงนั่นเเน่ ไม่มีวัน!”
หยูหนิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เธอมองตามหลังร่างของรั่วฉินที่ก้าวไปทางเดียวกับเฉิงเหยียนอย่างโล่งอก โชคดีที่พวกเขาไม่ได้เดินย้อนกลับมา ทำให้ไม่ต้องเผชิญหน้ากันให้อึดอัด
เด็กสาวก้าวออกจากตรงนั้นด้วยสองขาที่หนักอึ้ง ทว่าภายในชินชาจนไร้ความคิดจะสนใจ จุดประสงค์ของรั่วฉินนั้น หยูหนิงรู้มานานเเล้ว ต่อหน้าเธอ อีกฝ่ายเป็นเพื่อนที่แสนดี คอยดูแลช่วยเหลือและปกป้อง ทว่าลับหลังกลับเป็นคนกลั่นเเกล้งเธอมาตลอด ตะปูในรองเท้า เศษขยะบนโต๊ะเรียน อีกทั้งชุดพละที่หายไป ทำไมเธอจะไม่รู้ เพียงเเค่ไม่เคยเปิดเผยก็เท่านั้น เพราะต่อให้พูดไปรั่วฉินก็ไม่มีทางยอมรับ ที่สำคัญจะมีใครเชื่อคนที่ถูกตัดสินว่าปัญญาอ่อนอย่างเธอเล่า...
ส่วนเฉิงเหยียนนั้น เขาก็เเค่ต้องการครอบครอง และเพราะว่ายังไม่ได้ครอบครอง จึงเกิดเป็นความรู้สึกที่ท้าทาย เเต่เมื่อไรที่สมใจทุกอย่างก็จะจบลง หยูหนิงรู้ดีว่าการกระทำเเบบนี้ไม่ใช่ความรัก เธอจึงไม่เคยคิดจะตอบรับความรู้สึกของอีกฝ่าย
สองคนตรงนั้นจากไปแล้ว หยูหนิงไม่รู้ว่าหนังสือของเธออยู่กับใคร ในระหว่างที่กำลังลังเลว่าควรจะกลับดีไหม สายตาก็เห็นมั่วฉางกับหวางอินเดินอยู่ห่างออกไป เด็กสาวจึงเร่งฝีเท้าวิ่งตามเพื่อนตัวเองไปทันที
“มั่วฉาง เธอว่าเป็นเพราะอะไรหนิงหนิงถึงไม่ยอมไปสอบที่เดียวกับพวกเรา”
จู่ๆ หวางอินก็เอ่ยถามคนข้างๆ ขึ้นมา ทำให้หยูหนิงที่อยู่ด้านหลังชะงักเสียงเรียกไป
“อืม...ไม่รู้สิ แต่ใครจะไปสนข้อนั้นกัน ไม่ไปก็ดีแล้ว เพราะฉันเองก็ไม่ได้อยากเลี้ยงเด็กด้วย ถ้าหนิงหนิงไปเข้าที่เดียวกัน พวกเราก็ต้องเสียเวลามาคอยดูเเลเธออีก”
หวางอินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะพ่อเเม่ของพวกเธอมีความสัมพันธ์อันดีกับน้าสาวของหยูหนิง พวกเขาจึงกำชับให้ลูกๆ ของตัวเองคอยดูแลอีกฝ่าย อันที่จริงมั่วฉางกับหวางอินนั้นแสนจะเบื่อหน่ายที่ต้องมาคอยช่วยเหลืออีกฝ่าย พวกเธอจึงอดดีใจไม่ได้ที่รู้ว่าหยูหนิงไปเรียนคนละที่ เพราะนั่นเท่ากับว่าเธอจะไม่ต้องมารับภาระคอยดูแลคนพิการอีก
“นั่นสิ ดีจังเลยที่หนิงหนิงไม่ได้ไปเรียนที่เดียวกับพวกเรา” หวางอินพูดอย่างอารมณ์ดี
มั่วฉางเองก็ตอบรับด้วยท่าทีที่ไม่ต่างกันเท่าใดนัก “นั่นน่ะสิ เนอะ”
สองคนนั้นเดินจากไปแล้ว ทว่าหยูหนิงยังคงอยู่ที่เดิม ความจริงที่ได้รู้ทำให้เด็กสาวได้แต่ยืนนิ่งเงียบราวกับหุ่น ผิดหรือที่ร่างกายของเธอตอบสนองช้า ที่ผ่านมาเธอก็ใช้ชีวิตมาด้วยตัวเองตลอด ภาระอะไรทำไมทุกคนถึงต้องคิดแบบนี้ด้วย
เธอเคยบอกให้พวกเขามาทำอะไรให้อย่างนั้นหรือ...ก็ไม่
เธอเคยขอร้องให้พวกเขาเป็นเพื่อนกับเธอหรือ...ก็ไม่
แต่แล้วทำไมทุกถ้อยคำที่กล่าวถึงเธอ จึงมีแค่ ‘ภาระ’ กับ ‘คนปัญญาอ่อน’ กันเล่า นี่น่ะหรือคำว่ามิตรภาพของเพื่อน
“อา ฟ้าครึ้มจังเลย ฝนกำลังจะตกแล้วสินะ”
เด็กสาวเงยใบหน้าเล็กขึ้นมองท้องฟ้า เห็นเพียงปุยเมฆสีขาวที่ปกคลุม แต่ว่าทำไมกันนะ ทั้งที่ฝนก็ยังไม่ตกลงมาแท้ๆ แต่ดวงตาเธอที่มองทางข้างหน้ากลับมีแต่น้ำใสๆ
หยูหนิงวิ่งฝ่าสายฝนกลับมาบ้านด้วยสภาพเปียกปอน เด็กสาวเอื้อมมือเปิดประตูรั้วด้วยความชำนาญ ก่อนจะพาตัวเองมาหยุดยังหน้าประตูบ้านที่เปิดอยู่
“ทำไมเปิดประตูทิ้งไว้แบบนี้ คุณน้าลืมปิดอีกแล้วสินะ”
เด็กสาวพึมพำ มือเล็กผลักประตูเปิดกว้างเบาๆ ทว่ายังไม่ทันส่งเสียงบอกว่าตัวเองกลับมาเเล้ว หูก็ได้ยินคนทะเลาะกันเสียก่อน เธอจึงก้าวเดินเข้าใกล้ต้นตอของเสียงอย่างเงียบๆ
“ลู่ซี คุณก็รู้นี่ว่าคุณแม่ผมท่านอยากอุ้มหลานมาก พวกเราอยู่ด้วยกันมาตั้งกี่ปีแล้ว ทำไมคุณยังต้องกินยาคุมกำเนิดพวกนี้”
เสียงน้าเขยตวาดตะคอกดุดันผิดกับเวลาปกติ หยูหนิงฟังแล้วใจหายวูบ นี่นับเป็นครั้งแรกที่เธอเห็นคุณน้าทั้งสองทะเลาะกัน
“ก็ฉันยังไม่พร้อมนี่คะ หลินไห่ พวกเราเองก็ยังอายุไม่มาก จะรีบร้อนไปทำไม รออีกสักพักให้ทุกอย่างมั่นคงกว่านี้ก่อนไม่ดีหรือ”
ลู่ซีพยายามอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง เธอเเละหลินไห่นั้นเพิ่งจะอายุย่างเข้าเลขสาม รออีกสักหน่อยก็ยังได้ ทำไมต้องรีบร้อนถึงขนาดนั้น
“ไม่พร้อมๆ ทุกครั้งคุณก็อ้างอย่างนี้ตลอด ผมว่าเป็นเพราะหยูหนิงหลานคุณมากกว่ามั้ง คุณไม่ยอมมีลูกก็เพราะเด็กนั่น คิดแต่จะเลี้ยงหลาน ไม่เคยคิดถึงผมกับครอบครัวเลย”
หลินไห่ตวาดตัดบท เขาไม่ได้เกลียดหยูหนิง ทว่าไม่พอใจที่ลู่ซีให้ความสำคัญแก่หลานสาวมากกว่า ทำให้มารดาเขาไม่พอใจเรื่องนี้จนหยิบเอามาพูด อีกทั้งมรดกของหยูหนิงที่เคยคิดจะหยิบเอามาใช้ลงทุนกับงานของเขา ก็ถูกคนรักปฏิเสธไม่เห็นด้วยอย่างเด็ดขาด ยิ่งทำให้หลินไห่เกิดความไม่พอใจเป็นทวีคูณ
เดิมทีที่ลู่ซีรับหยูหนิงมาอยู่ในความดูเเลเมื่อห้าปีก่อน หลินไห่เเละมารดาก็เห็นด้วยอย่างไม่มีปัญหา เพราะเรื่องการเป็นเด็กออทิสติกของหยูหนิงจะทำให้ลู่ซีมีอำนาจเต็มที่ในเรื่องมรดก เเต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าอีกฝ่ายจะรักใคร่เอ็นดูหลานสาวถึงขนาดนี้
เพื่อหยูหนิงที่มีปัญหาด้านสมอง ลู่ซีถึงขนาดยอมที่จะไม่มีลูกของตัวเอง เงินสักหยวนในมรดกของหยูหนิงที่หลินไห่เเละมารดาจ้องตาเป็นมัน มาถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยได้สัมผัส เเล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาโมโหได้อย่างไร
“เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับหนิงหนิงนะคะหลินไห่ ฉันก็เเค่รู้สึกว่าพวกเรายังไม่พร้อม”
ลู่ซีไม่ใช่คนโง่ เธออยู่กินกับหลินไห่มาตั้งเเต่เรียนมหา’ ลัย เพราะพ่อเเม่ที่จากไปก่อนวัยอันควรทำให้ลู่ซีเเละพี่สาวโหยหาครอบครัวมากกว่าคนปกติ ทว่ารักก็ส่วนรัก ไม่จำเป็นต้องโง่ ช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้ลู่ซีรู้จักนิสัยใจเเคบเเละเห็นแก่ตัวของหลินไห่กับเเม่ของเขา พอๆ กับที่เธอรู้จักตัวเองนั่นเเหละ
หลินไห่เห็นแก่ตัวเเบบไม่เเสดงออก อีกฝ่ายยอมให้เธอรับหนิงหนิงมาดูเเลก็เพราะเรื่องเงินมรดก เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็แสดงอาการฉุนเฉียว ส่วนมารดาของเขารายนั้นเห็นแก่ตัวอย่างเปิดเผย เงินทองข้าวของเรียกร้องได้เป็นเรียกร้อง อีกทั้งยังไม่เคยพอเพียง ลู่ซีไม่ใช่คนใจคอคับแคบ สิ่งใดที่สามารถให้ได้เธอก็ไม่เคยขัด ทว่ามรดกของหยูหนิงเป็นสิ่งที่พี่สาวเธอปกป้องส่งต่อมายังหลาน ดังนั้นอย่าหวังว่าพวกเขาจะได้เเตะเเม้เเต่หยวนเดียว
เรื่องลูกที่เเม่สามีเรียกร้อง ลู่ซียอมรับว่าในตอนเเรกเป็นเพราะเธอห่วงหลานจึงไม่ยอมมีลูกของตัวเองจริงๆ เเต่ช่วงหลังๆ ที่ผ่านมาได้เจอความเห็นแก่ตัวของคนรักกับเเม่ของเขา เธอจึงไม่ยอมให้ตัวเองตั้งครรภ์ในเวลานี้ เเละแล้วพวกเขาก็เเสดงธาตุเเท้ออกมาให้เห็นอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ
“ไม่พร้อมๆ เพราะต้องคอยดูแลเด็กปัญญาอ่อนนั่นน่ะหรือ คุณเลือกมาเลยดีกว่า ระหว่างผมกับหลานสาวสมองพิการนั่น!”
“หลินไห่ คุณพูดให้มันดีๆ หน่อย หนิงหนิงไม่ใช่เด็กสมองพิการนะคะ”
หญิงสาวส่งเสียงเย็นชาขัดขึ้น ถึงแม้หมอจะลงความเห็นแล้วว่าหยูหนิงเป็นออทิสติก แต่ลู่ซีก็ยังคงมองว่าหลานเธอเป็นเด็กปกติอยู่ดี เมื่อได้ยินคำพูดน่ารังเกียจจากปากอีกฝ่าย เธอจึงเกิดคำถามกับตัวเองในใจ
‘ก่อนหน้านี้เธอตาบอดหรือไงนะ ถึงรักผู้ชายเห็นเเก่ตัวเเละร้ายกาจแบบนี้ได้ลง’
พอกันทีกับเวลาหลายปีที่ทนกันมา ผู้ชายตรงหน้าไม่เคยปรับปรุง มีแต่ยิ่งเห็นแก่ตัวและหยาบคายขึ้นทุกวัน บางทีเธอกับเขาควรจะจบกันไปเสียที
หลินไห่นั้นไม่ได้ล่วงรู้ความในใจของสาวคนรัก เขาเพียงคิดว่าลู่ซีก็เหมือนผู้หญิงทั่วไป หากตนเเข็งกร้าวใส่เข้าหน่อยขี้คร้านจะทำตามไม่ทัน
“ว่ายังไง ผมกับเด็กเอ๋อนั่น คุณจะเลือกใคร”
ลู่ซียิ้มกว้างขณะตอบอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน “มันก็เเน่นอนอยู่เเล้วนี่คะหลินไห่ ฉันก็ต้องเลือก...”
หยูหนิงที่อยู่ด้านนอกไม่อาจทนฟังคำตอบต่อไปได้ เด็กสาวผลักประตูแล้ววิ่งออกไปท่ามกลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ บ้านที่เคยคิดว่าเป็นครอบครัว คุณน้าทั้งสองที่เป็นคนในครอบครัวอันแสนสำคัญ สุดท้ายแล้วก็เป็นตัวเธอเองที่คิดไปเองฝ่ายเดียว...
ชายหญิงในห้องรับเเขกไม่ได้รับรู้ถึงการจากไปของบุคคลที่สาม พวกเขายังคงพูดคุยกันต่อ ใบหน้าของหลินไห่ตกตะลึงเเข็งค้าง เมื่อได้ฟังจนจบประโยค มันไม่ควรจะเป็นเเบบนี้สิ!
“ฉันเลือกหลานตัวเองค่ะ รบกวนคุณขนข้าวของออกไปด้วยนะคะ เพราะที่นี่คือบ้านของฉัน โชคดีที่พวกเราไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน เพราะฉะนั้นแค่คุณย้ายออกไปก็จบเเล้ว”
ชั่วขณะนั้นลู่ซีนึกขอบคุณพี่สาวตัวเองอย่างสุดซึ้ง เพราะลู่เมิ่งเคยเตือนเธอว่ายังไม่ต้องรีบร้อนจดทะเบียนกับหลินไห่ และบอกให้ทดลองอยู่ด้วยกันไปก่อน ทำให้ตอนนี้ระหว่างเธอกับเขาไม่มีพันธะทางกฎหมายต่อกัน ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของอีกฝ่าย เธอคงต้องเเบ่งทรัพย์สินตัวเองไปอีกโขเลยทีเดียว
หลินไห่กัดฟันกรอด ศักดิ์ศรีที่ค้ำคอทำให้เขาจำต้องเดินไปเก็บข้าวของของตัวเอง ทว่าชายหนุ่มยังคงมั่นใจว่าอีกฝ่ายพูดด้วยอารมณ์ อีกไม่นานลู่ซีจะต้องมาง้อเขาเเน่ เพราะหลินไห่ไม่เชื่อแม้แต่น้อยว่าเธอจะกล้าเเยกทางกับเขา
“เเล้วคุณจะต้องเสียใจ!”
ลู่ซีฟังคำพูดอีกฝ่ายเเล้วโคลงศีรษะ หญิงสาวมองตามท้ายรถอดีตคนรักที่ขับออกไปจนลับตา จบแล้วสินะช่วงเวลาหลายปีที่อยู่ด้วยกันมา ความโหวงเหวงในอกทำให้รู้สึกใจหายอย่างอดไม่ได้ แต่เธอเองก็ไม่ใช่นางเอกละครรักเสียด้วย ในเมื่อจบก็คือจบ คงไม่มีการรีเทิร์นอีกเป็นแน่ ดังนั้นสิ่งที่ควรทำตอนนี้ก็มีแค่เพียงทำใจละมั้ง
บ๊ายบายค่ะหลินไห่...
ลู่ซีเหลือบมองนาฬิกาบนผนัง เมื่อเห็นว่าใกล้ได้เวลาอาหารเย็นแล้วจึงถลกแขนเสื้อตัดสินใจเดินเข้าครัว เสียงใสฮัมเพลงเบาๆ พลางนึกถึงเมนูอาหารที่หลานสาวชอบไปด้วย
“วันนี้หนิงหนิงกลับช้าจังเลยแฮะ”
ขณะที่ลู่ซีกำลังทำอาหารรออีกคน ผู้ที่ถูกนึกถึงก็กำลังเดินเหม่อลอยอยู่ท่ามกลางสายฝน หยูหนิงก้าวเดินไปบนทางเท้าช้าๆ ใบหน้าเล็กซีดขาวราวกับกระดาษ ดวงตากลมโตมีหยาดน้ำเกาะพราวพร่าง น้ำที่เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาจากน้ำฝนหรือว่าน้ำตากันแน่
หยูหนิงไม่ได้อยู่ฟังตอนจบของบทสนทนา ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าน้าสาวตอบน้าเขยไปอย่างไร เด็กสาวไม่กล้าพอที่จะรอฟัง ด้วยเกรงเหลือเกินว่าคำตอบของอีกฝ่ายจะเหมือนกับคนอื่นๆ และถ้าเป็นแบบนั้นเธอก็จะเหลือเพียงตัวคนเดียวบนโลกใบนี้!
“...”
ร่างเล็กยืนประสานสายตากับเจ้าสิ่งมีชีวิตสี่ขาด้านหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ซึ่งหยูหนิงจำได้ดีว่าเจ้าสุนัขพันธุ์ผสมตัวนี้ คือหมาน้อยที่เธอเคยเห็นอาศัยอยู่ในโรงพยาบาล เด็กสาวจำได้ว่า แต่ก่อนเวลาที่เธอกับคุณแม่ไปโรงพยาบาล เมื่อพวกเธอเดินผ่านข้างซอกตึก เจ้าสุนัขตัวนี้ก็จะมายืนเห่าใส่อย่างเกรี้ยวกราด กระทั่งคุณพยาบาลเองยังรู้สึกเเปลกใจ เพราะอีกฝ่ายจะเห่าใส่แค่กับเธอคนเดียว
เวลาผ่านไปเพียงแค่ไม่กี่ปีของคน ทว่าเจ้าสุนัขตรงหน้าเธอกลับดูเป็นหมาเเก่เสียเเล้ว เด็กสาวจิ๊ปากเรียกอีกฝ่ายเบาๆ แต่สุนัขตรงหน้ากลับหันหลังสะบัดก้นใส่เธออย่างไม่แยแส
อืม...ช่างเป็นสุนัขที่หยิ่งเสียจริงๆ
หยูหนิงก้าวเดินตามร่างสัตว์สี่ขาอย่างไม่สนใจท่าทางข่มขู่ของมัน หนึ่งคนหนึ่งสุนัขจึงเดินตามกันห่างๆ อยู่เป็นนาน ในที่สุดเจ้าหมาแก่ก็เริ่มทนไม่ไหว เอียงคอหันกลับมามองทางเด็กสาวเป็นระยะ
เมื่อเห็นว่ามนุษย์ที่ตนเองเหม็นหน้าเดินตามตอแยไม่ยอมเลิก เจ้าสัตว์สี่เท้าจึงหันหน้าก้าวลงถนนเพื่อข้ามหนีไปอีกฝั่ง มันสะบัดหางแสดงอารมณ์ยินดีเมื่อเห็นช่องทางสลัดคนที่ตัวเองเกลียด
ก็จะไม่ให้เกลียดได้อย่างไรไหว ทั้งร่างกายเเละตัวตนของเด็กสาวตรงหน้า แท้ที่จริงแล้วควรจะเป็นมันต่างหากที่เป็นผู้ครอบครอง แต่กลับถูกอีกฝ่ายแย่งชิงไปในเสี้ยววินาที
“ระวัง!”
เสียงใสร้องตะโกนลั่น เมื่อสายตามองเห็นรถที่เเล่นมาไม่มีทีท่าว่าจะชะลอให้เจ้าหมาตรงหน้า หยูหนิงพุ่งลงไปคว้าสุนัขที่ยืนกลางถนนมาอุ้มไว้อย่างตกใจ ร่างที่ไม่ใหญ่มากของสุนัขพันธุ์ผสมถูกโอบอุ้มขึ้นจากพื้นถนน ก่อนที่หนึ่งสัตว์หนึ่งคนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมกัน มองตามหลังรถคันดังกล่าวด้วยอาการใจหายใจคว่ำ จากนั้นคนอุ้มจึงได้เอ่ยขึ้นเบาๆ
“เกือบไปแล้วไหมล่ะ...”
โครม!
เอ่ยออกมายังไม่ทันจบดี สองร่างต่างสายพันธุ์ก็มีอันต้องกระเด็นไปคนละทาง ชั่วขณะนั้นสายตาทั้งคู่เห็นเพียงรถยนต์อีกคันที่แล่นเข้ามาชนตัวเอง หยูหนิงหลับตาข่มความปวดร้าวที่เกิดขึ้นบนร่าง หลังจากนั้นทุกอย่างก็พลันมืดมิดลงช้าๆ
'คุณน้าจะทานข้าวเย็นหรือยังนะ'
เจ้าสุนัขแก่ซึ่งมีวิญญาณหญิงสาวอยู่ภายในกรีดร้องด่ามนุษย์ที่โอบอุ้มตนเองเมื่อครู่ในใจอย่างเกรี้ยวกราด เเทนที่อุ้มมันได้แล้ว อีกฝ่ายจะรีบถอยกลับขึ้นทางเท้า ดันมาหยุดยืนพูดให้รถชนเสียนี่!
'เจ้าตัวซวยเอ๊ย!'
“เสี่ยวอู่ ทางโน้นติดต่อมาว่าพบคู่วาสนาของตี้จวินแล้ว!” เฮ่ยเสี่ยวฉางร้องบอกเพื่อนร่วมงาน
เฮ่ยเสี่ยวอู่ที่กำลังพลิกบันทึกชะตาเกิดดับมนุษย์พลันลุกพรวด
“จริงหรือ ถ้าอย่างนั้นพวกเรารีบไปรับนางกันเถอะ”
พบเเล้ว! ในที่สุดก็พบเจ้าวิญญาณกระบองเพชรน้อยนั่นเสียที เช่นนั้นก็ต้องรีบนำนางกลับมา เเล้วเร่งส่งไปเกิดโดยไว ก่อนที่ตี้จวินจอมวายร้ายจะรู้ตัวแล้วลงมาต่อยตีพวกเขา!
ทว่าสองยมทูตนั้นดีใจเสียจนลืมคิดไปว่า หนึ่งวันของยมโลกเท่ากับสิบปีของโลกมนุษย์ ทั้งคู่ใช้เวลาไปหนึ่งวันครึ่งในการค้นหาคู่วาสนาของเทพบรรพกาล
ทำให้ยามนี้ตี้จวินมีอายุสิบห้าปี วัยกำลังขบเผาะ แต่กว่าพวกเขาจะรับวิญญาณนางต้นไม้มาได้ ก็คงต้องเสียเวลาไปอีกวันหรือสองวัน เช่นนั้นตี้จวินคงอายุปาเข้าไปสามสิบห้าปี เมื่อรวมกับเวลาที่ต้องส่งนางไปเกิด กว่ากระบองเพชรน้อยจะเติบใหญ่เป็นหญิงสาว ท่านเทพคู่วาสนาของนางก็คงอายุสี่สิบถึงห้าสิบปีแล้วเป็นแน่
เทพซื่อมิ่งมองเหตุการณ์เหล่านั้นผ่านอ่างน้ำทิพย์แล้วพลันยกมือขึ้นปาดเหงื่อ ถ้าหากตี้จวินเถือกำเนิดจนสิ้นอายุขัยแล้วยังไม่ได้ผ่านด่านเคราะห์รักนี้ ผู้ใดจะเจ็บตัวหนักสุดกัน ระหว่างองค์เง็กเซียนกับสองยมทูตตัวป่วน
แต่เอาเถอะ นั่นหาใช่เรื่องของเขาเสียหน่อย ทางเหยียนหลัวหวางเสียยมทูตไปสองตนก็แค่หาใหม่มาทดแทน ส่วนทางเทียนจวินนั้นน่ะหรือ ไม่เป็นไรหรอก ก็พระองค์ทรงมีทายาทแล้วนี่นา
ลองเปลี่ยนผู้นำดูบ้างมันก็ไม่เลว ถือเสียว่าเปลี่ยนบรรยากาศอย่างไรเล่า...
ท้องฟ้ายามราตรีมืดมิดเป็นสีดำสนิท หยาดฝนเม็ดใหญ่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสายราวม่านน้ำตก เสียงฟ้าร้องดังขึ้นเป็นระยะสลับกับสายลมที่กรรโชกแรง หยูหนิงในร่างลูกสุนัขจิ้งจอกกำลังยืนหอบหายใจหนักหน่วง ด้านหลังของร่างเล็กคือผาหินอันไร้หนทางให้หลบหนี ส่วนเบื้องหน้ามีเจ้าสัตว์ร้ายลำตัวยาวเหยียดกำลังจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาดุร้ายสายลมสายหนึ่งพัดผ่านร่างเล็กจ้อยที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝน ทำให้รู้สึกได้ถึงความเหน็บหนาวที่สะท้านสะเทือนหัวใจ หยูหนิงอดที่จะร้องครางเสียงแผ่วออกมาไม่ได้ ทว่าน่าเสียดายนัก ท่าทางอันน่าสงสารที่แสดงออกนั้น ไม่สามารถเรียกความเห็นใจจากเจ้าอสรพิษตรงหน้าได้แม้แต่น้อย มันยังคงจ้องมองเธอประหนึ่งเหยื่ออันโอชะ ลิ้นสีแดงแลบตวัดผ่านจมูกเปียกชื้นราวกับต้องการชิมรสชาติเจ้าตัวน้อยตรงหน้า เห็นอย่างนี้หยูหนิงอยากจะบอกกับมันเสียเหลือเกินว่าพี่ชาย ถึงนายจะกินฉันลงไปก็ไม่ทำให้อิ่มท้องได้หรอกนะ แถมกระดูกอาจจะไปติดซอกฟันเอาเสียเปล่าๆมองการจากไปของครอบครัวตัวเองในชาตินี้ หยูหนิงก็อดนึกสะท้อนในใจไม่ได้ แม้จะใช้เวลาอยู่ร่วมกันเพียงไม่นาน แต่ความผูกพันย่อมเริ่มก่อตัว ความอาลัยมีหรือจะไม่มีได้ คิดไปเธอพลันเร
ปลายเดือนหกสายฝนโปรยปรายลงมาไม่ขาด ในหุบเขามังกรฟ้าที่เงียบสงบมีเพียงจวินเทียนเฮ่อที่พักอาศัย หลายปีก่อนหน้านี้อาหม่าที่ติดตามเขาได้ถึงแก่กรรมไปตามวัย ทำให้ที่แห่งนี้เหลือเพียงเขาพำนักอาศัย วิชาที่อาจารย์สอนสั่งมานับเป็นเลิศหาใดเปรียบ จวบจนทุกวันนี้ตัวเขาคล้ายจะหยุดอายุขัยไว้ที่วัยยี่สิบกว่าปีเท่านั้นดวงตาคู่เรียวเหม่อมองฝ่าสายฝนที่บดบังทัศนวิสัย เสียงลมหายใจแผ่วเบาดังขึ้นเป็นบางเวลา จวินเทียนเฮ่อบอกกับตัวเองท่ามกลางความเงียบงันว่า การเฝ้ารอคอยบางครั้งก็เนิ่นนานชวนให้รู้สึกว่ายากจะทานทนเสียจริง“เสี่ยวฉาง นี่พวกเรากำลังจะไปที่ไหนกันแน่” หยูหนิงก้าวเดินตามสองยมทูตไปในความมืดอย่างไม่รู้ทิศทาง ช่วงหลายวันมานี้เฮ่ยเสี่ยวอู่กับเฮ่ยเสี่ยวฉางเอาแต่ซุบซิบกันตลอดเวลา อีกทั้งยังช่วยกันปิดบังจนทำให้เธอเกิดความรู้สึกกังวลอย่างประหลาด ในใจก็ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดทำอะไรแปลกๆเฮ่ยเสี่ยวฉางก้าวนำด้วยรอยยิ้มสดชื่น มุมปากโค้งเป็นแนวกว้างอย่างอารมณ์ดี หลังจากคิดหาหนทางอยู่เป็นนาน ในที่สุดพวกตนก็พบวิธีดีๆ ที่จะทำให้ด่านเคราะห์ของตี้จวินผ่านพ้นไปได้ ในขณะที่สหายกำลังอยู่ในความเบิกบาน เฮ่ยเสี่ยวอู่ก
แดนสวรรค์...นอกจากเทพซื่อมิ่งแล้วยังมีอีกหนึ่งที่เฝ้าดูเหตุการณ์วุ่นวายดังกล่าวอยู่ ซึ่งก็หาใช่ผู้ใดใครอื่น แต่เป็นประมุขสวรรค์นายของเขานั่นเอง เง็กเซียนมองเรื่องราวที่จบลงด้วยดีอย่างไม่พอใจ เจ้าเอ้อร์หลางนั่นช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี ตนอุตส่าห์ชักนำให้มาพบกับมารดามนุษย์ของตี้จวินแล้วแท้ๆ แต่กลับจัดการไม่ได้แม้แต่วิญญาณต้นไม้ธรรมดาดวงหนึ่ง“หากเจ้าวิญญาณต้นไม้นั่นมีอันเป็นไป ตี้จวินก็จะไม่มีทางผ่านด่านเคราะห์ เขารับคำสาบานไปแล้วย่อมไม่กล้าตระบัดสัตย์กลับคืนแดนเทพ ข้าก็จะไม่ต้องมีตัวหายนะเป็นหนามยอกอก เรื่องดีๆ เช่นนี้กลับถูกเจ้าเอ้อร์หลางทำเสียหายได้ น่าโมโหนัก น่าโมโหที่สุด” ผู้ปกครองแดนสวรรค์บ่นพึมพำสบถกับตนเองลั่นตำหนัก ยิ่งคิดก็ยิ่งขุ่นเคืองผู้ใต้บังคับบัญชาเซียนรับใช้หลายนางพากันก้มหน้าลงต่ำ แม้แต่ผู้ที่รับใช้ใกล้ชิดก็ยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตา พวกเขาล้วนรู้นิสัยไร้เหตุผลของเจ้านายดี จึงไม่มีใครคิดอยากวุ่นวาย ดูท่านเทพเอ้อร์หลางเป็นตัวอย่างก็น่าจะเข้าใจ เพราะเพียงแค่ความเห็นไม่ลงรอยยังถูกโยนข้อหาใส่ ทุกวันนี้แม้เวลาจะผ่านไปหลายร้อยปี ก็ยังต้องเผชิญวิบากกรรมอยู่บนโลกมนุษย์เลยเทพซื่อ
หยูหนิงที่หนีออกมานั้นกำลังมืดแปดด้าน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเพิ่งจะหลบหนีออกมาจากเขตอาคมของนักพรตได้อย่างง่ายดาย ในหัวมีเพียงคำพูดของไป๋เฟิ่งที่ร้องเตือนให้ซ่อนตัวเท่านั้น และแน่นอนว่าเธอไม่มีทางที่จะไม่ทำตาม ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าการชำระวิญญาณที่นักพรตนั่นเอ่ยถึง จะเป็นการส่งไปเกิดใหม่หรือทำให้ดวงวิญญาณแตกสลายกันแน่ร่างเล็กทะยานไปในอากาศ ดวงตากลมหรี่ลงครุ่นคิด สุดท้ายก็มุ่งหน้าไปทางเรือนมู่ตานที่คุ้นเคย “ที่ที่อันตรายคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด” เธอยังคงเชื่อมั่นในประโยคนี้ ความมั่นใจจึงล้นปรี่อีกครั้งยามกระโดดข้ามผ่านขอบหน้าต่างเข้าสู่ห้องนอนของเจ้าของเรือน ยังไม่ได้พูดคุยกับคนที่สู้อุตส่าห์ติดตามมาแม้แต่คำเดียว แล้วใครเล่าจะยอมจากไปโดยไม่คิดขัดขืน“ยังไม่ได้คุยกันสักคำ ใครจะยอมทำตามเล่า นักพรตบ้า”เทพซื่อมิ่งได้ยินวาจาพึมพำความในใจก็นึกขบขันจนหัวร่องอหงาย นางต้นไม้นี่ช่างน่าสนใจอะไรเช่นนี้ บอกว่ามาเพื่อบุรุษก็ทำดั่งพูดจริงๆ ไม่มัวมานั่งอายขวยเขิน มุ่งตรงหาเป้าหมายอย่างแน่วแน่ แม้แต่ในยามคับขันก็ยังไม่ลืมเหตุผลของตน สตรีที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้เหมาะสมยิ่งนักกับท่านเทพอันธพาลคิ้วเรียวยาวถูกเจ้าขอ
เมื่อยามค่ำมาเยือนภายในบ้านสกุลจวินเงียบสงบไร้เสียงอึกทึก ทว่านั่นเป็นเพียงมุมมองในด้านของมนุษย์เท่านั้น เพราะในมุมมองโลกที่สามเวลานี้มีสองดวงวิญญาณกำลังเคลื่อนที่ตามกันไม่ห่างโดยมีสตรีเป็นผู้นำ ดวงวิญญาณของหญิงสาวก็คือหยูหนิงนั่นเอง และแน่นอนว่าวิญญาณบุรุษที่อยู่ด้านหลังย่อมเป็นไป๋เฟิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย“หยูหนิงหมายความว่าอย่างไร ที่เจ้าบอกว่ามีวิธีช่วยให้ข้าสมหวัง”ไป๋เฟิ่งเอ่ยถามน้ำเสียงสั่นไหว ดวงตาเหลือบมองฝ่ามือที่ถูกจับจูงโดยคนข้างหน้าไม่กะพริบ วิญญาณไม่มีเลือดเนื้อและร่างกายจึงไร้ความรู้สึก ทว่ามือที่ถูกเกาะกุมนั้นกลับมีความอบอุ่นไปจนถึงจิตใจ“ใช่แล้ว นี่นับว่าเป็นโอกาสอันดีของเจ้าเลยรู้หรือไม่” เสียงใสตอบด้วยน้ำเสียงยินดีครั้งแรกที่หยูหนิงเอ่ยปากเรื่องช่วยเหลืออีกฝ่าย เธอยังคิดว่าคงต้องรอจนสองยมทูตกลับมา ไหนเลยจะบังเอิญมีเรื่องโชคดีเข้ามาก่อน เห็นไป๋เฟิ่งมีสีหน้างงงวยหยูหนิงจึงอมยิ้มพลางอธิบายเรื่องราวให้ฟังอย่างละเอียดที่แท้เมื่อสามวันก่อนบุตรชายของลูกผู้น้องญาติห่างๆ นายท่านจวินได้เดินทางจากบ้านเดิมมาขอพักพิงชั่วคราวเพื่อเตรียมตัวเข้าสอบเป็นจิ้นซื่อที่จะถึงในปีนี้ ไป๋เฟิ่
เวลาผ่านไปหลายวันภายในบ้านสกุลจวินยังคงเงียบสงบ เนื่องจากหลิวซีเยี่ยนได้รับคำแนะนำจากท่านนักพรตให้หยุดเรื่องพิธีดูตัวเอาไว้ก่อน จึงไม่มีเหตุผลให้วิญญาณร้ายต้องปรากฏตัวมาไล่ตัดวาสนาดอกท้อหญิงสาวเหล่านั้น อีกทั้งสองยมทูตเองก็ยังไม่สามารถปลีกตัวมาหาได้ ทำให้หยูหนิงในตอนนี้มีเวลาว่างมากพอที่จะมานั่งเสวนากับเพื่อนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามา‘ไป๋เฟิ่ง’ คือนามของผู้มาใหม่ วิญญาณบัณฑิตหนุ่มผู้สิ้นชีพลงในวัยเพียงแค่ยี่สิบปี ซึ่งแฝงตนมากับโต๊ะเขียนหนังสือไม้สลักเก่าแก่อายุหลายร้อยปี ที่นายท่านจวินเพิ่งจะได้มาครอบครอง ไป๋เฟิ่งเองก็ได้เล่าถึงสาเหตุที่ตนเองต้องมาผูกติดอยู่กับโต๊ะตัวนี้ให้หยูหนิงฟังอย่างละเอียดแต่เดิมยามเป็นมนุษย์ไป๋เฟิ่งเกิดในสกุลไป๋ที่เป็นตระกูลบัณฑิตเก่าแก่แห่งต้าเหลียว บรรพบุรุษของเขาทุกรุ่นล้วนแต่รับราชการ อุทิศตนเพื่อบ้านเมืองมาตลอด เมื่อมาถึงยุคสมัยของตัวไป๋เฟิ่งก็ยังมีพี่ชายที่เป็นความหวังของบ้าน ทว่าก่อนวันสอบเพียงไม่กี่วัน ไป๋มู่ผู้เป็นพี่ชายก็มาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปก่อนเพราะไม่อาจทนมองบิดามารดาผู้เฒ่าจมอยู่กับความผิดหวัง ไป๋เฟิ่งที่เดิมร่างกายอ่อนแอจึงตัดสินใจสืบทอดเจต