เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ได้ ในที่สุดหยูหนิงก็ค่อยๆ รู้สึกตัวได้สติ เด็กสาวมองรอบด้านที่จะว่ามืดก็ไม่ใช่สว่างก็ไม่เชิงอย่างงุนงง ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อมองเห็นว่าข้างกายของตนนั้นมีคนแปลกหน้าอยู่ด้วยสองคน
“พวกคุณเป็นใคร”
คนแปลกหน้าทั้งสองเป็นหญิงสาวสวยต่างสไตล์ คนหนึ่งสวยเรียบๆ ท่าทางไม่สบอารมณ์ ใบหน้าเผยแววบึ้งตึง ส่วนอีกคนนั้นเรียกได้ว่าสวยหยาดฟ้ามาดิน เรือนร่างอวบอัดของเธออยู่ในชุดสีเเดงเพลิงเจิดจ้า พอเห็นว่าหยูหนิงรู้สึกตัว ทั้งคู่ก็รีบเดินเข้ามาหาทันที ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเอ่ยคำทักทายขึ้น
“สวัสดีหยูหนิง ฉันคือเสี่ยวฟ่าง เป็นยมทูต” คำทักทายแสนเรียบง่าย แต่ฟังเเล้วชวนให้รู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่ง คนเเรกเอ่ยปากมาก็ทำเอาสมองคิดตามไม่ทันเเล้ว อีกคนที่มาด้วยกันยิ่งทำให้หยูหนิงคล้ายภายในหัวระเบิดดัง 'ปั้ง’
“สวัสดี ฉันอี้ฉาง เป็นเจ้าของร่างและสถานะที่เธอกำลังครอบครองในตอนนี้!”
‘คุณเเม่ขา หยูหนิงอยากเป็นลม ต้องทำยังไงคะ!’
แม้จะคิดในใจเช่นนั้น ทว่าเธอก็ไม่ได้เป็นลมไปจริงๆ หยูหนิงฟังเรื่องราวจากยมทูตเสี่ยวฟ่างแล้วทำความเข้าใจเงียบๆ ที่แท้ทั้งร่างกายและทุกอย่างที่เป็น ‘หยูหนิง’ นั้นไม่ใช่ของเธอแม้แต่สิ่งเดียว ความผิดพลาดในตอนที่ถือกำเนิดทำให้เจ้าของสถานะตัวจริงต้องมากลายเป็นสุนัข เด็กสาวพลันเกิดรู้สึกผิดต่ออี้ฉางอย่างมากมาย
มิน่าเล่า อี้ฉางถึงแสดงท่าทีว่าไม่ชอบเธอมาตลอด สาเหตุที่เห่าใส่ก็เพราะเรื่องนี้นี่เอง หยูหนิงไม่คิดโทษหรือโกรธอีกฝ่าย เด็กสาวคิดถึงใจเขาใจเราแล้วให้นึกยอมรับ เพราะถ้าหากเป็นตัวเธอก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกัน
จู่ๆ ต้องมากลายเป็นน้องหมาทั้งที่มีความทรงจำเป็นมนุษย์ อีกทั้งยังต้องมาเห็นคนที่แย่งชิงของของตัวเองไป อี้ฉางไม่นึกขัดเคืองก็คงต้องบอกว่าผิดปกติไปแล้ว
หลังจากพูดคุยกับทั้งคู่อยู่นาน ในที่สุดก็ตกลงกันได้ เสี่ยวฟ่างให้อี้ฉางกลับเข้าร่าง ‘หยูหนิง’ ตามที่ควรจะเป็น แน่นอนว่าวิญญาณของหยูหนิงย่อมต้องยินยอมแต่โดยดีอยู่แล้ว ก็ตัวเธอนั้นแย่งชิงของของคนอื่นมาตั้งนาน เมื่อเจ้าของตัวจริงเขามาทวงก็ควรจะคืนใช่ไหมเล่า อีกอย่างเสี่ยวฟ่างได้บอกแล้วว่า อาการตอบสนองช้าที่เธอเป็นอยู่นั้น ไม่ได้เกิดจากความผิดปกติของร่างกาย แต่ว่าเกิดจากความผิดปกติที่วิญญาณต่างหาก
ในเมื่อเป็นอย่างนั้นการคืนร่างให้อี้ฉางไปย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะนับจากนี้หยูหนิงคนใหม่จะไม่ใช่คนพิการสมองไม่ปกติอีกต่อไป เด็กสาวคิดในใจพลางยกยิ้มเศร้าๆ ยามดวงตามองภาพลู่ซีที่กำลังร่ำไห้กอดคนบนเตียง
เธอมองร่างที่ตัวเองใช้มาสิบห้าปีกอดคุณน้า พูดคุยกับบรรดาเพื่อนๆ ท่าทีสนุกสนาน โต้ตอบกับคุณหมออย่างฉะฉาน ได้เห็นรอยยิ้มยินดีของคนรอบกายที่รู้ว่าหยูหนิงหายเป็นปกติแล้ว ด้วยท่าทางนิ่งเงียบและเคร่งขรึม ตลอดระยะเวลาสิบห้าปีที่เธอใช้ร่างนั้น ผู้คนในครอบครัวกับเพื่อนฝูงที่ห้อมล้อมไม่มีใครรู้แม้แต่คนเดียวว่านั่นไม่ใช่หยูหนิงคนเดิม ทุกคนมีเพียงรอยยิ้มยินดีเมื่อเรื่องร้ายๆ กลับกลายมาเป็นดี
หยูหนิงถูกรถชน เเม้จะบาดเจ็บเเต่ก็ทำให้หายจากอาการออทิสติก ทุกคนต่างยินดีด้วยจากหัวใจ ไม่เว้นเเม้เเต่คุณหมอเจ้าของไข้ โดยเฉพาะคุณน้าลู่ซีที่ถึงกับร้องไห้โฮด้วยความยินดี
ดีจังเลย ดีจริงๆ นะ…
เเต่ว่านั่นไม่ใช่เธอ และไม่มีใครรู้เลยว่าผู้ที่อยู่ตรงนั้นไม่ใช่หยูหนิงคนเดิมที่เคยใช้ชีวิตในร่างนั้นมาตลอดสิบห้าปี ไม่มีใครสักคนที่จะเรียกหาหยูหนิงที่พิการคนนั้น
‘ลาก่อนนะคะคุณน้า ลาก่อนทุกคน บ๊ายบาย...’
เด็กสาวมองยมทูตสาวสุดเซ็กซี่ข้างกายแล้วหลุบตาลงน้อยๆ เสี่ยวฟ่างพาเธอมายังสถานที่เเปลกประหลาดนี่ได้พักใหญ่เเล้ว โดยให้เหตุผลว่ามารอผู้ที่จะมารับวิญญาณเธอ ในตอนแรกหยูหนิงนึกหวาดกลัวไม่น้อย ที่ที่เสี่ยวฟ่างพามานั้นเต็มไปด้วยหมอกควันบดบังทัศนวิสัยอีกทั้งยังอึมครึม เป็นบรรยากาศที่จะว่ามืดก็มองเห็นแต่จะบอกว่าสว่างก็ไม่น่าใช่
ทว่ากลัวอยู่ไม่นาน จิตใจก็บอกกับตัวเองว่ายังต้องกลัวอะไรอีกหรือ ในเมื่อตอนนี้เธอเองก็ไม่ใช่คนเสียหน่อย เป็นเพียงแค่วิญญาณดวงหนึ่งเท่านั้นเอง
หยูหนิงรอโดยไม่รู้วันรู้เวลา จนในที่สุดผู้ที่จะมารับก็มาถึงเสียที ดวงตากลมโตเหลือบมองผู้ชายต่างวัยตรงหน้าอย่างค้นหา ทำไมเธอถึงมีความรู้สึกลึกๆ ว่าตนเองเคยเห็นพวกเขามาก่อนกันนะ
ก่อนที่เธอจะขบคิดต่อ เสี่ยวฟ่างก็เเนะนำยมทูตที่มาใหม่ทั้งสองให้เด็กสาวรู้จัก เฮ่ยเสี่ยวฉางยมทูตที่มีรูปลักษณ์เป็นชายชราหน้าตาอิ่มเอิบ รูปร่างสูงโปร่งในชุดสีขาวสะอาดตา เจ้าตัวมีรอยยิ้มเป็นมิตรส่งมาให้ในทันที ทำให้หยูหนิงสนิทใจที่จะคุยกับเขาขึ้นมาได้บ้าง
ต่างกับเฮ่ยเสี่ยวอู่ ยมทูตอีกตนที่มาด้วยกัน กับยมทูตผู้นี้หยูหนิงเเทบไม่กล้ามองสบตาอีกฝ่าย เนื่องด้วยรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาทว่าบึ้งตึงตลอดเวลา ทำให้ยามจ้องมองมาคล้ายเจ้าตัวกำลังโกรธเคืองคนทั้งโลกก็ไม่ปาน
เสี่ยวฟ่างมอบหยูหนิงให้ผู้มาใหม่รับไปดูเเล ดวงตาคู่งามของยมทูตสาวคล้ายมีแววเอ็นดูระคนเป็นห่วง เด็กสาวจับมือเสี่ยวฟ่างไว้ครู่หนึ่งด้วยความอาลัย
ก่อนจะเเยกจากกันนั้น เสี่ยวฟ่างได้ส่งถุงบางอย่างให้เฮ่ยเสี่ยวฉาง ซึ่งเธอบอกว่าเป็นของที่พวกเขาฝากให้เธอหาให้ และเมื่อยมทูตสาวจากไปแล้ว หยูหนิงก็ได้เเต่เดินตามสองคนที่เหลืออย่างไร้ปากเสียง แล้วเธอจะเป็นยังไงต่อนะ...
สองยมทูตพาหยูหนิงมายังสถานที่ที่ผู้คนเรียกขานมันว่ายมโลก ดวงตาคู่กลมของเด็กสาวกวาดมองรอบด้านอย่างสนใจ ที่นี่คือนรกที่ผู้คนเคยพูดถึงกันอย่างนั้นหรือ ก็ไม่ได้ดูน่ากลัวอย่างที่คิดไว้ ถ้าจะมีอะไรเเปลกคงเป็นการเเต่งกายของเหล่ายมทูต และดวงวิญญาณที่ต่อแถวกันอยู่พวกนี้กระมัง เพราะเสื้อผ้าหน้าผมเเต่ละคนราวกับหลุดมาจากยุคสมัยโบราณเลยก็ว่าได้
“อืม...ไม่มีๆ เสี่ยวฉาง เจ้าหาเจอหรือไม่” เฮ่ยเสี่ยวอู่ละสายตาจากสมุดบันทึกชะตาเกิดดับของมนุษย์ พลางหันไปถามเพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างๆ
เฮ่ยเสี่ยวฉางส่ายศีรษะสะบัดใบหน้า เจ้าตัวถอนลมหายใจเฮือกใหญ่ ท่าทางที่เเสดงออกนั้นกลัดกลุ้มไม่เบา
“ไม่เจอเลย เป็นเพราะคู่วาสนาของตี้จวินหายไป เนื้อเรื่องที่เทพซื่อมิ่งเขียนมาจึงคลาดเคลื่อน บิดามารดาในภพมนุษย์ของท่านก็ไม่สิ้นชีพด้วย ข้าตรวจดูเเล้วพวกเราเสียเวลาที่ตามหาวิญญาณนางไปสองวันครึ่ง เท่ากับเวลาของโลกมนุษย์ผ่านไปยี่สิบห้าปี ทำให้ตี้จวินยามนี้อยู่ในวัยฉกรรจ์แล้ว ทว่าคู่วาสนานั้นยังมิได้ถือกำเนิด หากพวกเราส่งนางไปเกิดในตอนนี้ เกรงว่ากว่าเด็กนั่นจะอายุครบสิบห้า ท่านเทพก็คงมีอายุถึงสี่สิบแล้ว”
ฟังเพื่อนร่วมงานกล่าวจบ เฮ่ยเสี่ยวอู่ยิ่งมีใบหน้าดำคล้ำลงทุกขณะ เขาเริ่มรู้สึกถึงอุปสรรคที่เพิ่มมากขึ้นเสียเเล้วสิ
“ไม่ใช่เเค่นั้นหรอกเสี่ยวฉาง เจ้าลองดูนี่สิ” ยมทูตชุดดำส่งบันทึกชะตาให้อีกคนดู “เพราะบทละครที่เทพซื่อมิ่งเขียน ทำให้ไม่มีสตรีใดที่ดวงชะตาจะถือกำเนิดมาเกี่ยวข้องกับตี้จวินเลยแม้แต่คนเดียว”
“...”
เฮ่ยเสี่ยวฉางเเทบอยากกรีดร้องระบายความอัดอั้น เเค่จะส่งคู่วาสนาไปให้ท่านเทพ เวลาก็ล่วงเลยจนเเทบจะหมดหวังอยู่เเล้ว นี่ยังไม่มีดวงชะตาเกิดของหญิงสาวที่เกี่ยวข้องให้ส่งไปอีกอย่างนั้นหรือ
หรือว่าพวกเขาต้องโดนอีกฝ่ายเล่นงานจนตาย โทษฐานที่ทำให้เสียเวลาไปหนึ่งชาติจริงๆ
“จบแล้ว ต่อให้พวกเราส่งนางไปเกิดได้ แต่ดวงชะตาไม่สัมพันธ์กัน อย่างไรเสียก็ไม่มีประโยชน์อันใด”
หยูหนิงมองท่าทางท้อเเท้ราวกับคนจะตายอย่างสงสัย เด็กสาวนั่งนิ่งฟังเงียบๆ ไม่ปริปากคล้ายไม่มีตัวตน ท่านเทพที่พวกเขากล่าวถึงคือใคร ตี้จวินอะไรนั่นยิ่งใหญ่มากอย่างนั้นหรือ ถึงขนาดทำให้สองยมทูตหวาดกลัวจนหัวหดได้ขนาดนี้ เเล้วไหนจะยังไอ้คู่วาสนาอะไรนั่นอีก เธอไม่เห็นจะเข้าใจอะไรสักอย่างเลย!
ในขณะที่เด็กสาวกำลังครุ่นคิดสงสัย มือก็ขยับไปปัดโดนถุงที่เสี่ยวฟ่างมอบให้เฮ่ยเสี่ยวฉางอย่างไม่ตั้งใจ ข้าวของที่บรรจุไว้ภายในกระเด็นออกมาให้เห็น เมื่อถุงร่วงหล่นลงบนพื้นตามเเรงชน ดวงตายมทูตชุดขาวพลันลุกวาว ยามได้เห็นเจ้าสิ่งนั้นอย่างชัดเจน
“นี่ยังไงเล่า สิ่งที่จะช่วยพวกเราได้!”
เฮ่ยเสี่ยวอู่มองเจ้าสิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่าหนังสือในมือของหยูหนิง แล้วหันไปมองสหายร่วมอาชีพ ในใจนั้นคิดเพียงว่าเฮ่ยเสี่ยวฉางผู้นี้หวาดกลัวตี้จวินลงมาเล่นงานจนเพ้อไปเสียเเล้ว
เฮ่ยเสี่ยวฉางเห็นท่าทางที่อีกฝ่ายเเสดงออกก็รู้ถึงความคิดในใจของสหายดี เขาเบ้หน้าพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะเอื้อมมือมาดึงหนังสือในมือหยูหนิงแล้วโบกไปมาด้วยท่าทางตื่นเต้น
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหนังสือเล่มนี้เขียนถึงเรื่องราวอะไรไว้”
เฮ่ยเสี่ยวอู่ฟังคำถามเเล้วนึกขบขัน เขาเเสดงสีหน้าเย้ยหยันยามเอ่ยคำพูดตอบโต้ “เเล้วทำไมข้าต้องรู้เรื่องราวไร้สาระที่มนุษย์เขียนขึ้นมาด้วยเล่า”
น่าขันยิ่งนัก เหตุใดยมทูตอย่างเขาต้องให้ความสนใจเรื่องของมนุษย์ผายลมพวกนั้นด้วย
หยูหนิงหรี่ดวงตากลมของตนเองเล็กน้อย เด็กสาวมองตัวอักษรบนหนังสือในมือเฮ่ยเสี่ยวฉางพลางอ่านมันอย่างสนใจ ‘ปัวเหร่อปัวหลัวหมี่ [1] ’ อย่างนั้นหรือ
“นี่ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ เเต่เป็นเรื่องราวกล่าวถึงความรักที่ไม่สมหวังของมนุษย์กับปีศาจต่างหากเล่า”
เฮ่ยเสี่ยวฉางตบโต๊ะดังปัง หนังสือในมือถูกโบกไปมา เเววตาของยมทูตชุดขาวเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นอย่างที่สุด
“ในหนังสือเล่มนี้บันทึกถึงเรื่องราวความรักที่มนุษย์ชายมีต่อปีศาจจิ้งจอกสาว เเต่เพราะความเเตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ทำให้ทั้งคู่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ จนเกิดเป็นตำนานรักที่ไม่สมหวัง เสี่ยวอู่...ไหนเจ้าบอกข้ามาทีสิว่าตี้จวินมาทำอะไรยังภพภูมิมนุษย์” เฮ่ยเสี่ยวฉางถามพลางทำสีหน้าและเเววตาเจ้าเล่ห์
ทว่าเฮ่ยเสี่ยวอู่กลับมองอย่างเฉยชาแล้วตอบด้วยน้ำเสียงระอา “อา...เสี่ยวฉาง นี่เจ้าสติไม่ดีหรือความจำมีปัญหา ก็รู้กันดีอยู่ว่าแล้วว่าตี้จวินมาเพื่อเผชิญด่านรักที่ไม่สมหวังอย่างไรเล่า”
หยูหนิงฟังยมทูตชุดดำหลอกด่ายมทูตชุดขาวเงียบๆ ก่อนจะผงกศีรษะเป็นเชิงเห็นด้วย ยมทูตชายชราผู้นี้ดูเหมือนสติไม่ดีจริงๆ นั่นแหละ
เฮ่ยเสี่ยวฉางมองท่าทางทั้งคู่แล้วแสยะยิ้มแยกเขี้ยวใส่ เจ้าสองคนตรงหน้าทำราวกับว่าเขาไม่รู้ความคิดของแต่ละคนอย่างงั้นแหละ
“ใช่แล้ว ตี้จวินลงมาเพื่อเผชิญด่านเคราะห์รักที่ไม่สมหวัง เช่นนั้นแล้วแม่หนูน้อยนี่ไม่จำเป็นต้องไปเกิดก็ได้ ขอเพียงพวกเราสามารถสร้างวาสนาให้นางกับท่านเทพรักกันก็พอ”
พอได้ฟังคำพูดของสหายร่วมอาชีพ เฮ่ยเสี่ยวอู่พลันตาสว่าง ความคิดในหัวพลันบังเกิด นั่นสินะ เเบบนั้นก็ถือว่าเป็นความรักที่ไม่สมหวังได้เหมือนกัน ยามนี้ตี้จวินเป็นมนุษย์ ทว่าคู่วาสนานั้นเป็นวิญญาณ ถ้าพวกเขาทำให้ทั้งสองรักกันเเล้วค่อยเเยกจาก มันก็ถือว่าสำเร็จได้นี่นา
จากนั้นสองยมทูตหนึ่งขาวกับอีกหนึ่งดำ ก็พากันสุมหัวอ่านนิยายรักต้องห้ามระหว่างมนุษย์กับปีศาจ เพื่อจะนำมาปรับใช้กับบุคคลที่ต้องการ
หยูหนิงมองทั้งคู่ถกเถียงหารือเพื่อวางเเผน โดยใช้นิยายรักที่เธอเคยเห็นสร้างเป็นซีรีส์ ทำให้บรรดาหญิงสาวผู้มีใจซาบซึ้งเสียน้ำตากันเป็นเเถบๆ เด็กสาวพลันยกมือป้องปากหาวอย่างเบื่อๆ หวอดหนึ่ง
'มันจะได้ผลอย่างนั้นหรือ นั่นใช่ตำนานรักบันลือโลกอะไรที่ไหนกัน ก็เเค่นิยายรักรันทดที่นักเขียนเป็นคนสรรค์สร้างขึ้นมาเองต่างหาก แต่ดูท่าทางคุณยมทูตสองตนนี้จะเชื่อเป็นตุเป็นตะเลยแฮะ'
เวลาผ่านไปพักใหญ่สองยมทูตก็ปรึกษากันเสร็จสิ้น โดยทั้งคู่วางบทละครเอาไว้ว่า พวกเขาจะมอบพลังหยินให้แก่ดวงวิญญาณหยูหนิง เพื่อให้เด็กสาวสามารถปรากฏตัวให้มนุษย์ทั่วไปเห็นได้ จากนั้นก็ให้นางไปจัดการทำให้ท่านเทพคู่วาสนาของตนตกหลุมรักเสีย
หลังจากที่ทั้งคู่รักกัน พวกเขาก็จะพรากดวงวิญญาณของนางกลับสู่เเดนยมโลก เพียงเท่านี้ตี้จวินก็จะประสบกับเคราะห์รักที่ไม่สมหวังดังตั้งใจแล้ว พอแผนการนี้ถูกกล่าวออกมาสองยมทูตก็แปะมือกันอย่างสะใจ ละครบทนี้ของพวกเขายอดเยี่ยมมากจริงๆ ขนาดเทพซื่อมิ่งยังเขียนดีไม่ได้เท่านี้เลย
จากนั้นทั้งคู่ต่างผลัดกันถ่ายพลังหยินของตนให้ดวงวิญญาณหนึ่งเดียวในกลุ่มอย่างแข็งขัน เมื่อทุกอย่างเตรียมการพร้อมสรรพ สองยมทูตกับอีกหนึ่งดวงวิญญาณจึงมาปรากฏกายหน้าจวนบ้านสกุลจวินในยามราตรีอันเงียบสงัด ทว่า...
[1] หรืออีกชื่อที่รู้จักกันในไทยว่า โปเยโปโลเย เป็นนิยายของ ผู ซงหลิง แต่งขึ้นจากเรื่องเล่าของจีนในสมัยราชวงศ์ชิง
หลังจากหักห้ามใจไม่ให้ยืนมองคนรูปงามสำเร็จ สองยมทูตกับหนึ่งดวงวิญญาณก็เดินทางมาถึงเรือนมู่ตานของคุณชายจวินเทียนเฮ่อ พวกเขาพากันทะลุผ่านเข้าไปวางแผนในห้องนอนเจ้าของเรือนอย่างถือวิสาสะมู่ตานนั้นเป็นชื่อของบุปผา หากเป็นบุรุษทั่วไปนำมาใช้ตั้งชื่อเรือนเช่นนี้คงดูไม่สมชาย ทว่าพอเป็นหนุ่มรูปงามในอาภรณ์แสงจันทร์นั่น กลับให้ความรู้สึกว่าสมตัวเป็นอย่างยิ่งแล้ว“เจ้าต้องทำให้ตี้จวินหลงรักในตัวเจ้า” เฮ่ยเสี่ยวอู่ประกาศขึ้นเป็นประโยคแรก หลังจากทรุดลงนั่งล้อมวงสุมหัวกันเป็นที่เรียบร้อย “จงใช้รูปลักษณ์และเสน่ห์ของหญิงสาวที่เจ้าพึงมี ล่อลวงให้ท่านหลงใหลเสีย”กล่าวจบทุกสายตาก็หันมาจับจ้องดวงวิญญาณหญิงสาวหนึ่งเดียวในที่นั้น ไม่เว้นเเม้เเต่เจ้าตัวเองที่พอก้มหน้ามองดูตนเองเเล้วก็นึกอยากร่ำไห้นัก รูปลักษณ์และเสน่ห์อย่างนั้นหรือจริงอยู่ว่าหยูหนิงนั้นออกจากร่างมนุษย์มาตอนอายุสิบห้าย่างสิบหกปี เป็นสาวน้อยวัยกำลังขบเผาะ อีกทั้งยังน่ารักราวกับตุ๊กตาแก้วเจียระไน สำหรับมาตรฐานของคนทั่วไปคงต้องบอกว่าอยู่ในเกณฑ์ดีงามเเล้ว เเต่…เป้าหมายนั้นคือผู้ใด ตี้จวินเชียวนะ ถ้าหากเป็นบุรุษอื่นทั่วไปแล้ว ด้วยรูปลักษณ์ของหยู
“ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมเข้าไปเล่า” เฮ่ยเสี่ยวฉางถามวิญญาณดวงสำคัญพลางยกมือเกาศีรษะเเกรกๆพวกเขาหรืออุตส่าห์วางแผนคิดบทละครกันมาเป็นอย่างดี ทว่าพอถึงเวลาที่ต้องปฏิบัติจริง เด็กสาวผู้เป็นคู่วาสนากลับไม่ยอมให้ความร่วมมือเสียนี่ ทำเอาเฮ่ยเสี่ยวอู่พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม“ไม่เอาหรอก ก็หนิงหนิงเพิ่งรู้นี่นาว่าการจะการเป็นคู่วาสนา หมายถึงต้องเป็นคนรักของตี้จวินอะไรนั่น หนิงหนิงไม่ได้ชอบเขา เพราะอย่างนั้นไม่มีทางไปสร้างวาสนาอะไรด้วยหรอก”พวกเขาล้อเล่นหรือไร เธอชอบผู้ชายในฝันคนนั้นต่างหาก ตี้จวินอะไรนั่นต่อให้เป็นท่านเทพที่ไหนก็ไม่เอาด้วยเด็ดขาด!เฮ่ยเสี่ยวอู่ถลึงตาโปนใส่แทบถลนออกนอกเบ้า ส่วนทางเฮ่ยเสี่ยวฉางก็เบะปากเกือบปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อาย พวกเขาวางแผนกำกับบทละครเพื่อให้เรื่องราวดำเนินไปได้ เเต่วิญญาณดวงสำคัญดันไม่เอาด้วยเเบบนี้ก็เเย่น่ะสิ ถ้าหากว่าไม่สามารถทำให้ชาตินี้ของตี้จวินผ่านพ้นด่านเคราะห์ได้สำเร็จ คนแรกที่ต้องถูกเล่นงานคือเขาและเสี่ยวอู่เป็นแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้นเฮ่ยเสี่ยวฉางจึงเริ่มเกลี้ยกล่อมดวงวิญญาณตรงหน้าอีกครั้งหนึ่ง จะอย่างไรเสียเขาก็ต้องทำให้นางยอมร่วมมือให้จงได้“เสี่ยวหนิงคนดี
เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ได้ ในที่สุดหยูหนิงก็ค่อยๆ รู้สึกตัวได้สติ เด็กสาวมองรอบด้านที่จะว่ามืดก็ไม่ใช่สว่างก็ไม่เชิงอย่างงุนงง ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อมองเห็นว่าข้างกายของตนนั้นมีคนแปลกหน้าอยู่ด้วยสองคน“พวกคุณเป็นใคร”คนแปลกหน้าทั้งสองเป็นหญิงสาวสวยต่างสไตล์ คนหนึ่งสวยเรียบๆ ท่าทางไม่สบอารมณ์ ใบหน้าเผยแววบึ้งตึง ส่วนอีกคนนั้นเรียกได้ว่าสวยหยาดฟ้ามาดิน เรือนร่างอวบอัดของเธออยู่ในชุดสีเเดงเพลิงเจิดจ้า พอเห็นว่าหยูหนิงรู้สึกตัว ทั้งคู่ก็รีบเดินเข้ามาหาทันที ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเอ่ยคำทักทายขึ้น“สวัสดีหยูหนิง ฉันคือเสี่ยวฟ่าง เป็นยมทูต” คำทักทายแสนเรียบง่าย แต่ฟังเเล้วชวนให้รู้สึกตกตะลึงอย่างยิ่ง คนเเรกเอ่ยปากมาก็ทำเอาสมองคิดตามไม่ทันเเล้ว อีกคนที่มาด้วยกันยิ่งทำให้หยูหนิงคล้ายภายในหัวระเบิดดัง 'ปั้ง’“สวัสดี ฉันอี้ฉาง เป็นเจ้าของร่างและสถานะที่เธอกำลังครอบครองในตอนนี้!”‘คุณเเม่ขา หยูหนิงอยากเป็นลม ต้องทำยังไงคะ!’แม้จะคิดในใจเช่นนั้น ทว่าเธอก็ไม่ได้เป็นลมไปจริงๆ หยูหนิงฟังเรื่องราวจากยมทูตเสี่ยวฟ่างแล้วทำความเข้าใจเงียบๆ ที่แท้ทั้งร่างกายและทุกอย่างที่เป็น ‘หยูหนิง’ นั้นไม่ใช่ของเธอแม้
เร่งฝีเท้าเดินออกจากร้านมาได้ไม่นาน หยูหนิงก็นึกได้ว่าเธอลืมของเสียเเล้ว“ไม่น่ารีบร้อนออกมาจนลืมหนังสือเลย” เด็กสาวบ่นกับตัวเองเบาๆ ยามหันหลังเดินกลับเส้นทางเก่า ร่างบางผ่านตรอกซอยเล็กๆ ที่อยู่ก่อนถึงจุดหมาย ซึ่งเธอคงจะเดินเลยไป ถ้าในที่เเห่งนั้นไม่มีร่างของคนคุ้นเคยอยู่ ทว่ายังไม่ทันที่หยูหนิงจะส่งเสียงเรียกอีกฝ่าย หนึ่งในสองก็กล่าวคำพูดขึ้นมาเสียก่อน“ที่นายคอยหลบหน้าฉันช่วงนี้เป็นเพราะหนิงหนิงสินะ”“ไม่เกี่ยวอะไรกับหนิงหนิง อย่าลืมนะว่าตั้งแต่แรกพวกเราเองก็ไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่แล้ว” น้ำเสียงเย็นชาของฝ่ายชายดังขึ้นโต้ตอบผู้หญิงอีกคนมองร่างสูงตรงหน้าด้วยดวงตาฉ่ำน้ำ ริมฝีปากบางถูกขบเม้มจนเเน่น ก่อนที่เธอจะถามขึ้นมาอีกครั้ง“เเล้วที่นายนอนกับฉันมันคืออะไร อย่างนี้นายยังกล้าบอกว่าพวกเราไม่เกี่ยวข้องกันอีกหรือเฉิงเหยียน!”‘นอนอย่างนั้นหรือ เฉิงเหยียนกับรั่วฉินนี่นะ!’ หยูหนิงตกใจไม่น้อย ร่างเล็กขยับหลบชิดมุมกำเเพงเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นตัวเอง ในใจยังคงสับสนกับสถานะของเพื่อนทั้งสองไม่คลาย“หึ! ก็เรียก 'sexfriend' ยังไงล่ะ เธอมีความสุข ตัวฉันเองก็พอใจ ในเมื่อพวกเราต่างก็วิน-วินด้วยกันทั้งค
“หนิงหนิง นี่เธอจะไม่ไปเรียนที่เดียวกับพวกเราจริงๆ น่ะหรือ” รั่วฉินเพื่อนวัยเด็กที่เรียนมาด้วยกันตั้งเเต่ชั้นประถมเอ่ยขึ้นหยูหนิงมองถ้วยไอศกรีมตรงหน้า จนเวลาผ่านไปพักหนึ่งจึงเงยหน้ามามองคนถามเเล้วพยักหน้าแทนคำตอบ“ทำไมล่ะ เพราะอะไรหนิงหนิงถึงไม่ไปเรียนที่เดียวกับพวกเรา” คราวนี้ทั้งกลุ่มหันมาถามเป็นเสียงเดียวกันเด็กสาววัยสิบห้าเวลาอยู่รวมกันแล้วเหมือนนกกระจอกเเตกรังอย่างที่เขาว่าจริงด้วย หยูหนิงคิดในใจพลางหัวเราะขำๆ ดวงตาสีดำคู่โตหันไปมองที่ถ้วยของคนอื่น โดยลืมให้เหตุผลเพื่อนตัวเองเสียสนิท'อืม...วานิลลาของรั่วฉินน่ากินมากเลย สตรอว์เบอร์รี่ของหวางอินก็ดูท่าทางจะอร่อย ชาเขียวของมั่วฉางก็สีสันน่ากินสุดๆ หรือเราจะเเลกกันคนละคำกับพวกเธอดี'เห็นท่าทางอยู่ในโลกส่วนตัวของหยูหนิงแล้ว ทุกคนก็ได้เเต่ส่ายหน้าปลงตก เพราะรู้ดีว่าต่อให้พยายามถามอีกก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา พวกเธอจึงหันไปสนใจถ้วยไอศกรีมตัวเองบ้าง ทว่าพอไอศกรีมหมดเสียงจอเเจก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง หยูหนิงมองเพื่อนๆ ที่พยายามถามเธออย่างเอาเป็นเอาตาย เเล้วส่ายหน้านึกในใจขำๆ เวลาเรียนตั้งใจกันขนาดนี้ไหมเนี่ย“สรุปว่าเธอจะไม่ไปสอบเข้าที่เดียวกั
จากวันกลายเป็นเดือน จากเดือนเคลื่อนเป็นปี โลกมนุษย์ทั้งอดีตเเละอนาคตผันผ่านไปตามกาลเวลากระบองเพชรน้อยต้นไม้จากเมืองมนุษย์ถูกนำลงสู่ยมโลก ได้ไอหยินเเละหยาดน้ำทิพย์จากสระมรกตหล่อเลี้ยงจนเริ่มมีพลังวิญญาณ ทว่ายังมิทันได้สร้างรูปลักษณ์ของตนเองขึ้นมา นางกลับถูกความมักง่ายของมหาเทพบรรพกาลนอกฝั่งฟ้าเล่นงาน โดนเปลี่ยนเเปลงวิญญาณด้วยพลังเทพ ต้องเข้าสู่วัฏสงสารเพื่อเวียนว่ายตายเกิดบัดนี้นางถือกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์เต็มตัวแล้ว อิ๋งอิ๋งน้อยของเหยียนหลัวหวางมีชื่อใหม่ในชาติภพนี้ว่า 'หยูหนิง' เกิดในครอบครัวสกุลหยูที่มีฐานะค่อนข้างดี ทว่าตอนที่หยูหนิงเกิด ในห้องคลอดนั้นไร้เสียงร้องของทารกให้ได้ยิน มีเพียงความเงียบที่แผ่ขยาย ไม่ว่าคุณหมอหรือนางพยายาลจะใช้วิธีไหน เด็กน้อยก็เพียงแค่นอนมองตาเเป๋วข่าวร้ายที่มาพร้อมการเกิดของลูกสาวทำให้ผู้เป็นเเม่เเทบหัวใจสลาย สามีที่เป็นช่างภาพไปถ่ายงานนอกสถานที่ เกิดอุบัติเหตุรถที่โดยสารพลิกคว่ำ เพราะคนขับรถบัสประมาทจึงทำให้สามีเสียชีวิต ทว่าคนในตระกูลหยูกลับพากันกล่าวโทษว่าเพราะลูกสาวเธอเป็นตัวซวยเฮอะ สารเลว...เด็กเกิดมาจะไปรู้เรื่องอะไร รถบัสพลิกคว่ำเพราะคนขับหลับใน