ค่ำคืนนี้ก็เป็นเช่นดังเดิมเหมือนกับทุก ๆ คืนที่ผ่านมา ห้องที่มักอยู่คนเดียวกลายเป็นว่ามีรูมเมทเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน เสียงเครื่องปรับอากาศยังคงดังอย่างต่อเนื่องไม่ขาดจังหวะภาพตรงหน้าปรากฏเป็นชายหนุ่มสองคนนั่งเคียงข้างกันที่โซฟากำมะหยี่เนื้อนุ่ม อิงแอบชิดใกล้กันจนไหล่กระทบ อุณหภูมิลดต่ำลง อากาศเย็นลอดไล้ผ่านผ้าห่มผืนหนา มีเพียงไอความร้อนจากร่างกายเท่านั้นที่ช่วยแบ่งเบาความอบอุ่นให้แก่กันได้ ร่างทั้งสองแนบชิดใกล้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะเกยตัก ไม่เพียงแค่อากาศที่หนาวเย็น ในห้องตอนนี้ไร้ซึ่งแสงไฟที่สาดส่อง มีเพียงแสงจากหน้าจอโทรทัศน์ขนาด 60 นิ้ว ที่สาดส่องให้เห็นภายในห้องลาง ๆ เท่านั้น “ไอ้เชี่ยย!!”ใครบางคนที่ไม่ถูกกับสิ่งลี้ลับสะดุ้งตัวโยนระคนตื่นตกใจกับฉากในภาพยนตร์หมวดระทึกขวัญตรงหน้า ร่างสมส่วนสั่นเป็นลูกนก กอดเข่าก้มหน้าลง“บอกแล้วว่าเรื่องนี้มีJump Scareเยอะ” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหัวหลังจากที่เอื้อมมือเพื่อหยิบรีโมตกดออกจากหน้าจอ“ก็ไม่คิดว่าจะน่ากลัวขนาดนี้นี่”“หึ งั้นเปลี่ยนเรื่องมั้ย”“ไม่เอา จะสู้!”“ไหวแน่นะ” จอมทัพเอ่ยถามเพื่อความชัวร์อีกครั้ง หัวทุยพยักหน้าขึ้นล
คอนโดของสายฟ้าพื้นห้องนั่งเล่นเหมาะสำหรับการติวกลุ่มเล็ก ตรงสี่เหลี่ยมหน้าทีวีเหมาะสำหรับนำมาใช้นั่งติว คิระ จอมทัพ สายฟ้า และปั้นสิบ นั่งล้อมรอบโต๊ะโดยนั่งบนพื้น เอนหลังพิงโซฟาตัวใหญ่ ที่เขาบอกว่าคนไทยชอบนั่งพื้นแทนที่จะนั่งโซฟาเห็นทีจะเป็นเรื่องจริง“เข้าใจกันใช่มั้ยที่สอนไปเมื่อกี้นี้”“เข้าใจ แต่ขอพักก่อนได้มั้ยปวดหมองไปหมดแล้ววว”“อืม งั้นพัก 15 นาที”“โอ้ยยย เมื่อยตัวไปหมดแล้ว ไอ้ฟ้าห้องมึงมีไรกินบ้างวะ” นอกจากจะเมื่อยแล้วก็ยังหิวอีกด้วย ปั้นสิบลุกขึ้นถามเจ้าของห้องที่นอนสลับอยู่ที่โซฟา ก่อนจะสาวเท้าเดินไปทางห้องครัว“มีเบียร์อยู่” สายฟ้าตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงยานคาง พักสายตาด้วยการหลับตาพูด ไม่ได้มองด้วยซ้ำว่าปั้นสิบจะทำหน้ายังไง“ไอ้ห่า กูหิวข้าวไม่ได้เสี้ยนเหล้านะ” ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าห้องสายฟ้าคงไม่มีอาหารอุดมสมบูรณ์เหมือนห้องจอมทัพก็ตาม แต่ความหิวก็อดไม่ได้ที่ปั้นสิบจะถามคำถามที่รู้คำตอบอยู่แล้วออกมา“กูทำกับข้าวเป็นซะที่ไหน มีน้ำเปล่าให้พวกมึงกินก็ดีเท่าไหร่แล้ว”“หาไรกินกันก่อนมั้ยล่ะ” จอมทัพที่ทนฟังน้ำเสียงหิวโหยของปั้นสิบไม่ไหวพูดขึ้นมาก่อน สั่งไว้ก่อนแล้วติว
“ช่วงนี้เบื่อ ๆ เนอะพวก เราไปตี้กันหน่อยดีกว่าว่ะ”เสียงเบื่อหน่ายยานคางของปั้นสิบดังขึ้นกลางวง ทำเอาคนฟังขมวดคิ้วด้วยความรำคาญเล็ก ๆ ปั้นสิบฟุบหน้าลงกับต้นแขนของตนเองก่อนจะเอียงคอมาทางกลุ่มเพื่อนที่กำลังทำโปรเจ็ควิชาในสาขากันอยู่อย่างจริงจัง“ก่อนจะไปตี้มึงมาช่วยพวกกูทำกันก่อนเลยไอ้สัดอย่ากินแรง” สายฟ้ากระแทกเสียงขึ้นมา พลางเหล่มองปั้นสิบที่กำลังแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้“อะไรกูก็ทำเหอะพึ่งได้พักเนี่ย ดนัยสั่งเมื่อวานจะเอาวันนี้เจริญล่ะ” ปั้นสิบพึมพำตอบกลับ“เออคิดว่านิสิตเก่งกันขนาดไหนกันเชียว เก่งมากผมไม่เรียนกันหรอกค้าบบบ” สายฟ้าประชดประชันด้วย ลากคำยาวเสียงสูง“พูดอีกก็ถูกอีกเพื่อนรัก เพื่อนสิบคิดว่าเราควรพักสมองลงบ้างว่ะ วันนี้เราเคร่งเครียดกันมาทั้งวันแล้วนะเว้ย” “งานส่งพรุ่งนี้แล้วนะสัดสิบมึงชิวไปไหนของมึง” สายฟ้าตะโกนด่าอย่างหมดความอดทนกับความขี้เกียจสันหลังยาวของไอ้สิบ นอกจากไม่ช่วยยังชวนเที่ยวอีก มือไม่พายยังเอาเท้าราน้ำอีกนะมึง สายฟ้าทดไว้ในใจพลางหันมาทำงานในมือต่อ“เรามีไอ้คิน ท๊อปเซคจะห่วงไรวะ เพื่อนเราเก่งสุดแล้วนะเว้ยมึงไม่เชื่อใจเพื่อนเราหรอวะเพื่อนฟ้า” “พูดไ
เวลาสองชั่วโมงผ่านไปไวราวกับโกหก คาบเรียนมาราธอนสุดโหดกผ่านพ้นไป เสียงบ่นโหยหวนเจ้าประจำอย่างปั้นสิบก็ลอยเข้ามา แต่คิระไม่ได้สนใจ หนุ่มลูกครึ่งจัดการเตรียมเก็บของเข้ากระเป๋าก่อนระหว่างนั้นหูไม่รักดีก็ได้ยินเสียงพูดคุยไม่ดังไม่เบาจากด้านหลังตาเรียวเหลือบตามองไปยังต้นเสียง ภาพตรงหน้าเป็นหญิงสาวสวมเสื้อเอวลอยคลุมด้วยเสื้อช็อปทับอีกที ใบหน้าขาวนวลจิ้มลิ้มแย้มยิ้มกว้าง พูดคุยอย่างออกรสออกชาติกับหนุ่มตัวสูงใหญ่ผู้ที่ไร้ความยาวของเส้นผมปรกคลุมศีรษะอย่างจอมทัพท่าทางสนิทชิดเชื้ออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำเอาคนตัวขาวหายใจแรงกว่าปกติอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะยกมือเสยผมหน้าที่ปิดบังวิสัยทัศน์ของตนเองขึ้น พอดีกับคนหัวเกรียนที่หันมาสบตาพอดี“งั้นเราไปก่อนนะแพร ถ้าจะให้ช่วยอะไรก็ทักมาได้นะ” จอมทัพหันไปพูดลาเพื่อนผู้หญิงที่ชื่อ แพร ก่อนจะหันมาหาคิระคนตัวสูงเดินมาใกล้พลางจับข้อมือคิระไว้ก่อนจะกระตุกดึงเบา ๆ เป็นสัญญาณให้เดินตามมา คนตัวขาวไม่ได้ขัดขืนอะไร ยอมเดินตามโดยง่าย โดยที่จอมทัพไม่รู้เลยว่าคนข้างกายคิดไปไกลแค่ไหนกับเรื่องเมื่อครู่และทั้งคู่ก็ไม่รู้เลยว่า หญิงสาวที่อยู่เบื้องหลังนั้นอดกลั้นรอยยิ
ครืด ๆเสียงสั่นของเครื่องมือสื่อสารใต้หมอนปลุกเจ้าของออกจากการหลับใหล ร่างแกร่งพลิกตัวเบา ๆ เปลือกตาสีอ่อนค่อย ๆ ลืม ภาพเพดานสีขาวเรียบที่ไม่คุ้นเคยส่งผลให้ลืมตาตื่นทันทีด้วยความตกใจ แต่ไม่นานก็โล่งใจเมื่อจำได้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่คอนโดปั้นสิบไม่ใช่กุฎิวัดต่างจังหวัดอีกต่อไป ตาคมเหลือบตามองคนด้านข้างที่เป็นเหตุให้นอนไม่หลับเมื่อคืน ใบหน้าขาวใสไร้ที่ติ จมูกโด่งเป็นสัน ปลายเชิ่ดขึ้นระคนดื้อรั้น ริมฝีปากอมชมพูกระจับ ทุกองค์ประกอบผสมอย่างลงตัว ไหนจะขี้แมลงวันจุดเล็กถ้าไม่สังเกตใกล้ ๆ ก็จะมองไม่เห็นเม็ดน้ำตาลที่เกาะลงใต้ตาข้างขวาส่งผลให้ดูเจ้าเล่ห์กว่าเดิมเสียงสั่นของโทรศัพท์เงียบไปสักพัก ก่อนจะสั่นขึ้นอีกครั้ง มือแกร่งยกขึ้นกดแนบหู น้ำเสียงใจดีดังลอดออกมา ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดเขานั่นเอง“ฮัลโหลครับแม่” เสียงทุ้มนุ่มตอบรับปลายสายเบา ๆ“ทัพลูกเป็นยังไงบ้าง แม่โทรมากวนหรือป่าว”“อื้อ…” คนข้างกายขยับตัว คนนอนดิ้นตวัดมือมาพาดที่เอวหนา ลมหายใจอุ่นๆรินรดเบาๆ ร่างแกร่งเกร็งค้างจนตัวแข็ง จอมทัพเผลอกลั้นหายใจไปหลายจังหวะ เมื่อสำรวจว่าอีกคนมีท่าทีจะตื่นก็โล่งใจ จอมทัพไล่สายต
แปะๆ“ไม่นะเพื่อนรัก มึงอย่าเศร้าไปเลย” เสียงตบบ่าให้กำลังใจของสายฟ้าเรียกสติจอมทัพให้หลุดจากภวังค์ตอนแรกจอมทัพตัดสินใจจะไม่เล่าเรื่องที่เขาอกหักให้ปั้นสิบกับสายฟ้าฟัง“เออ คนไม่รักดีแบบนั้นอย่าไปเสียใจให้นานเลย เอางี้คืนนี้ฉลองกันดีกว่า!”“ร้านพี่ยักษ์มั้ย ไม่ได้เจอพี่แกนานละตั้งแต่มีเมียไป” สายฟ้าเสนอชื่อร้านพี่ยักษ์ พี่ชายคนสนิทขึ้นมา “เออไปกินเหล้าให้เมาย้อมใจกันดีกว่าเพื่อน” ปั้นสิบพูดก่อนจะยกมือพาดคอคนอกหักอย่างแนบแน่นคำว่า เมา ที่ดังขึ้นข้างหู ส่งผลให้ก้อนเนื้อด้านซ้าที่่อกบีบรัดแน่นขึ้น ลมหายใจสะดุด จนหัวใจจอมทัพเต้นผิดจังหวะ เหงื่อผุดขึ้นตามกรอบหน้าคม ดวงตาสั่นระริกค่อย ๆ เหลือบมองไปยังคนที่นั่งกอดอกอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างช้า ๆ อีกฝ่ายมองหน้าเขาอยู่ก่อนแล้ว สายตานิ่งเรียบยากที่จะอ่านความคิดได้ จังหวะที่จอมทัพสบตากับคิระเหมือนโลกหยุดหมุน บรรยากาศอึมครึมกดทับจนแทบหยุดหายใจใบหน้าของจอมทัพออกอาการเลิ่กลั่กจนคนสบตาต้องยิ้มอ่อนให้พลางส่ายหัวไปมา เป็นการส่งสัญญาณว่า ‘กูไม่ได้คิดอะไร มึงอย่าคิดมาก’ทันใดนั้นบรรยากาศที่กดทับตัวของจอมทัพก็มลายหายไป เหมือนท้องฟ้าที่สดใสหลังฝน