ยามนี้เห็นสตรีที่เคยพึงใจมีความสุข เขาก็รู้สึกยินดีไปกับนางรอยยิ้มที่แต่งแต้มอยู่บนหน้าพลันเลือนหายเมื่อคิดถึงเรื่องที่เขากับคุณชายรองเจียงเพิ่งไปทำมาเมื่อคืน
ย้อนกลับไปเมื่อคืน (คืนเข้าหอ)
หลังจากถูกสตรีไล่ออกจากห้องหอ เขาที่ตั้งใจจะกลับไปทำงานที่ห้องหนังสือก็ต้องชะงักฝีเท้าเมื่อคนของคุณชายรองเจียงมาเชิญเขา
“คุณชายกล่าวว่าใกล้ถึงเวลาจบเรื่องนั้นแล้วขอรับ” บุรุษชุดดำกล่าว
“อืม” เขาพยักหน้าตอบรับก่อนจะใช้วิชาตัวเบากระโจนหายออกจากตระกูลหลวน
ห่างออกไปสามจวนมีเงาร่างสามสายเร้นกายเข้าจวนตระกูลเหริน โดยทั้งสามมีจุดหมายเดียวกันคือเรือนผุพังที่อยู่ท้ายจวน
“ดูเหมือนชะตาชีวิตของนางจะตกต่ำอย่างรวดเร็ว” เจียงเซวียนเอ่ยพลางกวาดตาไปรอบ ๆ แล้วยกยิ้มเย้ยหยัน
“หึ! หากท่านสงสาร มิรับไปเป็นฮูหยินเล่า”
“ไม่มีทาง บุรุษตระกูลเจียงรักเดียว หากแต่งกับสตรีใดแล้วย่อมไม่คิดรับสตรีอื่นเข้าเรือนหลังชั่วชีวิต”
“หึ!” เขาแค่นเสียงในลำคอ แม้ก่อนหน้านี้จะไม่ค่อยถูกชะตา แต่เมื่อเห็นน้องน้อยได้รับความรักจากเจียงเซวียนอย่างล้นเหลือมุมมองที่เขามีต่ออีกฝ่ายก็เปลี่ยนไป ยิ่งบุรุษผู้นี้หยิบยื่นโอกาสให้แก้แค้น อคติและความไม่ชอบหน้าจึงสลายหายไปหมด
“นางเป็นบุตรสาวคนโปรดของเหรินโหย่งจิ้น มิใช่หรือ เหตุใดในเรือนถึงมืดมิดไร้คนดูแลเช่นนี้”
“เหรินโหย่งจิ้นมีหรือจะสนใจบุตรสาวที่ไร้ค่าเช่นนี้ สาวใช้ของนางเล่าไปที่ใดแล้ว” สาวใช้คนสนิทของเหรินเสี่ยวเหยาเป็นเขาซื้อตัวเอาไว้เพื่อให้คอยเฝ้าดูไม่ให้อีกฝ่ายตายไปง่าย ๆ
“สาวใช้คนสนิทของนางเพิ่งกินยาพิษตายเมื่อสองวันก่อน” เป็นเจียงเซวียนกล่าวก่อนจะเดินเข้าไปด้านในห้องที่ว่างเปล่าไร้เครื่องเรือนใด ๆ นอกจากเตียงเก่าใกล้ผุพัง
“อืม คงคิดว่าอย่างไรเราก็ไม่มีทางปล่อยให้รอดไป” ผู้ตรวจการหลวนกล่าวก่อนจะทอดสายตามองสตรีที่นอนอยู่บนเตียงอย่างเย็นชา
“มีเพียงคนตายเท่านั้นที่พูดไม่ได้ ดูเหมือนนางจะไม่รับรู้ถึงการมาของเราแล้ว”
สตรีที่เคยมีผิวพรรณเปล่งปลั่ง ใบหน้างดงามบัดนี้ใกล้โรยราเต็มที เรือนร่างเย้ายวนของสตรีวัยออกเรือนบัดนี้ซูมผอมจนหนังแทบติดกระดูก ผิวหนังบางจุดเน่าเปื่อยส่งกลิ่นเหม็น ลมหายใจบางเบา
“ดวงตาและจิตใจนางมืดบอดมานาน มิเช่นนั้นคงไม่มีจุดจบเช่นนี้” หากไม่ก่อกรรมทำเข็ญกับผู้อื่น เหรินเสี่ยวเหยาก็คงไม่มีจุดจบเช่นนี้
“สาสมแล้วที่นางเป็นเช่นนี้ น่าเสียดายที่วาระสุดท้ายมาถึงเร็วไปหน่อย” ลงมือทำร้ายฮูหยินรักหลายต่อหลายครั้ง ก็ต้องมีจุดจบเช่นนี้
“อืม สาวใช้ของนางคงรีบร้อนเลยใส่ฮว่าซานมากเกินไป”
“เช่นนั้นให้หมอเทวดามายื้อชีวิตนางให้นานขึ้นอีกนิดดีหรือไม่” การตายทั้งเป็นคือวิธีการที่โหดเหี้ยมที่สุด
“ไม่คิดว่าท่านจะเลือดเย็นเช่นนี้ เห็นว่าคุณหนูเติ้งก็ตายแล้วมิใช่หรือ” เป็นที่โปรดปรานของกั๋วกงเฒ่าแห่งเมืองไห่หยางได้ไม่ถึงห้าวันก็ถูกฮูหยินเอกวางแผนให้บ่าวรับใช้ชายมาหลับนอนด้วยถึงห้าคน แล้วให้กั๋วกงเฒ่าจับได้ สุดท้ายถูกทรมานจนตาย
“ทุกคนล้วนมีกรรมเป็นของตัวเอง ทำไม่ดีกับผู้อื่นไว้อย่างไร ก็จงก้มหน้ารับกรรมของตนไป” เจียงเซียนกล่าว เพราะตนไม่ได้ทำอันใดเลย ก็แค่มอบเงินให้ฮูหยินเอกของกั๋วกงเฒ่าบอกว่าให้ดูแลคุณหนูเติ้งดี ๆ เพียงเท่านั้นเอง
ใครที่กล้าเอ่ยวาจาใส่ร้ายทำให้ฮูหยินรักต้องเจ็บช้ำน้ำใจ เขาไม่ปล่อยเอาไว้แน่นอน
“หึ!” หลวนจิ้นฝานแค่นเสียงในลำคอคล้ายหมั่นไส้
“เอาล่ะ ท่านอยากบอกลาอันใดสหายในวัยเด็กก็ตามสบาย นี่ก็ดึกมากแล้วข้าต้องรีบไปกล่อมฮูหยินเข้านอนก่อน”
“...” โหวซื่อจื่อเริ่มรู้สึกจนใจกับความลุ่มหลงฮูหยินของคุณชายรองเจียงเสียแล้ว
“อ้อ! วันนี้เป็นคืนเข้าหอของท่านนี่ รีบบอกลานางแล้วกลับไปหาฮูหยินของตนเถิด คืนเข้าหอมีค่าดั่งทองพันชั่ง” กล่าวไปก็กลั้นหัวเราะไป
“อย่ามาเยาะเย้ยข้า”
“เอาล่ะ ข้าต้องรีบกลับแล้วจริง ๆ” กล่าวจบคุณชายรองเจียงผู้ลุ่มหลงฮูหยินทุกลมหายใจเข้าออกก็จากไปทิ้งให้เขายืนอยู่ในความมืดตามลำพัง
“...” หลวนจิ้นฝานยืนมองสตรีที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปพร้อมกับลมหายใจเฮือกสุดท้ายของเหรินเสี่ยวเหยา
คนที่ทำให้เขาต้องกลายเป็นเบี้ยหมากทางการเมืองก็ได้รับผลตอบแทนที่สาสมแล้ว
ส่วนคนที่ไม่ได้ทำผิดต่อเขา แต่ต้องมาผูกติดกันคล้ายมีกรรมต่อกันเช่นเหลียงจิ่วเม่ย ก็ต้องรอดูว่าจะเป็นเช่นไรต่อไป...
9 สามีภรรยาควรช่วยเหลือกัน ยามนี้เหลียงจิ่วเม่ยแทบจะยกเท้าก่ายหน้าผากตนด้วยความรู้สึกปวดหัวพลางนึกต่อว่าตนเองที่ก่อนหน้านี้ไม่น่าไปกลั่นแกล้งเขาเลย มิเช่นนั้นยามนี้นางคงไม่ถูกเขากลั่นแกล้งเช่นนี้ “นี่ท่าน! ท่านช่วยทำสิ่งใดก็ได้ให้มันสงบลงได้หรือไม่” จะให้นางนอนร่วมเตียงกับบุรุษที่มีแท่งหยกตื่นตัวพร้อมใช้งานเช่นนี้ ไม่ดีกระมัง “หากจะโทษต้องโทษเจ้าที่ทำให้มันตื่นตัว” “แต่ข้าทำเช่นนั้นไปเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนแล้วนะ” ยามนี้มันควรสงบจิตสงบใจกลายเป็นหนอนตัวน้อยแล้วไม่ใช่หรือ “ยังไม่ได้รับการปลดปล่อยมันจึงเป็นเช่นนี้ หากจะโทษ เจ้าก็ควรกล่าวโทษตนเองที่ปลุกมันขึ้นมา” “เฮ้อ! เช่นนั้นก็ตามใจท่านเถิด แต่อย่าเข้ามาใกล้ข้าเชียว มิเช่นนั้นข้าอาจจะลืมตัวจับมันหักคอได้” “อืม! ข้าพอจะเข้าใจได้ว่าเจ้ายังไร้ความสามารถในเรื่องพวกนี้นัก จึงไม่รู้จะทะนุถนอมมัน” “ไม่ต้องมายุยง
“ทำตัวเช่นนี้ค่อยน่ารักหน่อย” นางพึมพำเสียงเบา ก่อนจะยกชาขึ้นจิบ ยิ่งหลวนฟูเหรินพยายามจะจับบุตรชายแยกกับนางเพียงใด นางยิ่งรู้สึกว่าเขาจะยิ่งเกาะติดนางมากขึ้น “นี่ท่าน! ท่านไม่คิดว่ามันเกินไปหรือเจ้าคะ” “เกินไปอย่างไร เจ้าอยู่ในห้องกับข้าสองคนย่อมกำลังดี ไม่มากเกินไป” กราบไหว้ฟ้าดินกันแล้วอยู่ร่วมห้องกันสองคนก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือ “ข้าหมายถึงการให้ข้ามานั่งเฝ้าท่านทำงานเช่นนี้ทุกวัน มันไม่เกินไปหรือเจ้าคะ” หรือจะกล่าวได้ว่ายามอยู่ในจวนเขาจะต้องมีนางอยู่ข้างกายตลอด คล้ายกับนางคือเครื่องรางปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย 
“ท่านพ่อ แม้ข้าจะถูกสมรสพระราชทานแต่งนางเข้ามา แต่ข้าก็ไม่คิดรับสตรีอื่นมาหยามเกียรตินาง และจะมีนางเป็นฮูหยินเพียงคนเดียว ดังนั้นหากท่านแม่ยังคงยืนกรานที่จะหาเรื่องนาง ข้าคงต้องพานางออกไปสร้างจวนใหม่” “อืม! พ่อเข้าใจแล้ว” “และหากท่านแม่ยืนยันจะรับฉู่เหลียนฮวาเข้าจวนโหว ก็คงต้องเป็นท่านพ่อแล้วที่ต้องรับนางเข้าเรือนหลัง จะได้สมใจท่านแม่เสียที” เรือนร้างที่ฮูหยินของเขาใช้บริเวณนั้นลอบเข้าออกจวนก็เป็นเรือนร้างของอดีตอนุฯ ภรรยาที่ท่านย่ารับมาให้บิดา สุดท้ายเพราะบิดาของเขาปรารถนาในตัวฮูหยินเพียงคนเดียวไม่ไปเยือนเรือนหลังนั้นแม้แต่เพียงครั้งเดียว สุดท้ายอนุฯ ผู้นั้นก็ตรอมใจตายหลังจากที่ท่านย่าของเขาเสียได้ไม่นาน “เพ้ย! เจ้าลูกคนนี้ เจ้าเห็นพ่อยังปวด
“จัดการตามเหมาะสม ขอเพียงไม่ถึงเลือดตกยางออก ย่อมไม่เกิดปัญหา” เขาเองก็เหนื่อยหน่ายใจที่จะตักเตือนมารดาแล้ว “ได้ ข้าจะจัดการให้” นางตอบรับก่อนจะขยับตัวเล็กน้อยเพื่อเตือนให้เขารีบลุกหนี แต่เขาก็ยังนิ่งเฉย “ช่วงนี้คนของเหลียงอ๋องติดต่อมาบ้างหรือไม่” “ตอนนี้ยังเจ้าค่ะ” ไม่รู้ที่เงียบหายเป็นเพราะคิดจะทำอันใดอยู่ “หากคนพวกนั้นติดต่อมาเมื่อใดให้รีบแจ้งข้า” “เจ้าค่ะ มีอันใดอีกหรือไม่” “หากเจ้าอยากทำการค้าให้มาขอเงินที่ข้า”&n
ใช่แล้ว! มันต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ๆ คงเริ่มพึงใจคุณหนูของนางตั้งแต่ที่สั่งให้บ่าวรับใช้ทุกคนห้ามเรียกคุณหนูของนางว่าฮูหยินรองแล้ว เมื่อประตูเรือนปิดลง นางก็จับมือของเขาที่โอบประคองอยู่ออกก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะ มือเรียวที่มีรอยข่วนของเล็บหงายจอกชาขึ้นก่อนจะรินชาจิบแก้กระหาย ‘อ่า...ชานี้ช่างเย็นชืดยิ่งนัก’ หากไม่เพราะต่อปากต่อคำกับสตรีแซ่ซิวนาน นางคงไม่ยอมทนกินน้ำชาเย็น ๆ เช่นนี้หรอก หลวนจิ้นฝานมองมือของตนที่ค้างไว้ในท่าประคองก่อนจะเก็บมือของตนไปไพล่หลังแล้วเดินไปทรุดกายนั่งร่วมโต๊ะกับนาง “การกระทำไม่เหมาะสมวันนี้ของนางไม่ถูกใจท่านโหวเช่นนี้ คาดว่าอีกไม่นานคงลงมือจับท่านเข้าหอด้วยตัวเอง เมื่อถึงเวลานั้นท่านก็แค่คล้อยตามแล้วหาใครสักคนเข้าหอกับนาง เพียงแค่นี้ก็สามารถบังคับให้นางแต่งออกไปกับผู้อื่นได้โดยที่มารดาท่านก็ไม่อาจโต้แย้งได้” “อืม” เขาตอบรับก่อนทำท่าเหมือนจะพูดสิ่งใดต่อ แต่ประตูก็ถูกเปิดเข้ามาโดยซิวเหยาที่ยกป้านชามาพร้อมกับขนมและยา “ฮูหยินให้บ่าวช่วยทายาให้ก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ” “วางยาเอาไ
8 สามีที่ดูแปลกไป “ข้า ข้าไม่ได้ทำ เจ้าแสร้งล้มไปเอง” “คุณหนูซิว ท่านมาขอฮูหยินของข้าให้ปล่อยท่านโหวซื่อจื่อไปรับสำรับและค้างคืนกับท่าน ฮูหยินข้าก็ยอมแล้ว เหตุใดท่านยังทำร้ายฮูหยินของข้าอีก” เป็นซิวเหยารีบเอ่ยก่อนจะเข้าไปประคองผู้เป็นนาย โดยมีฮุ่ยเหยาสาวใช้คนใหม่ทำตามสาวใช้รุ่นพี่อย่างงุนงง “โกหก! เป็นนายของเจ้าแสร้งล้มไปเอง คุณหนูของข้าหาได้ผลักไม่” สาวใช้ของคุณหนูซิวรีบโต้แย้ง “เกิดเรื่องอันใดขึ้น” เสียงทุ้มทรงพลังของท่านโหวดังขึ้น ก่อนที่โหวซื่อจื่อที่มาด้วยจะเดินเข้ามาหานางพลางกวาดสายตาสำรวจ นัยน์ตาคมพลันเข้มขึ้นเมื่อเห็นรอยเลือดซึมเปื้อนอาภรณ์ด้านหลังของนาง “ท่านลุง เป็นนางล้มลงเอง ข้าไม่ได้ทำอันใดเลยนะเจ้าคะ” “ท่านพ่อ เป็นข้าที่ไร้เรี่ยวแรงเองเจ้าค่ะ อย่าได้กล่าวโทษคุณหนูซิวเลยเจ้าค่ะ” กล่าวจบนางก็แสร้งพยายามปกปิดมือของตน “ฉู่เหลียนฮวากล้าทำร้ายเจ
‘บางทีจิ่วเม่ยอาจจะไม่มีวันได้ละทิ้งตัวตนฮูหยินของโหวซื่อจื่อแล้วก็ได้’ แค่เอ่ยวาจาหยอกเย้าเล็กน้อย ก็จ้องด้วยแววตาไม่พอใจแล้ว ดูแล้วเหลียงจิ่วเม่ยคงไม่อาจออกจากตำแหน่งฮูหยินน้อยตระกูลหลวนได้ชั่วชีวิต ชีวิตของนางช่างอาภัพ สู้อุตส่าห์อยู่เงียบ ๆ ไม่ออกไปหาเรื่อง แต่เรื่องกลับมาถึงตัวจนได้ “เสี้ยนจู่ทำให้ข้าเปิดหูเปิดตาแล้ว เป็นสตรียังวิ่งโร่ออกนอกจวน” ‘เจ้าอยากวิ่งโร่ออกไปนอกจวนเช่นข้าหรือไม่ ข้าจะได้หาเรื่องมาให้’ อ่า...เจ็บไม่น้อย คิดว่าจะคุ้นชินแล้วเสียอีก หลังจากสนทนากับพวกเขาที่จวนนอกเมืองแล้วนางก็ไปรับโทษโบยตามกำหนดที่วังหลวง วันเวลาช่างผันผ่านไปเร็วเสียจริง
“ไม่คิดเลยว่าคนที่ฮูหยินของข้าซื้อมาจากตลาดทาสจะมีแต่เสือหมอบมังกรซ่อน[1]” “ท่านเข้ามาได้อย่างไร” บุรุษรูปงามเอ่ยถามด้วยสีหน้าตกใจ เพราะคนของเขาไม่น่าปล่อยให้คนผู้นี้เล็ดลอดเข้ามาได้ “เป็นข้าที่สั่งเปิดทางให้เขาเอง ข้าก็อยากทราบเช่นกันว่าโหวซื่อจื่อที่ลอบตามติดจิ่วเม่ยแท้จริงมีจุดประสงค์ใด” รุ่ยเย่ หรือองค์ชายสามจงเจียซวนเอ่ยขึ้น “เขาคงไม่ได้ลอบฟังกระหม่อมสนทนากับพระองค์ตั้งแต่ต้น” “ย่อมใช่ เขาลอบติดตามข้ามาตั้งแต่แรก” “พระองค์ก็ไม่น่าจะเปิดเผยตัวตนของเราต่อบุรุษไม่น่าไว้ใจผู้นี้” จางรุ่ยเต๋อเอ่ยถามเพราะการที่องค์ชายต่างแคว้นและราชเลขาธิการของฮ่องเต้แคว้นซีหนานแฝงตัวอยู่
“ขอบคุณ วันนี้ข้าจะพาฮุ่ยเหยากลับจวนโหวด้วย จึงต้องกลับก่อน ฝากท่านดูแลจวนแห่งนี้ด้วย ข้าอาจจะไม่ได้มาที่นี่จนกว่าจะพ้นงานเลี้ยงในวัง” แม้จะทราบดีว่าไม่อาจไว้ใจคนที่เพิ่งพบเจอ แต่ทว่ายามนี้นางมีแต่ต้องเสี่ยงแล้ว “ได้ เจ้าไม่ต้องห่วงข้าจะดูแลจวนแทนเจ้า” “อืม...ฝากด้วย” เพราะจะต้องแนะนำเรื่องหลายอย่างเกี่ยวกับจวนโหวให้ฮุ่ยเหยาทราบ นางจึงอยากพาอีกฝ่ายกลับจวนโหวเร็วขึ้นหน่อย ดวงตาคมของจอมยุทธ์หนุ่มมองตามหลังเหลียงจิ่วเม่ยไปจนลับสายตา เมื่อภายในจวนเงียบสงบ เขาก็ใช้วิชาตัวเบาทะยานออกนอกจวน ทว่าจุดหมายปลายทางกลับไม่ใช่จวนของรายชื่อที่อยู่ในกระดาษแผ่นนั้น แต่กลับเป็นจวนร้างนอกเมืองฝั่งทางใต้แ