เฟิ่งจิ่วเหยียนหมดหวังแล้วเพราะอย่างไรเสีย เขาก็จะส่งชื่อมาให้นางไว้เว้นแต่ละวัน นางประหลาดใจมาก ว่าเขาเลี่ยงใช้คำที่ไพเราะเหล่านั้นโดยสิ้นเชิงได้อย่างไรกัน?เซียวอวี้ทำสีหน้าท่าทางลึกลับ“ก็ชื่อ...เซียวจื่อจู้[1]! เขาจะต้องเป็นเสาหลักของต้าฉี ร่วมค้ำจุนอาณาจักรต้าฉีนี้ไว้ไปพร้อมกับพวกเจ้า!”เขากล่าวอย่างฮึกเหิม แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบงันเฟิ่งจิ่วเหยียนหัวเราะแห้งการนำชื่อที่มั่วซั่วมาใส่ความหมายที่ยิ่งใหญ่โอ่อ่า เช่นนี้จะมีประโยชน์อะไรสิ่งที่นางต้องการคือชื่อสักชื่อหนึ่ง ไม่ใช่ความหมายเหล่านั้น!เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงกับขี้คร้านจะพูดอะไรแล้วแปะ แปะ แปะ!อาลี่ปรบมือ“เพราะดี ๆ! แมงมุมน้อย! ลูกชอบแมงมุมน้อย[2] เหมือนที่ชอบเจี้ยนเจี้ยนเลย!”“เซียวจื่อจู้ที่แปลว่าเสาหลักต่างหากเล่า”เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวเหน็บแนม“ใช่แล้ว สามเสาหลัก พอดีเลย อาหลิ่นกับลูก ๆ ก็ไม่ชอบชื่อตัวเอง เช่นนั้นเปลี่ยนชื่อพร้อมกันเลยดีกว่า เป็นต้าจู้ เอ้อจู้ ซานจู้ รับรองว่าแผ่นดินต้าฉีของพระองค์จะมั่นคงแข็งแรง ตั้งตระหง่านไม่ล้มแน่นอนเพคะ!”อาหลิ่นก้มหน้าอย่างท้อแท้ “เช่นนั้นก็ขอเป็นอาหลิ่
กระทั่งฤดูใบไม้ผลิปีถัดมา หร่วนฝูอวี้ก็ยังไม่ได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสกับรุ่ยอ๋องแต่ความสัมพันธ์แบบสามีภรรยาของพวกเขานั้น ในทางปฏิบัติยังคงอยู่หร่วนฝูอวี้พักอยู่ในจวนอ๋อง บรรดาบ่าวไพร่ต่างก็รู้ว่านางคือพระชายาหลังจากเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ จี๋เอ๋อร์ก็ตัวสูงขึ้นไม่น้อยเพียงแต่ร่างกายของเขายังฟื้นตัวได้ช้ามากหร่วนฝูอวี้สงสารลูกชาย จึงเสาะแสวงหาหมอเทวดาจากทุกสารทิศต้นฤดูร้อนในปีเดียวกัน หมอเทวดาเหยียนเพิ่งจากไปแพทย์เปี่ยมคุณธรรมผู้ซึ่งปรุงยาถอนพิษจากหมอยาได้ บัดนี้ได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบเพื่อเดินทางสู่ชีวิตอันเป็นนิรันดร์แล้วในวันพิธีศพ ฮ่องเต้ทรงเสด็จมาด้วยพระองค์เอง ราษฎรทั้งเมืองก็มาร่วมส่งเขาเช่นกันบทเพลงอันเศร้าโศกบรรเลงขึ้นในวังหลวง ทุกคนต่างเสียใจกับการจากไปของเขาบางคนแสวงหาหนทางสู่ความเป็นนิรันดร์ แต่บางคนกลับเกลียดชีวิตนิรันดร์ในระหว่างที่ตระกูลถานไถถูกคุมขัง มีหลายคนเลือกที่จะปลิดชีพตัวเองถานไถจิ้งให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง เด็กคนนั้นพิเศษมาก เขาสามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดได้ขณะได้ยินเสียงร้องไห้ของลูก ถานไถจิ้งก็หลั่งน้ำตาแห่งความสุขออกมา“อาเหยี่ยน เจ้ากลับมาแล้
รุ่ยอ๋องเอ่ยด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ข้าเผลอดีใจไปหน่อย ลืมไปว่าเจ้ามองไม่เห็น เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่อาอวี้...”หร่วนฝูอวี้สะบัดมือเขา“ไสหัวไป! นี่เป็นคำเตือนจากสวรรค์ อยู่กับท่าน ข้าจะไม่มีวันราบรื่น!”พูดจบก็ตะโกนเรียกเก๋อสือชี “เจ้าสุนัขสือชี เจ้ามานำทางข้า”“มาแล้ว ศิษย์พี่!”……รุ่ยอ๋องได้เขียนจดหมายถึงพ่อบ้านของจวนก่อนแล้ว เรื่องงานแต่งงานทุกอย่าง ล้วนถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงหาฤกษ์งามยามดีเท่านั้นหร่วนฝูอวี้พูดขึ้นมา “การหกล้มครั้งนี้ ถือเป็นลางร้าย ข้าปฏิเสธการแต่งงาน”รุ่ยอ๋องไม่เห็นด้วย“อุปสรรคมากมายขนาดนั้น พวกเราล้วนผ่านมาด้วยกันแล้ว ตอนนี้กลับเพียงสะดุดล้มเจ้าก็...”เก๋อสือชีหัวเราะพลางพูดขึ้นมา“ศิษย์พี่เขย ท่านไม่เข้าใจ ศิษย์พี่รักสวยรักงาม อยากรอจนกว่าโฉมหน้ากลับมางดงามก่อน ค่อยเป็นเจ้าสาว”หร่วนฝูอวี้:...รุ่ยอ๋องไม่อยากจะเชื่อเขาหันไปมองหร่วนฝูอวี้อย่างแปลกใจ “อาอวี้ เจ้าคิดเช่นนี้จริงหรือ?”เก๋อสือชีพูดเสริม “แน่นอนสิ! ศิษย์พี่พกเครื่องประทินโฉมติดกายตลอดเวลา! จะไม่ใส่ใจใบหน้าของนางได้อย่างไร!”หร่วนฝูอวี้เงียบไป นางนึกว่า รุ่ยอ๋องจะ
เสียวอู่ยืนตัวสั่นอยู่ตรงมุมห้องตรงเตียงนอน ศิษย์พี่มองอาลี่ กลับเอ่ยเรียกชื่ออีกคน“อาหลิ่น เสด็จพ่อกับเสด็จแม่คิดถึงเจ้ามาก เจ้าหลับสบายดีหรือไม่ รอเสด็จพ่อกลับวังแล้ว จะยกบัลลังก์ให้เจ้า…”เสียวอู่: ไม่ใช่สิ! นี่เป็นเรื่องลึกลับอะไรกัน? !เขาเคยได้ยินมาว่า ฝาแฝดบางคู่มีความรู้สึกร่วมกัน แต่ไม่เคยได้ยินว่าสื่อวิญญาณถึงกันได้!หรือว่าศิษย์พี่คิดถึงลูกชายคนโตจนเป็นบ้าไปแล้ว!ทั้งคืน เสียวอู่ตาแดงก่ำ ไม่ได้นอนสักนิด และก็ไม่กล้าหลับวันรุ่งขึ้น นอกจากเขาแล้ว ทุกคนล้วนกระปรี้กระเปร่าเต็มที่ท่านผู้เฒ่าหยวนส่งหยวนจั้นลงเขา ยัดเสบียงแห้งใส่ห่อผ้าให้เขามากมาย ยังไม่ลืมกำชับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในราชสำนักเสียวอู่เดินตามข้างหลัง หาวง่วงไม่หยุด ใต้ตาดำคล้ำข้างหลังมีมือเล็ก ๆ คว้าจับแขนเสื้อเขาไว้เมื่อหันไปมอง ก็เป็นอาลี่...หลานชายคนดีของเขาอาลี่ตัวเล็กมาก จึงใช้นิ้วกวักเรียกให้เขาย่อตัวลงมาพูดด้วยเสียวอู่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเขาเพิ่งย่อตัวลง อาลี่พลันยกมือตบหน้าผากเขาหนึ่งที...กระดาษยันต์สีเหลืองแผ่นหนึ่ง ถูกแปะบนหน้าผากเขาอย่างไม่ทันตั้งตัวกล้ามเนื้อบนใบหน้าเสียวอู่ก
เฟิ่งจิ่วเหยียนสุขุมใจเย็น“ใช้พิษต้านพิษ”“หม่อมฉันพาเขาไปให้เสียวอู่ ให้เสียวอู่กล่อมหลับไปแล้ว”เซียวอวี้เพิ่งจะโล่งใจ ทันใดนั้นหัวใจก็กระตุกขึ้นมาอีกครั้งลูกชายของเขา ไม่วางใจให้เสียวอู่ดูแล อย่างไร เสียวอู่เองยังดูแลตัวเองไม่ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนมองออกถึงความกังวลของเซียวอวี้ จึงวางมือลงบนบ่าของเขา“ดึกมากแล้ว พักผ่อนเถอะ “เป็นเพราะท่านคอยตามใจอาลี่ เอาแต่ใจทุกอย่าง ในฐานะองค์ชาย จะอ่อนไหวเช่นนี้ไม่ได้“อาหลิ่นยังสามารถแยกจากพวกเรา ไปนอนเองได้แล้ว”เซียวอวี้ฝืนพูดโน้มน้าวตัวเอง“ก็จริง ถือว่าเป็นการฝึกฝนเขา”ในเวลาเดียวกันเมืองหลวง ภายในวังแม่นมกำลังคอยดูแลล้างหน้าล้างตาให้รัชทายาทน้อย อย่างไม่กล้าละเลยอาหลิ่นเปลี่ยนสวมชุดนอน ปีนขึ้นเตียงเอง นอนลง ดึงผ้าห่มคลุมตัว สองมือวางลงบนหน้าอก ตบปลอบตัวเองเบา ๆ“อาหลิ่นว่าง่าย นอนหลับ…”แม่นมทั้งสงสารทั้งอยากหัวเราะฝ่าบาทกับฮองเฮาออกจากวังไปหนึ่งเดือนกว่า รัชทายาทคิดถึงจนแทบเพ้อไปแล้วความจริงต่อให้พาองค์ชายอีกคนไปด้วย ก็จะเป็นอะไรไปเล่า?แม่นมแอบเช็ดน้ำตา แล้วหันตัวเดินออกจากห้องบรรทมด้านนอกตำหนัก หนิงเฟยเห็นแม่น
หยวนจั้นไม่ได้ตัดสินใจในทันทีหลังอาหาร ท่านผู้เฒ่าหยวนเรียกหยวนจั้นไปคุยด้วยตามลำพัง“อาจั้น เจ้ากับข้าต่างก็รู้ดีว่า แคว้นตงซานไม่มีทางหวนกลับมาได้อีกแล้ว“สิ่งที่ผ่านไปแล้ว เป็นอุปสรรคของเจ้าได้ แต่ไม่ควรเป็นกรงขังผูกมัดชีวิตของเจ้าตระกูลหยวนเลี้ยงเจ้าเติบโตมาขนาดนี้ หากเจ้ายังยอมรับข้าที่เป็นท่านปู่คนนี้ ก็จงฟังข้า ลงเขาไปกับฮ่องเต้ฉี ทำในสิ่งที่เจ้าควรทำ”แววตาหยวนจั้นแฝงไปด้วยความเจ็บปวด “ท่านปู่ ข้าไม่วางใจ…ไม่วางใจมอบท่านไว้กับเสียวอู่”สีหน้าท่านผู้เฒ่าหยวนฉายแววลังเล“แค่ก ๆ ต้าอู่คนนั้น นิสัยออกจะเหมือนเด็กจริง“แต่เจ้าวางใจได้“ใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบสุขบนภูเขาหวูหยา ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี“เอาล่ะ เรื่องของเจ้าก็ตัดสินใจเช่นนี้เถิด! จะเอาอย่างต้าอู่ที่เอาแต่เรื่อยเปื่อย ไร้ความสำเร็จเลยสักอย่างไม่ได้…”เวลานี้ เสียวอู่โผล่มาอย่างกะทันหัน“ท่านตา ท่านชมหยวนจั้นก็ช่างเถอะ แต่ไยต้องว่าข้าเสีย ๆ หาย ๆ ด้วยเล่า!“ข้าเลวร้ายขนาดนั้นเลยหรือ?”หากไม่มีเขา ยังไม่รู้ว่าทั้งสองคนจะมีชีวิตอยู่อย่างไรท่านผู้เฒ่าหยวนหันศีรษะไปอย่างเชื่องช้า“เจ้ามาทำไม?”เสียวอู่หั