นางที่ใบหน้ามีรอยแผลเป็นฝังลึกไม่มีวันหาย เขาผู้ที่ลักพาตัวนางไปเพราะต้องการดาบหลอมพิษ ส่วนอีกคนก็คือบุรุษหนุ่มสวมหน้ากากสีเงินลึกลับ ที่ไถ่นางในราคาห้าพันตำลึงทอง!!
view moreบทนำ
‘เมืองหมานแห่งทิศทักษิณว่ากันว่าเป็นสถานที่ตั้งสำหรับไว้เก็บคนงาม มีเพียงคนเมืองหมานเท่านั้นที่จะได้ยินข่าวลือนี้ ผู้คนต่างถิ่นมักไม่เคยได้ยินข่าวลือนี้ หากคนเมืองหมานคนใดไม่เชื่อก็ต้องแสร้งเดินผ่านจวนแม่ทัพใหญ่เพื่อมองหาคุณหนูใหญ่แห่งสกุลเสวี่ยดู หากยังไม่พบก็ให้ไปเยือนหอวสันต์สีชาดแล้วรอชมดาวเด่นอันดับหนึ่งบรรเลงกู่เจิงดู แล้วจะต้องประจักษ์แจ้งทั่วกันว่าข่าวลือนี้มิได้โกหกแต่อย่างใด!’
หอวสันต์สีชาด
หากพูดถึงหอนางโลมที่เต็มไปด้วยบุรุษมักมาก หรือสำหรับบางคนอาจจะแฝงตัวเพื่อเข้ามาสืบข่าวคราวต่างๆ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องใดล้วนต้องมายังหอวสันต์สีชาดแห่งนี้
และหอโคมแดงแห่งนี้ยังมีดาวเด่นหนึ่งนางที่พึงขายศิลป์มิขายตัว แต่เต็มไปด้วยความสามารถศาสตร์ศิลป์ ศาสตร์ดนตรีอันมากล้น
‘มู่ชิงตาน’
นางคือโฉมงามแห่งเมืองหมานอีกนางหนึ่งนอกเหนือจากคุณหนูเสวี่ยแล้ว แต่ที่คนทั้งเมืองคิดไม่ถึงเลยก็คือพวกนางมีสถานะพิเศษต่อกัน โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้มาก่อน
สหายยามวัยเยาว์...
‘มู่ชิงตาน’ ที่เป็นดาวเด่นของที่นี่ได้รับความพอใจจากแม่เล้าเนื่องจากทำยอดให้หอคณิกาได้สูงที่สุดต่อหนึ่งราตรี แม้นางจะพึงขายศิลป์มิขายตัวแต่ก็มีบุรุษยศศักดิ์ใหญ่โตชื่นชมนางมากหน้าหลายตา จนตำแหน่งคณิกาอันดับหนึ่งต้องยกให้แก่นางผู้เดียว
สาวใช้ในหอวสันต์สีชาดนางหนึ่งกำลังประคองสมุนไพรยาสำรับใหญ่ พลางเดินอย่างรีบร้อนมุ่งหน้าไปยังเรือนพักของดาวเด่นในหอวสันต์สีชาด
“หลีกทางหน่อยเจ้าค่ะ หลีกทางหน่อยเจ้าค่ะ” ปากเล็กก็พลางร้องบอกตลอดทาง สองมือก็พยายามบังคับไม่ให้สำรับยาหลุดมือ
“อีกแล้วหรือนี่”
เสียงซุบซิบของนางคณิกายังคงดังมาตลอดทางที่สาวใช้นางนี้เดินผ่าน แม้พวกนางจะไม่ได้พูดออกมามากกว่านี้ นางก็รู้ดีว่าคนที่คณิกาพวกนี้พูดถึงนั้นคือผู้ใด สาวใช้ตัวน้อยแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินก่อนจะผลักประตูเข้าไปในห้อง
ขณะนี้ดาวเด่นที่สง่างามกว่าผู้ใดกำลังนอนป่วยเจียนตาย ใบหน้าแดงก่ำหายใจติดขัดอย่างเห็นได้ชัดอยู่บนเตียง
“แม่นางชิงตาน อดทนหน่อยนะเจ้าคะ” สาวใช้วางสำรับยาลง ก่อนจะบิดผ้าชุบน้ำแล้วลงมือเช็ดตัวให้มู่ชิงตาน จากนั้นจึงประคองถ้วยยาให้นางดื่ม
จนเมื่อนางเริ่มหายใจสม่ำเสมอ นางถึงได้กล้าละจากมู่ชิงตาน แล้วห่มผ้าให้สาวงามอย่างดี ก่อนจะเก็บถ้วยยาแล้วปิดประตูห้องให้ช้าๆ
สาวใช้นางนี้เดินไปขบคิดไป แม่นางชิงตานช่างอาภัพนัก นางป่วยเช่นนี้ตั้งแต่อายุสิบสองปี ไม่มีหมอใดรักษาได้ ยามอาการนางกำเริบมักจะแขนขาอ่อนแรง ไข้ขึ้นสูงและหายใจติดขัดเสมอ ยาที่นางได้รับทุกครั้งก็เป็นเพียงสมุนไพรที่ช่วยในเรื่องให้ลมหายใจผ่อนคลายลงเท่านั้น
เรื่องที่นางป่วยแน่นอนว่าต้องถูกปิดเป็นความลับ ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงของหอวสันต์สีชาดคงต้องดับลงตั้งแต่บัดนี้!
มู่ชิงตานลืมตาขึ้นช้าๆ นางกระหายน้ำอยู่มากก่อนจะลุกขึ้นมา หมายจะเทน้ำบนหัวเตียง แต่แล้วก็มีเงาตะคุ่มสีดำกระโดดเข้าทางหน้าต่างห้องนอน นางที่ยังไม่ทันได้ตกใจ ก็ถูกเงาร่างนั้นเข้าประชิดนางใกล้ๆ ก่อนจะเอามือหยาบๆ มาปิดปากนางไว้แน่น
เสียงแหบแห้งของบุรุษเอ่ยขึ้นเนิบช้า แฝงไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนที่ทำให้ผู้ฟังอ่อนระทวย “ที่นี่ใช่ห้องของมู่ชิงตานหรือไม่”
“!!!”
เมื่อทั้งสองมาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนของโม่จือตาน หญิงสาวก็ตรงดิ่งไปทางห้องนอนเล็กของเด็กน้อยทั้งสอง ก่อนจะได้ยินเสียงกระซิบลอดออกมาแทน“พี่อีเหริน พี่ว่าวันนี้ท่านพ่อกับท่านแม่จะกลับมาหรือยัง” เด็กชายถามผู้เป็นพี่สาวที่อยู่เตียงข้างๆ“พี่ไม่รู้เหมือนกัน แต่ท่านแม่สัญญาแล้วว่าจะพาท่านพ่อกลับมา เจ้าก็นอนได้แล้ว”โม่จือตานไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เด็กพวกนี้ยังไม่ได้หลับเลยนี่นา!“ยังไม่อยากนอนเลย เอ้อร์หลานกลัวว่าจะพลาดตอนที่ท่านแม่กับท่านพ่อกลับมาแล้ว แต่ตัวเอ้อร์หลานยังหลับอยู่บนที่นอน”หญิงสาวกุมขมับแน่น ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกจากลำคอ “ถ้าพวกเจ้ายังไม่หลับ แม่จะออกไปเที่ยวกับพ่ออีกครั้งแล้วนะ”“ท่านแม่!!” เด็กน้อยสองคนวิ่งออกมาจากนอกห้อง จากนั้นก็พบร่างสูงอีกร่างที่เคียงคู่กัน “ท่านพ่อ!!”ร่างเล็กกระโดดขึ้นกอดซวี่รุ่ยเข่อแน่น น้ำตาของเด็กน้อยไหลออกมาพร้อมความทรงจำต่างๆ นาๆ ที่พรั่งพรูออกมายามเจอผู้เป็นบิดาครั้งแรก‘นายท่าน... ข้าน้อยและน้องชายยินดีรับใช้ท่าน ที่ซื้อตัวข้าทั้งสอง แต่ได้โปรดซื้อโลงศพให้บิดาข้าน้อยแล้วทำพิธีให้ด้วยเจ้าค่ะ’ เด็กสาวก้มหน้าแนบลงพื้นดินใกล้เท้าชายหนุ่มร่า
“ชิงเอ๋อร์ อย่าโกรธข้าเลยนะ ข้าทำเพื่ออยากตอบแทนบุญคุณให้ท่านพ่อตา แต่กลัวเจ้าจะเป็นห่วงเช่นนี้...เลยไม่ได้บอก” ชายหนุ่มอธิบายไปด้วยกอดเอวนางพร้อมกับซุกหน้าที่ซอกคอนางไปด้วย“แล้วเป็นเช่นไร สุดท้ายเสี่ยวชิงก็ต้องมาตามหาท่าน”“อืม...กลายเป็นว่าคนที่ข้าติดหนี้ชีวิต จะเป็นภรรยาตัวแสบของข้า” จากนั้นก็ก้มหน้าหอมนางหนึ่งฟอดโดยไม่อายผู้ใด“นี่! ไม่อายผู้อื่นเลย” โม่จือตานทั้งตวาดทั้งเขินอาย ตำหนิชายหนุ่มที่ส่งมอบความรักให้โดยไม่เลือกสถานที่ชนเผ่าทะเลทรายแสร้งทำเป็นไม่มองทำงานของตัวเองเดินผ่านพวกเขาทั้งคู่ไป...หลังจากทั้งคู่ทานอาหารที่ชนเผ่าสาวยกมาให้ เลยตั้งใจว่าจะพักอยู่ที่นี่อีกหนึ่งราตรีก่อนจะกลับสำนัก“เสี่ยวชิง...ที่นี่ก็ได้บรรยากาศดีนะ”ไม่ผิดจากที่ซวี่รุ่ยเข่อคาดไว้ ทันทีที่โม่จือตานได้ยินเขาพูดเช่นนี้ออกมา ก็ปรากฏดวงหน้าสีชมพูระเรื่อขึ้นมาเห็นแล้วราวกับผลไม้ที่กำลังสุกงอมได้ที่“เสี่ยวชิง คืนนี้นะ” จากนั้นหญิงสาวก็วิ่งหายออกไปไม่รอให้เขากล่าวคำพูดแทะโลมใดๆ อีกเมื่อยามโพล้เพล้มาถึง พระอาทิตย์ตกลงเส้นขอบของทะเลทราย เห็นเป็นภาพงดงามที่ยากจะลืมเลือน“สวยมากเลยนะเจ้าคะ” โม่จือตานที่ได้
15ร่างเพรียวบางของสตรีโฉบลงมาเหยียบระหว่างกึ่งกลางของพื้นดินและพื้นทราย ก่อนจะตัดสินใจสะบัดย่ามไปข้างหลังแล้วก้าวเข้าไปในเขตที่ร้อนระอุระหว่างทางก็ยังพบคนชนเผ่าสัญจรไปมาสม่ำเสมอ นางก็กล่าวทักทายไปตามมารยาทเช่นกัน โม่จือตานปาดเหงื่อบนหน้าผากออกเพราะความร้อน“แม่นางมีเรื่องอะไรต้องเดินทางมาถึงทะเลทราย หรือว่าหลงทางกัน” สตรีชนเผ่านางหนึ่งเอ่ยถามนางขึ้นขณะที่ยังยกโอ่งน้ำไว้บนหัวโม่จือตานราวกับได้เปิดหูเปิดตามองสตรีที่ขนน้ำเข้ามาในทะเลทรายด้วยสีหน้าตื่นเต้น “เปล่าหรอก ข้าแค่มาหาคน ว่าแต่...เจ้าไม่หนักหรือ” ว่าแล้วก็ชี้ขึ้นไปบนหัว“ไม่หรอก มันเป็นเรื่องปกติของเผ่าเรา ต้องเปลี่ยนกันไปหาน้ำ ล่าสัตว์เพื่อมาเลี้ยงคนในเผ่าน่ะ” นางอธิบายยาวเหยียด “ถ้าแม่นางไม่ได้หลง ข้าก็ขอตัวก่อน ขอให้ท่านโชคดีเจอคนที่กำลังตามหานะ”โม่จือตานยินดีรับคำอวยพรที่หญิงชนเผ่านางนั้นให้ ก่อนจะย่างเท้าเข้าไปลึกกว่าเดิมเวลาล่วงเลยมานานจนถึงเวลาค่ำ เสียงจันทร์กระจ่างส่องกระทบร่างเล็กที่ยังไม่หยุดพัก แม้เจ้าสำนักจะเคยบอกนางแล้วว่าทะเลทรายตอนราตรีนั้นน่ากลัวมาก ให้หยุดพักแล้วกางกระโจมก่อน แต่นางไม่รู้ว่ายามนี้ซวี่รุ่ยเข่
โม่จือตาน และ ‘ซวี่รุ่ยเข่อ’ เดินมาทางโต๊ะอาหารพร้อมกัน นางเองก็ช่วยประคองร่างเขาอย่างดี โม่อู๋หลินที่เพิ่งมาถึงก็มองมาทั้งคู่ด้วยสายตาเหนื่อยล้า“ทำไมยังไม่กินกันล่ะเจ้าค่ะ เสี่ยวชิงว่าพี่เข่อกับท่านอาเล็กคงจะเหนื่อยน่าดู รีบยกอาหารมาให้ทั้งคู่เถอะเจ้าค่ะ” โม่จือตานให้เขานั่งลงใกล้นาง ก่อนจะรินน้ำให้เป็นอันดับแรก “พี่เข่อ...น้ำเจ้าค่ะ”“อืม...ขอบ... แค่ก!” ยังไม่ทันพูดอาการไอก็กำเริบขึ้นมาอีก“แค่ไปทำภารกิจแค่นี้ถึงขั้นไม่สบายกลับมาเชียวหรือเจ้าคะ พี่เข่อนี่เหตุใดไม่รักตัวเองเสียเลย” นางกล่าวเสร็จก็ช่วยทุบหลังให้เช่นเดิม“ท่านแม่ๆ ท่านพ่อเป็นอะไรไหมเจ้าคะ ไอจนหน้าแดงหมดแล้ว” ซวี่อีเหรินถามด้วยความสงสัย“ท่านพ่อของพวกเจ้าคนนี้น่ะ ไม่เป็นอะไร...” หยุดพูดครู่หนึ่ง ก็พูดต่อพพร้อมกับตบบนแผ่นหลังอย่างแรงพร้อมกัน “...หรอก!!”“โอ๊ย!!”โม่จือตานกล่าวเสร็จก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปโดยไม่หันไปมองผู้ใดอีก จากนั้นฝีเท้าเล็กๆ สองคู่ก็วิ่งตามออกไปเช่นกัน“ข้าบอกแล้ว ยังไงนางก็จำได้” เสียงบ่นลอดออกมาจากปากของ ‘ซวี่รุ่ยเข่อ’ ที่ใช้มือลูบหลังอันแสบร้อนแม้มันจะไปไม่ถึงทั่วทั้งแผ่นหลัง“เอาน่า ยังมีอีเหร
โม่หวางเป้ยยืนเอามือไพล่หลังมองบนดวงจันทร์ด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม พระจันทร์ก็ขึ้นนานแล้วเหตุใดยังไม่เกิดสิ่งใดอีก“ท่านพี่กลุ้มใจเรื่องเสี่ยวเข่อหรือเจ้าคะ” จูซิงอีเดินมาประชิดข้างกายสามี ก่อนจะใช้ผ้าคลุมร่างให้เขา “คืนนี้อากาศหนาวเย็น ท่านอย่าฝืนตัวเองนักเลย”“อืม... เจ้าบุตรเขยของข้านั้นน่าเป็นห่วง ไม่รู้ว่ายามนี้จะเป็นเช่นไร ข้าส่งจดหมายไปให้เขาด้วยเหยี่ยวของสำนัก แต่ดูเหมือนว่าจะไปไม่ถึง”ที่เหยี่ยวบินเข้าไปไม่ถึง เป็นไปได้ว่าทะเลทรายที่ซวี่รุ่ยเข่อเดินทางเข้าไปคงลึกมากเป็นแน่“ท่านพี่ เดิมทีข้าก็คิดว่าเขาเก่งกาจและไม่น่าเป็นห่วง แต่เสี่ยวเข่อเล่นหายไปโดยไร้ร่องรอยตอบกลับเช่นนี้ข้าก็เป็นห่วงเขาขึ้นมาจริงๆ” ภรรยาของเจ้าสำนักถอนหายใจอยู่ด้านข้าง “ข้ารู้สึกผิดต่อเสี่ยวชิงเหลือเกิน”ยามที่ได้ยินภรรยาตัดพ้อเช่นนี้เขาก็ถูกกระแสบางอย่างเข้ามาในหัวจังๆ ราวกับว่าเขาเป็นคนผิดที่สั่งบุตรเขยไปสถานที่อันตรายเช่นนั้น “ข้าสิต้องรู้สึกผิดต่อลูก น้องหญิง...ไม่ใช่เจ้า เป็นข้าเอง ข้าส่งจดหมายไปหลายครั้งว่าถ้าเขาเหนื่อยก็ให้กลับมา แล้วหาวิธีอื่น แต่ยามนั้นข้าเป็นห่วงอาหลินจนลืมคิดวิธีสำรอง คิดว่าต้องหาพื
หลังจากที่ทั้งสามแวะทักทายติงเจี่ยและสวี่เซวียเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น โม่จือตานก็พาเด็กทั้งคู่แวะไหว้พระที่นอกประตูสำนักพร้อมกับบอกลูกๆ ว่าให้ขอพรเพื่อซวี่รุ่ยเข่อจะได้ทำภารกิจสำเร็จจนปลอดภัยหลับมา“ท่านแม่ขอรับ ถ้าเอ้อร์หลานปักธูปไปในกระถาง ท่านเทพจะได้ยินคำอวยพรแล้วไปช่วยท่านพ่อใช่หรือไม่ขอรับ” เด็กชายขอพรเสร็จก็เข้ามาประจบโม่จือตานทันทีนางมองซวี่เอ้อร์หลานด้วยแววตาอ่อนโยน มือบางก็ยกขึ้นลูบหัวไปมา “อืม ลูกเก่งมาก ตัวแค่นี้ก็ปักธูปด้วยตัวเองได้แล้ว”ซวี่อีเหรินจึงรีบปักธูปลงไปบ้างก่อนจะกระโจนเข้าไปกอดนาง “ท่านแม่ อีเหรินก็ปักธูปให้ท่านเทพไปช่วยท่านพ่อแล้วเจ้าค่ะ”“อีเหรินตัวน้อยของแม่ก็เก่งมากเหมือนกัน” โม่จือตานหัวเราะให้กับนิสัยประจบประแจงของทั้งคู่ ถึงปากเล็กจะพร่ำบอกเช่นนั้นแต่มือของนางก็กอดเด็กสาวเข้ามาใกล้ชิดนางมากขึ้นเช่นกันอีกด้านหนึ่งนั้นซวี่รุ่ยเข่อตื่นขึ้นมากลางทะเลทรายในทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นฝูหยวน เนื่องจากตัวเขามีวิชาตัวเบาที่ดีเลิศ การมาถึงที่นี่ในเวลาหนึ่งวันย่อมเป็นไปได้ แต่...นี่ก็จะปาเข้าอาทิตย์ที่สองแล้ว เขารอมาทุกราตรีกลับไม่มีทีท่าว่าดวงจันทร์จะเกิดปรากฏก
Mga Comments