จากนั้นเขาก็เก็บกลิ่นอายพลังลงแล้วอำพรางตัวอีกครั้ง ก่อนจะออกจากถ้ำแล้วกลับไปยังร้านโอสถจางเสี่ยวอวี๋เห็นเย่ซิวก็รีบวิ่งเข้ามาหา “เถ้าแก่ นายกลั่นโอสถนั่นเสร็จหรือยัง”ยัยคนนี้ถึงขั้นหมกมุ่นกับเรื่องนั้นไปแล้ว คิดวนเวียนไม่หยุดทั้งวันทั้งคืนเย่ซิวดูเวลาก็เห็นว่าใกล้จะปิดร้านพอดี จึงบอกเธอว่า “ไปที่ห้องเธอกัน”จางเสี่ยวอวี๋เริ่มรู้สึกประหม่า หัวใจก็เต้นเร็วขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ แก้มก็แดงระเรื่อขึ้นมาเธอพยักหน้าเบา ๆ ก่อนจะไปปิดร้าน จากนั้นก็พาเย่ซิวไปที่บ้านของตัวเองเพราะที่ยอดเขาโอสถคนไม่ได้เยอะ จางเสี่ยวอวี๋เลยมีถ้ำเป็นของตัวเองหนึ่งหลัง ถึงจะไม่ใหญ่ก็เถอะ แถมเธอยังไม่มีเงินพอจะวางค่ายกลอะไรไว้ในถ้ำ ดูแล้วก็ออกจะเรียบง่ายไปหน่อย“เถ้าแก่ ดื่มชาค่ะ” จางเสี่ยวอวี๋ยกชามาให้เย่ซิว แล้วก็นั่งบีบมือตัวเองไปมาอย่างประหม่าสุด ๆ “แล้วต่อจากนี้ต้องทำยังไงเหรอ?”เย่ซิวเห็นท่าทางประหม่าแบบนั้นแล้วก็ขำไม่ไหว “นั่งก่อนเถอะ โอสถน่ะ ฉันกลั่นเสร็จแล้ว นี่ไง”เขาหยิบขวดโอสถออกมายื่นให้จางเสี่ยวอวี๋เป็นชุดที่เขากลั่นควบคู่ไว้ตอนอยู่กับหานเฟิงก่อนหน้านี้จางเสี่ยวอวี๋คว้าขวดโอสถไปอย่า
“หือ?” เย่ซิวเริ่มสนใจขึ้นมาทันที “ตำราโอสถโบราณแบบไหนเหรอ?”หานเฟิงหยิบหนังสัตว์เก่าแก่ออกมาจากในอกเสื้อ และวางลงตรงหน้าเย่ซิวแค่เพียงกวาดตามอง เย่ซิวก็รู้สึกเกร็งไปทั้งตัว เขาหยิบหนังสัตว์นั้นขึ้นมาดูอย่างละเอียดบนหนังสัตว์จารึกไว้ด้วยตำราโอสถที่เรียกว่า โอสถกระบี่ เป็นโอสถที่เมื่อกินเข้าไปแล้วจะช่วยเสริมพลังในวิถีกระบี่และมันยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการฝึกกระบี่ในช่วงเวลาหนึ่งได้อย่างมากอีกด้วยถ้าโอสถนี้ตกไปอยู่ในมือสายเซียนกระบี่ รับรองว่าพวกนั้นต้องคลั่งแน่นอนเย่ซิวมองหานเฟิง “ตำราโอสถที่ล้ำค่าขนาดนี้ คุณจะให้ผมง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ?”หานเฟิงไม่ได้ใส่ใจนัก “อย่างแรกเลยนะ มันต้องใช้นักปรุงยาระดับนักบุญในการกลั่นมันสองคือวัตถุดิบหลายอย่างในตอนนี้แทบหาไม่ได้แล้ว สามคือต่อให้เก็บไว้กับฉันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เอาให้นายไปน่าจะดีกว่า ถือเสียว่าเป็นการใช้หนี้บุญคุณก็แล้วกัน”เย่ซิวเริ่มรู้สึกดีกับหานเฟิงมากขึ้น ผู้ชายคนนี้ทำอะไรตรงไปตรงมา ชัดเจนจริงใจ ได้ร่วมมือกับคนแบบนี้รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะบางทีด้วยนิสัยซื่อตรงแบบนี้เอง อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาพ่ายแพ้ให้กับเจ้าสำน
ประการที่สอง ผมมาเพราะอยากจะขอความร่วมมือ”หานเฟิงมองเย่ซิว “ตอนนี้พวกเราอยู่ในสภาพไม่ดีนัก ศิลาวิญญาณก็แทบจะไม่เหลือ ถ้านายจะมาเสนอขายโอสถก็คงมาผิดที่แล้วล่ะ เราซื้อไม่ไหวหรอก”“ผมไม่ได้จะมาขายโอสถ” เย่ซิวพูดอย่างใจเย็น “ผมอยากขยายช่องทางขายออกไปข้างนอก แต่หนึ่งเลยคือ ผมยังไม่มีเส้นสายและสอง ผมไม่มีลูกมือเก่ง ๆ ถ้าได้ร่วมมือกับพวกคุณ เราก็น่าจะทำธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นได้”หานเฟิงไม่ได้ดีใจ กลับกันยังขมวดคิ้วเหมือนยังเดาใจเย่ซิวไม่ออก“ทำไมนายถึงมาหาฉันล่ะ ไปหาฝ่ายเจ้าสำนักไม่ดีกว่าเหรอ อีกอย่าง นายก็ดูสนิทกับเฉินเยียนจือด้วยนี่นา”ถึงฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะไม่ค่อยออกหน้า แต่ข้อมูลข่าวสารพวกเขาก็ไม่เคยขาดตอนนี้เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าเย่ซิวอาจกำลังวางกับดักอะไรบางอย่าง“ผู้ชายก็ต้องชอบสาวสวยเป็นธรรมดา แต่เรื่องนั้นมันไม่เกี่ยวกับงานใหญ่นี่ครับ” ความสุขุมและความมั่นใจที่เย่ซิวแสดงออกมา ทำให้หานเฟิงต้องมองเขาใหม่“ผมรู้ว่าตอนนี้พวกคุณลำบาก ถ้าร่วมมือกับผม ผมจะได้กำไรมากขึ้น แต่ถ้าไปจับมือกับฝั่งเจ้าสำนัก ประโยชน์ที่ได้มันน้อยกว่านี้เยอะ แบบนี้พอจะทำให้คุณคลายกังวลได้รึเปล่า”หานเฟิงคร่ำ
จางเสี่ยวอวี๋ถึงกับอึ้ง มองเย่ซิวด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ “นายจะทำแบบนี้ได้ยังไง?”เย่ซิวไหวไหล่ “ทำไมจะทำไม่ได้ ก็ไม่ได้บังคับให้เพื่อนเธอต้องซื้อนี่ มันก็แค่ต่างคนต่างยินยอม”จางเสี่ยวอวี๋รู้สึกลังเลจนพูดไม่ออกเธอมองใบหน้าหล่อเหลาของเย่ซิว แล้วก็แอบคิดในใจว่าถ้ามันได้ผลจริง เธอจะลองพิจารณาดูก็ไม่เสียหาย“งั้นเถ้าแก่รับประกันได้ไหมว่าโอสถนั่นกินแล้วจะได้ผลแน่นอน?”เย่ซิวกลั้นยิ้ม “แน่นอนว่าต้องได้ผลอยู่แล้ว เธอยังไม่รู้จักฝีมือการกลั่นโอสถของฉันอีกหรือไง?”สีหน้าของจางเสี่ยวอวี๋เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กัดฟันพูดว่า “ก็ได้ ฉันยอมก็ได้”“ยอมอะไร? ไม่ใช่เพื่อนเธอเหรอที่อยากได้โอสถ?”จางเสี่ยวอวี๋เงยหน้าขึ้น มองสีหน้าของเย่ซิวที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ถึงได้รู้ตัวว่าเขารู้มาตลอด แถมยังจงใจแกล้งเธออีกต่างหากด้วยความอับอายจนกลายเป็นโกรธ เธออดไม่ได้ที่จะคว้าแขนเขามาแล้วกัดลงไปแรง ๆ ทีหนึ่งแต่ด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายเย่ซิว เพียงแค่กัดไปครั้งเดียว ฟันของจางเสี่ยวอวี๋ก็แทบจะหักหมดปากเธอรีบยกมือขึ้นกุมปาก น้ำตาคลอเบ้า มองเย่ซิวด้วยสายตาเว้าวอนเย่ซิวหัวเราะเสี
เย่ซิวอดหัวเราะออกมาเบา ๆ ไม่ได้ แม่สาวน้อยคนนี้รู้จักเอาใจคนจริง ๆเขาส่ายหัวเบา ๆ และไม่ได้ต่อปากต่อคำกับเธอ แต่ถามถึงสถานการณ์ของร้านโอสถระหว่างช่วงที่เขาไม่อยู่พอพูดถึงเรื่องนี้ จางเสี่ยวอวี๋ก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบเล่าให้เย่ซิวฟังยาวเหยียดใจความหลักก็คือกิจการดีมาก ทุกวันทำกำไรสุทธิได้ราว ๆ สองล้านเลยทีเดียวรายได้นี้มากกว่าที่เย่ซิวประเมินไว้ถึงเท่าตัว เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นจางเสี่ยวอวี๋จึงตอบด้วยความภูมิใจสุด ๆ “เพราะฉันรู้จักพ่อค้าคนกลางข้างนอกที่เก่งมากคนหนึ่งน่ะ เขาสนใจโอสถของเถ้าแก่มากเลยก็เลยให้ฉันขายส่งให้เขาทุก ๆ สองสามวัน ที่สำคัญคือราคาที่ขายให้เขายังแพงกว่าที่ขายให้คนในสำนักอีกนะ”เย่ซิวเอ่ยชมทันที “ไม่เลวเลยนะ มีหัวการค้าดีมาก เดือนนี้ฉันจะเพิ่มให้เธออีกหนึ่งพันศิลาวิญญาณ ถือเป็นโบนัสก็แล้วกัน”ดวงตาของจางเสี่ยวอวี๋ถึงกับหรี่ยิ้มจนเกือบกลายเป็นเส้นตรงก่อนจะรีบขอบคุณไม่หยุด พลางประจบเอาใจสารพัด ทั้งชม ทั้งสรรเสริญ ชนิดที่แม้แต่เย่ซิวยังเริ่มรู้สึกไม่ไหว“พอ ๆ หยุดเลย เลี่ยนเกินไปแล้ว” เย่ซิวยกมือห้าม “แต่เธอก็อย่าละเลยก
ณ สถานที่ปิดด่านของร่างแยกทั้งห้าธาตุเจ้าสำนักยืนมองพลังธาตุที่บริสุทธิ์และแน่นหนาทั้งห้าที่แผ่ออกจากร่างของร่างแยกแต่ละคนด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแห่งความตื่นเต้น“พวกเขาเติบโตเร็วกว่าที่ฉันคิดไว้มาก เพียงเวลาไม่นานก็เริ่มจะเข้าสู่ระดับจินตานได้แล้ว”บรรดาผู้อาวุโสต่างก็เต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและตื่นเต้นไม่แพ้กัน “นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเคยเห็นเด็กหนุ่มที่พรสวรรค์ร้ายกาจขนาดนี้และครั้งนี้ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่มีถึงห้าคน แถมแต่ละคนยังมีพรสวรรค์ที่สามารถกดหนานกงอู๋ซวงให้จมดินได้เลยด้วย”เจ้าสำนักพยักหน้าเห็นด้วยในอดีตเขาเคยคิดว่าหนานกงอู๋ซวงคือผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศแต่เมื่อเทียบกับทั้งห้าคนตรงหน้าแล้ว เขาเทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำขณะนั้น ผู้อาวุโสอีกคนก็เอ่ยขึ้นมา “เจ้าสำนัก คุณลองพิจารณาเรื่องที่ให้เยียนจือแต่งงานกับอู๋ซวงใหม่อีกครั้งดีไหม ศิษย์ทั้งห้าคนนี้ จะคนไหนก็ล้วนเหนือกว่าเขาทั้งนั้น”เจ้าสำนักไม่ได้โต้แย้งอะไรในทันที แต่กลับนิ่งเงียบลงและเริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจังตูม! ตูม! ตูม!เกิดเสียงดังสนั่นดูน่าสะพรึงกลัว ร่างแยกทั้งห้าก็แทบจะทะลวงระดับจินตานสำเร็จในเวลาเดียวกันเจ้าสำนั