เข้าสู่ระบบนอกจากซินซินตัวน้อยที่ยิ้มร่าเริงในความโชคร้ายของผู้หญิงตรงหน้าแล้วคนบ้านซูล้วนไม่ได้ใส่ใจใด ๆ กับอี้เหลียนทั้งสิ้น ตอนนี้ทุกคนจึงได้พากันเดินกลับมายังบ้านหลังใหม่ของตนด้วยความสุขใจที่ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน เสียที
ทางด้านบ้านตระกูลหลงเมื่ออี้เหลียนได้กลับไปถึงก็ได้แต่ร้องห่มร้องไห้ตัดพ้อต่อว่าในโชคชะตาทำไมตนถึงเป็นคนที่โดนผึ้งรุมต่อยอยู่คนเดียวเหตุใดคนอื่นยืนอยู่ก็หลายคนทำไมถึงไม่มีใครโชคร้ายเหมือนเธอ
เธอจึงคิดว่าต้องเป็นเพราะอดีตเมียแรกของสามีตนเป็นแน่ดังนั้นเมื่ออี้เหลียนเห็นตาอี้เข้าบ้านมาเธอจึงได้ใช้มารยาของตนพูดกล่อมว่าร้ายบ้านอดีตเมียของสามีพร้อมทั้งยังบีบน้ำตาออกมามากมายอีกด้วย
ทางฝ่ายตาอี้ที่เห็นเมียรักของตนปากบวมเจ่อและน้ำตาไหลอาบใบหน้าทั้งสองข้างก็รู้สึกแค้นใจแทนเมียรักของตนเป็นอย่างมาก และคิดว่าจะต้องออกไปจัดการกับคนบ้านนั้นสักหน่อยแล้ว
ทางด้านฝั่งของคนบ้านซูในตอนนี้เมื่อเข้าประตูใหญ่มาแล้วก็ต้องปลดปลงกับสภาพบ้านของตน แม้จะหลังใหญ่และยังคงแข็งแรงดีอยู่แต่ว่าก็ยังมีร่องรอยของความเสียหายอยู่มากเช่นกันเพราะขาดการดูแลและซ่อมแซมมานาน
ตอนนี้ทุกคนก็ต้องพากันอาศัยอยู่ห้องทางด้านตะวันออกที่มีเพียงสองห้องไปก่อน ห้องฝั่งทางนี้แม้ว่าจะมีจุดที่หลังคารั่วอยู่บ้างแต่ก็ยังมีไม่มากนักไม่เหมือนทางอีกฝั่ง
ตอนนี้ซินซินตัวน้อยก็ได้ทำปากจุบ ๆ จิบ ๆ เพราะหิว ผู้เป็นแม่จึงได้เข้ามายังห้องที่แม่สามีเตรียมไว้เป็นห้องนอนสำหรับตนและสามีแล้วโดยอยู่ข้างห้องของเยว่จิน ตอนนี้ ซินซินตัวน้อยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นเพราะเมื่อดูดน้ำนมที่เธอชื่นชอบแล้วตาก็ปรือลงแล้วก็หลับไป เมื่อซูเหมยเห็นว่าเจ้าตัวน้อยหลับไปแล้วตัวเองก็ยังคงอุ้มลูกวางพาดบ่าแล้วลูบหลังเบา ๆ เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวเล็กไม่ตื่นแน่ ๆ จึงได้วางลงอย่างเบามือ
ในความฝันของเจ้าตัวน้อยซินซินเข้ามานั่งอยู่ในศาลาท่ามกลางสวนดอกไม้ของตนในตอนที่ได้อยู่กับเจ้าแม่หนี่วา เมื่อซินซินนั่งเล่นไปสักพักก็มีลมพัดพาเอากลิ่นหอมของ มวลบุพชาตินานาพันธุ์ลอยมากระทบนาสิกของเจ้าตัวทันที ซินน้อยสูดกลิ่นหอมนี้ด้วยความคุ้นเคย
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าตัวน้อยวันนี้ทำเรื่องป่วนเขาไปแล้วสิท่าแต่ข้าเห็นว่าเจ้าไม่ได้เป็นคนรังแกเขาก่อนข้าจะทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งก็แล้วกัน” เจ้าแม่หนี่วาที่ปรากฎกายมาพร้อมกับกลิ่นหอมนั้นได้เอ่ยหยอกเย้าซินซิน
“แหม เจ้าแม่เจ้าขาก็หญิงผู้นั้นปากนางไม่ดีจริง ๆ นี่เจ้าคะโดนไปแค่นั้นก็นับว่าสมควรแล้ว ซินน้อยก็ตัวเล็กจิ๊ดเดียวแต่มาว่าให้ร้ายกันเสียได้” ซินซินก็พูดอ้อนเจ้าแม่ขึ้นมา พร้อมทำนิ้วชี้และนิ้วโป้งมาประกบกับทำท่าทางจิ๊ดเดียวให้เจ้าแม่ดู
เจ้าแม่ก็ได้แต่อมยิ้มเอ็นดูกับเจ้าเด็กแสบตรงหน้า ซินซินตัวน้อยนี้แม้จะอยู่บนสวรรค์อายุหมื่นปีก็จริงแต่ถ้าเทียบกับเด็กมนุษย์ก็แค่เด็กห้าขวบเท่านั้นเอง เจ้าแม่จึงได้เอ็นดูเจ้าตัวน้อยนี้มากเพราะนางเลี้ยงเจ้าตัวเล็กตั้งแต่ถือกำเนิดขึ้นมาจากดอกบัวสวรรค์
หากไม่ใช่เป็นเคราะห์กรรมครั้งเก่าก่อนเจ้าตัวน้อยคงยังไม่ต้องลงไปเผชิญกับเคราะห์เร็วนักหรอก นั่นต้องโทษเจ้าเด็กหน้าเหม็นคนนั้นที่บังอาจไปร้องขอวิงวอนให้ลูกรักของตนอย่างซินซินต้องไปเกิดเร็วเช่นนี้ นางเลี้ยงของนางมาย่อมต้องหวงแหนและรักใคร่เป็นธรรมดา
“เอาล่ะที่ข้ามาวันนี้ข้าจะมามอบปานดอกบัวคืนให้แก่เจ้า เจ้าจงหลับตาเสีย” เมื่อสิ้นเสียงเจ้าแม่ซินซินก็หลับตาลงทันที
หลับตาอยู่สักพักก็เกิดแสงสว่างมาจากหน้าผากของซินซิน แสงนั้นเกิดมาจากปานรูปดอกบัวบานสีชมพูกลางหน้าผากกลมมนของเด็กน้อย มันคงรูปลักษณ์อยู่ชั่วครู่แล้วก็หายไปคงเหลือไว้แค่รอยจาง ๆ หากไม่จ้องมองดี ๆ ก็ไม่มีทางเห็นได้
ซินซินมีความรู้สึกอุ่นวาบบนหน้าผากของตนเพียงชั่วครู่ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เจ้าแม่มามอบปานบงกชนี้ให้กับเธอภายในปานบงกชมีสิ่งของที่จำเป็นหลายอย่างต่อการดำรงชีวิตมากมายที่ได้มาจากโลกยุคอนาคต
เนื่องจากก่อนที่ซินซินจะได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากดอกบัวนั้นเธอเคยได้ไปเกิดในยุคปี 2000 มาก่อน แล้วในยุคนั้นเธอก็ได้ฝันว่าได้มีปานดอกบัวนี้ที่หน้าผากเช่นกัน
คนในฝันที่เธอเพิ่งมารู้ก็คือเจ้าแม่หนี่วานี้เองได้มาเตือนเธอว่าให้เก็บของทุกอย่างที่จำเป็นโดยเฉพาะอาหารยารักษาโรคและเครื่องนุ่งห่มเอาไว้ให้มาก อะไรที่คิดว่ามีความจำเป็นต่อการดำรงชีพก็กวาดเข้ามาไว้ในปานบงกชได้เลย
เธอคาดคิดว่าจะได้ไปเกิดใหม่เหมือนในนิยายหลาย ๆ เรื่องทันทีแต่ที่ไหนได้เธอกลับได้มากำเนิดในดอกบัวและอยู่เป็นเทพฝึกหัดของเจ้าแม่มาตลอดหนึ่งหมื่นปี และเพิ่งจะได้มาเกิดเมื่อสามวันก่อนนี่เอง
รับรองต่อให้ที่เธออยู่จะกันดารมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้ยังไงก็อยู่รอดอย่างแน่นอน มีทั้งพรตามใจนึกที่เจ้าแม่ให้ไว้และของที่อยู่ในปานบงกชอีก ซินซินที่คิดจะทำให้ที่บ้านร่ำรวยจนตอกหน้าคนชั่วบ้านหลงให้ได้ล้างคอรอดูกันได้เลย
“เจ้าตัวน้อยเจ้าทำสีหน้าเจ้าเล่ห์แบบนี้คิดจะทำอะไรกันอีกจะทำอะไรก็อย่าให้หนักจนเกินไปนักล่ะเดี๋ยวจะเดือดร้อนตัวเองเข้าใจไหม” เจ้าแม่ก็เอ่ยเตือนขึ้นพร้อมลูบผมนุ่มของเจ้าตัวน้อยไปด้วย
“เจ้าค่ะเจ้าแม่ซินซินจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่าน” ทางด้านซินซินก็กอดเอวเจ้าแม่ไว้เช่นเดียวกัน
“ซินซินเจ้าใจร้ายเจ้าทิ้งข้าไว้ตามลำพังเจ้าใจร้าย” หลังเสียงตัดพ้อนี้จบลงก็ปรากฎร่างกลม ๆ สีเขียวมีตามีจมูกและมีปากเพียงเท่านั้น ส่วนหัวมีใบโคลเวอร์สี่แฉกแทนผมเพียงเส้นเดียว และเจ้าตัวเล็กนี้ก็ได้กระโดดเพื่อนำตัวเองมาวางแปะอยู่บนหัวของซินซินแล้ว
“จิวจิวเจ้าเองเหรอข้าจะทิ้งเจ้าไปได้อย่างไรล่ะแต่ข้าลงไปเกิดนะเจ้าจะลงไปอยู่กับข้าจริง ๆ เหรอ ในยุคที่ซินซินไปเกิดมันค่อนข้างจะลำบากมากเลยนะ” ซินซินก็เอามือลูบหัวเจ้าตัวน้อยเป็นการปลอบประโลม
“ชิข้าไม่สนข้าจะไปกับเจ้าข้าอยู่ที่นี่ตัวเดียวข้าเหงามากเลย” จิวจิวพูดขึ้นพร้อมน้ำตาคลอหน่วยอยู่ที่ขอบตาที่กลมโตนั้นจะหยดลงมาอยู่รอมร่อ
“เจ้าแม่เจ้าขาจิวจิวไปอยู่กับซินซินได้ไหมเจ้าคะ” ซินซินเรียกเจ้าแม่ด้วยเสียงอ้อน ๆ พร้อมกระพริบตาปริบ ๆ ไปด้วยเพื่อให้ดูน่าสงสาร
“เจ้าทั้งสองนี่ต่างก็เจ้าเล่ห์ทั้งคู่จริง ๆ แล้วแต่เจ้าเถอะพาไปอยู่ด้วยกันก็ได้จะได้ต่างคนต่างช่วยเหลือดูแลกัน ครั้งนี้ข้าได้มามอบของสำคัญให้เจ้าแล้วหากไม่มีเรื่องที่สำคัญจริง ๆ ข้าจะไม่มาพบเจ้านะ
เพราะข้าต้องไปบำเพ็ญเพียรฝึกตบะเช่นกันเจ้าทั้งสองต้องดูแลกันให้ดี ๆ ล่ะ และโดยเฉพาะเจ้าซินซินจงดูแลตัวเองและครอบครัวให้ดีเข้าใจหรือไม่” พอเจ้าแม่พูดจบร่างกายของเจ้าแม่ก็ค่อย ๆ เลือนหายไป คงเหลือทิ้งไว้แค่เพียงกลิ่นหอมบางเบาเพียงเท่านั้น
“ฮึกฮึก” ซินซินน้องร้องไห้ทำไมเดี๋ยวพี่ชายจะไปตามแม่มาดูน้อง
“แม่คราบ แม่น้องร้อง” พี่ชายวัยสี่ขวบรีบใช้ขาสั้น ๆ ของตนวิ่งออกตามหาแม่ทันที
“ซานซานเป็นอะไรไปลูกเรียกหาแม่เสียงดังเชียว” ซูเหมยกำลังเตรียมอาหารอยู่ในครัวได้ยินเสียงลูกชายของตนจึงรีบวิ่งอย่างเร่งรีบออกมา
“น้องร้องฮะแม่” ซานซานก็รีบบอกแม่ของตน เมื่อซูเหมยได้ยินแบบนี้จึงได้วิ่งไปทางห้องของตนและไปอุ้มลูกน้อยของตนทันทีพร้อมกับร้องเพลงกล่อมไปด้วย
ฝ่ายซานซานเจ้าตัวน้อยก็ได้แต่ใช้ขาสั้น ๆ ของตนวิ่งตามแม่มาทีหลัง “แฮก ๆ มะแม่แฮก ๆ นะน้อง” พูดไปก็ยังคงหอบไปเมื่อเห็นลูกชายตนเป็นแบบนี้ซูเหมยก็รู้สึกสงสารจึงเอามือลูบหัวปลอบลูกชายของตน
“น้องไม่เป็นไรแล้วจ้ะ ลูกค่อย ๆ หายใจ ลูกชายของแม่เก่งมากเลย” ซูเหมยก็เอ่ยชมลูกชายของตน ฝ่ายซานซานเมื่อได้รับคำชมจากแม่ก็ยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
ในขณะที่แม่กับลูกชายคุยกันอยู่ก็ตกใจกับเสียงตบประตูหน้าบ้านที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ซินซินสะดุ้งตกใจจนลืมตาตื่นทันที ซูเหมยเห็นลูกทั้งสองต่างพากันตกใจก็ได้เอ่ยปลอบเจ้าตัวเล็กก่อนแล้วจึงวางมือบนหัวคนเป็นพี่ชายพร้อมลูบเบา ๆ
“ไม่ต้องกลัวนะลูก แม่อยู่นี่ไม่ต้องกลัว” ซูเหมยเอ่ยปลอบลูกน้อยทั้งสองของตน
“ออกมาเดี๋ยวนี้นะนางเยว่จินเราก็หย่ากันไปแล้ว หล่อนยังจะไปหาเรื่องอี้เหลียนอีกทำไมกันฮะ แน่จริงก็ออกมา ออกมาเดี๋ยวนี้” เสียงบ่นด่าของตาอี้พร้อมทั้งเสียงตบประตูดังลั่นยังคงโหวกเหวกโวยวายอยู่อย่างนั้น
รักกันมากนักใช่ไหมงั้นก็เป็นเหมือนกันท่าจะดี อยู่ดี ๆ กันไม่ได้งั้นซินซินจะจัดให้ เจ้าตัวน้อยได้แต่คิดอยู่ในใจพร้อมดวงตาที่จ้องเขม็งไปทางประตูบ้านประหนึ่งว่าจะมองให้ทะลุมองเห็นคนอีกฝั่ง
“จิวจิวคนดีช่วยไปบอกพี่ต้นไม้หน้าประตูให้ยื่นกิ่งอันสง่างามของตนไปโยนใส่คนที่มาโวยวายหน้าบ้านของเราให้ไป ไกล ๆ ที และก็ไหว้วานผึ้งน้อยผู้น่ารักสักสามสี่ตัวให้ไปต่อยปากอันโสมมของชายผู้นั้นด้วย” ซินซินเอ่ยขอร้องต่อเพื่อนตัวเล็กของตน
จิวจิวมีหรือจะกล้าขัดใจเพื่อนตัวน้อยเพื่อนบอกแบบไหนตนก็จัดตามที่เพื่อนร้องขออย่างนั้นเช่นกัน เมื่อจัดการตามที่เพื่อนตัวน้อยบอกแล้วมันก็รีบเข้ามาหาเจ้าตัวน้อยทันที
“เรียบร้อยตามเจ้าปรารถนาทุกประการ” มันเด้ง ๆ ตัวของมันขึ้นลงไปมาพร้อมทำใบโคลเวอร์บนหัวตั้งขึ้นด้วยประมาณว่าชมข้าสิ ชมข้า ข้าเก่งมาก
“จิวจิวของซินซินเก่งที่สุด” ซินซินก็ได้ส่งกระแสจิตออกมาพร้อมกับยิ้มกว้างจนเห็นเหงือกแดงแจ๋ของตน ตอนนี้จะยังไม่มีใครสามารถเห็นจิวจิวได้หากซินซินไม่ได้อนุญาต ดังนั้นจิวจิวจึงกล้าออกมาปรากฎตัว
เมื่อซูเหมยเห็นว่าลูกน้อยของตนตื่นมาแล้วอารมณ์ดีจึงได้วางลูกของตนลง ที่ตนไม่กล้าไปเปิดประตูหน้าบ้านเพราะว่าตนอยู่กับลูกแค่สามคนเท่านั้น สามีและแม่สามีต่างก็ขึ้นเขาเพื่อไปหาของป่าและเก็บสะสมฟืนเพราะว่าใกล้หน้าหนาวเข้ามาทุกทีแล้ว
ซูเหมยคิดว่าตอนนี้เสียงหน้าประตูเงียบลงแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะซูเหมยคิดว่าอดีตพ่อสามีของตนน่าจะจากไปแล้วนั่นเอง
เป็นอย่างไรบ้างคะถูกใจกับความแสบซ่าส์แบบแพคคู่ของน้องกันไหมคะ
เมื่อเด็ก ๆ พากันกลับบ้านมาแล้วคนในบ้านที่พากันกลับบ้านมาก่อนก็โล่งใจเพราะพ่อกับทวดหมิงกำลังจะออกไปตามหาลูกและหลานของตนเนื่องจากพวกเขาทั้งสามเมื่อกลับมาจากทุ่งนาแล้วไม่เห็นเด็ก ๆ พอถามคนที่อยู่บ้านจึงได้รู้ว่าเด็ก ๆ พากันออกไปข้างนอกกับซานซานพวกเขาจึงได้แต่ร้อนใจเพราะตอนที่พวกเขาทั้งสามกลับมาก็ห้าโมงเย็นแล้ว“ปี้ชายจินไก่ย่างฮับ” เสียงแฝดผู้น้องพูดกับซานซานเมื่อเดินเข้ามาภายในบ้านแล้ว จินเป่าและทวดหมิงเมื่อได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของเด็ก ๆ ก็พากันวิ่งออกมาดู“มานี่กันทั้งสี่คนเลยทำไมป่านนี้ถึงเพิ่งกลับมากันรู้ไหมว่าทุกคนในบ้านเป็นห่วงพวกลูกมากขนาดไหน ซานซานลูกพาน้อง ๆ ไปถึงไหนมาพ่อจะทำโทษพวกลูกบ้างแล้ว” จินเป่าพูดกับลูก ๆ ของตนด้วยความโล่งใจและโมโห“เอาหน่าพวกเด็ก ๆ ก็กลับมาแล้วหลานก็เลิกโมโหเถอะ แต่เรื่องลงโทษตาเองก็เห็นด้วยนะ” ทวดหมิงพูดกับจินเป่า แต่ประโยคหลังหันไปมองหน้าเด็กน้อยทั้งสี่“พวกเราขอโทษครับ/ค่ะ/ฮะ” ทั้งสี่คนก้มหน้ายอมรับผิดแล้วขอโทษพ่อและทวดของตน“คราวหลังพวกซานซานห้ามพาน้องออก
ตั้งแต่ที่ซินซินและซานซานมีน้องทุกวันทั้งสองจะต้องมานั่งเล่นกับน้องชายตลอด เด็กน้อยเองก็ช่างเป็นเด็กที่น่ารักและรู้ความมากจนซินซินคิดว่าน้องชายคนใหม่ทั้งสองไม่น่าจะอายุแค่หนึ่งปีได้เลยพ่อได้ตั้งชื่อให้กับน้องชายทั้งสองพ้องกับผู้เป็นพี่ชายและพี่สาว โดยแฝดผู้พี่ให้ชื่อว่าซินซาน และแฝดคนน้องให้ชื่อว่าซานซิน ทั้งสองเป็นเด็กเลี้ยงง่ายมากและถึงแม้ว่าหน้าตาจะเหมือนกันแต่นิสัยนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจนซินซานนั้นจะมีความสุขุมนิ่ง ๆ เมื่อเจอกับคนอื่นแต่ถ้าเป็นคนในครอบครัวเจ้าตัวมักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอ ส่วนซานซินนั้นมักจะขี้อ้อนแต่ถ้าเวลาเจอกับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวเจ้าตัวเล็กนี้ก็จะแค่ยิ้มเหมือนกับเด็กอารมณ์ดีธรรมดาเพียงเท่านั้น แล้วก็จะไม่ให้คนที่ไม่คุ้นเคยมาถูกตัวเหมือนกับแฝดพี่ของตนทุกคนในครอบครัวต่างก็คิดเหมือนกันว่าเจ้าตัวเล็กสองคนนี้ช่างหวงเนื้อหวงตัวเสียจริง กาลเวลาก็ผันผ่านไปเรื่อย ๆ ตามฤดูกาลตอนนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนแล้วซึ่งก็เป็นอะไรที่ร้อนมากจริง ๆพ่อ ทวดหมิง และแม่ซูเหมยก็พากันไปทำงานในทุ่งนาหมดแล้ว ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนเช่นนี้ซินซินเมื่อเห็นทั้งสา
เมื่อเจ้าตัวน้อยตื่นนอนแล้วเธอก็ยังคงงง ๆ อยู่แล้วพยายามทบทวนความฝันว่าเจ้าแม่บอกว่ายังไงบ้าง ตอนนี้ผ่านมาสามอาทิตย์แล้วจากหิมะที่ตกหนักขึ้นก็เริ่มที่จะเบาบางลง วันนี้ตั้งแต่คนบ้านซูตื่นนอนแล้วมาทานอาหารเช้าร่วมกันทุกคนต่างก็พากันแปลกใจที่เจ้าตัวน้อยของบ้านนั่งเงียบผิดปกติ เหมือนกับกำลังคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่าง“ซินซินหนูเป็นอะไรคะกับข้าววันนี้ก็เป็นของโปรดของหนู ทำไมถึงได้กินน้อยจัง” ซูเหมยถามลูกสาวตัวน้อยด้วยความเป็นห่วง“คือตอนรุ่งเช้าหนูฝันถึงเจ้าแม่หนี่วาค่ะ ท่านมาบอกว่ามีคนต้องการขอความช่วยเหลือจากหนูท่านให้หนูไปที่ทะเลสาบ จิวหูก็จะรู้เองค่ะ หนูก็เลยคิดว่าจะเป็นใครกัน” เจ้าตัวน้อยตอบกับทุกคนในครอบครัว“ถ้าท่านบอกมาอย่างนั้นเดี๋ยวพ่อพาลูกไปดูก็แค่นั้นเอง ลูกไม่ต้องมานั่งคิดอะไรเยอะหรอกครับรีบทานข้าวเถอะ เมื่อท้องอิ่มเราก็จะได้มีกำลังไงครับ” จินเป่าพูดกับลูกสาว“ทวดว่าเราทุกคนพากันไปหมดบ้านนี่แหละเหลือจินเยว่กับฮุยฟางไว้สองคนก็พอเผื่อมีใครมาที่บ้านจะได้รู้” ทวดหมิง บอกกับสมาชิกทุกคน“ตกลงครับ/ค่ะ”ดังน
“ซินซินครับหนูพูดแบบนี้ไม่น่ารักนะครับลูก เรื่องของคุณปู่คุณย่าเราตัดสินใจแทนไม่ได้นะครับ” จินเป่าพูดสอนลูกสาวตัวน้อย“หนูขอโทษค่ะ หนูจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีกแล้ว” เจ้าตัวน้อยทำหน้าตาสลดลง เธอยอมรับว่าเธอดีใจที่ได้เห็นผู้เป็นปู่จนเธอลืมคิดว่าเรื่องบางอย่างก็ไม่ควรพูดออกมา เสียทีนะเราที่เคยเป็นผู้ใหญ่มาก่อนเมื่อผู้ใหญ่ทุกคนเห็นว่าเจ้าตัวน้อยที่น่ารักมีสีหน้าเศร้าหมองจากการสำนึกผิดของตนแล้วก็พากันใจอ่อนด้วยความสงสาร“รู้จักว่าตัวเองทำผิดแล้วยอมรับผิดย่าและทุกคนก็จะให้อภัย” เยว่จินพูดกับหลานสาวพร้อมลูบหัวปลอบโยนเจ้าตัวน้อยไปด้วย“ค่ะคุณย่า” เจ้าตัวน้อยเมื่อได้รับการปลอบโยนจากผู้เป็นย่าก็ยิ้มอย่างดีใจตอนนี้เธอยังคงอยู่ในอ้อมกอดของคุณปู่อยู่ ตอนเยว่จินเข้ามาใกล้อี้เฟิงเพื่อลูบหัวเจ้าตัวเล็กในอ้อมแขนของเขาทำให้เขาได้กลิ่นหอมจากหญิงในดวงใจจนหัวใจของอี้เฟิงเต้นแรงมากขึ้นจนเขากลัวว่ามันจะเต้นแรงจนจะสามารถทะลุอกของเขาออกมาได้ไหมแต่สำหรับการแสดงออกทางใบหน้าเขาต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่แสดงอาการเขินอายออกมา ทำไมม
หลังจากที่ทุกคนอยู่คุยกันที่บ้านของซูจ้านไปสักพัก จนตอนนี้เวลาก็บ่ายมากแล้วพวกเขาทุกคนก็ต่างมีความเห็นตรงกันว่าน่าจะกลับบ้านของจินเป่าได้แล้ว“อาจ้านพ่อกับแม่ไปก่อนนะอย่าลืมล่ะว่าถ้ามีเวลาก็ไปหาพ่อกับแม่ที่บ้านนั้น แล้วก็บอกลูกเมียของแกไว้ด้วยล่ะจะได้ไม่ต้องแวะไปหาพ่อที่โรงถ่านหินนั่นอีกแล้ว และเมียแกกับลูกสะใภรวมทั้งหลานชายของแกจะกลับมาเมื่อไหร่กันล่ะ หรือว่าทางฐานทัพที่ซูอวิ้นอยู่ก็มีหิมะตกหนักเหมือนกัน จนรถเดินทางไม่ได้” ซูหมิงถามผู้เป็นลูกชาย“ใช่ครับพ่อวันก่อนผมโทรไปสอบถามที่ฐานที่ซูอวิ้นประจำการอยู่บอกว่ารถไม่สามารถเดินทางได้ ทุกคนจึงต้องอยู่กับเขาอีกสักพักจนหิมะหยุดและสามารถเปิดทางเดินรถได้โน่นแหละครับ”“ถ้าอย่างนั้นแกก็ปิดบ้านแล้วไปอยู่บ้านน้องสาวของแกกับพ่อแม่ไม่ดีกว่าเหรอ ช่วงนี้โรงงานก็ปิดอยู่นี่” ฮุยฟางก็ถามผู้เป็นลูกขึ้นมาบ้าง“ยังไปไม่ได้หรอกครับถึงโรงงานจะปิดผมก็ยังต้องตรวจเอกสารบางอย่างอยู่ แล้วช่วงนี้เจ้าหลานเขยก็ต้องไปลงพื้นที่เพื่อช่วยผู้ประสบภัยด้วยทำให้ฮัวเหมยต้องอยู่คนเดียวผมก็ต้องแวะไปดูหลานสาวบ่อย ๆ เพราะเจ้าหลานเ
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากครอบครัวบ้านซูกินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่อและลูกชายหญิงก็พากันออกไปด้านนอก ตอนนี้หิมะได้กองทับถมกันตามพื้นทำให้มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีขาวโพลนไปหมด ซินซินเห็นดังนี้จึงคิดว่าควรจะใช้รถลากสำหรับการเดินทางผ่านหิมะดีกว่า“พ่อจ๋าเราใช้รถลากเลื่อนสำหรับการเดินทางผ่านหิมะกันดีไหม หนูจะขอพรให้เรามีรถลากเลื่อนพร้อมสุนัขตัวโตสักหกตัวให้สามารถลากรถพาพวกเราทั้งสามเข้าไปเมืองได้” เจ้าตัวน้อยถามความคิดเห็นของผู้เป็นพ่อ“ก็ดีเหมือนกันนะลูก ขอแบบมีหลังคากันหิมะด้วยได้ไหมครับ”หลังจบคำพูดของผู้เป็นพ่อก็มีรถลากเลื่อนคันใหญ่ขนาดที่ผู้ใหญ่สามคนนั่งได้สบาย ๆ พร้อมสุนัขตัวโตขนปุยสีเทาขาวตาสีฟ้าปรากฎขึ้นพร้อมกับรถลากหกตัว แต่ละตัวสูงเท่าเอวของจินเป่าที่มีความสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเลยทีเดียว จินเป่าและซานซานที่ได้เห็นรถพร้อมสุนัขที่ลูกสาวและน้องสาวขอพรออกมาต่างก็ตกใจจนตาโตกันไปแล้ว“ฮ่า ๆ พ่อคะพี่คะเรามาขึ้นรถสุดหรูกันเถอะค่ะ” เจ้าแสบตัวน้อยหัวเราะพ่อของตนและพี่ชายเมื่อทั้งสามขึ้นมานั่งบนรถลากเลื่อนคันนี้แล้







