เมื่อบ่วงนาคบาศหายไป เจ้านางน้อยผู้ถูกใส่ร้าย ต้องรื้อฟื้นอดีตชาติ และเผชิญรักต้องห้าม ระหว่างพญานาคผู้ปกป้อง กับพญานาคผู้ยอมสลายเพื่อเธอ… ความรักครั้งนี้ อาจต้องแลกด้วยชะตาของทั้งสองโลก!
View Moreเรื่องเล่าที่ชาวบ้านกล่าวขานกันมาปากต่อปาก เกล็ดแห่งนาคา ที่ผู้คนต้องการครอบครองเพื่อความเป็นอมตะนิรันดร์กาล เชื่อกันว่าเกล็ดพญานาคหากได้ผสมน้ำดื่มกินคนผู้นั้นจะมีชีวิตอมตะ ฉันได้ฟังมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนปัจจุบันเรื่องเล่านี้ก็ยังถูกพูดถึง มันคือสิ่งที่มนุษย์กิเลสหนาอยากได้ไว้เคียงกาย ด้วยอำนาจและอิทธิฤทธิ์ประหนึ่งเทวาสถิต เสริมให้ผู้ที่ได้ครอบครองอยู่เหนือสุดของมนุษย์ทั้งปวง ทั้งที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า แต่อีกอย่างที่ฉันเคยได้ยินมาเช่นกันร่างตัวแทนแห่งนาคาที่แอบซ่อนในกายหยาบของมนุษย์ แต่คนผู้นั้นคือใครกัน? มีจริงเหมือนที่คนเฒ่าโบราณลือกันจริงหรือ?...ฉันก็ได้แต่ฟังเพราะไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหล่านี้แต่ก็ไม่ได้หลบหลู่แต่อย่างใด
"นั่นสินะ ในโลกนี้ย่อมมีคนดีและไม่ดีปะปนกันไป เฮ้อ~~ แต่ฉันก็อยากให้โลกใบนี้มีแต่คนดีละนะ"
"บ่นอะไรของแกยัยณิน อะนี่น้ำที่แกฝากซื้อ"
"ขอบใจจ้าเพื่อนคนสวย...ไม่ได้บ่นอะไรหรอก อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วคิดเฉย ๆ น่ะ"
"อ่านเรื่องอะไรอะ"
"อาศิรวิษ"
"เออชื่อเรื่องแปลกแต่น่าสนใจดี ขอยืมอ่านบ้างดิ"
"ได้...แต่แกต้องทะนุถนอมหนังสือฉันให้ดี ๆ ห้ามยับเยินเด็ดขาดไม่งั้นฉันจะตีมือแกให้เจ็บเลย"
"ย่ะ"
มันคือการสนทนาของฉันและเพื่อนสาวคนสนิท เธอชื่อว่าเนยหวาน เป็นเพื่อนคนแรกที่ฉันคบด้วย เรื่องทุกเรื่อง ปัญหาทุกปัญหา ฉันสามารถระบายกับเธอได้อย่างสนิทใจ เราสองคนไม่เคยมีอะไรปิดบังกัน แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อย
"เออเนยช่วงนี้ฉันรู้สึกแปลก ๆ อะ เป็นอะไรก็ไม่รู้ชอบปวดหัวตอนเย็นตลอดเลย ปวดมากเหมือนหัวจะระเบิด แล้วก็ฝันแปลก ๆ ทุกวัน"
"แล้วแกหาหมอยังอะ หรือแกอ่านหนังสือมากไป?"
"ไปหาหมอตรวจมาแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติเลย"
"ไปตรวจอีกทีไหมแก เผื่อมันคลาดเคลื่อน"
("มันคือสัญญาณเตือน")
เสียงที่ดังแทรกระหว่างการสนทนาระหว่างฉันกับเนยหวาน ทำให้เราทั้งสองคนตกใจ และต้องหันหลังกลับไปมอง
"คุณยายหมายความว่ายังไงคะ?"
ฉันเอ่ยถามพร้อมกับหัวคิ้วที่แทบชนกันด้วยความไม่เข้าใจ งงด้วยว่าคุณยายท่านนี้มาจากไหน เพราะไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเดิน
"เมื่อถึงเวลาก็จะรู้ด้วยตัวเอง ต่อให้ไม่ยอมรับ ท้ายสุดก็เลี่ยงและหนีไม่พ้น มันคือชะตาของเจ้า ผณินทร"
ทำเอาฉันงงหนักไปใหญ่ ยิ่งฟังที่คุณยายพูดฉันก็ยิ่งไม่เข้าใจ จนต้องหันไปสบตามองกับเนยหวานที่งงไม่ต่างกัน
“ผณินทร?” ฉันหันไปพูดกับเนยหวาน มันคือชื่อของใครกัน ฉันกับเนยหวานมองหน้ากันด้วยความงง
"คุณยะ....อ้าวหายไปไหนแล้วล่ะ?"
เนยหวานที่กำลังอ้าปากพูดต้องชะงัก รวมทั้งฉันด้วยที่งงเป็นไก่ตาแตก คุณยายหายไปไหน!? ทั้งที่แค่เสี้ยวนาทีเท่านั้น อายุของคุณยายไม่น่าจะเดินได้เร็วจนมองไม่เห็นแม้กระทั่งด้านหลัง เพราะฉันก็เห็นเต็มสองตาว่าท่านใช้ไม้เท้าช่วยประคองเดิน สิ่งที่คุณยายคนนั้นพูดมันคืออะไรกันแน่!?
“แกเปลี่ยนชื่อเหรอยัยณิน” เนยหวานถามพร้อมทั้งหัวเราะขบขัน
“บ้าเหรอ ก็ชื่อมณีณินมาแต่ไหนแต่ไรยังไม่เคยเปลี่ยนสักครั้ง พ่อแม่ตั้งให้ก็ยังใช้แบบเดิม” ฉันตอบเพื่อน
“แล้วคุณยายคนนั้นแกพูดชื่อใครกัน”
“นั่นสิ ฉันก็อยากจะรู้”
อย่าว่าแต่เพื่อนสงสัย ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน คนยายคนนั้นเป็นใครกันแน่ ทำไมแค่มาพูดทิ้งปริศนาแล้วก็หายไป ทำให้ฉันครุ่นคิดไม่ตกและอยากรู้เรื่องราวที่ท่านพูดถึง
ฉันกลับมาถึงบ้านก็จวนพระอาทิตย์เริ่มจะตกดิน เดินเข้ามาในบ้านได้ไม่กี่นาที ก็มีอาการแบบเดิม ฉันปวดหัว มันปวดเหมือนหัวของฉันจะระเบิดออกมา เหมือนกับว่าสมองจะไหล ยืนแทบไม่ไหว เป็นอะไรที่ทรมานมาก ฉันเริ่มเป็นแบบนี้มานานหลายวัน ไปหาหมอก็ไม่พบการเจ็บไข้ได้ป่วยอะไร ได้แต่งงแล้วก็สงสัย
“แม่คะ” เรียกแม่เสียงเบา
“ณินเป็นอะไรลูก”
ฉันเริ่มไม่ไหวจนต้องเรียกแม่เพื่อขอความช่วยเหลือ แม่วิ่งตาตื่นเข้ามาแล้วประคองฉันไปนั่งบนโซฟา อาการของฉันยังคงปวดหัวตุบ ๆ เรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่ามันจะหายไปสักนิด
“แม่ณินปวดหัวอีกแล้ว”
“ไหวหรือเปล่า ไปหาหมอไหมลูก”
“เหมือนหัวณินจะระเบิดเลย โอ๊ย!”
“ณิน โธ่ลูก...รอตรงนี้แม่ไปเอายาแก้ปวดมาให้”
ฉันนั่งปวดหัวอยู่แบบนั้น เหมือนมันไม่ได้ยินเสียงแม่ไม่ชัด หูอื้ออึงไปหมด ฉันมองและเห็นสีหน้าของแม่กังวลคงเพราะท่านกำลังเป็นห่วงฉัน เหมือนแม่จะร้องไห้เลย ก่อนจะวิ่งไปในบ้านเอายาตามที่ท่านบอก
“น้ำกับยาแก้ปวดลูก”
แม่ยื่นแก้วน้ำพร้อมกับยาแก้ปวดให้ ฉันจึงรีบกินมันลงไป เพราะตอนนี้ฉันไม่ไหวมันปวดเหลือเกิน หรือว่าฉันจะป่วยเป็นโรคร้ายแรงแล้วตรวจไม่พบ?
“เป็นไงบ้างลูก”
“ปวดเหมือนเดิมเลยค่ะแม่”
“นอนพักก่อนนะ ถ้าไม่ดีขึ้นแม่พาไปหาหมอ”
“ค่ะ”
แม่พูดพร้อมกับประคองฉันเอนตัวลงนอนบนโซฟา ไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร ฉันถึงได้เป็นแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง ฉันนอนหลับตาเผื่อว่ามันจะดีขึ้น แต่อาการปวดก็ยังมีเหมือนเดิม รู้สึกว่าหัวมันบีบรัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
“แม่ณินปวดเหมือนเดิม โอ๊ย”
“เป็นอะไรนะณิน”
“ฮือ แม่คะณินไม่ไหวแล้ว”
ฉันทนไม่ไหวหัวมันปวดหนึบจนต้องร้องไห้ออกมา มันสุดแสนจะทรมานจนเริ่มจะหายใจไม่ออก
“ไปหาหมอกันปะ เดี๋ยวแม่ไปเรียกพี่น้ำก่อน”
“ค่ะ” แม่บอกแล้วรีบวิ่งขึ้นไปบนบ้านทันที พี่น้ำคงจะอยู่บนห้องนอน ตอนนี้ฉันแทบครองสติไม่ได้ จนลุกขึ้นมานั่งมือกุมหัวเอาไว้ ไม่รู้ต้องทำยังไงถึงจะหายจากอาการปวดนี้ และนี่ก็เป็นการหาหมอรอบที่สามนับจากวันที่ฉันมีอาการ และคำตอบจากปากของหมอก็เหมือนกัน ไม่ได้เป็นอะไร ทุกอย่างทุกปกติ ทั้งที่เข้าซีทีสแกนมาทั้งสามรอบ ตอนแรกฉันกลัวว่าเป็นเนื้องอกไหม แต่หมอบอกไม่มีอะไร
“น้ำเร็วลูก”
“น้องเป็นอะไรเหรอแม่”
“ปวดหัวอีกแล้ว”
ฉันได้ยินเสียงของแม่กับพี่น้ำแว่วเข้ามา น้ำเสียงการพูดคุยดูแตกตื่น ฉันได้แต่นั่งรอด้วยความทรมาน จนพี่น้ำกับแม่เข้ามาประชิดตัว
“น้องเป็นไงบ้างเดินไหวไหม”
“น้ำอุ้มน้องเลยลูก”
ฉันยังไม่ทันได้อ้าปากคุยกับพี่ชาย แม่ก็พูดสวนขึ้นก่อน จากนั้นพี่น้ำก็อุ้มฉันไปยังรถยนต์ แล้วขับออกไปทันที แม่นั่งกอดฉันอยู่เบาะหลัง คอยลูบแขนและนวดขมับช่วยเพื่อให้ฉันผ่อนคลาย แต่ว่ามันไม่มีวี่แววจะหายไปสักนิด
“น้ำเร่งอีกหน่อยน้องเหงื่อออกเยอะมาก”
“ครับ ๆ”
แม่บอกพี่น้ำด้วยน้ำเสียงร้อนรน และรถก็เริ่มวิ่งเร็วขึ้นจนฉันสัมผัสได้ ทุกคนกำลังกังวลและเป็นห่วงฉัน รู้สึกไม่ดีเลยที่ต้องเป็นภาระให้คนในบ้าน
“ใกล้ถึงยังน้ำ” แม่ถามย้ำกับพี่ชาย
“รถเยอะมากเลยแม่ จะแซงก็แซงไม่ได้” พี่น้ำบอกแม่ และคงกังวลไม่ต่างกับแม่
“อดทนหน่อยนะณิน” แม่บอกส่วนฉันก็ได้แต่พยักหน้ารับ
ตอนนี้เหมือนจะถึงโรงพยาบาล สายตาของฉันพร่าเบลอมองไม่ชัดเจน แต่รู้สึกเหมือนกำลังนอนอยู่บนเตียง แล้วเคลื่อนที่ด้วยการเข็น ได้ยินเสียงของแม่แว่วเข้ามา
“ณินอดทนไว้นะลูก” นี่เป็นเสียงของแม่
“น้องอย่าเพิ่งหลับตานะ อดทนไว้ใกล้ถึงมือหมอแล้ว” และนี่เสียงของพี่ชาย ในที่สุดฉันก็อดทนลืมตาไม่ไหว ทุกอย่างมืดสนิทลงจนไม่รับรู้อะไรอีกเลย
-ปัจจุบัน-ไม่รู้ว่าหมดสติไปนานแค่ไหน ฉันเริ่มรู้สึกตัวและได้กลิ่นคละคลุ้งของยา พยายามเปิดเปลือกตาขึ้น และมองโดยรอบเห็นแม่กับพี่น้ำที่นอนตรงโซฟา นี่คงเป็นห้องพักพิเศษถึงได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย“ณินฟื้นแล้วค่ะ” เสียงของแม่ดังขึ้นด้วยความดีใจฉันกวาดสายตามองรอบ ๆ เห็นพ่อ แม่และพี่ชาย ยืนยิ้มมองมาทางฉันด้วยสีหน้าดีใจ“เป็นยังไงบ้างลูก น้ำไปตามหมอบอกณินฟื้นแล้ว”“ครับพ่อ”พ่อถามแต่ฉันยังไม่ตอบ เหมือนกับปากของฉันมันไม่มีแรงอ้าจะพูดกับใคร ได้แต่พยายามฉีกยิ้มให้ สื่อว่าฉันไม่เป็นอะไร จากนั้นพ่อกันหันไปบอกพี่น้ำให้ตามหมอ แล้วพี่ชายของฉันก็รีบวิ่งออกจากห้องไป ไม่นานพี่น้ำก็มาพร้อมหมอและพยาบาลหนึ่งคน มาถึงก็จับนั่นตรวจนี่ ฉันรู้สึกตัวทุกครั้งและมีสติดี เพียงแต่ยังรู้สึกอ่อนแรงเท่านั้น มองเห็นทุกการกระทำของหมอและคนอื่น ๆ“ร่างกายปกติดีนะครับ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง ช่วงนี้ก็นอนพักผ่อนให้เยอะ ๆ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะครับ” หมอพูดขึ้น“แต่ลูกสาวดิฉันนอนสลบ
ณ มคธนคร กลางค่ำคืนแห่งจันทราแดง ท้องฟ้าสีเลือดคลุ้งด้วยกลิ่นลางร้าย ดวงจันทร์เต็มดวงถูกหมอกพิษบดบังเพียงครึ่ง… และที่ระเบียงสูงของของตำหนัก ผณินทรยืนนิ่ง ลมเย็นปะทะใบหน้าที่เปื้อนแววหม่นเศร้า เธอยังฝันถึงเสียงของรีภพ…เพื่อนร่วมรบ แม้เขาจะสลายกลายเป็นเศษพลังแห่งนาคธาตุไปแล้วเสียงฝีเท้าก้าวมาช้า ๆ...อาศิรวิษในชุดนักรบสีดำทอง สะพายหอกนาคา ก้าวเข้ามาเงียบ ๆ แต่สายตาเขาจับจ้องมาไม่ลดละ“ข้าฝันถึงตรีภพอีกแล้ว…” เอ่ยเบา ๆ ราวสายลม“เขาอาจยังไม่ได้จากเราไปเสียหมด...” อาศิรวิษพูดเสียงต่ำแผ่ว "...วิญญาณที่ยึดมั่นในคำสัตย์ จะไม่มีวันดับสูญง่ายดาย"และแล้วทันใดนั้น...แผ่นดินก็สั่นไหวเบา ๆ เงานาคที่หลับใหลใต้มหานทีเริ่มขยับณ เทวสถานบ่วงนาคบาศ ในห้องลับใต้เมืองซึ่งซ่อน บ่วงนาคบาศไว้ตราบชั่วกาล…รอยร้าวปรากฏบนผนึกหิน เสียงกระซิบดั่งจากห้วงเหว..."ผู้ที่ควบคุมบ่วง คือผู้ปกครองพรหมแดน...แต่หากบ่วงนี้ตกอยู่ในมือของเงามืดจะไม่มีวันคืนใดปลอดภัย"ฉันและอาศิรวิษรีบรุดไปยังเทวสถานพร้อมคณะองครักษ์ที่นั่น...พวกเขาเจอร่องรอยการบุกรุกและสิ่งที่ไม่คาดคิดที่สุดคือหน้ากากของศัตรูปรากฏ“นั่นใครหรือเจ้าคะเสด็จพ่อ
“ความลับที่อยู่ในใจของอาศิรวิษ... คือกุญแจสุดท้าย”และก่อนที่ฉันจะถามต่อ เสียงระเบิดพลังพุ่งเข้ามาจากทิศตะวันตก เสียงร้องเตือนจากทหารของมคธนครดังสนั่น“มีเงามืดบุกเข้ามา! พวกมันมีตราเหมือนกับศศินา!”ฉันเบิกตากว้าง“หมายความว่าไง?!”เสียงของอาศิรวิษตะโกนมาอย่างรีบเร่ง“เจ้านางน้อย! อยู่ข้างหลังข้า!”เขาคว้าฉันไว้ในอ้อมแขน ดึงออกจากระเบียงก่อนเปลวพลังจะระเบิดฟาดผ่านจากเงามืด...ศศินาค่อยๆ เดินออกมาอีกครั้ง“ข้า...ไม่ใช่ศศินาคนเดิมอีกต่อไปแล้ว อาศิรวิษ”และเบื้องหลังนางคือเงาในคราบอดีตของอาศิรวิษ ที่เขาไม่เคยเปิดเผยกับใคร...ภาพที่ฉันเห็นตรงหน้าไม่ใช่เพียงศศินา หากแต่คือใครบางคนที่มีเงาทาบซ้อนอยู่เบื้องหลัง นัยน์ตานางไม่ใช่ศศินาอีกต่อไปแต่คือผู้ที่ครอบครองนางอาศิรวิษหน้าถอดสี ฉันสัมผัสได้ว่าเขากำลังสั่นเล็กน้อย“นางคือ...อาคิรนัย”เสียงของอาศิรวิษหลุดเบาออกมาราวกับวิญญาณเขาจะหลุดจากร่าง ฉันหันไปมองเขาด้วยความสงสัยปนสั่นไหว
ฉันก้าวเดินผ่านเส้นทางที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง หัวใจหนักอึ้งด้วยความสูญเสีย ในมือยังคงกำผ้าผูกข้อมือสีทองของอาศิรวิษและจี้หยดครามของตรีภพไว้แน่น ความทรงจำของพวกเขายังคงชัดเจนในจิตใจ ฉันตัดสินใจเดินทางสู่แดนต้องห้าม สถานที่ซึ่งเล่าขานว่าเป็นที่สถิตของ ผู้เฝ้าประตูแห่งวิญญาณ เชื่อกันว่าผู้เฝ้าประตูสามารถนำวิญญาณกลับคืนสู่โลกได้ แต่ต้องแลกด้วยสิ่งที่มีค่าที่สุดการเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตราย ฉันต้องฝ่าฟันผ่านป่าทึบที่มีสัตว์ร้ายและกับดักมากมาย แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพ จึงไม่ยอมแพ้ เมื่อมาถึงประตูแห่งวิญญาณ ฉันพบกับผู้เฝ้าประตู เธอเป็นหญิงสาวลึกลับที่มีดวงตาสีเงินเปล่งประกาย เธอมองฉันด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก"เจ้าปรารถนาจะนำวิญญาณกลับคืนหรือ?" เธอถามด้วยเสียงเย็นชาฉันพยักหน้าและตอบด้วยเสียงสั่นเครือ"ข้ายอมแลกทุกอย่างเพื่อให้พวกเขากลับมา"ผู้เฝ้าประตูยิ้มบางๆ และกล่าวว่า"การแลกเปลี่ยนนี้ เจ้าต้องสละสิ่งที่เจ้ารักที่สุด เจ้าพร้อมหรือไม่?"ฉันนิ่งคิด ความรักที่มีต่ออาศิรวิษและตรีภพคือสิ่งที่มีค่
คืนหลังศึกใหญ่...สายลมพัดเบา ใบไม้ไหวคล้ายลมหายใจแห่งพงไพร ฉันยืนอยู่ริมระเบียงเรือนรับรองของมคธนครจ้องมองดวงจันทร์ที่ลอยเด่นเหนือผืนน้ำเบื้องล่าง มือยังอบอุ่นจากสัมผัสสุดท้ายของใครบางคน เสียงฝีเท้าแผ่วเบา... แต่ฉันรู้ทันทีว่าเป็นเขา“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะตื่นอยู่” เสียงของเขาเบาราวกระซิบ“ข้ารอท่านอยู่ต่างหาก...”ฉันหันไปยิ้มอ่อนให้ชายตรงหน้า อาศิรวิษเดินเข้ามาใกล้ ยังสวมชุดนาคาธิคุณที่ซีดจางไปเล็กน้อย แผลบนร่างเขาเกือบหายดีแล้ว แต่ในดวงตายังมี ความอ่อนล้า...และบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่าเดิม“ท่านรู้ไหม… ตอนที่ท่านกางแขนป้องข้าไว้ข้างหลัง ข้าคิดว่า…ข้ากำลังจะเสียท่านไป” เสียงของฉันเบาราวเสียงสายฝนแรกของปี “แต่ท่านก็ยังอยู่ตรงนี้…ยังอยู่กับข้า”เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือมากุมมือฉันไว้“ข้าเคยคิดว่า ความรักของข้า…ต้องจางหายไปเหมือนละอองควัน แต่ท่านทำให้ข้ารู้ว่า ความรักไม่ต้องดัง ไม่ต้องร้อนแรง แค่อยู่ตรงนั้นเสมอ…ก็พอแล้ว”ฉันรู้สึกได
หลังจากที่เข้าพบเจ้าหลวง ในคืนเดียวกันฉันรู้สึกถึงแรงบางอย่างที่กำลังเริ่มคืบคลานเข้ามา...อาศิรวิษพาฉันมายืนใต้แสงจันทร์ เขาเงียบอยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้น“พี่มีเรื่องจะถาม…ถ้าวันหนึ่งเจ้าพบว่ามีบางคนจากอดีตชาติ กลับมาทวงคำสัญญา…เจ้าจักเลือกอะไร?”ฉันชะงักทันที คำถามนั้นแฝงความกลัว...ไม่ใช่ต่ออดีตแต่ต่อการสูญเสีย ฉันไม่ตอบ แต่กุมมือเขาไว้แน่น แล้วกระซิบเบา ๆ ว่า“อดีตอาจมีคำสัญญา แต่ปัจจุบันคือความรู้สึก และในวันนี้...ข้าเลือกท่าน”อาศิรวิษหลับตาแน่น ดวงตาเขาเปียกชื้นเล็กน้อยแล้วกอดฉันไว้ เหมือนกลัวว่าฉันจะหายไปแต่ในเงาจันทร์เหนือสระบูชา เงาดำรูปหนึ่งก้าวออกจากเงาสะท้อนของน้ำ เขายืนเงียบ ใบหน้ายังปิดด้วยผ้าดำ...แต่เสียงแผ่วนั้นดังก้องในเงามืด เหมือนในฝันคืนก่อน“อ อาศิรวิษดูนั่น” ฉันเรียกให้เขาเงยมองเบื้องบน อาศิรวิษเจ้ามือฉันแน่น เหมือนสื่อว่าไม่ต้องกลัวตราบใดที่เขายังอยู่ตรงนี้“ในที่สุดเจ้าก็เลือกทางของเจ้า เยี่ยงนั้นข้าก็จะเลือกทางของข้าเช่นกัน...ผณินทร”
Comments