เสียงประทัดแห่งการเฉลิมฉลองดังขึ้นจากประตูหน้าบ้านหลินในชนบท เด็ก ๆ ภายในหมู่บ้านหลายคนต่างพากันมาอวยพรคนในบ้านไม่ขาดสาย
เสียงหัวเราะเสียงพูดคุยดังออกมาจากภายในลานดินหน้าบ้านทำให้บ้านหลังนี้แสนมีชีวิตชีวา
ผิดกับครอบครัวเจียงที่ตอนนี้พวกเขาได้ย้ายกลับมาอยู่บ้านเดิมของผู้เป็นแม่ เจียงโจวกำหมัดแน่นดวงตาวาวโรจน์โกรธแค้นพ่อผู้ให้กำเนิดที่ไม่ปกปิดการกระทำของตนให้ดี ทำให้เขาต้องมาทนทุกข์อยู่ในสถานที่แสนทุรกันดารแห่งนี้
กระนั้นคนที่ชายหนุ่มโกรธแค้นมากที่สุดกลับเป็นผู้ที่บีบบังคับให้ตนออกจากกองทัพ โดยที่เขาไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่ตัวเองโดนนั้นมันเป็นผลการกระทำมาจากครอบครัวของตน
“หล่อนทำอะไร! เสื้อผ้าของฉันเสียหายหมดแล้ว ฮือ ๆ ทำไมฉันต้องมาอยู่ที่นี่ด้วย” เสียงร้องไห้โวยวายดังอยู่ด้านนอกห้อง ขัดความคิดของเจียงโจวทำให้เขาขมวดคิ้วมุ่นไม่พอใจ
ชายหนุ่มได้แต่พยายามเก็บอารมณ์ของตน แต่แล้วความอดทนก็ขาดผึงเมื่อได้ยินเสียงต่อว่าแม่กับน้องสาวที่ดังออกมาจากผู้เป็นยาย
“พากันมาอยู่ท
หลังจากลู่หยางรับคำเสียงดัง คนภายในห้องก็ยังคงพูดคุยกันต่อเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของเด็กสาวทั้งห้า แม้ว่าพวกมันจะระบุเป้าหมายมาแล้วก็ตาม ทว่าอะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น “นี่ก็เย็นมากแล้ว รบกวนพวกนายไปส่งสาว ๆ ด้วยก็แล้วกัน” พ่อหวังกล่าวออกมาหลังมองนาฬิกาบนข้อมือ คล้อยหลังคนหนุ่มสาวออกจากห้องไป พ่อหวังก็สนทนากับพวกของหลินกวงต่อด้วยความหนักใจ “พวกมันกล้ามาก ทั้งที่รู้ว่าเด็กพวกนั้นเป็นลูกหลานของพวกเราก็ยังจะกล้าลงมือ” หลินกวงพูดออกมาอย่างโมโห “ก็เพราะเป็นลูกหลานของพวกเรายังไงล่ะ ถึงได้เป็นเป้าหมายของมัน ยังไงก็ต้องจับมันให้ได้ จากนั้นต้องลงโทษให้หนัก” พ่อหวังพูดขึ้นเสียงเหี้ยมใบหน้าดุดัน
หลังจากลู่หยางวางหูโทรศัพท์ลงเรียบร้อย เขาก็เดินไปบอกเรื่องนี้กับสหายอีกสามคน หลินชุนกำหมัดแน่น กรามขบเข้าหากันจนเป็นสันนูน แววตาเต็มไปด้วยไอสังหารแทบอยากจะฆ่าคนผู้นั้นให้ตายคามือ “นายใจเย็นลงหน่อยเถอะ เรื่องนี้เราคงต้องรายงานเพราะเกี่ยวกับความปลอดภัยของลูกสาวท่านผู้นั้น” ลู่หยางตบบ่าสหาย กล่าวออกมาอย่างเข้าใจความรู้สึกของหลินชุนดี “ฉันจะเป็นคนรายงานเอง มันจะลงมือเมื่อไหร่” หลินชุนข่มกลั้นอารมณ์ของตนถามออกไป “ครบรอบวันสถาปนากองทัพ” ลู่หยางบอกถึงกำหนดการของคนพวกนั้น “เข้าใจเลือกวันเสียด้วย” ชุนกัดฟันพูด&nbs
หลังจากสิ้นสุดวันปีใหม่ พี่น้องบ้านหลินก็ต้องแยกไปทำหน้าที่ของตน วันจากลาจึงได้หวนกลับมาอีกครั้ง “เสี่ยวชิวดูแลตัวเองให้ดีนะลูก” เจียวเหมยตบบ่าลูกชายคนรองกล่าวอย่างเป็นห่วงเพราะเขาเป็นคนเดียวที่อยู่ไกลจากครอบครัว “ครับแม่” หลินชิวกอดมารดาแน่น จากนั้นก็มากอดย่าชราที่อุตส่าห์เดินทางมาส่งตนยังสถานีรถไฟด้วย “ระวังตัวนะ หากต้องการอะไรรีบโทรกลับมา” กู้หนิงตบหลังหลานชายกล่าวเสียงแหบพร่า “ครับ” ชายหนุ่มตอบรับ หลินซีเองก็เดินเข้าไปหาพี่ชายของตน หล่อนกอดเขาแน่น “พี่รองสิ่งที่พี่กำลังจะทำฉันไม่ห้าม แต่อย่าไปยุ่งกับสิ่งผิดกฎหมายเด็ดขาด เรื่องนี้พี่ต้องรับปากนะคะ” หลินซีพูดในสิ่งที่เธอคิดกระซิบข้างหูผู้เป็นพี่ 
เสียงประทัดแห่งการเฉลิมฉลองดังขึ้นจากประตูหน้าบ้านหลินในชนบท เด็ก ๆ ภายในหมู่บ้านหลายคนต่างพากันมาอวยพรคนในบ้านไม่ขาดสาย เสียงหัวเราะเสียงพูดคุยดังออกมาจากภายในลานดินหน้าบ้านทำให้บ้านหลังนี้แสนมีชีวิตชีวาผิดกับครอบครัวเจียงที่ตอนนี้พวกเขาได้ย้ายกลับมาอยู่บ้านเดิมของผู้เป็นแม่ เจียงโจวกำหมัดแน่นดวงตาวาวโรจน์โกรธแค้นพ่อผู้ให้กำเนิดที่ไม่ปกปิดการกระทำของตนให้ดี ทำให้เขาต้องมาทนทุกข์อยู่ในสถานที่แสนทุรกันดารแห่งนี้กระนั้นคนที่ชายหนุ่มโกรธแค้นมากที่สุดกลับเป็นผู้ที่บีบบังคับให้ตนออกจากกองทัพ โดยที่เขาไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่ตัวเองโดนนั้นมันเป็นผลการกระทำมาจากครอบครัวของตน“หล่อนทำอะไร! เสื้อผ้าของฉันเสียหายหมดแล้ว ฮือ ๆ ทำไมฉันต้องมาอยู่ที่นี่ด้วย” เสียงร้องไห้โวยวายดังอยู่ด้านนอกห้อง ขัดความคิดของเจียงโจวทำให้เขาขมวดคิ้วมุ่นไม่พอใจชายหนุ่มได้แต่พยายามเก็บอารมณ์ของตน แต่แล้วความอดทนก็ขาดผึงเมื่อได้ยินเสียงต่อว่าแม่กับน้องสาวที่ดังออกมาจากผู้เป็นยาย“พากันมาอยู่ท
หลังสิ้นคำพูดของเขา คนในกลุ่มก็ยังคงเดินไปข้างหน้าตามเดิม แม้ว่าบรรยากาศจะไม่ดีเท่าตอนแรกก็ตาม แต่พอหลังจากถึงร้านอาหารและได้เยียวยาด้วยการกินของอร่อย เด็กสาวทั้งสี่ก็กลับมายิ้มร่าหัวเราะได้อีกครั้ง ผิดกับหลินซีที่กำลังนั่งคิดในเรื่องที่ตนได้รู้มาจากเสี่ยวพ่าง ซึ่งท่าทางของหล่อนได้ทำให้พี่ชายทั้งสี่คนจับสังเกตได้ ดังนั้นพอมื้อเย็นจบลง หลินชุนจึงได้เรียกให้น้องสาวของตนอยู่ก่อน โดยให้สหายของตนสองคนแยกตัวออกไป “ซินอี๋ เสี่ยวท่ง นายสองคนไปส่งน้อง ๆ จากนั้นไปเจอกันที่เดิม” “ได้สิ นายจะกล่าวลากับสาวน้อยคนนั้นก่อนไหม” ฟู่ซินอี๋ กระซิบถามหลินชุนเสียงเบา ในขณะเดียวกันก็พยักพเยิดหน้าไปทางจินเยว่ที่กำลังยืนเป่ามือของตนอยู่ไม่ไกล “พูดมาก” หลินชุนกระแทกไหล่ของเพื่อนกล่า
ตั้งแต่วันที่เสี่ยวพ่างมาบอกข่าวสำคัญกับหลินซี นับจากนั้นมาอีกหนึ่งเดือนพวกของหลินชุนก็กลับมาจากภารกิจ ภายใต้หอพักหญิงของคณะแพทย์ได้มีหนุ่มหล่อถึงสี่คนกำลังยืนอยู่ท้าลมหนาว พวกเขาต่างกำลังยืนรอใครบางคนที่ต้องการมาหาด้วยใจจดจ่อ “พี่ชาย!” หลินซีตะโกนเสียงดัง วิ่งลงมาจากบันไดทันทีอย่างรีบร้อนหลังจากได้รับโทรศัพท์จากผู้ดูแลหอว่าพี่ชายของตนมาขอพบ หลินชุนอ้าแขนของตนออกทั้งสองข้างพร้อมรอยยิ้มกว้างเพื่อให้เด็กสาวผมสั้นวิ่งเข้ามาสู่อ้อมกอดของเขาด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ หลินซีเอาใบหน้าของตนซบลงไปยังอกแกร่งของผู้เป็นพี่น้ำตาซึม หล่อนกระชับอ้อมกอดของตัวเองแน่น “พี่ดูเหมือนจะผอมลงนะคะ ฉันกับทุกคนคิดถึงพี่มาก ๆ เลย&rd
นับตั้งแต่ที่หลินซีศึกษายังสถาบันที่นี่ หล่อนก็ยังคงไม่ได้พบกับพี่ชายทั้งสี่คนนั้นเลย จนกระทั่งวันชาติทางกองทัพก็ได้มีกิจกรรมและการแสดงของคณะศิลปะ งานนี้สามารถพาครอบครัวของตนเข้ามาชมได้ “ย่าคะ หนูคิดถึงย่าที่สุดเลย” หลินซีกล่าวประจบผู้สูงวัยในขณะเดียวกันก็กอดเอวหนาของย่าแน่นแสดงความรู้สึกตามที่พูด “ปากหวานจริงหลานสาวคนนี้ ไปกอดแม่ของเราบ้างเถอะไม่อย่างนั้นเขาจะน้อยใจเอา” กู้หนิงลูบหลังของหลานสาวกล่าวอย่างเอ็นดู “ค่ะ” หลินซีคลายอ้อมกอดออกจากผู้เป็นย่าเดินเข้าไปกอดเอวบางของแม่ที่ยิ้มมองสำรวจเธออยู่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “แม่ว่าลูกผอมไปนะ เรียนหนักอย่างนั้นเหรอ” เจียวเหมยโอบกอดลูกสาวแน่นอย่างคิดถึงกล่าวน้ำเสียงเป็นห่วง&
หลังสิ้นคำพูดของเจ้าตัวหลินซีก็ดึงแขนเสื้อของตนให้สูงขึ้น จากนั้นหล่อนก็คอยแนะนำเพื่อนในกลุ่มว่าจะต้องจัดการกับวัตถุดิบยังไง ด้วยท่าทางคล่องแคล่วของเธอทำให้คนในกลุ่มต่างพากันเชื่อฟังและทำตามคำแนะนำอย่างไม่มีใครคัดค้าน หลังจากเตรียมวัตถุประกอบอาหารเสร็จไปหนึ่งอย่าง หลินซีก็เริ่มลงมือทำข้าวผัดไข่ใส่เบคอนทันที กลิ่นหอมชวนน้ำลายสอลอยกลบกลิ่นจากอาหารของอีก สี่กลุ่มที่กำลังทำ ทำให้พวกเขาพากันมองมายังต้นทางของกลิ่นอย่างพร้อมเพรียง “หอมมาก สีก็สวย น่ากินสุด ๆ” ลี่มี่สูดกลิ่นข้าวผัดไข่สีเหลืองทองเข้าปอดกล่าวชมจากใจ ในขณะเดียวกัน “เสี่ยวซีน้ำเดือดแล้ว” ซุนเหมียวส่งเสียงเรียกเพื่อนสาว ซึ่งเธอมีหน้าที่เฝ้าเตาที่อยู่อีกด้าน&
“ฉันบอกแล้วว่าซีซีแตกต่างจากคนอื่น” ลี่มี่เดินเข้าไปโอบบ่าของหลินซีพูดอย่างรู้สึกดีที่ตนมองคนไม่ผิด “อืม ต่อไปนี้พวกเราจะเป็นสหายที่ดีต่อกัน” จินเยว่เองก็กล่าวอย่างพอใจเช่นเดียวกัน หลินซีได้แต่ส่งยิ้มเล็กน้อยออกมาก่อนที่จะเอ่ยปากขึ้นเมื่อเห็นว่าเพื่อนทั้งสองยังไม่ได้นำของออกจากกระเป๋า “พวกเราไปรอสองคนนั้นที่ห้องใหม่กันเถอะ ไม่รู้ว่าจะต้องทำความสะอาดมากน้อยแค่ไหน” “ก็ดีเหมือนกัน เผื่อขาดเหลืออะไรจะได้หาทัน” ลี่มี่กล่าวเห็นพ้องเช่นเดียวกับจินเยว่ที่พยักหน้าเห็นด้วย ทางด้านสองสาวตอนนี้ซุนเหมียวกำลังมีสีหน้าโกรธจัด จน