“ลุกหนีผมไปอาบน้ำนี่เอง ทำไมไม่นอนต่ออีกล่ะครับ” ชายหนุ่มเปลือยเปล่าโชว์แผงกล้ามกำยำมีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดช่วงล่างหมิ่นเหม่เดินเข้ามารวบอุ้มหญิงสาวที่สวมชุดคลุมสีเทาออกมาจากห้องน้ำและก้มไปหอมที่พวงแก้มนวลฟอดใหญ่
“วันนี้เอยต้องไปไหว้คุณแม่ที่วัดค่ะ”
“ผมไปด้วยนะครับ อยากไปหาคุณแม่คุณเหมือนกัน” มานูแอลอยากเป็นหนึ่งเดียวกับครอบครัวของคนที่เขารักให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่เพียงแค่เคารพคนในครอบครัวของเจ้าเอยที่ยังมีกันอยู่ แม้แต่แม่ของเธอที่จากไปแล้วเขาก็อยากไปเคารพเช่นกัน เพราะต้องการจะทำให้หญิงสาวได้เห็นว่าเขาจริงใจกับเธอมากแค่ไหน
มานูแอล มอนทานาลี ชายหนุ่มลูกครึ่งไทยอิตาลีวัย32ปี ชายหนุ่มเป็นคนร่างสูงใหญ่ผิวขาวอมชมพู ดวงตาสีน้ำข้าว คิ้วคมเข้มจมูกโด่งเป็นสันปากหนาเป็นกระจับผมสีน้ำตาลหยิกยาวประบ่า เขาเป็นลูกชายคนที่สองของอเลสซานโดนักธุรกิจชื่อดังชาวอิตาลี หลังจากที่แม่ของเขาเสียเข้าก็เข้าบริหารงานโรงแรมและที่พักหลายแห่งในเอเชียแทนคนเป็นแม่ ส่วนพี่ชายและน้องชายช่วยพ่อบริหารธุรกิจสื่อและบริษัทยารักษาโรคที่อิตาลี
มานูแอลเป็นคนที่จริงจังกับทุกเรื่องในชีวิตไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงานหรือเรื่องความรัก ในตอนนี้ชีวิตการทำงานของเขาถือว่าประสบความสำเร็จดีแล้วจึงคิดอยากจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์ และแล้วเขาก็มาถูกตาต้องใจนางแบบสาวอย่างเจ้าเอย เขาเจอเธอครั้งแรกเมื่อปีที่แล้วก็เลือกที่จะให้คนสนิทติดต่อไปยังโมเดลลิ่งของเธอทันที
และสุดท้ายเขาก็ได้คบหาและลงเอยด้วยการแต่งงานกับเธอภายในระยะเวลาหนึ่งปี หลังจากนี้เขาก็ตั้งใจว่าจะมีลูกกับเธอเพื่อสร้างครอบครัวให้สมบูรณ์ความฝันที่จะประสบผลสำเร็จในเรื่องการงานและเรื่องครอบครัวจะได้สำเร็จเสียที
มาถึงวัดใกล้บ้านได้เจ้าเอยก็รีบถือพวงมาลัยมาวางตรงหน้ารูปภาพของคนเป็นแม่ที่ติดอยู่ข้างกำแพงวัดโดยมีมานูแอลนั่งอยู่ใกล้ๆ ไม่ยอมห่าง เขาจับมือเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อยและนั่งเงียบๆ ขณะที่เจ้าเอยกำลังนั่งหลับตาระลึกถึงคนเป็นแม่
เจ้าเอยบอกกล่าวทุกอย่างในใจให้คนเป็นแม่ได้รับรู้ ตอนนี้เธอไม่อยากเป็นคนที่โกหกหลอกลวงแต่ก็จำเป็นที่จะต้องทำเพื่อรักษาชีวิตของคนเป็นพ่อและรักษาร้านอาหารที่พ่อและแม่ของเธอรัก เพราะทั้งสองช่วยกันสร้างร้านนี้มาด้วยความยากลำบาก หวังว่าแม่ของเธอจะให้อภัยในการกระทำครั้งนี้ และขอให้แม่ของเธอเอาใจช่วยให้เรื่องทุกข์ใจผ่านออกจากชีวิตไปโดยเร็ว
“คุณสวยเหมือนกับแม่ของคุณนี่เอง” เห็นเจ้าเอยลืมตาขึ้นมาได้ มานูแอลก็ไม่รีรอที่จะเอ่ยชมภรรยา จนคำว่าสวยเป็นคำติดปากของเขาไปแล้ว
“ชมเอยอีกแล้วนะคะ” เจ้าเอยแสยะยิ้มอ่อนให้กับคนเป็นสามี ก่อนจะรีบลุกขึ้นแต่ยังไม่ทันได้ลุกยืนได้เต็มที่เธอก็เซถลาล้มเข้าสู่อ้อมกอดของมานูแอลเสียก่อน
“เอย” เขารีบอุ้มภรรยาเดินปรี่ไปที่รถและพากลับบ้านทันที คิดเอาไว้แล้วว่าวันนี้เธอจะไม่มีเรี่ยวแรง เพราะเมื่อวานที่จัดงานแต่งหญิงสาวก็เหนื่อยมาทั้งวัน พอตกกลางคืนยเขาก็ไม่ปล่อยให้เธอได้พักอีก
มานูแอลพาเจ้าเอยกลับมาถึงบ้านได้เขาก็รีบอุ้มเธอกลับมานอนพักที่ห้องและนอนกกเธอเอาไว้ไม่ยอมให้ห่างอก
“เมื่อวานทั้งวันทั้งคืนคุณไม่ได้พักเลย วันนี้นอนพักทั้งวันไปเลยนะครับ พรุ่งนี้ผมจะพาคุณไปพักผ่อนที่สวยๆ”
“ที่ไหนคะ”
“เป็นความลับครับ ตอนนี้คุณต้องนอนก่อนนะครับ” พูดพร้อมยื่นใบหน้าไปพรมจูบหน้าผากมน
เจ้าเอยรีบหลับตาข่มน้ำตาไม่ให้ไหล ยิ่งมานูแอลดีกับเธอมากแค่ไหน เธอก็ยิ่งรู้สึกผิดกับเขามากเท่านั้น ทั้งตอนนี้ยังเครียดเป็นพิเศษ เพราะอีกไม่นานมาวินแฟนหนุ่มของเธอก็จะกลับมาที่ประเทศไทย ตอนนี้เธอยังไม่รู้เลยว่าจะเริ่มต้นคุยกับมาวินอย่างไรดีเพื่อที่จะจบความสัมพันธ์กันอย่างดีที่สุด
หลังจากงานแต่งงานของเจ้าเอยเสร็จสิ้นไปได้สามสี่วัน ปานวาดก็จัดการแปลงที่ดินและทรัพย์สินเครื่องเพชรที่ได้เป็นค่าสินสอดของเจ้าเอยมาเป็นเงินแล้วเอามานั่งแบ่งกันกับลูกชายและลูกสะใภ้
“อะนี่ของแกใช้ให้มันประหยัดหน่อยล่ะ” ปานวาดโยกเงินกองโตไว้ตรงหน้าวีรพงษ์ สองสามีภรรยาอย่างวีรพงษ์และไอรดามองกองเงินกองโตตาลุกวาว เพราะตั้งแต่เกิดมาในชีวิตไม่เคยได้เห็นเงินก้อนขนาดนี้ด้วยตาเปล่า
“ผัวยัยเอยรวยเป็นเศรษฐีทำไมต้องประหยัดด้วยล่ะแม่” ชายหนุ้มวัยเกือบ30ผู้ที่มีรอยสักเต็มไปทั้งตัวเงยมองหน้าคนเป็นแม่ด้วยสายตาฉงน เขาคิดว่าน้องนอกไส้อย่างเจ้าเอยได้สามีรวยแล้วเขาจะพลอยสบายไม่ขัดสนเรื่องเงินแล้วเสียอีก
“อ่อก็จริงนะ หมดแล้วก็ไปขอใหม่ได้” ปานวาดขมวดคิ้วฉุกคิด ก่อนจะเลื่อนเงินก้อนใหญ่อีกก้อนให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอ
“ของไอล่ะแม่” ไอรดาเริ่มท้วงปานวาดเมื่อเห็นว่าแม่สามีเอาแต่ให้เงินวีรพงษ์ไม่เห็นว่าจะยอมแบ่งให้เธอเสียที
“แกก็ใช้กับผัวแกสิ” ปานวาดเอ่ยลอยหน้าลอยตา ทั้งตอนนี้วีรพงษ์ยังรีบเก็บเงินส่วนของตัวเองใส่กระเป๋าเธอจึงเริ่มไม่สบอารมณ์ เพราะก่อนหน้านี้วางแผนกันอย่างดิบดีว่าให้ช่วยตะล่อมให้เจ้าเอยยอมคบหาและแต่งงานกับมานูแอลทั้งที่ยังมีคนรักอยู่ หลังจากได้ค่าสินสอดจะแบ่งเท่าๆกัน แต่ตอนนี้เห็นทีจะไม่เป็นอย่างที่ตกลงกันเอาไว้
“อ้าว! ไหนบอกจะแบ่งสามส่วนไงแม่”
“เออ... ก็ใช้กับผัวแกไปก่อนฉันได้เงินก้อนหน้าจะให้ก็แล้วกัน”
“เธอยังไม่ต้องเอาหรอกไอ ฉันจะเอาเงินนี้ไปต่อเงิน” วีรพงษ์เริ่มทำท่าหวงสมบัติกับเมียของตน เขาเก็บเงินในส่วนของตัวเองหมดแล้วก็รีบเดินออกไปจากบ้านทันที
“อะไร จะเข้าบ่อนอีกแล้วเหรอ” ไอรดารีบเดินไปรั้งสามีของเธอ ท่าทางรีบร้อนจะออกจากบ้านเช่นนี้เธอรู้ได้เลยว่าวีรพงษ์ต้องหอบเงินก้อนโตนี้ไปเข้าบ่อนการพนันแน่นอน
“เรื่องของฉันน่า” วีระพงษ์สลัดภรรยาตัวเองจนเธอลงไปกองกับพื้น ปานวาดเห็นว่าลูกชายและลูกสะใภ้กำลังจะมีปากเสียงกันเธอจึงรีบหอบเงินของตัวเองกลับเข้าห้อง ไม่คิดจะใส่ใจคนที่กำลังทะเลาะกันแม้แต่น้อย
“คอยดูนะ ถ้าฉันไม่ได้อะไรบ้างจะแฉให้หมดเลย” ไอรดามองค้อนตามหลังสามีก่อนจะหันหลับมามองตามหลังปานวาด เธอพูดกัดฟันและกำมือแน่น เธอเองก็เป็นคนไม่ยอมคนเช่นกันหากเธอไม่ได้ส่วนแบ่งตามที่ตกลงกันเอาไว้จริงๆ เธอจะทำทุกวิถีทางให้ครอบครัวนี้พังลงจนได้
“เป็นยังไงบ้างคะ” ม่อนไหมเดินอุ้มลูกสาวของเธอเข้ามาในห้องนอนของลอเลนโซหลังจากที่หมอฟิลิปได้เข้ามาตรวจอาการสามีของเธอจนกลับไปแล้วลอเลนโซมองจ้องหญิงสาวกับลูกน้อยไม่วางตา จนม่อนไหมเริ่มประหม่าเพราะไม่รู้ว่าลอเลนโซกำลังคิดอะไรอยู่“มองหน้าม่อนแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า”“ป้อ...ป้อ...” เด็กหญิงถูกวางลงที่เตียงได้ก็รีบคลานเข้าไปนอนซบอกคนเป็นพ่อทันที“ยังมีอาการปวดหัวอยู่หรือเปล่าคะ”ลอเลนโซกอดลูกน้อยไว้ในอ้อมอกและส่ายหัวน้อยๆ ก่อนจะมองไปที่เท้าอวบอูมของเจ้าตัวกลมที่สวมถุงเท้าสีขาวเอาไว้“ถ้าสวมถุงเท้าไหมพรมสีฟ้าคงจะน่ารักน่าดูนะ”“คุณลอส” ม่อนไหมนั่งอ้าปากค้างไม่กี่วินาทีน้ำตาของเธอก็ไหลอาบแก้ม“ผมจำทุกอย่างได้แล้วครับ” ลอเลนโซลุกขึ้นมารวบกอดทั้งลูกและภรรยาแน่น ก่อนจะปล่อยน้ำตาแห่งความตื้นตันดีใจออกมาอาบที่แก้ม และแล้วเขาก็จำทุกอย่างได้เสียที“จำได้แล้ว เย่...” ต้นสายตะโกนเสียงหลงเมื่อรับรู้ข่าวจากม่านแก้วว่าตอนนี้ลอเลนโซจำเรื่องราวทุกอย่างได้แล้ว“ดีใจที่สุดเลย” นิลน้ำกระโดดกอดคอกับต้นสายแน่น ที่รับรู้ว่าม่อนไหมนั้นพ้นจากความทุกข์ใจเสียทีหลังจากที่ทรมานใจมาพักใหญ่“หลังจากนี้ก็น่าจะมีแต่ความสุ
“ก็ถ้าคนรักของฉันเจ็บป่วยฉันก็อยากจะดูแลใกล้ชิดเหมือนกันค่ะ ยิ่งอยู่ห่างก็ยิ่งห่วงกว่าเดิมค่ะ คุณลองคิดสิคะว่าพ่อคุณนอนเจ็บอยู่โรงพยาบาลแล้วไม่ให้คุณเข้าเยี่ยมคุณจะทุกข์ใจแค่ไหน”ลอเลนโซนั่งเงียบ ด้วยคิดตามพยาบาลสาวแล้วมันก็เป็นความจริงอย่างที่เธอพูด“ไม่มีอะไรจะเถียงล่ะสิ”“ยุ่ง ผมอิ่มแล้วพาผมเข้าห้องไปพักด้วย”“กินยาก่อนค่ะ”“เอามา” ครั้งนี้ลอเลนโซยอมกินยาง่ายๆ เพราะรู้ว่าหากยื้อเวลาก็จะต้องมานั่งต่อปากต่อคำกับพยาบาลสาวจอมปากจัดคนนี้ต่อ“ทำตัวไม่ดื้อก็เป็นนี่คะ” ม่อนไหมยืนถ้วยยาเล็กใส่มือของลอเลนโซ เธอยืนยิ้มแก้มปริเพราะวันนี้ไม่ต้องเหนื่อยสู้รบกับชายหนุ่มในเรื่องบังคับกันกินยา“เค้ามีวี่แววว่าจะจำอะไรได้หรือยังม่อน”ม่อนไหมส่ายหัวเป็นคำตอบให้กับม่านแก้ว ม่อนไหมดูแลลอเลนโซมาร่วมสองอาทิตย์จนตอนนี้ชายหนุ่มต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาดวงตา เธอเริ่มหมดกำลังใจในการรื้อฟื้นความจำของสามีเธอพอสมควร เพราะอุตส่าห์ตะล่อมให้ลอเลนโซยอมเจอพ่อและน้องๆ ได้แล้ว แต่ยังไม่สามารถพูดให้เขาอยากเจอลูกกับภรรยาได้เลยทุกๆ เช้าเธอจะสรรหาเมนูที่เขาเคยชอบในฝีมือของเธอให้เขาได้รับประทานเป็นประจำ แต่ทำอย่างไรเ
“แต่ไม่ใช่ฉันค่ะ ยังไงคุณก็ต้องกินค่ะ ไม่ห่วงตัวเองก็สนใจความรู้สึกของคนที่เค้าคอยเป็นห่วง คนที่เค้ารอคอยว่าคุณจะหายอย่างใจจดใจจ่อหน่อยเถอะค่ะ”“ผมแค่ไม่อยากกินยา ทำไมคุณต้องโยงไปถึงคนอื่นด้วย” ลอเลนโซรู้สึกว่าจะไม่ค่อยถูกชะตากับพยาบาลคนใหม่เสียแล้ว“ถ้าคุณไม่ยอมกินยา ฉันจะเข็นคุณออกไปนั่วนอกบ้านให้ปวดกระดูกจนเป็นไข้เลยเอาไหมคะ” เธอก้มกระซิบข้างหูของคนเป็นสามีเบาๆ เพราะกลัวว่ากล้องวงรปิดจะได้ยินว่าพยาบาลคนใหม่อย่างเธอพูดอะไรกับคนไข้“คุณไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับผม รู้หรือเปล่าว่าผมสามารถทำให้คุณตกงานได้ตลอดชีวิต” ลอเลนโซเริ่มน้ำเสียงขุ่น ไม่รู้ว่าหญิงสาวเป็นพยาบาลจริงๆ หรือเปล่าถึงได้พูดจากับคนไข้เช่นนี้“ไม่รู้จริงๆ ค่ะ” ม่อนไหมพูดด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี และอาศัยจังหวะที่ลอเลนโซอ้าปากใส่ยาตามด้วยน้ำเข้าไปในปากของเขา“อื้อ” และแล้วลอเลนโซก็ต้องรีบกลืนยาลงลอเพราะหากไม่กลืนก็อาจจะทำให้เขาสำลักม่อนไหมยืนยิ้มกรุ้มกริ่มและเข็นรถเข็นพาคนไข้จอมพยศไปที่ห้องของเขา เมื่อครู่เธอไม่ได้กลัวเขาสำลักแม้แต่น้อยเพราะจำได้ดีว่าในตอนที่ดูแลลอเลนโซตอนครั้งที่บาดเจ็บตอนนั้น เขาก็พยศไม่ชอบกินยาเธอก็ใช้วิธีนี้
“ประมาณสามปีล่าสุดครับ”“แสดงว่า...” หญิงสาวเข่าทรุด เท่ากับว่าตอนนี้ลอเลนโซไม่รู้เลยว่ามีเธอและลูกอยู่บนโลกใบนี้ ตอนนี้เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจมากกว่าตอนที่เห็นเขานอนเจ็บเสียอีก“ม่อน...ใจเย็นๆ ก่อนนะยังไงหมอก็บอกว่าลอสมีโอกาสหาย” ม่านแก้วรีบกอดปลอบม่อนไหมที่ขาอ่อนจนฟุบนั่งร้องให้ลงไปกับพื้น“คุณม่อน” มานูแอลรีบพยุงพี่สะใภ้ของเขามานั่งที่โซฟา“ทำไม ต้อง...เป็นแบบนี้ด้วยนะ” ม่อนไหมสะอึกสะอื้นซุกอยู่กับอกของม่านแก้ว สามีเธอฟื้นขึ้นมาแล้วแท้ๆ คิดว่าจะไม่มีเรื่องเลวร้ายอะไรอีกแต่เรื่องที่เธอเพิ่งรับรู้กลับทำให้เธอปวดหัวใจเป็นทวีคูณอเลสซานโดเดินเข้ามาลูบหัวคนที่สะอื้นตัวโยนอยู่ในอ้อมอกของม่านแก้ว ตอนนี้เขาก็ไม่รู้ว่าจะหาคำไหนมาปลอบใจม่อนไหมเช่นกัน เพราะตัวเองก็เครียดกับอาการของลูกชายคนโตมากพอสมควร“ม่อนจะไปหาคุณลอสค่ะ ถ้าม่อนได้ไปอยู่ใกล้กับเค้า เค้าอาจจะจำม่อนได้ก็ได้ค่ะ” ม่อนไหมรีบปาดน้ำตาลวกๆ และลุกขึ้นพรวดพูดกับอเลสซานโด“ตอนนี้ไม่ได้” อเลสซานโดส่ายหัว“ทะ...ทำไมคะ”“ลอสมีภาวะเครียดไม่อยากพบใคร แม้แต่ฉันก็ไม่อยากพบ” อเลสซานโดพูดเสียงอ่อน และนี่ก็เป็นสาเหตุที่พวกเขาทุกคนยังอยู่ที่นี่แม้จ
“อะ...อะไรนะคะ” ทุกคนต่างมีสีหน้าตกอกตกใจไปตามๆ กันโดยเฉพาะม่อนไหม หญิงสาวนั่งหน้าซีดเผือดพูดอะไรไม่ออกทำอะไรไม่ถูก“เก็บเสื้อผ้าไปดูอาการของลอสเดี๋ยวนี้เลยม่อน ส่วนยัยหนูเดี๋ยวน้าดูแลเองไม่ต้องห่วง” ม่านแก้วดูออกว่าหลานสาวทำอะไรไม่ถูกจึงรีบแนะแนวทางให้ ไม่ได้อยากจะคิดไปในแง่ร้ายแต่หากลอเลนโซอาการแย่ลงม่อนไหมจะได้มีเวลาได้ดูใจคนรักเป็นครั้งสุดท้าย แต่หากไม่ใช่ก็ถือว่าได้ไปดูแลกันอย่างใกล้ชิด“พวกเราก็จะช่วยดูแลด้วยไม่ต้องห่วงนะ” นิลน้ำวางมือที่หัวไหล่เพื่อนรักเบามือ“ขอบคุณทุกคนมากนะ” เธอพูดพร้อมยกมือปาดน้ำตา“น้าแก้วไปกับม่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวพวกเราปิดร้านให้” ต้นสายส่งเจ้าก้อนกลมที่ทำท่าเหมือนจะง่วงให้กับม่านแก้ว“ขอบใจนะ” ม่านแก้วรีบอุ้มไลลาเดินตามม่อนไหมที่กำลังเดินปรี่ไปที่รถและแล้วม่อนไหมก็ได้เดินทางมาถึงนครฟลอเรนซ์แคว้นคอสตานาพร้อมกับชาร์ลที่อาสามาเป็นเพื่อนกับม่อนไหมแม้จะลาออกจากตำแหน่งบอดี้การ์ดเพื่อไปแต่งงานกับพลอยพิมแล้ว“ที่นี่เป็นบ้านของคุณอเล็กซ์ครับ”“ทำไมพาฉันมาที่นี่ล่ะคะ ฉันอยากไปหาคุณลอส”“คุณอเล็กซ์บอกว่าให้คุณม่อนพักผ่อนก่อนครับ เพราะตอนนี้คุณลอสอยู่ในห้องผ่าตัดอีกหล
วันเวลาของความสุขพ้นผ่านนานร่วมหกเดือนตอนนี้ม่อนไหมท้องแก่ใกล้คลอดเต็มทีเดินเหินก็ไม่ค่อยสะดวกนักแต่ก็ไม่ได้ลำบากอะไรมากเพราะมีสามีอย่างลอเลนโซคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งตอนนี้พ่อและน้องของสามีก็มาเฝ้าอยู่ที่บ้านรอคอยวันที่หลานจะออกมาลืมตาดูโลกไม่ห่างอีกด้วย“คุณพ่อแข็งแรงขึ้นมากเลยนะคะ”“เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเลี้ยงหลานไง นี่ก็ใกล้เวลาที่จะคอลดแล้วใช่ไหม” อเลสซานโดเริ่มเดินเหินได้ปกติแล้วหลังจากตั้งใจทำกายภาพบำบัดมาเป็นเวลาร่วมหกเดือน ที่เขามีกำลังแรงกายแรงใจฮึดสู้เพื่อให้ตคัวเองกลับมาเดินได้อีกครั้งก็เพราะรู้ตัวว่าจะได้อุ้มหลานนี่แหละ“ค่ะ วันคลอดที่หมอกำหนดเอาไว้ประมาณอาทิตย์หน้าอาจจะคลอดก่อนกำหนดหรือถ้ายังไม่ปวดท้องคลอดภายในอาทิตย์สองอาทิตย์นี้ก็คงจะต้องผ่าคลอดค่ะ”“แล้วจะย้ายไปอิตาลีเมื่อไหร่ล่ะ ได้คิดเอาไว้แล้วหรือยัง”“คือ...เรื่องนี้เราคุยๆ กันอยู่ครับคุณพ่อ”“ค่อยๆ คิดแล้วกัน แต่ยังไงพ่อก็อยากให้เราไปอยู่ที่โน่นเป็นหลักนะ”“ครับ” สองสามีภรรยาเริ่มมองหน้ากัน เมื่อต้องพูดถึงเรื่องในอนาคต ไม่ใช่ว่าลอเลนโซจะไม่เคยคุยกันม่อนไหมเรื่องย้ายไปอิตาลี แต่เป็นเพราะตัวม่อนไหมเองที่ยัง