กลับมาถึงที่ห้อง เจียร์ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงขนาดสามฟุตอย่างหมดแรง ดวงตาคู่สวยเหม่อมองเพดานพร้อมความคิดมากมายที่สาดซัดเข้ามาในหัว ตอนนี้ร่างบางคิดไม่ตกกับสิ่งที่ตัวเองกำลังเผชิญหน้าอยู่ เธอไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าในอนาคตจะเป็นยังไง
ร่างเล็กนอนทอดกายอยู่บนเตียงอย่างนั้นไม่ได้ขยับไปไหน ยังสวมใส่ชุดนักศึกษาตัวเดิมแม้แต่ไฟในห้องก็มืดสนิท ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ถอนหายใจออกมา หลายอย่างปะเดปะดังหลั่งไหลเข้ามาในหัวไม่หยุดหย่อน
แสงสว่างจากหน้าจอโทรศัพท์ที่มีสายเข้าทำให้ความคิดมากมายถูกโยนทิ้งไป ก่อนมือเล็กจะเอื้อมหยิบมาดูว่าเป็นสายจากใคร แต่เมื่อเห็นชื่อของแม่โชว์บนหน้าเธอก็ถึงกับต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนกดรับสาย
“แม่มีอะ…” พูดยังไม่จบประโยคคนเป็นแม่ก็รีบสวนขึ้นมา “หาเงินจ่ายค่าเทอมได้แล้วใช่ไหม”
“ค่ะ เจียหาได้แล้ว”
“ดี ฉันจะได้ไม่ต้องไปขอกับพี่สาวแกมาให้ รู้ว่าเรียนแล้วจะลำบากก็ยังจะดื้อด้าน” ตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยมาจนถึงปีสองเจียร์ได้ยินแม่พูดคำนี้นับครั้งไม่ถ้วน เธอไม่ได้เถียงเพราะเลือกเรียนเองแต่ที่เงินไม่พอจ่ายส่วนหนึ่งก็เพราะคนเป็นแม่โทรมาขอบ่อยครั้ง พอไม่มีก็ถูกต่อว่าสารพัด
“เจียร์ไม่เคยรบกวนแม่กับพี่เลยนะคะ แล้วต่อไปนี้คงไม่ได้โอนเงินให้แม่บ่อยๆ แล้ว เพราะเจียร์จะเก็บไว้ใช้เวลาฉุกเฉิน”
หลังกลั้นใจพูดอย่างนั้นออกไป เจียร์ก็รีบกดตัดสายจากแม่ทันที ดวงตาที่แดงก่ำตอนนี้มีน้ำสีใสเอ่อล้นไหลอาบพวงแก้ม หลายเรื่องราวที่ปะทุเดือดกลางอกทำให้ร้องไห้สะอื้นออกมาเสียงดัง อย่างไม่สนใจว่าเสียงจะดังออกไปถึงข้างนอกห้องหรือเปล่า ในเวลาทุกข์เธอไม่สามารถปรึกษาคนในครอบครัวได้เลย อ้อมกอดของแม่อบอุ่นขนาดไหนก็จำไม่ได้แล้ว เจียร์ระบายทุกอย่างออกมาผ่านน้ำตาเพราะมันเป็นแค่สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ในตอนนี้
ตั้งแต่ยายเสียไปเจียร์ใช้ชีวิตตัวคนเดียวมาตลอด ทำงานและเรียนไปด้วยพร้อมกัน สู้ชีวิตตัวคนเดียวแต่มักจะเจอกับความโชคร้ายเสมอ ทั้งที่มีแม่แต่ไม่เคยมาสนใจใยดีเพราะรักแค่พี่สาวคนโต โทษว่าเธอคือคนที่ทำให้พ่อต้องตายจากอุบัติเหตุครั้งนั้น จะไม่ให้รู้สึกน้อยใจเลยคงเป็นไปไม่ได้ หากสามารถตัดขาดได้เธอก็อยากทำเพราะคำว่าครอบครัวของแม่กับพี่สาวไม่มีเธออยู่ในนั้นเลย
เช้าวันใหม่ เวลา 09:00 น.
เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นมาเป็นระรอบๆ มือเล็กควานหาต้นตอของเสียงขณะที่ยังหลับตาอยู่ ก่อนจะค่อยๆ ปรือตาดูเวลา วันนี้เจียร์มีเรียนสิบโมงเช้า เธอลุกขึ้นนั่งสายตาเหม่อมองไปนอกหน้าต่างที่ผ้าม่านกำลังพริ้วไหวจากแรงลม พลางถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะโยนความคิดหนักอึ้งทิ้งแล้วลุกจากเตียงหยิบผ้าขนหนูเข้าไปในห้องน้ำ
หลังจากอาบน้ำแต่งเสร็จแล้ว ร่างเล็กในชุดนักศึกษาก็มารอรถเมล์ที่ป้ายข้างหน้าหอพัก ระยะทางไปมหาวิทยาลัยไม่ไกลเท่าไรแต่ถ้าวันไหนตื่นสายก็ต้องขึ้นวินมอเตอร์ไซค์
มาถึงที่มหาวิทยาลัย…ร่างบางยืนทำใจครู่หนึ่งก่อนจะก้าวขาเดินเข้ามาในคลาสเรียนแล้วกวาดสายตามองหาเพื่อนที่หลอกให้ตัวเองไปตกอยู่ในสถานะของเดิมพัน เมื่อเจอตัวก็รีบเดินจ้ำเท้าไปถามทันที
“ฟ้าใสทำแบบนี้ทำไม”
“ทำอะไร”
“หลอกเจียร์ทำไม มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยนะฟ้า เจียร์ไปทำอะไรให้ถึงได้ใจร้ายใส่กันขนาดนี้” น้ำเสียงจริงจังถามออกไปด้วยความรู้สึกเสียใจ แต่ทว่าใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังถูกตั้งคำถามไม่ได้แสดงถึงความรู้สึกผิดผ่านแววตาเลยแม้แต่น้อย
“หรอ สมน้ำหน้า”
นั่นคือคำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้เจียร์กำมือแน่น สายตาเกลียดชังที่เพื่อนร่วมคลาสมองมาทำให้เธอต้องน้ำตาคลอ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำไมเธอถึงเอาแต่ถูกกลั่นแกล้งอยู่เรื่อยและคราวนี้มันร้ายแรงมากกว่าทุกครั้ง
เจียร์เลือกจบปัญหาด้วยการเดินไปนั่งเรียนเงียบๆ เพราะต่อให้พูดอะไรไปก็ไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นได้แล้ว ต่อให้รู้เหตุผลก็ไม่สามารถทำให้เธอหลุดพ้นจากสถานะของเดิมพันได้
โชคร้ายมักจะเกิดขึ้นกับเธอเสมอจริงๆ
หลังจากเรียนเสร็จเจียร์รีบเดินก้มหน้าก้มตาออกจากห้อง ไม่สนใจกลุ่มของฟ้าใสที่กำลังมองพร้อมเสียงหัวเราะเยาะ
“เจียร์ทางนี้ / เจียร์เจียร์คนสวย” เจไดและเจด้าตะโกนเรียกเสียงดังสร้างความสนใจให้นักศึกษาที่อยู่ระแวกนั้นหันมอง ทำให้ร่างเล็กต้องรีบก้มเดินไปหาเพื่อนทั้งสองและพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติเพื่อไม่ให้ถูกสงสัย
เจไดกับเจด้าเป็นพี่น้องฝาแฝด ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทของเจียร์ที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่มัธยม แต่เพราะความชอบที่ต่างกันจึงเลือกเรียนคนละคณะ เวลาพักเที่ยงจะมากินข้าวด้วยกัน ทั้งสามคนทำแบบนี้ตั้งแต่ตอนเข้ามาเรียนปีหนึ่ง เจด้าค่อนข้างเป็นห่วงเจียร์เพราะหัวอ่อนกลัวถูกรังแก แถมเวลามีเรื่องอะไรที่ไม่สบายใจก็ยังไม่ชอบเล่าให้ใครฟัง
“ทำหน้าไม่สดใสเลย ถูกใครแกล้งหรือเปล่า” เจด้าเป็นคนชั่งสังเกตยิ่งกับเพื่อนสนิทเธอยิ่งดูออกว่ากำลังคิดมาก แต่ถึงอย่างนั้นเจียร์ก็ไม่ยอมบอกอะไร “งานหนักน่ะ เจียร์นอนน้อยด้วย”
“เฮ้อ! รับงานเยอะเกินไปแบบนี้ระวังร่างกายไม่ไหวเอานะเจียร์”
“เจไม่อยากให้เจียทำงานหนักเลย ถ้าติดขัดเรื่องเงินยืมก็ได้ มีไม่เยอะแต่มีให้ยืมได้ตลอด แค่คนสวยบอกพี่พร้อมโอน”
“ไม่เอาหรอกเจ” เจียร์ส่ายหน้าปฏิเสธด้วยความเกรงใจ ตอนนี้เจไดทำงานกับทีมแข่งชื่อดังพอจะมีเงินเก็บ แต่กว่าจะเข้าไปเป็นเด็กทีมนั้นได้สมัครไปอยู่หลายครั้งเพราะคัดคนเข้มงวด แต่ด้วยความชอบการแข่งรถมากๆ มีความรู้เรื่องรถเยอะทางนั้นมองเห็นทักษะจึงรับเข้าทำงาน
“เฮ้อ ขอให้ช่วยบ้างเสนอตัวสุดๆ แล้วนะ”
“ไม่อยากรบกวน”
เจไดถอนหายใจเบาๆ ถึงจะมีเงินไม่มากแต่เขาก็เต็มใจช่วยถ้าเพื่อนตัวเล็กเอ่ยขอเพียงคำเดียว ตั้งแต่รู้จักกันมาเธอไม่เคยขอให้ช่วยอะไรเลยสักครั้ง
“วันนี้แกต้องทำงานไหม ไปซื้อของเข้าห้องเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ ไปกับเจทีไรกว่าจะซื้อของได้แต่ละชิ้นเถียงกันแทบตาย”
“เอาไว้วันหยุดได้ไหมด้า เจียร์ต้องทำงาน”
“หาแฟนรวยๆ สักคนดีไหมเจียร์ เห็นแกทำงานหนักขนาดนี้ฉันเป็นห่วงสุขภาพ กว่าจะได้นอนก็ดึกดื่นบางวันต้องตื่นมาเรียนเช้าอีก”
“เจไดยังโสดครับ” เพื่อนตัวสูงรีบยกมือเสนอตัวเองด้วยท่าทางหยอกล้อก่อนจะโดนแฝดพี่หยิกแขน
“หมายถึงคนรวยไม่ใช่ยาจกอย่างนาย”
“เลิกเถียงกันแล้วมากินข้าว เดี๋ยวก็เข้าเรียนสายหรอก” เจียร์ยิ้มพลางส่ายหน้าเอ็นดูสองแฝดที่มักจะเถียงกันเรื่องไร้สาระเป็นประจำ
ความหนักอึ้งในหัวหายไปชั่วขณะ เพื่อนทั้งสองคนทำให้เจียร์เผยยิ้มสดใสออกมาได้ แต่เมื่อกลับมาที่ห้องได้อยู่ตัวคนเดียวเรื่องราวเหล่านั้นก็หวนกลับมาให้คิดมากอีกครั้ง
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ที่ร้านอาหารตามสั่งในช่วงเย็นลูกค้าหลั่งไหลเข้ามาเกือบจะเต็มทุกโต๊ะ ทั้งเด็กเสิร์ฟและพ่อครัวต่างวุ่นจนแทบมีเวลาได้พัก
“น้องเจียร์ไปเสิร์ฟโต๊ะสี่ให้พี่หน่อยนะ”
“ได้ค่ะ” ร่างบางรับคำสั่งจากป้าเดือนที่เป็นเจ้าของร้านอาหารตามสั่ง จากนั้นก็รีบเอาอาหารไปเสิร์ฟให้กับลูกค้าที่นั่งโต๊ะสี่
นี่เป็นอีกหนึ่งงานพาร์ทไทม์ที่เจียร์จะมาทำในช่วงเลิกเรียน หลังจากร้านอาหารปิดก็ไปทำที่บาร์ต่อ แต่งานที่บาร์ทำแค่วันศุกร์ถึงวันอาทิตย์เพราะเลิกค่อนข้างดึกจึงกลัวจะตื่นไปเรียนไม่ไหว
หลังจากเสร็จงานที่ร้านอาหารตามสั่งเจียร์ก็ต้องรีบกลับห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อจะไปทำงานต่อ โชคดีที่บาร์หนึ่งเก้าอยู่เยื้องๆ จากห้องพักไม่ไกลมากทำให้ไม่ต้องเปลืองเงินจ่ายค่ารถเพื่อนั่งไปมา
บาร์19
เจียร์ทำงานที่บาร์แห่งนี้ตั้งแต่เข้าเรียนปีหนึ่ง เจ้าของร้านที่ชื่อว่าตะวันทั้งใจดีคอยช่วยเหลือเธอในหลายๆ เรื่อง บางครั้งก็เพิ่มเงินให้แบบไม่มีสาเหตุ คอยถามไถ่อย่างใส่ใจ อาจเพราะไม่เคยได้รับจากใครพอมีคนหยิบยื่นให้ไม่แปลกที่จะหวั่นไหวบ้าง แต่คนตัวเล็กก็เจียมตัวเองอยู่ตลอดว่าเป็นแค่ลูกจ้าง
“น้องเจียร์ไหวไหมครับ ดูเหนื่อยๆ นะเราช่วงนี้” ตะวันถามด้วยความเป็นห่วงเพราะมองพนักงานคนสวยมาสักพักใหญ่ จึงสังเกตเห็นใบหน้าหวานกำลังซีดเผือด เขาถือวิสาระยกมือขึ้นแตะหน้าผากดูถึงได้รู้ว่าเธอกำลังป่วย
“ไม่สบายทำไมถึงมาทำงานละครับ”
“คือ…เจียร์อยู่ห้องเบื่อๆ น่ะค่ะก็เลยอยากทำงาน” ในตอนแรกเธอแค่ปวดหัวไม่มากแต่พอเดินเสิร์ฟไปสักพักอาการเริ่มหนักขึ้นจนต้องแอบมานั่งพัก ทั้งที่กินยาก่อนออกจากห้องแล้วแต่เหมือนไม่ช่วยอะไรเลย
“ไปพักเถอะครับ เดินไหวไหมเดี๋ยวพี่ไปส่งดีกว่า”
“แต่เจียร์เพิ่งมาทำงานยังไม่ถึงสองชั่วโมงเลยนะคะแบบนี้….ค่าจ้าง” ริมฝีปากกระจับเม้มเบาๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อของตะวัน ท่าทางแบบนั้นของหญิงสาวทำให้เขาอดเอ็นดูไม่ได้
“พี่จ่ายให้ล่วงหน้าสามวันเลยครับ แต่เจียร์ต้องพักผ่อนห้ามดื้อมาทำงานนะ รับปากได้ไหม”
“ไม่ทำงานแล้วจะให้ค่าจ้างล่วงหน้าได้ยังไง พี่ตะวันใจดีเกินไปอีกแล้วนะ” หลังพูดจบคนตัวเล็กก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเพราะต่อให้อยากจะห้ามแต่รู้ว่าเจ้าของร้านคนนี้ไม่มีทางยอมเธออย่างแน่นอน
“ยืนอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
“ค่ะ”
ใบหน้าสวยพยักขึ้นลงยอมรับคำอย่างว่าง่าย ดวงตากลมมองแผ่นหลังกว้างที่เดินหายเข้าไปในร้าน ก่อนจะยกมือขึ้นมาจับแก้มของตัวเองที่กำลังร้อนระอุไม่รู้ว่าเพราะพิษไข้หรือความเขินอายกันแน่
“ดูมีความสุขจังเลยนะ”
เสียงทุ้มกระซิบพูดข้างหูชวนรู้สึกเย็นยะเยือกทำให้ร่างบางสะดุ้งเฮือกรีบหันมอง ความตกใจปลิวหายไปกับอากาศในวินาทีนั้นเมื่อเห็นใบหน้าหล่อของคนที่ไม่ได้เจอกันเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ ทำเอาเจียร์เกือบลืมหายใจ รีบถอยหลังขยับออกห่างจากบุคคลอันตราย ความกังวลก่อตัวขึ้นพร้อมเอ่ยชื่อเสียงแผ่วเบา
“….พี่ล่า”