[Part Peerakan]
@ห้อง VVIP
ผมกระแทกตัวลงบนโซฟาอย่างแรงด้วยความหงุดหงิด พลางหยิบมือถือขึ้นมาไล่ดูแชทของใครบางคนที่ DM หาผมทุกวัน น่าจะสักระยะหนึ่งได้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่านานแค่ไหน ถ้าบอกว่าไม่อ่านเลยก็ดูจะเป็นการโกหกตัวเองเกินไป อ่านแค่ผ่านๆ อันนี้พอรับได้ คิดแค่ว่าเดี๋ยวเธอก็เลิกส่งไปเอง ถ้าผมไม่ตอบกลับ เพราะที่ผ่านมาก็เป็นแบบนั้น ไม่เห็นมีผู้หญิงคนไหนอดทนได้นานสักคน แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่กับเธอคนนี้…
ปลายนิ้วไล่ข้อความขึ้นไปรัวๆ ใช้เวลาพักใหญ่เลยกว่าผมเจอข้อความที่ต้องการ ส่งมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอวะ…ถ้าตอนเรียนหมั่นเพียรเท่านี้เธอคงได้เป็นดอกเตอร์ ในอนาคตแน่
[ฉันคือเพลินตา ฉันอยากรู้จักคุณ]
เพลินตา…
ใช่จริงๆ เป็นยัยซุ่มซ่ามที่เปิดประตูไม่ดูตาม้าตาเรือคนนั้น ว่าแต่ยุคนี้ยังมีผู้หญิงใช้ประโยคแนะนำตัวแบบนี้อยู่อีกเหรอวะ นึกว่าก๊อบปี้ข้อความที่แปลมาจากกูเกิ้ลทรานสเลท
และเพราะโปรไฟล์ถูกตั้งเป็นรูปหมาน้อย ก็เลยไม่รู้ในทันทีว่าเป็นเธอ แค่รู้สึกว่าคุ้นชื่อ…แต่ที่ไม่รู้คือเธอเป็นเพื่อนกับหนึ่งในบรรดนายหญิงของแก๊ง เนื่องจากผมเป็นคนโลกส่วนตัวสูงจึงไม่ได้ให้ความสนใจคนรอบตัวเท่าไหร่นัก
ความมั่นใจผมเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ทันทีที่ไล่ดูหน้าโปรไฟล์
“เหอะ!”
มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อย จังหวะกดล็อกหน้าจอและเก็บมือถือเข้ากระเป๋า ก่อนจะเอื้อมหยิบแก้วแอลกอฮอล์ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าขึ้นกำลังจะกรอกเข้าปาก แต่ก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อพบความผิดปกติบางอย่าง สายตาหลายคู่พร้อมใจกันจ้องเขม็งมา ณ จุดเดียว
ผมเหล่มองทีละคนตั้งแต่ซ้ายไปขวาจนครบแล้วกระดกเหล้าเข้าปากอย่างไม่แยแส อยากมองก็มองไป คนทุกข์ร้อนไม่ใช่ผมอยู่แล้ว
“มึงนี่มันเกินมนุษย์ไปมากจริงๆ นะ” นี่ไงคนทุกข์ร้อนคนแรก ไอ้วาโย บุตรชายคนโตของบ้านเหมบดินทร์ เจ้าของสนามแข่งรถใหญ่ติดอันดับต้น ทั้งหล่อ รวย โปรไฟล์ดี แต่น่าเสียดาย ดันมีเมียมาเฝ้าซะแล้ว เฌอนารีน สาวน้อยแสนอ่อนหวานที่นั่งข้างมันนั่นแหละ และเธอก็ยังเป็นสาเหตุที่ผมต้องพากันออกไปสูบบุหรี่ด้านนอก เพราะว่าเธอแพ้ควันสารจำพวกนิโคติน…
ยังนะ…บ้านนี้ยังมีลูกชายอีกคน ไอ้ยูตะ น้องชายตัวแสบที่คลานตามมันออกมา ซึ่งมันทั้งคู่ถูกควบคุมไปซะแล้ว ส่วนผู้หญิงของมันก็…มิณ ที่ตอนนี้ไม่รู้หายไปไหน และเธอคนนี้แหละ…เพื่อนของยัยหมาน้อยที่ส่งข้อความหาผมรัวๆ
ผมถอนหายใจแรงครั้งหนึ่ง แก้วเปล่าในมือถูกวางบนโต๊ะแบบเน้นๆ ขณะเหลือบมองหน้ามัน
“เสือก” วลีเดียวที่หลุดออกมาจากปากผมแต่ไร้เสียง
“อ้าว ไอ้เวรนี่!” หลังจากที่ไอ้ตัวพี่ชายเริ่มขยับปากด่าผม ไอ้ตัวน้องก็เสริมขึ้นมาในเวลาไล่เลี่ย
“เฮียก็น่าจะเว้นๆ หน่อย เพลินตาเป็นเพื่อนเมียผมนะ”
“ก็ไม่ใช่เมียกูหนิ” ผมสวนกลับเสียงแข็ง พลางจ้องหน้าคู่สนทนาอย่างเอาเรื่อง คิดไปแล้วก็น่าโมโหเหมือนกันนะ…หมอห่าอะไรปากสว่างฉิบหาย และถ้าเดาไม่ผิด ที่ มิณหายไปก็คงลงไปดูเพื่อนตัวเอง
“เย็นชาสัส กูว่าไอ้ธามหนักแล้วนะ ยังเทียบมึงไม่ได้สักนิดเลย”
ผมไหวไหล่ใส่ไอ้เจ้าของประโยคที่เพิ่งเอ่ยชื่นชมนั่น มันคือ ไอ้แม็กซ์ CEO สุดหล่อ มาดดีแต่ปากไม่ค่อยดี ไอ้นี่ยิ่งหนักกว่าใครเพราะมันเพิ่งสละโสดไปเมื่อไม่กี่เดือนนี่เองกับ คุณหนูลลิล แสนเย้ยหยิ่ง
ส่วนคนที่ถูกมันพูดถึงก็ ไอ้ธาม รุ่นน้องคนสนิท อย่างที่ไอ้แม็กซ์บอกนั่นแหละ ไอ้ธามกับผมค่อนข้างเหมือนกัน แต่แตกต่างตรงที่มันไม่โสด… โรสผู้หญิงข้างกายมันตอนนี้ คือผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในใจมันมาเนิ่นนาน จนทุกคน
ในกลุ่มยกให้เป็นสุดยอดคู่รัก ซึ่งเป็นอะไรที่ผมไม่อินเลยสักนิด
ยังมีอีกคู่จะไม่เอ่ยถึงคงไม่ได้ เพราะตอนนี้พวกเราทุกคนรวมตัวกับอยู่ที่ผับของมัน ไอ้ดิน ทายาทมาเฟียใหญ่ที่เลือกเดินทางขาวสะอาด และร่วมกันปกครองกับนายหญิงที่ใครๆก็พากันเกรงกลัว หนูดา ซึ่งตอนนี้กลายเป็นคุณแม่มือใหม่ไปแล้ว แถมยังผลิตทายาทพร้อมกันถึงสองคนเลยทีเดียว
สมาชิกในกลุ่มเพิ่มขึ้นจนเริ่มอึดอัด แต่ถ้าพวกมันเป็นแค่เพื่อน ผมก็คงสลัดแม่งออกไปหมดแล้ว ติดตรงที่ว่าทุกคนเป็นเหมือนครอบครัว ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องนี้ได้ ผมเองก็ด้วย
ไม่นานประตูห้องก็ถูกเปิดโดยฝีมือไอ้เพื่อนทรยศ ลงไปด้วยกันกับผมแท้ๆ แต่ดันคาบข่าวมารายงานไอ้พวกข้างบน
เวรจริงๆ
ไอ้หมอไวน์ตรงปรี่เข้ามาหาผมหวังจะประทุษร้าย แต่ผมโยกตัวหลบทันก่อนจะพ่นคำด่าใส่มัน
“ไอ้เหี้ย…”
แต่ในวินาทีต่อมา...
ผลัวะ!!
โดนจนได้! ผมเลื่อนมือขึ้นลูบกลางกระบาลป้อยๆ พลางตวัดตามองตามไอ้เพื่อนเวรที่เดินวกกลับไปทิ้งตัวลงนั่งข้างไอ้วาโยซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“มึงทำน้องเขาเจ็บ ไม่ขอโทษไม่พอ เสือกเดินหนีเขา แล้วยังทำหน้าส้นตีนใส่เขาอีก” ปากมันเริ่มขยับหลังจากก้นสัมผัสเบาะโซฟา
[Part Peerakan]ผมใช้เวลาไม่นานก็พาตัวเองมาถึงบ้าน…บ้านขนาดกลาง แต่สำหรับผมมันใหญ่มาก...มากเกินกว่าที่จะอยู่คนเดียว บ้านที่มีครบทุกอย่าง แต่ไม่มีครอบครัว เพราะผมเสียพวกเขาไปจากอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ตั้งแต่ผมอายุไม่ถึงสิบขวบเลยด้วยซ้ำ ทั้งพ่อ แม่ และน้องสาว ทั้งสามคนเห็นแก่ตัวมากๆ ที่หนีไปอยู่สุขสบายพร้อมหน้าและทิ้งให้ผมอยู่คนเดียวบนโลกที่แสนกว้างใหญ่และเลวร้ายครอบครัวเดียวที่ผมมีอยู่ในตอนนี้ก็คือไอ้พวกแม่งนั่นแหละ ถึงจะช่วยให้คลายเหงาได้ ช่วยเหลือได้ในยามจำเป็น แต่มันทดแทนสิ่งที่ผมเสียไปไม่ได้เลย…น่าแปลก…ที่การอยู่คนเดียวมันยิ่งทำให้ผมจมลึกอยู่กับความเจ็บปวด แต่ผมยังชอบการอยู่คนเดียว ชอบความเจ็บปวด ซึ่งนานวันเข้ามันเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความชินชาเหตุการณ์หลายอย่างที่ผมอยากจะลืม…มันก็ยิ่งตอกย้ำชัดเจนขึ้น ว่าไม่ควรมีใครเข้ามาอยู่ในชีวิตผมเลยสักคนพรึ่บบบ!ไฟทั่วทั้งบ้านถูกเปิดอัตโนมัติในตอนที่ผมก้าวขาผ่านวงกบประตู ทั้งชั้นล่างและชั้นบน ถึงผมจะชอบอยู่คนเดียวแต่ผมไม่ได้ชอบความมืดเลยสักนิดผมเดินตรงขึ้นบันไดมายังชั้นสองของบ้านซึ่งเป็นพื้นที่โล่งทั้งชั้นไม่มีการกั้นห้อง แต่ท
[Part Plernta]ยอมรับเลยว่าตกอยู่ในอาการช็อกจนทำอะไรไม่ถูกตอนที่เห็นคนถูกปลายขวดเหล้าแหลมคมที่เกิดจากความตั้งใจจ้วงแทงต่อหน้าต่อตา เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนักที่ผับของรุ่นพี่ดิน มันมีอยู่บ้างแต่ไม่ร้ายแรงเท่าครั้งนี้ และฉันคือผู้โชคดี…โชคดีที่ไม่โดนลูกหลง แต่ก็ไม่สามารถสลัดภาพเหล่านั้นออกไปจากหัวได้เหมือนกันหัวใจเริ่มทำงานหนักขึ้นทันทีที่ฉันหลุบมองมือตัวเองที่ประสานกันบนตัก ณ เวลานั้น ฉันไม่รู้จะตกใจกับอะไรก่อน สมองก็สั่งการช้าซะเหลือเกินยังดีที่เขาไม่ได้ใจร้ายถึงขั้นทิ้งฉันไว้ตรงนั้น มือเล็กถูกยกขึ้นกระชับเสื้อแจ็คเกตที่คลุมบนไหล่ให้แน่นขึ้น ก่อนจะกวาดสายตาสำรวจภายในรถหรูอย่างถือวิสาสะ หลังจากเจ้าของหนีไปนั่งสูบบุหรี่อยู่บนกระโปรงท้ายไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้สัมผัสในชาตินี้เลยด้วยซ้ำ กลิ่นเฟรชอ่อนๆที่ปะทะเข้าจมูกจนฉันอดที่จะสูดดมไม่ได้ มันบ่งบอกได้ถึงความสะอาด สดชื่น ไม่มีกลิ่นอับหรือกลิ่นอาหารแม้แต่น้อย รู้เลยว่าเขารักและดูแลมันดีมากแค่ไหนแอบอิจฉารถได้ไหม...ฉันหันมองแผ่นหลังกว้างผ่านกระจกด้านหลัง เผลอหลุดยิ้มออกมาซ้ำๆ เพราะอย่างน้อยก็ได้เข้าใกล้เขามากขึ้นอีกหนึ่งก้าว ในเรื่องราว
[Part Peerakan]สาวน้อยช่างจ้อหันขวับกลับมาหาผม ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ มือถือที่แนบหูในตอนแรกถูกเลื่อนลงข้างลำตัวผมขยับเท้าเข้าหาทิ้งระยะห่างไม่ถึงสองก้าว ยกมือขึ้นกอดอก ทิ้งช่วงต้นแขนพิงผนัง นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้พินิศหญิงสาวตรงหน้าชัดเจนเต็มสองตา เธอไม่ได้สวยจนสามารถสะกดใครได้ในวินาทีแรก ใบหน้าทรงกลมคล้ายกับอมซาลาเปาสองลูกอยู่ข้างแก้ม ดวงตาเรียวแต่ก็ไม่ถึงกับตี่ ปากนิดจมูกหน่อย ตามสไตล์สาวหมวยที่เกิดมาในครอบครัวคนจีนโดยแท้ เพียงแต่เธอยังมีความคมเข้มในเรื่องของคิ้วและขนตา นี่คือข้อได้เปรียบไม่งั้น…ก็แม่ชีดีๆ นี่แหละแต่ถ้าโดยรวมก็ถือว่ามองได้เรื่อยๆ ไม่เบื่อ ดูเหมือนแก้มป่องๆ นั่นจะเป็นจุดที่เรียกรอยยิ้มได้เป็นอย่างดี ขนาดผมที่ว่ายิ้มโคตรยาก ยังเกือบหลุด…ตอนนี้ผมเห็นรูปหมาตอนนี้ผมเห็นรูปหมาน้อยพันธุ์ปอมเมอเรเนียนหน้ากลมจากการตัดแต่งขนที่ถูกใช้ตั้งโปรไฟล์ มาแทนที่ใบหน้าเธอ เหมือนกันเด๊ะเลย“หืม?” ผมเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้มพลางเอียงคอมอง ขณะเร่งคำตอบจากฝ่ายตรงข้าม เมื่อเธอใช้เวลาในการประมวลผลนานเกินไป ส่งผลให้คนถูกทักท้วงสะดุ้งเล็กน้อย“ปะ…เปล่าซะหน่อย” เธอปฏิเสธน้ำเสียงตะกุกตะกัก
วันต่อมา…11:00 น.@ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง“เร็วมึง”เสียงเร่งรัดดังขึ้นพร้อมกับร่างกายฉันถูกลากไปตามหลังเพื่อนรัก ฉันเหลือกตาขึ้นมองบนพลางถอนหายใจแรงด้วยความจำยอม เพราะมันเล่นไปขุดฉันจากที่นอนเพื่อมาช่วยมันเลือกของขวัญสำหรับการจบการศึกษาอย่างเป็นทางการให้แฟนสุดที่รักอย่างรุ่นพี่ยูตะทั้งที่ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลยสักนิด แต่ก็ต้องมา...ไม่นานเราก็พากันเข้ามาในร้านเครื่องแต่งกายบุรุษสุดหรู ซึ่งร้อยวันพันปี คนอย่าง มิณาริน ไม่แม้แต่จะเดินผ่าน แต่เพื่อผู้ชาย มันยอมจ่ายไม่อั้น“ช่วยเลือกหน่อยมึง” มิณพูดขึ้นขณะกระวนกระวายอยู่กับการเลือกเสื้อแจ็คเกต ราคาแพงที่ถูกจัดเรียงไว้อย่างดี ก่อนที่มันจะหยิบออกมาจากราวแล้วชูขึ้นให้ฉันช่วยพิจารณา“ก็ดี แต่กูว่าสีอ่อนไปหน่อย” ฉันว่าพลางหันไปหยิบอีกตัวที่สีน้ำตาลเข็มขึ้นมาอีกเฉดเพื่อนรักเลื่อนปลายนิ้วชี้ขึ้นไปแตะที่ขมับตัวเองหลายครั้งขณะใช้ความคิด แถมยังกลอกตามองเสื้อสองตัวสลับกันไปมา และท้ายที่สุดมันก็คว้าอีกตัวซึ่งสีเข้มขึ้นไปอีก“งั้นตัวนี้ดีกว่ามะ”“ดีเลย” ฉันตอบพร้อมยัดตัวในมือเข้าที่เดิม“ทำไมมึงไม่ซื้อเนกไท กูเห็นเขาชอบให้กัน” ฉันถาม หลังจากเราพา
“กูไม่ได้ทำ” ผมเถียง“ก็มึงเป็นคนเปิดประตู” แต่มันตอกกลับด้วยเสียงที่ดังกว่า พร้อมกับโน้มตัวมาข้างหน้า คงเพื่ออรรถรสหรืออะไรสักอย่างของแม่ง“ประตูมันก็บอกชัดเจน ฝั่งไหนเข้า ฝั่งไหนออก” ผมกดเสียงต่ำในการชี้แจงขณะโน้มตัวเข้าหามันเช่นกัน“ก็ใช่ไง”ผมยกยิ้มขึ้นมุมปากทันที แน่นอนว่ามันเถียงไม่ออก แต่ประโยคต่อมานี่สิ…ส่งผลให้หน้าผมกลับมาตึงเปรี๊ยะ“แต่มึงเปิดผิดฝั่ง!”“....” นั่นเป็นตอนที่ผมเงียบและดึงตัวกลับไปแนบชิดพนักพิงเหมือนเดิม พลางคิดตามสิ่งที่ไอ้หมอไวน์พูด ใช่เหรอวะ…ผมคิดว่าผมเปิดถูกฝั่งแล้วนะ มันพลาดตอนไหนกัน?“เหอะ! ทีนี้ทำนิ่ง” ไอ้ยูตะเสริม“แล้วจะกูทำไง ก็มันเกิดไปแล้ว” ผมโพล่งออกไปอย่างคนถูกต้อนจนมุม“ขอโทษไง พูดเป็นไหม” ไอ้วาโยว่า ก่อนที่ทุกคนจะพากันโคลงศีรษะอย่างเอือมระอานี่มันต้องขนาดนี้เลยเหรอวะ ยังกะผมไปทำใครตายอย่างงั้นแหละ[Part Plernta]@คอนโด Gหลังจากที่เฮียฟิวส์เดินกลับขึ้นไป คุณหมอไวน์ก็โทรหารุ่นพี่ยูตะ เพื่ออธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อนรักของฉันก็เลยรีบวิ่งแจ้นลงมาภายในไม่กี่นาที ราวกับหายตัวได้ก็ไม่ปาน มีเพื่อนเป็นอีมิณ ก็ดีแบบนี้แหละ…มันไม่มีทางปล่อยฉันไว้คนเดี
[Part Peerakan]@ห้อง VVIPผมกระแทกตัวลงบนโซฟาอย่างแรงด้วยความหงุดหงิด พลางหยิบมือถือขึ้นมาไล่ดูแชทของใครบางคนที่ DM หาผมทุกวัน น่าจะสักระยะหนึ่งได้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่านานแค่ไหน ถ้าบอกว่าไม่อ่านเลยก็ดูจะเป็นการโกหกตัวเองเกินไป อ่านแค่ผ่านๆ อันนี้พอรับได้ คิดแค่ว่าเดี๋ยวเธอก็เลิกส่งไปเอง ถ้าผมไม่ตอบกลับ เพราะที่ผ่านมาก็เป็นแบบนั้น ไม่เห็นมีผู้หญิงคนไหนอดทนได้นานสักคน แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่กับเธอคนนี้…ปลายนิ้วไล่ข้อความขึ้นไปรัวๆ ใช้เวลาพักใหญ่เลยกว่าผมเจอข้อความที่ต้องการ ส่งมาเยอะขนาดนี้เลยเหรอวะ…ถ้าตอนเรียนหมั่นเพียรเท่านี้เธอคงได้เป็นดอกเตอร์ ในอนาคตแน่[ฉันคือเพลินตา ฉันอยากรู้จักคุณ]เพลินตา…ใช่จริงๆ เป็นยัยซุ่มซ่ามที่เปิดประตูไม่ดูตาม้าตาเรือคนนั้น ว่าแต่ยุคนี้ยังมีผู้หญิงใช้ประโยคแนะนำตัวแบบนี้อยู่อีกเหรอวะ นึกว่าก๊อบปี้ข้อความที่แปลมาจากกูเกิ้ลทรานสเลทและเพราะโปรไฟล์ถูกตั้งเป็นรูปหมาน้อย ก็เลยไม่รู้ในทันทีว่าเป็นเธอ แค่รู้สึกว่าคุ้นชื่อ…แต่ที่ไม่รู้คือเธอเป็นเพื่อนกับหนึ่งในบรรดนายหญิงของแก๊ง เนื่องจากผมเป็นคนโลกส่วนตัวสูงจึงไม่ได้ให้ความสนใจคนรอบตัวเท่าไหร่นักความมั่นใจผมเพิ่มขึ