“กูไม่ได้ทำ” ผมเถียง
“ก็มึงเป็นคนเปิดประตู” แต่มันตอกกลับด้วยเสียงที่ดังกว่า พร้อมกับโน้มตัวมาข้างหน้า คงเพื่ออรรถรสหรืออะไรสักอย่างของแม่ง
“ประตูมันก็บอกชัดเจน ฝั่งไหนเข้า ฝั่งไหนออก” ผมกดเสียงต่ำในการชี้แจงขณะโน้มตัวเข้าหามันเช่นกัน
“ก็ใช่ไง”
ผมยกยิ้มขึ้นมุมปากทันที แน่นอนว่ามันเถียงไม่ออก แต่ประโยคต่อมานี่สิ…ส่งผลให้หน้าผมกลับมาตึงเปรี๊ยะ
“แต่มึงเปิดผิดฝั่ง!”
“....” นั่นเป็นตอนที่ผมเงียบและดึงตัวกลับไปแนบชิดพนักพิงเหมือนเดิม พลางคิดตามสิ่งที่ไอ้หมอไวน์พูด ใช่เหรอวะ…ผมคิดว่าผมเปิดถูกฝั่งแล้วนะ มันพลาดตอนไหนกัน?
“เหอะ! ทีนี้ทำนิ่ง” ไอ้ยูตะเสริม
“แล้วจะกูทำไง ก็มันเกิดไปแล้ว” ผมโพล่งออกไปอย่างคนถูกต้อนจนมุม
“ขอโทษไง พูดเป็นไหม” ไอ้วาโยว่า ก่อนที่ทุกคนจะพากันโคลงศีรษะอย่างเอือมระอา
นี่มันต้องขนาดนี้เลยเหรอวะ ยังกะผมไปทำใครตายอย่างงั้นแหละ
[Part Plernta]
@คอนโด G
หลังจากที่เฮียฟิวส์เดินกลับขึ้นไป คุณหมอไวน์ก็โทรหารุ่นพี่ยูตะ เพื่ออธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อนรักของฉันก็เลยรีบวิ่งแจ้นลงมาภายในไม่กี่นาที ราวกับหายตัวได้ก็ไม่ปาน มีเพื่อนเป็นอีมิณ ก็ดีแบบนี้แหละ…มันไม่มีทางปล่อยฉันไว้คนเดียว ยิ่งรู้ว่าฉันได้รับบาดเจ็บด้วยนะ ยิ่งร้อนใจเข้าไปใหญ่
เพราะครั้งหนึ่ง ฉันเคยเจ็บหนักเพื่อช่วยมัน จากที่รักกันมากอยู่แล้วเลยทวีคูณขึ้นไปหลายเท่า
สุดท้ายเราเลยมาอยู่ด้วยกัน ที่นี่…
คอนโดที่ฉันเพิ่งขอป๊าม้าได้เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาและแถมยังอยู่ตึกเดียวกันอีกด้วย ไม่มีเหงาเลยฉัน เสียอย่างเดียวที่มิณไม่ใช่สายปาร์ตี้
“อันนี้ไม่ได้” ฉันรีบแย่งถุงอุปกรณ์ทำแผลมาจากมือเพื่อนรักด้วยความตกใจ เมื่อมันทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาข้างฉันพลางหยิบถุงขึ้นมารื้อดู
“เอ้า ก็เฮียหมอไวน์ให้มึง มาทำแผลไม่ใช่ไง๊?”
“มึงไปเอากล่องยาในตู้โน้น” ฉันพยักพเยิดหน้าไปทางชั้นวางทีวี
ใครจะยอมให้เอาไปใช้ล่ะ…กว่าจะได้มา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ
“อะไรวะ” มันย่นคิ้วอย่างไม่เข้าใจก่อนจะลุกเดินไปหยิบกล่องยาตามที่ฉันบอก
ฉันจัดการหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปถุงยาในมือด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะเอาของสำคัญไปซ้อนไว้ด้านหลัง
“มึงนี่นะ” มันเดินกลับมาวางกล่องยาลงบนโต๊ะก่อนจะเริ่มขั้นตอนการทำแผลอย่างจริงจัง
อ๊ะ!
ฉันส่งเสียงออกมาในตอนที่มิณกำลังเช็ดบาดแผล มันเบามือแล้วก็จริงแต่ก็ยังเจ็บอยู่ ตอนแรกไม่เห็นเจ็บขนาดนี้นี่นา
“เลิกสนใจเขาได้แล้วมั่ง เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเขาเป็นยังไง” มันก็ทำไปบ่นไป ตามประสา แต่ฉันเองไม่ได้เชื่อฟังขนาดนั้น ถามว่าเห็นไหม…ก็เห็น เขาไม่ใช่สุภาพบุรุษ ในที่นี้อาจรวมถึงไม่ใช่คนดีเด่อะไรด้วย แต่ฉันจะไม่ตัดสินใครโดยที่เรายังไม่รู้จักเขาดีพอ
หรือความจริงคือใบหน้าหล่อเหลานั่นกำลังบังตาฉันอยู่
“แต่เขาก็ไม่ได้บล็อกกู” ฉันเถียงและแน่นอนว่าอีกฝ่ายก็ไม่ยอม การโต้วาทีระหว่างเราจึงเริ่มขึ้น
“แต่เขาก็ไม่ได้ตอบ”
“แต่เขาอ่าน”
“แล้วเขาเคยมาตามนัดไหม”
เกิดอาการที่คล้ายกับโดนช็อต ฉันนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ประโยคนี้สร้างความรู้สึกเจ็บจี๊ดกว่าน้ำเกลือซึ่งกำลังราดลงบนแผลอยู่ตอนนี้ซะอีก
“อย่างน้อยเขาก็ยังอ่านไง แปลว่าเขาก็เขายังอยากเห็นข้อความจากกูอยู่” ฉันเริ่มขยับปากพูดในเรื่องเดิมอีกครั้ง แต่โทนเสียงแผ่วลงเยอะเลย
ต้องยอมรับนะว่าลึกๆ ฉันก็แอบเข้าข้างตัวเองด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่บล็อกและก็อ่าน แบบนี้มันแปลว่าอะไรได้ล่ะ
นี่จึงเป็นเหตุผลทำให้ฉันไม่หมดหวังสักที บางทีมันอาจเป็นเพราะเขายังไม่รู้จักฉันก็ได้
“มึงคิดได้ไงเนี่ย” มันว่า พลางเก็บของลงกล่องยา หลังจากทำแผลให้ฉันเสร็จ
“ไม่รู้แหละ อย่างน้อยๆ วันนี้เขาก็ยังให้ไอ้นี่มา” ฉันพูดพลางหันมองถุงอุปกรณ์ทำแผลที่อยู่ด้านหลัง พร้อมอมยิ้ม
“อ๋อ…ถึงว่า หวงจัง”
“เอาน่า กูว่า…กูไหว” คิดว่าน่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ไม่ได้แย่ไปซะทีเดียว อย่างน้อยเขาก็ยังสนใจฉันอยู่บ้าง
นั่นแปลว่า…เขาในสายตาเขายังพอที่จะมองเห็นคนอื่นได้ ใช่ว่าจะไม่สนโลกขนาดนั้น
“เฮียฟิวส์ต่างจากคนอื่นมากๆ ถ้าเป็นเฮียหมอไวน์ กูยังเชียร์มากกว่าอีก” มันยังไม่เลิกล้มความพยายามในการเปลี่ยนใจฉัน
“ความรู้สึกมันไม่ได้เปลี่ยนง่ายขนาดนั้นเปล่าวะ ให้กูลองดูก่อน กูไม่ไหว เดี๋ยวกูก็ถอยเองแหละ”
“ตามใจ บางทีไอ้ของที่เขาให้มา อาจจะเอาไว้ช่วยทำแผลในตอนที่เจ็บสาหัส”
เฮือก!…แต่ละประโยคที่ออกจากเพื่อนรัก เจ็บแสบสุดๆ ฉันอดที่จะยกมือทาบอกตัวเองไม่ได้เลย เหมือนโดนมีดสั้นปักกลางดวงใจ วิถีเพื่อนรักสินะ….
ฉันแอบแยกเขี้ยวใส่ตอนมันลุกไปเก็บกล่องยาและปรับให้เป็นปกติก่อนมันหันกลับมา
“เออ!…ว่าแต่ไม่มีใครรู้ใช่ไหม” และฉันยังไม่ลืมย้ำเรื่องที่ต้องเก็บเป็นความลับ
“ไม่ เฮียยูตะ ยังไม่รู้เลย”
เพื่อนของฉันยังเป็นคนเก็บความลับได้ดีสุดยอด เรื่องนี้ฉันเอาชีวิตเป็นประกัน
ส่วนเหตุผลที่ฉันไม่อยากให้ใครรู้สักคนนอกจาก มิณ ก็เพราะถ้ามันไม่สำเร็จจะได้ไม่อายมาก ไม่ใช่อะไรหรอก…
19:30 น.ครืดดด!…ครืดดด!ฉันเหลือบมองหน้าจอมือถือที่แจ้งเตือนสายโทรเข้า พอเห็นว่าจากใครเท่านั้นแหละ ฉันวางมือจากทุกอย่างและรีบรับสายทันที[อยู่ไหน]ฉันเงยหน้าขึ้นดูเวลาเป็นอันดับแรกหลังจากได้ยินเสียงเข้มจากปลายสาย ก่อนจะพบว่าตัวเองปั่นงานมายาวนานจนลืมทุกสิ่งอย่าง แม้กระทั่งแชทไปบอกเขา ว่าวันนี้ต้องทำโอที… และที่เขาโทรมาก็เพราะฉันเงียบหายไปในช่วงเวลาประจำของเรา“ออฟฟิศค่ะ” ฉันตอบเสียงอ่อย[ทำไมยังไม่กลับ] ทว่าเสียงฝ่ายตรงข้ามกลับดังขึ้นกว่าเดิมอีก“ทำโอทีค่ะ ออดิทเลื่อนเข้าพรุ่งนี้ ก็เลยต้องรีบเคลียร์เอกสาร เพลินลืมบอก ขอโทษ”[แล้วไปเอาเค้กรึยัง]“ไปเอามาตั้งแต่บ่ายแล้วค่ะ” ฉันตอบ ก่อนเหลือบมองถุงเค้กบนโต๊ะพร้อมอมยิ้ม นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่เยียวยาฉันได้ดีที่สุด ของช่วงเวลาฝึกงานที่แสนจะหดหู่นี้[ใกล้เสร็จรึยัง] น้ำเสียงที่ส่งกลับมาเริ่มอ่อนโยนขึ้นนิดหน่อย“ใกล้แล้วน่าจะอีกสัก...ครึ่งชั่วโมง” ฉันใช้ไหล่แนบมือถือไว้ข้างหูแทน เพ
“...” ฉันสะดุ้ง เมื่อหันไปเห็นสายตาพิฆาตของ คุณพีรกานต์ สายตาเขาดุดันมากขึ้น คิ้วเลื่อนเข้าชนกันชนิดที่ว่าแยกไม่ออกเลยแหละ มีวูบหนึ่งที่ฉันเห็นเขาแอบส่งสัญญาณให้ฉันรีบออกไปจากตรงนี้แต่มันทำแบบนั้นไม่ได้ไง…เพราะคุณเจนิสา เธอยังปรายตามองฉันตลอด และพอฉันไม่ทำตาม เขาก็ยิ่งดูเหมือนโมโหมากขึ้นมีแค่ฉันคนเดียวรึเปล่านะ ที่รู้ว่าเขากำลังโกรธ โดยหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้“ฉันอยากรู้ว่าเกณฑ์ตัดสินคืออะไรคะ มีการใช้เส้นสายรึเปล่า” คุณเจนิสาหันไปยิงคำถามกับท่านประธาน แต่กลับปิดจบประโยคด้วยการเอียงคอมองทายาทเพียงคนเดียวคุณพีรกานต์รีบละสายตาจากฉัน ไปหาคนตั้งคำถามในทันทีฉันไม่แน่ใจว่าคุณเจนิสาใช้สายตาแบบไหน เพราะเธอนั่งหันหลังให้ แต่ที่ชัดเจนคือสายตาของคุณพีรกานต์ เขาจ้องเธอด้วยสายตาที่แข็งกร้าวผิดปกติมันไม่ใช่สายตาของพนักงานมองลูกค้า ถึงเขาจะตำแหน่งสูงแค่ไหน ก็ไม่สมควร“คะ?” เป็นท่านประธานที่ดึงความสนใจจากคุณเจนิสากลับมาได้“อ้อ พอดี ฉันแค่กังวลเรื่องคุณภาพของงานน่ะค่ะ” เธออธิบาย โดยใช
@พีพีเอ็นอาทิตย์ต่อมา...De.FiEw : ก่อนกลับDe.FiEw : อย่าลืมไปแวะเอาเค้กที่ร้านฉันอดที่จะอมยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอมือถือการแวะไปเอาเค้กที่ร้านหน้าบริษัท กลายเป็นหนึ่งกิจวัตรที่ต้องทำทุกเย็นก่อนกลับบ้านเรื่องราวระหว่างเรายังคงดำเนินไปเรื่อยๆ หลังจากเหตุการณ์ที่ทำให้เข้าใจกันมากขึ้น วันนั้นจนถึงวันนี้ ผ่านมาอาทิตย์กว่าไม่มีวันไหนที่เราไม่คุยกัน ทว่าในความสัมพันธ์ ที่ดูเหมือนจะชัดเจนแต่ก็ไม่…ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่างคล้ายกับตอนนี้เราอยู่ในช่วง คนคุย หรือ กำลังศึกษาดูใจ หรืออาจจะไม่ใช่ทั้งสอง ไม่รู้สิ เขาเองก็ไม่เคยระบุ ว่าฉันจัดอยู่ในโหมดไหนแต่ถ้าถามฉัน เทให้เขาไปแล้วหมดหน้าตัก…ผลจะเป็นยังไง ค่อยว่ากันถึงการฝึกงานครั้งนี้จะไม่แฮปปี้และอยากจะให้โลกหมุนไปถึงวันสุดท้ายโดยเร็ว กลับกันมันดันเป็นที่เดียวที่จะให้ใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง ด้วยการแอบมองเล็ก ๆ น้อย ๆส่วนการพูดคุยแบบตัวต่อตัว แบบสัมผัสจับต้อง ลืมไปได้เลย กล
ไม่นานภารกิจของฉันก็เสร็จสิ้น หลอดยาถูกปิดฝาอย่างดีและเก็บใส่ถุงตามเดิม“รู้ใช่ไหมว่าช่วงนี้…” เขาพูดขณะเอนหลังเล็กน้อย เพื่อมองหน้าฉัน“รู้ค่ะ แต่เราโทรคุยกันได้อยู่ใช่ไหม”“อือ”“แค่นั้นก็พอแล้วค่ะ” สำหรับฉัน แค่เรายังติดต่อกันอยู่ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ฉันสบายใจทั้งนั้นก๊อกๆๆฉันสะดุ้งโหย่ง หันไปมองตำแหน่งของเสียงด้วยความตกใจเมื่อมีคนเคาะประตูจากด้านนอก และหันกลับมาส่งสายตาขอความเห็นจากเฮียฟิวส์เขาพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับค่อยๆ ยกแขนออก นั้นจึงเป็นตอนที่ฉันดึงเสื้อเขาขึ้นให้เรียบร้อย ก่อนจะลุกไปคลายล็อกลูกบิดเพื่อเปิดประตูให้ผู้มาเยือน“เห่ย…!” เจ้าของผับเบิกตากว้างร้องอุทานด้วยความตกใจ“....” ฉันสะดุ้งอีกครั้ง วันนี้วิญญาณฉันคงไม่กลับเข้าร่างง่ายๆ หรอกแน่นอนว่าฉันไม่ได้ถูกระบุให้เข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้ อีกอย่างรุ่นพี่ดินไม่ได้รับรู้ถึงแผนการในครั้งนี้ รวมถึงไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเราด้วยเขาจ้องฉันตาเขม็ง
เท้าเรียวก้าวเดินมาหยุดทางฝั่งขวามือของเขา สะกิดให้ร่างหนาขยับหันหลังมาทางขอบข้างบริเวณที่พักแขนของโซฟาจับปกเสื้อร่นลงด้านหลัง แต่ด้วยความที่กระดุมถูกปลดไว้แค่เม็ดเดียว มันไม่กว้างพอให้เห็นชัดทั้งหมด“เฮีย ปลดกระดุมอีกเม็ดหนึ่งค่ะ”“ปลดเองสิ”ให้มันได้ยังงี้สิ…ไม่เคยจะยอมให้ความร่วมมือกับอะไรสักอย่างจริงๆฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน พลางหย่อนก้นลงบริเวณขอบที่พักแขนของโซฟาแบบหมิ่นเหม่เอื้อมมือไปจับสาบกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาแต่ยังไม่ทันได้ปลดออกวินาทีต่อมาการกระทำทุกอย่างของฉันถูกสั่งให้หยุดชะงัก เมื่อเขาค่อยๆ ยกแขนขวาพาดมาบนตักอย่างเชื่องช้า เกิดการเปลี่ยนแปลงของรูปหน้าหล่อเหลาเล็กน้อยตอนขยับฉันสูดหายใจเข้าลึก พยายามจะไม่คิดอะไรที่มันอยู่ในสุ่มเสี่ยงและทำหน้าที่ของตัวเองต่อทั้งที่บอกว่าไม่คิดอะไร…แต่ทำไมใจสั่น คอแห้ง ก็ไม่รู้ การกระทำทั้งหมดอยู่บนความล่อแหลมและยังถูกจับจ้องด้วยสายตาคู่คมตลอดเวลาฉันจึงเลื่อนมองไปทางอื่น ทำเป็นไม่อยากเห็นส่วนที่อยู่ภายใต้กระดุมเม็ดนี้ ใจฉันอยู
[Part Plernta]“เพลินก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้หรอกนะ เฮียรู้ไว้ด้วย ถ้าการเลิกชอบใครสักคนมันง่าย….” ฉันเม้มริมฝีปากแน่น ประโยคถูกทิ้งค้างไว้แค่นั้น ก่อนจะหันไปสบตากับผู้ชายที่มีอิทธิพลต่อความรู้สึกฉันมากที่สุดในตอนนี้ หัวคิ้วของเขามุ่นขึ้นมาเล็กน้อยฉันปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเสียเปล่าเกือบครึ่งนาที ก่อนจะเริ่มทำลายความเงียบอีกครั้ง“ป่านนี้เพลินก็….” แต่ยังไม่ทันจบ...ฉันหยุดพูดกะทันหันด้วยความตกใจ เมื่อเฮียฟิวส์เอื้อมมือมารั้งท้ายทอยฉันเข้าหา จนปลายจมูกเราสัมผัสกัน สายตาคู่คมจ้องลึกเข้ามาในดวงตาฉันราวกับเขากำลังควานหาบางอย่างในนั้น ร่างกายฉันแข็งทื่อเสมือนกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน การหายใจที่ดูเบสิกกลายเป็นเรื่องยากในพริบตา“ก็อะไร” สายตายังสอดประสานขณะเขาเอ่ยถาม ฉันพยายามรวบรวมสติสัมปชัญญะที่หลุดลอยไปพร้อมกับแรงกระชากก่อนหน้าให้กลับเข้าร่าง พยายามเบี่ยงหน้าหนี แต่ถูกบังคับให้หันกลับมาด้วยนิ้วหัวแม่มือที่กดอยู่ข้างแก้ม“หืม…” การเร่งรัดเอาคำตอบเกิดขึ้นจากฝ่ายตรงข้าม“ก็…คงทำ…”คำพูดของฉันขาดช่วงไม่จบประโยค ส่วนที่เหลือถูก