เข้าสู่ระบบ“กะ…กูหมายถึงที่อื่นไง ที่ไหนๆ รสชาติแม่งก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ มึงจะตื่นเต้นอะไร!!” ผมข่มเสียงเข้มขณะตอบ พลางล้วงบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาจุดสูบเพื่อกลบเกลื่อน แล้วเบือนหน้าไปทางที่ไม่มีคนนั่ง
“ร้อนตัวอะไรเราอะ อธิบายซะยาวเชียว แค่ถามเอง” ไอ้ยูตะแม่งยังจี้ไม่หยุด ผมพ่นควันสีขาวออกปากก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้ามัน
“จะแดกติ่มซำหรือตีนกู” พร้อมกับชี้มือที่คีบบุหรี่ลงด้านล่างให้มันเห็นภาพชัดๆ เพราะถ้ายังไม่หุบปาก มีโอกาสสูงมากที่มันจะได้ลิ้มลอง
“เกรี้ยวกราดฉิบหาย” มันก้มหน้ากับอาหารพลางบ่นอุบอิบ
ดูเหมือนป๊าไอ้ดินจะเคลียร์เรื่องเมื่อคืนจบแล้ว เพราะวันนี้ผับยังเปิดได้ปกติ ส่วนตัวมันก็คงไปอยู่กับลูกเมีย นี่แหละนะ…พอมีครอบครัว ชีวิตก็ถูกกักขังด้วยพันธะหลายๆ อย่างทันที
ว่าแต่ไม่เห็นมิณพูดอะไร
ยัยหมาน้อยไม่ได้ฝากเสื้อมาคืนผมหรอกเหรอวะ ดื้อด้านชะมัด วันนี้ต้องโผล่มาให้ผมรำคาญอีกแน่ๆ
ผมหยิบมือถือขึ้นมาเช็กการขึ้นลงของกราฟนิดหน่อย
“เออ พฤหัสนี้ กูจองลานกางเต็นท์ไว้ ไปออกแคมป์กัน นอนสักสองคืน” ไอ้วาโยพูดขึ้น ในขณะที่ทุกคนดูตื่นเต้น แต่หนึ่งในนั้นไม่ใช่ผมแน่นอน ถามว่าไปได้ไหม ก็ไปได้…แค่ไม่ได้อินขนาดนั้น
“ดีเลย ไปก่อนมิณาเปิดเทอมจะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องเรียนเนอะ” ไอ้ยูตะบอกกับมิณน้ำเสียงตื่นเต้นสุด ก่อนจะได้รับการตอบกลับแบบห้วนๆ
“อือ”
“ใช่ กูจะได้เอาโรสไปด้วย” ประโยคแรกของไอ้ธามหลังจากที่มันนั่งเงียบอยู่นาน จนผมลืมไปแล้วว่ามีมันอยู่ด้วย
“แล้วมึงบอกหมดยัง” ไอ้หมอไวน์หันไปถามตัวตั้งตัวตีของเรื่อง เวลาทำอะไรไม่เคยปรึกษาเพื่อนฝูงหรอก จองเสร็จแล้วค่อยมาบอก เป็นแบบนี้ตลอด
“บอกแล้วก็มีแต่ไอ้ดินกับหนูดาแหละที่ไม่ได้ไป” ไอ้วาโยตอบกลับไอ้หมอก่อนจะหันไปบอกน้องสะใภ้ตัวเอง
“ชวนเพลินไปด้วยดิ”
ประโยคของมันส่งผลให้ผมละความสนใจจากหน้าจอมือถือทันที
“จะชวนคนนอกไปทำไมวะ”
“มึงก็ใจแคบเกิน เพลินมันก็มีแค่เพื่อนแค่มิณปะ แล้วถ้ามิณไปตั้งสามวัน น้องมันก็จะเหงา” ไอ้หมอไวน์หันกลับมาสวนทันควัน
“แล้ว?” ยังไงก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกเราอยู่ดี เธอจะมีเพื่อนไม่มีเพื่อน กลายเป็นความรับผิดชอบของพวกเราไปตั้งแต่ตอนไหน
“มึงจะไปไม่ไป” ไอ้วาโยปิดจบด้วยการยิงคำถามให้ผมเลือก นั่นแปลว่ายังไงมันก็ยืนยันจะเอาคนนอกไปด้วย
“ถ้ามีคนนอกกูไม่ไป” ผมว่าพลางก้มลงกับหน้าจอมือถือตัวเองต่อ
“งั้นแล้วแต่มึง” ไอ้หมอไวน์กระแทกเสียงใส่ผม ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปอีกทาง
“แต่กูจองแล้ว ไปไม่ไปเสียเท่าเดิม” ไอ้วาโยบอกและปิดท้ายด้วยประโยคของมิณ
“งั้นเดี๋ยวมิณลองชวนมันนะ”
ยัยหมาน้อยไม่มีทางปฏิเสธอยู่แล้ว…เรื่องนี่ผมมั่นใจพันเปอร์เซ็นต์
21:33 น.
“เยส!” เสียงไอ้ยูตะดีใจในตอนที่ได้ดาวเพิ่ม
“เดี๋ยวผมไปรับโรสก่อน” ไอ้ธามว่าพลางเก็บมือถือใส่กระเป๋าและเดินตรงออกจากห้อง
“ฝากรับหนูเฌอมาด้วยดิ” ไอ้วาโยเงยหน้าบอกไอ้ธาม ก่อนจะก้มลงกับมือถือตัวเองต่อ
“มาต่อ”
แต่ถ้าไอ้ธามออกไป ทีมก็ยังขาดอีกคน
“เอาใครเข้าอีกคน” ไอ้หมอไวน์พูดแทนผมไปหมดละ และนี่คือสาเหตุที่ผมดูพูดน้อย เพราะพูดไม่ทันพวกแม่ง
“ผมมี น้องมันออนพอดีเลย” ไอ้ยูตะเสนอ ไม่นานช่องสี่เหลี่ยมเล็กที่ว่างก็ปรากฏโปรไฟล์ของคนที่ไอ้ยูตะเชิญเข้ามา
‘กวางน้อยในป่าใหญ่’
นี่ไอ้ยูมันชวนเด็กประถมมาเล่นด้วยรึไงวะ เห็นชื่อแล้ว…เตรียมดาวลดรอเลย
“โหลๆ” ไอ้ยูตะทักทายสมาชิกใหม่ที่เพิ่งเข้ามาหมาดๆ ให้ช่วงที่เรากำลังเลือกตัวเล่น
[ค่าาาาา] เสียงหวานคุ้นหูตอบกลับมา
“เพลินเหรอ” ชัดเจนในประโยคคำถามของมิณ ว่าละ…เสียงคุ้นฉิบ
“อือ น้องมันเล่นเก่งอยู่นะ ผมเคยลงด้วยกันหลายแมทละ” ไอ้ยูตะครางตอบมิณและไม่ลืมอวดสรรพคุณผู้ลงเล่นใหม่ให้พวกผมฟัง
[รุ่นพี่อย่าคุยเยอะ เดี๋ยวรอบนี้แพ้นี่อายเลยนะ] ยัยหมาน้อยกรอกเสียงกลับมา ตอนนี้เราเล่นด้วยกันทั้งหมดเลยมีแค่เครื่องไอ้ยูตะที่เปิดไมค์และลำโพงเพื่อสื่อสารกับคนเดียวที่ไม่ได้อยู่ในห้องนี้
“เฮียชวนมันเลยดิ” มิณเปรยๆ ให้ไอ้วาโยพูดเรื่องไปออกแคมป์ห่าเหวอะไรของมันนั่นแหละ
“เออ เพลินพฤหัสนี้ไปออกแคมป์ด้วยกันไหม”
[ไปได้เหรอคะ] น้ำเสียงคนถูกชวนคือตื่นเต้นสุด
“เขาก็ชวนอยู่นี่ปะ” มิณตอกกลับเพื่อนตัวเอง
[ไปๆๆ] กะไว้แล้วว่าเธอไม่มีทางปฏิเสธ
[ฟรุ๊ตตี้ ไปนอนกับม้าไหม เพลินอย่าเล่นจนดึกนะลูก] มีเสียงผู้หญิงที่คิดว่าน่าจะเป็นแม่ของเธอแทรกเข้ามาก่อนที่ยัยหมาน้อยจะตอบรับ
[ค่าาา]
“เอ้า มึงกลับบ้านไง๊?” มิณเอ่ยถาม นั่นจึงเป็นตอนที่ผมเหลือบมองหน้าคนถามเล็กน้อย ก่อนจะหลุบตาหลบแทบไม่ทัน เพราะเหมือนมิณเองก็เหล่มอง
ผมอยู่
[อื้อ ม้าบังคับมา] ถึงว่าวันนี้ไม่เห็นแม้แต่ข้อความ ไม่งั้นคงส่งมาให้ผมลงไปเอาเสื้อแล้ว ผมขมวดคิ้วมุ่นที่ความคิดผมส่งไปถึงมิณได้เฉย เพราะเธอพูดขึ้นในตอนที่ผมกำลังคิดพอดีเลย
“ถึงว่า ทำไมคืนนี้เงียบเลย”
[คิดถึงกูละสิ ตอนแรกว่าจะอยู่สักสองวัน แต่คงต้องกลับพรุ่งนี้ละ เดี๋ยวเตรียมตัวไม่ทันไปแคมป์] ปลายสายตอบกลับ ส่งผลให้ผมชะงักไปในทันที ทั้งที่รู้ว่ายัยหมาน้อยถามมิณ แต่มันเหมือนผมจะร้อนตัวนิดหน่อย
“ไม่เคยคุยกัน?” ผมว่าน้ำเสียงหงุดหงิดพลางเหลือบมองหน้ามิณ
คนถูกคาดโทษเม้มริมฝีปากแน่นก่อนหันไปหาไอ้ยูที่นั่งอยู่ข้างๆ ส่งสายตาให้แฟนตัวเองช่วย คิดได้ไงว่ามันจะช่วยได้ มันก็ทำได้แค่หันมาจูบหน้าผากทีหนึ่งเพื่อปลอบโยนแล้วหันไปเล่นเกมต่อ
ผมพ่นลมหายใจออกยาว ขยับเท้าถอยเล็กน้อยเบือนหน้าไปทางอื่นพร้อมกับล้วงสองมือเข้ากระเป๋ากางเกงตัวเอง พยายามควบคุมทุกอย่างไม่ให้มันรุนแรงเกินกว่าเหตุเป็นท่านประธานที่เดินเข้ามาขว้างระหว่างกลางและพูดแทนในสิ่งที่ผมคิด“ฉันว่า มันถึงเวลาที่ต้องจบเรื่องพวกนี้สักทีนะ”“จบเหรอคะ จบแล้วมีใครฟื้นขึ้นมาไหมคะ” ริสาสวนกลับแววตาเธอดุดันขึ้นฉับพลัน ราวกับคนละคน“แล้วเธอขาดตรงไหน พวกฉันชดใช้ให้เธอไปหมดทุกอย่างแล้ว” คุณอาฉัตรเป็นตัวแทนที่พูดได้ตรงกับที่ผมคิดทุกอย่างส่วนผมยังเลือกที่จะนิ่งเงียบ ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพื่อยับยั้งความพังพินาศ“หมดแล้วจริงๆ เหรอคะ” เธอยิงคำถามใส่คุณอาฉัตร ก่อนจะเลื่อนมาจ้องหน้าผมตาเขม็ง“แล้วเธอจะเอาอะไรอีก ตอนนี้เธอก็มีชีวิตที่ดี มีสามีที่ดี เธอมีทุกอย่างแล้ว แต่ทำไมเธอไม่คิดจะรักษามันไว้” ท่านพูดถูกทุกอย่าง“แต่ฉันไม่มีความสุข”“มันเป็นเพราะเธอเองต่างหาก ที่ทำให้ตัวเองไม่มีความสุข” ผู้ที่ผ่านโลกมาพอสมควร สวนกลับด้ว
ว่าถ้าปล่อยไว้จะมีเรื่องร้ายแรงตามมาแน่ๆ” ที่ท่านพูดไม่ผิดเลยสักนิด ภายนอกริสาดูเหมือนคนปกติมาก จนตอนแรกผมก็คิดว่าเธอหายแล้ว แต่ความจริงคือเหมือนจะดิ่งลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ“แล้วอายังปล่อยให้ริสา เข้าใกล้คนของผมงั้นเหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย ทั้งที่คุณอาฉัตรรู้อยู่แล้ว ทำไมถึงยังปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น“อาไม่ได้ละเลย นี่เป็นสาเหตุที่ดึงให้ริสามาอยู่ที่นี่เพราะอย่างน้อยถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็ยังอยู่ในสายตา และเราสามารถควบคุมได้ทันเวลา หลานเข้าใจใช่ไหม”“...” ผมเงียบ ใช้สมาธิในการไตร่ตรอง“และที่หลานลงทุนบินไปถึงรัสเซียก็เพราะอยากจบเรื่องนี้แบบไม่ต้องมีฝ่ายไหนพังพินาศ ไม่ใช่เหรอ” ข้อนี้ดูมีเหตุผลสมควรที่สุด ในการที่ผมต้องใจเย็นกว่านี้ ไม่งั้นทุกอย่างจะสูญเปล่าทั้งหมด“แต่ผมไม่สามารถรับกับความสูญที่เกิดขึ้นจากตัวผมได้อีกแล้วนะ” ผมพูดขณะยันศอกสองข้างไว้กับหน้าขาและก้มมองสองมือที่ประสานอยู่ตรงหน้าผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งพอจะปกป้องใครได้เลย ถึงผมจะพยายามมากแค่ไหน ผมยังอ่อนแอ
วันต่อมา…09:00น.@พีพีเอ็นหลังจากลงเครื่อง ผมเลือกที่จะตรงเข้าหาสาเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อน ถ้าหวังจะไปคาดคั้นเอาคำตอบจากคนถูกกระทำโอกาสจะได้ความจริงคงเป็นศูนย์ เพราะถ้าเธอคิดจะบอกคงไม่ปิดปากเงียบมาจนถึงตอนนี้ประตูกระจกถูกผลักเข้าไปอย่างแรงโดยไม่มีการให้สัญญาณหรือขออนุญาตใดๆ ทั้งสิ้น ส่งผลให้เจ้าของห้องสะดุ้งเฮือก ลุกพรวดจากเก้าอี้ทำงานด้วยความตกใจ“นี่…หลานมาถึงเร็วขนาดนี้เลยเหรอ” ประโยคคำถามหลุดออกมาพร้อมสีหน้าตื่นตระหนก ราวกับเวลาการมาปรากฏตัวของผมมันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายแถมท่านประธานยังเป็นคนเดียวที่ทราบถึงเหตุผลที่ทำให้ผมละทิ้งหน้าที่เพื่อบินกลับจากรัสเซียโดยไม่มีการไตร่ตรอง“ผมไม่ได้มาเพื่อตอบคำถาม” น้ำเสียงนิ่งเรียบที่ถูกควบคุมให้อยู่ในโทนปกติจริงอยู่ว่าเรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความผิดท่าน แต่ท่านเป็นเพียงคนเดียวที่จะให้คำตอบผมได้ดีที่สุด“หลานต้องใจเย็นก่อนนะ” ผู้หญิงที่ดำรงตำ
พูดจบคุณหมอไวน์ก็ลากฉันเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ทิ้งเครื่องหมายคำถามมากมายให้คุณเต ที่ยืนขมวดคิ้วมองตามเราสองคนด้วยความไม่เข้าใจฉันถูกพามาทำความสะอาดและทาเจล ประคบเย็น ตามขั้นตอนโดยพยาบาลสาวสวย และยังมีคุณหมอหนุ่ม ยืนกอดอกควบคุมอยู่ไม่ห่าง“คุณหมอ อย่าบอกเฮียฟิวส์นะ” ฉันเริ่มร้องขอในสิ่งที่ต้องการ“ทำไม ใครทำ”“ไม่มีใครทำ มันเป็นอุบัติเหตุ”“แล้วเธอจะปิดมันได้ยังไง แดงเป็นปื้นขนาดนี้”“กว่าเฮียฟิวส์ จะกลับมา ก็คงดีขึ้นแล้วแหละค่ะ” ฉันว่า พลางก้มมองร่องรอยบาดเจ็บตามแพลน น่าจะอีกสองถึงสามวันกว่าเฮียฟิวส์จะมาถึงไทย ฉันคิดว่ามันน่าจะทุเลาเยอะแล้ว เพราะความจริงมันก็ไม่ได้ใหญ่มาก คุณหมอก็พูดซะเวอร์เชียว“นี่ฉันลำบากใจนะเนี่ย” เขาถอนหายใจแรงเพื่อตอกย้ำความชัดเจนในประโยค“นะคะ ช่วยหน่อย…”ฉันยังพูดไม่ทันจบ มือถือเจ้ากรรมก็สั่นขัดจังหวะซะก่อน มีแวบหนึ่งฉันรู้สึกหวั่นใจแปลกๆ ว่าจะเป็น…ครืดดด!...ครืดด!ม่านตาขยายกว้างข
“ได้ค่ะ”หลังจากฉันพาตัวเองออกมาจากห้องได้สำเร็จ เสียงกรี๊ดดังก้องอยู่ในหัวราวกับมันอัดอั้นมานาน แต่ใช่ว่าจะระบายออกมาได้ผู้หญิงคนนี้มีอะไรผิดปกติแน่ๆ แต่ฉันไม่รู้ความต้องการที่แน่ชัดของเธอ ไม่รู้ว่าเรื่องที่เธอพูดมันหมายความว่ายังไง...ฉันพ่นลมหายใจยาวผ่านปลายจมูก ก่อนจะเดินกระแทกเท้าอย่างไม่สบอารมณ์ไปชงกาแฟร้อนให้คุณลูกค้าบ้าอำนาจนั่น คิดว่าเป็นลูกค้าแล้วจะกดขี่พนักงานยังไงก็ได้รึไง พีพีเอ็นก็แปลก บริษัทตั้งใหญ่โต ไหงมีลูกค้านิสัยแบบนี้แล้วก็ยังจะมานึกอยากดื่มกาแฟอะไรตอนนี้…ไม่นานฉันก็เดินกลับมายังห้องเดิมพร้อมกับถือจานรองแก้วกาแฟด้วยความระมัดระวัง ยกมือข้างที่ว่างขึ้นเคาะกระจกเพื่อขออนุญาตก๊อก…แต่เสียงดังขึ้นเพียงครั้งเดียว ประตูถูกดึงเปิด ก่อนที่คุณเจนิสาจะเดินสวนออกมา…จังหวะนั้นฉันไม่ทันระวัง แขนฝ่ายตรงข้ามเหวี่ยงโดนแก้วกาแฟในมือ แน่นอนว่าทุกอย่างเสียหลักภายในเสี้ยววินาที“อ๊ะ!...อ๊าย”ฉันเผลอส่งเสียงร้องในตอนที่ความร้อนสัมผัสโดนผิวหนังช่วงข้อมือข้างซ้ายที่ถือจานรองแ
[Part Plernta]15:50 น.@พีพีเอ็น“เพลินตา”ฉันเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ไปตามเสียงเรียกที่คุ้นเคย เพราะได้ยินทุกวัน ไม่สิ…แทบจะทุกเวลาเลยมากกว่า แฟ้มเอกสารมาถูกยื่นมาต่อหน้าพร้อมประโยคคำสั่งจากคุณหัวหน้า“วานเอาเอกสารนี้เข้าไปให้ลูกค้าในห้องประชุมหน่อย พอดีฉันติดงานด่วน”“ได้ค่ะ” ฉันตอบรับ ขณะผุดลุกจากเก้าอี้ รับแฟ้มมาถือไว้ในมือ เดินตรงไปยังห้องประชุมขนาดกลาง ที่มีไว้เพื่อรับรองลูกค้าคนหรือสองคนก๊อกๆๆฉันส่งสัญญาณตามมารยาท ก่อนจะดันประตูเปิดเข้าไปนาทีต่อมา ฝีเท้าถูกชะลอลง ไม่คาดคิดว่าลูกค้าคนสำคัญของวันนี้ คือคุณเจนิสา‘อย่าไว้ใจลูกค้าคนนี้’ฉันจำได้ขึ้นใจว่าเฮียฟิวส์พูดไว้แบบนี้ บวกกับรอยยิ้มมุมปากแสนเจ้าเล่ห์ที่ปรากฏบนใบหน้าสวย ยิ่งตอกย้ำว่าฉันไม่ควรละเลยประโยคที่ลอยเข้ามาให้หัวลมหายใจถูกสูดเข้าลึกพร้อมกับก้าวนำแฟ้มเอกสารไปวางให้บนโต๊ะ โค้งตัวเล็กน้อยตามธรรมเนียมปฏิบัติ&




![Evil Engineerร้ายรักวิศวะเลว [ไนต์]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)


