Masuk[Part Peerakan]
11:20 น.
เสียงออดหน้าบ้านดังต่อเนื่อง สร้างความแปลกใจให้กับผมมาก เพราะปกติจะไม่มีใครมาหาผม ส่วนคนที่รู้จักบ้านผมก็มีแค่คุณอาฉัตรและไอ้พวกนั้น ซึ่งถ้าเป็นคุณอาก็จะโทรบอกก่อนเข้ามาเสมอ ส่วนไอ้พวกแม่งก็ตัดไปได้เลย เนื่องจากผมสั่งห้ามไม่ให้ใครมาเหยียบที่นี่เด็ดขาด
“มีของมาส่งครับ” เสียงตะโกนดังเข้ามาทั้งที่ผมยังเดินไม่ถึงประตูรั้วหน้าบ้าน ฝีเท้าจึงเร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อย
“ไม่ได้สั่ง” ผมบอกพลางเหลือบมองถุงที่อยู่ในมือแกร็บผ่านช่องว่างของรั้วบ้าน
“คุณพีรกานต์ รึเปล่าครับ” คนส่งของเอ่ยถาม
“ครับ”
“ถ้างั้นก็ใช่แล้วละครับ ชำระเงินเรียบร้อยแล้วครับ ช่วยรับของด้วยครับ”
ผมลังเลเล็กน้อยก่อนจะเปิดประตูเล็กเพื่อรับของที่ถูกส่งมาจากไหนก็ไม่รู้ด้วยความจำใจ เพราะกลัวว่าจะเสียเวลาคนขับแกร็บ
จากนั้นก็เดินถือถุงอะไรสักอย่างเข้าบ้านแบบงงๆ ‘ไท่เหยียนติ่มซำ’
อาหาร...?
ผมหยิบกล่องอาหารที่ถูกแพ็กซ้อนกันมาอย่างดีประมาณสี่ชั้นออกมาจากถุง ตั้งไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเปิดออกดูทีละกล่อง
มันก็น่ากินอยู่หรอก แต่ใครจะกล้ากิน เกิดมียาพิษนี่ตายได้ง่ายๆ เลยนะ แต่จะว่าไปคนที่รู้รายละเอียดผมเยอะขนาดนี้ก็มีไม่กี่คนนะ
ติ๊ง…ติ๊ง
ผมละทิ้งความสงสัยไว้ตรงนั้น ก่อนจะเดินไปหยิบมือถือขึ้นมาดูการแจ้งเตือนจากข้อความที่โชว์ขึ้นหน้าจอ
[ติ่มซำจากร้านป๊าม้าเพลินเอง กินได้ค่ะ ปราศจากยาเสน่ห์แน่นอน]
[ทานให้อร่อยนะคะ ถือว่าแทนคำขอบคุณค่ะ]
เหอะ!!
ผมแค่นหัวเราะในลำคอก่อนเดินกลับไปยืนมองอาหารบนโต๊ะ เป็นของยัยหมาน้อยนั่นเองสินะ…จะไม่กล้ากินก็เพราะคำว่า ยาเสน่ห์ นี่แหละ เก่งถึงขั้นหาที่อยู่กับเบอร์ได้เลยเหรอวะ
สายตาไล่พินิจพิเคราะห์อยู่พักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจเดินไปหยิบตะเกียบในครัว
...ลองสักหน่อยคงไม่เป็นไรมั่ง
และสิ่งแรกที่ผมเลือกคีบขึ้นมาก็คงไม่พ้นของโปรดอย่าง ฮะเก๋ากุ้ง
“อือ ไม่เลวแฮะ”
จะว่าไปผมไม่ได้กินติ่มซำที่อร่อยขนาดนี้มานานมากแล้วนะ เพราะตั้งแต่ที่พ่อแม่ไม่อยู่ผมก็แทบไม่ทานอาหารนอกบ้านอีกเลย
เห็นอย่างงี้ส่วนมากผมทำอาหารกินเองตลอดนะ รู้สึกว่าควบคุมรสชาติที่ตัวเองชอบได้มากกว่า
จริงสิ…เธอบอกว่าเป็นร้านของที่บ้าน อ๋อ…นี่ซินะ สาเหตุที่หน้าเธอเหมือนซาลาเปา
หึ หึ และทำไมต้องหลุดขำทุกครั้งที่นึกถึงหน้ายัยหมาน้อยนั่นด้วยวะ!?
ผมสะบัดหัวไปมาเพื่อไล่ความคิดบ้าๆ ออกจากหัว ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาเสิร์ชหาตามชื่อร้านที่เขียนไว้ข้างถุง
ร้านไม่ได้อยู่แถวนี้ด้วย…ไกลเหมือนกันแฮะ
นี่อย่าบอกนะว่าเธอสั่งมาส่งไกลขนาดนี้ เสียค่าส่งเท่าไหร่วะนั่น และด้วยนิสัยผมเป็นคนไม่ชอบรับของใครฟรีๆ อยู่แล้ว
ใครบ้างหว่านพืชไม่หวังผล ยัยหมาน้อยนี่ก็ด้วย
เอาเลขบัญชีมา ฉันจะโอนเงินให้ : De.FiEw
Plern_TA : ไม่รับคืนเป็นเงินค่ะ
Plern_TA : อร่อยไหมคะ
Plern_TA : ถ้าชอบเพลินพาไปกินที่ร้านได้นะ
Plern_TA : ป๊าม้าเพลินใจดีมากกก
ผมกดล็อกหน้าจอและคว่ำมือถือลงบนโต๊ะทันที เรื่องความอร่อยก็ไม่ปฏิเสธนะ…แต่ทำไมรู้สึกว่ายัยหมาน้อยทำเหมือนจะพาผมไปแนะนำกับทางบ้านเธอเลยวะ
บ้าฉิบ!!...ผมปล่อยให้เธอเข้ามาวุ่นวายในชีวิตได้ยังไง
20:15 น.
@Sosay Pub
ผมเปิดประตูเข้ามาในห้องรวมตัวประจำกลุ่มท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวาย
“อ้าวเฮีย กินไรมารึยังคะ” มิณเป็นคนเดียวที่เงยหน้าจากกล่องอาหารคุ้นตาบนโต๊ะแล้วทักทายผม จะด้วยมารยาทหรืออะไรก็ช่าง แต่ยังดีกว่าไอ้พวกเวรหลายตัวที่ไม่เงยหน้ามองสักนิด ซึ่งวันนี้มีแค่ มิณที่เป็นผู้หญิงคนเดียวนั่งอยู่ แน่นอนว่าถ้ามีมิณก็ต้องมีไอ้ยูตะ และยังมีไอ้หมอไวน์ ไอ้วาโยและไอ้ธาม สบายผมละวันนี้ ดูดบุหรี่ในนี่ได้ เพราะเฌอไม่ได้มาด้วย
ผมเดินเข้าไปทิ้งตัวนั่งบนโซฟาที่ว่างข้างไอ้หมอไวน์ พลางเหลือบมองอาหารที่ตั้งเรียงรายบนโต๊ะ
“พอดีป๊าม้าเพลินเอาติ่มซำมาให้มิณเยอะเลย กินด้วยกันไหมคะ”
ว่าละ…ก็ว่าทำไมกล่องคุ้นจัง
“ไม่ได้…ได้คนเดียวหรอกเหรอวะ” ผมพึมพำกับตัวเองแต่มันคงดังเกินไปหน่อย จนทำให้มิณทักท้วงขึ้น
“เฮียว่าไรนะคะ”
“ไม่กิน” เพิ่งจะกินอีกรอบก็ก่อนออกมานี่เอง เยอะจัดเลย…ขนาดกินสองมื้อแล้วยังไม่หมด
“ทำไมอะ มึงชอบอันนี้ไม่ใช่เหรอ กูจำได้” ไอ้วาโยคีบฮะเก๋ากุ้งยื่นมาจ่อปากผม จนต้องเบี่ยงหน้าหนีและเสือกมาจดจำรายละเอียดชีวิตกูได้ดีซะด้วยนะ สมกับเป็นเพื่อนรักจริงๆ
“ลองดิ โคตรอร่อย” ไอ้ยูตะเสริมด้วยหน้าตาและท่าทางที่โคตรน่าหมั่นไส้ ผมแสยะยิ้มก่อนจะเผลอหลุดปาก
“กูได้กินก่อนมึงอีก”
“ฮะ!!” ทุกคนร้องทักเสียงลั่นอย่างพร้อมเพรียงจนผมสะดุ้งและเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพูดอะไรออกไป แต่ก็ไม่ทันแล้ว
“มึงเคยกินแล้วเหรอ” ไอ้วาโยทำหน้าตกใจ ทำไมผมรู้สึกถึงความปลอมในพวกแม่งนี่วะ เหมือนแกล้งตกใจ
“ร้านป๊าม้าเพลินนี่เหรอ แล้วเฮียรู้ได้ไงว่าเป็นร้านที่บ้านน้องมัน อีกอย่างร้านก็ไม่ได้อยู่แถวนี้ด้วยนะ แล้วเฮียไม่กินข้าวนอกบ้านไม่ใช่เหรอ” ไอ้ยูตะยังซักไซ้ต่อ ไอ้เหี้ยนี่ก็ขยันถามซะด้วยนะ…ดูเหมือนอาหารตรงหน้าจะหมดประโยชน์ละ เพราะไม่มีใครสนใจมันเลยสักนิด ผมกลอกตามองไล่เรียงแต่ละตัวที่ยังเอาแต่จ้องหน้าผมไม่ลดละ
ผมพ่นลมหายใจออกยาว ขยับเท้าถอยเล็กน้อยเบือนหน้าไปทางอื่นพร้อมกับล้วงสองมือเข้ากระเป๋ากางเกงตัวเอง พยายามควบคุมทุกอย่างไม่ให้มันรุนแรงเกินกว่าเหตุเป็นท่านประธานที่เดินเข้ามาขว้างระหว่างกลางและพูดแทนในสิ่งที่ผมคิด“ฉันว่า มันถึงเวลาที่ต้องจบเรื่องพวกนี้สักทีนะ”“จบเหรอคะ จบแล้วมีใครฟื้นขึ้นมาไหมคะ” ริสาสวนกลับแววตาเธอดุดันขึ้นฉับพลัน ราวกับคนละคน“แล้วเธอขาดตรงไหน พวกฉันชดใช้ให้เธอไปหมดทุกอย่างแล้ว” คุณอาฉัตรเป็นตัวแทนที่พูดได้ตรงกับที่ผมคิดทุกอย่างส่วนผมยังเลือกที่จะนิ่งเงียบ ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพื่อยับยั้งความพังพินาศ“หมดแล้วจริงๆ เหรอคะ” เธอยิงคำถามใส่คุณอาฉัตร ก่อนจะเลื่อนมาจ้องหน้าผมตาเขม็ง“แล้วเธอจะเอาอะไรอีก ตอนนี้เธอก็มีชีวิตที่ดี มีสามีที่ดี เธอมีทุกอย่างแล้ว แต่ทำไมเธอไม่คิดจะรักษามันไว้” ท่านพูดถูกทุกอย่าง“แต่ฉันไม่มีความสุข”“มันเป็นเพราะเธอเองต่างหาก ที่ทำให้ตัวเองไม่มีความสุข” ผู้ที่ผ่านโลกมาพอสมควร สวนกลับด้ว
ว่าถ้าปล่อยไว้จะมีเรื่องร้ายแรงตามมาแน่ๆ” ที่ท่านพูดไม่ผิดเลยสักนิด ภายนอกริสาดูเหมือนคนปกติมาก จนตอนแรกผมก็คิดว่าเธอหายแล้ว แต่ความจริงคือเหมือนจะดิ่งลงกว่าเดิมด้วยซ้ำ“แล้วอายังปล่อยให้ริสา เข้าใกล้คนของผมงั้นเหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย ทั้งที่คุณอาฉัตรรู้อยู่แล้ว ทำไมถึงยังปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น“อาไม่ได้ละเลย นี่เป็นสาเหตุที่ดึงให้ริสามาอยู่ที่นี่เพราะอย่างน้อยถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็ยังอยู่ในสายตา และเราสามารถควบคุมได้ทันเวลา หลานเข้าใจใช่ไหม”“...” ผมเงียบ ใช้สมาธิในการไตร่ตรอง“และที่หลานลงทุนบินไปถึงรัสเซียก็เพราะอยากจบเรื่องนี้แบบไม่ต้องมีฝ่ายไหนพังพินาศ ไม่ใช่เหรอ” ข้อนี้ดูมีเหตุผลสมควรที่สุด ในการที่ผมต้องใจเย็นกว่านี้ ไม่งั้นทุกอย่างจะสูญเปล่าทั้งหมด“แต่ผมไม่สามารถรับกับความสูญที่เกิดขึ้นจากตัวผมได้อีกแล้วนะ” ผมพูดขณะยันศอกสองข้างไว้กับหน้าขาและก้มมองสองมือที่ประสานอยู่ตรงหน้าผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเข้มแข็งพอจะปกป้องใครได้เลย ถึงผมจะพยายามมากแค่ไหน ผมยังอ่อนแอ
วันต่อมา…09:00น.@พีพีเอ็นหลังจากลงเครื่อง ผมเลือกที่จะตรงเข้าหาสาเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อน ถ้าหวังจะไปคาดคั้นเอาคำตอบจากคนถูกกระทำโอกาสจะได้ความจริงคงเป็นศูนย์ เพราะถ้าเธอคิดจะบอกคงไม่ปิดปากเงียบมาจนถึงตอนนี้ประตูกระจกถูกผลักเข้าไปอย่างแรงโดยไม่มีการให้สัญญาณหรือขออนุญาตใดๆ ทั้งสิ้น ส่งผลให้เจ้าของห้องสะดุ้งเฮือก ลุกพรวดจากเก้าอี้ทำงานด้วยความตกใจ“นี่…หลานมาถึงเร็วขนาดนี้เลยเหรอ” ประโยคคำถามหลุดออกมาพร้อมสีหน้าตื่นตระหนก ราวกับเวลาการมาปรากฏตัวของผมมันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายแถมท่านประธานยังเป็นคนเดียวที่ทราบถึงเหตุผลที่ทำให้ผมละทิ้งหน้าที่เพื่อบินกลับจากรัสเซียโดยไม่มีการไตร่ตรอง“ผมไม่ได้มาเพื่อตอบคำถาม” น้ำเสียงนิ่งเรียบที่ถูกควบคุมให้อยู่ในโทนปกติจริงอยู่ว่าเรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความผิดท่าน แต่ท่านเป็นเพียงคนเดียวที่จะให้คำตอบผมได้ดีที่สุด“หลานต้องใจเย็นก่อนนะ” ผู้หญิงที่ดำรงตำ
พูดจบคุณหมอไวน์ก็ลากฉันเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ทิ้งเครื่องหมายคำถามมากมายให้คุณเต ที่ยืนขมวดคิ้วมองตามเราสองคนด้วยความไม่เข้าใจฉันถูกพามาทำความสะอาดและทาเจล ประคบเย็น ตามขั้นตอนโดยพยาบาลสาวสวย และยังมีคุณหมอหนุ่ม ยืนกอดอกควบคุมอยู่ไม่ห่าง“คุณหมอ อย่าบอกเฮียฟิวส์นะ” ฉันเริ่มร้องขอในสิ่งที่ต้องการ“ทำไม ใครทำ”“ไม่มีใครทำ มันเป็นอุบัติเหตุ”“แล้วเธอจะปิดมันได้ยังไง แดงเป็นปื้นขนาดนี้”“กว่าเฮียฟิวส์ จะกลับมา ก็คงดีขึ้นแล้วแหละค่ะ” ฉันว่า พลางก้มมองร่องรอยบาดเจ็บตามแพลน น่าจะอีกสองถึงสามวันกว่าเฮียฟิวส์จะมาถึงไทย ฉันคิดว่ามันน่าจะทุเลาเยอะแล้ว เพราะความจริงมันก็ไม่ได้ใหญ่มาก คุณหมอก็พูดซะเวอร์เชียว“นี่ฉันลำบากใจนะเนี่ย” เขาถอนหายใจแรงเพื่อตอกย้ำความชัดเจนในประโยค“นะคะ ช่วยหน่อย…”ฉันยังพูดไม่ทันจบ มือถือเจ้ากรรมก็สั่นขัดจังหวะซะก่อน มีแวบหนึ่งฉันรู้สึกหวั่นใจแปลกๆ ว่าจะเป็น…ครืดดด!...ครืดด!ม่านตาขยายกว้างข
“ได้ค่ะ”หลังจากฉันพาตัวเองออกมาจากห้องได้สำเร็จ เสียงกรี๊ดดังก้องอยู่ในหัวราวกับมันอัดอั้นมานาน แต่ใช่ว่าจะระบายออกมาได้ผู้หญิงคนนี้มีอะไรผิดปกติแน่ๆ แต่ฉันไม่รู้ความต้องการที่แน่ชัดของเธอ ไม่รู้ว่าเรื่องที่เธอพูดมันหมายความว่ายังไง...ฉันพ่นลมหายใจยาวผ่านปลายจมูก ก่อนจะเดินกระแทกเท้าอย่างไม่สบอารมณ์ไปชงกาแฟร้อนให้คุณลูกค้าบ้าอำนาจนั่น คิดว่าเป็นลูกค้าแล้วจะกดขี่พนักงานยังไงก็ได้รึไง พีพีเอ็นก็แปลก บริษัทตั้งใหญ่โต ไหงมีลูกค้านิสัยแบบนี้แล้วก็ยังจะมานึกอยากดื่มกาแฟอะไรตอนนี้…ไม่นานฉันก็เดินกลับมายังห้องเดิมพร้อมกับถือจานรองแก้วกาแฟด้วยความระมัดระวัง ยกมือข้างที่ว่างขึ้นเคาะกระจกเพื่อขออนุญาตก๊อก…แต่เสียงดังขึ้นเพียงครั้งเดียว ประตูถูกดึงเปิด ก่อนที่คุณเจนิสาจะเดินสวนออกมา…จังหวะนั้นฉันไม่ทันระวัง แขนฝ่ายตรงข้ามเหวี่ยงโดนแก้วกาแฟในมือ แน่นอนว่าทุกอย่างเสียหลักภายในเสี้ยววินาที“อ๊ะ!...อ๊าย”ฉันเผลอส่งเสียงร้องในตอนที่ความร้อนสัมผัสโดนผิวหนังช่วงข้อมือข้างซ้ายที่ถือจานรองแ
[Part Plernta]15:50 น.@พีพีเอ็น“เพลินตา”ฉันเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์ไปตามเสียงเรียกที่คุ้นเคย เพราะได้ยินทุกวัน ไม่สิ…แทบจะทุกเวลาเลยมากกว่า แฟ้มเอกสารมาถูกยื่นมาต่อหน้าพร้อมประโยคคำสั่งจากคุณหัวหน้า“วานเอาเอกสารนี้เข้าไปให้ลูกค้าในห้องประชุมหน่อย พอดีฉันติดงานด่วน”“ได้ค่ะ” ฉันตอบรับ ขณะผุดลุกจากเก้าอี้ รับแฟ้มมาถือไว้ในมือ เดินตรงไปยังห้องประชุมขนาดกลาง ที่มีไว้เพื่อรับรองลูกค้าคนหรือสองคนก๊อกๆๆฉันส่งสัญญาณตามมารยาท ก่อนจะดันประตูเปิดเข้าไปนาทีต่อมา ฝีเท้าถูกชะลอลง ไม่คาดคิดว่าลูกค้าคนสำคัญของวันนี้ คือคุณเจนิสา‘อย่าไว้ใจลูกค้าคนนี้’ฉันจำได้ขึ้นใจว่าเฮียฟิวส์พูดไว้แบบนี้ บวกกับรอยยิ้มมุมปากแสนเจ้าเล่ห์ที่ปรากฏบนใบหน้าสวย ยิ่งตอกย้ำว่าฉันไม่ควรละเลยประโยคที่ลอยเข้ามาให้หัวลมหายใจถูกสูดเข้าลึกพร้อมกับก้าวนำแฟ้มเอกสารไปวางให้บนโต๊ะ โค้งตัวเล็กน้อยตามธรรมเนียมปฏิบัติ&







