CRUSH ON YOU
CHAPTER 4
หลายวันต่อมา
กิจวัตรประจำวันของฉันดำเนินไปอย่างปกติสุขที่สุด ช่วงนี้งานน้อยไม่ได้หนักหนาอะไรเหมือนเคย พอเลิกงานก็รอบาสมารับ ก็จะมีบ้างที่ไปกินข้าวดูหนังไม่ก็เดินเล่นกัน แต่ระยะหลังมานี้บาสก็ดูแปลกไปนิดหน่อย
เจ้าตัวไม่ค่อยโทรมาตอนดึก ๆ ซึ่งปกติก็จะโทรมาบอกฝันดีบ้างอะไรบ้าง
แต่หลายวันก็ไม่ได้โทรมา
แต่เพราะฉันโตแล้วเลยไม่อยากจะไปเซ้าซี้อะไรให้มาก ก็แค่อยากทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่นั่นแหละจะได้ไม่น่ารำคาญ…
แต่วันนี้แปลกกว่าทุกวันก็ตรงที่ฉันนั่งรอบาสมาร่วมสองชั่วโมงแล้ว
แต่เจ้าตัวก็ยังไม่มา โทรไปก็ไม่รับสาย ทักแชตไปก็ไม่ตอบ และเพราะเหตุการณ์นี้มันไม่เคยเกิดขึ้นทำให้ฉันเลือกที่จะนั่งรอ รอแล้วรอเล่าก็ยังไม่มา
สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจว่าควรจะกลับเอง แต่ปัญหาก็คือออฟฟิศฉันมันอยู่ลึกเข้ามาในซอยเปลี่ยวเพราะทำเกี่ยวกับโลจิสติกส์ การมีรถคอนเทนเนอร์เลยต้องเลือกทำเลที่ห่างไกลจากผู้คนไม่น้อย และปกติฉันก็ไม่มีปัญหาเรื่องที่จะกลับบ้านเลย แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะมี…
อย่างที่ไทบอกนั่นแหละ ว่าแถวนี้กระทั่งดีลิเวอรียังแทบไม่รับงานเลยถ้ามันดึกมากนัก และจะไปหวังพึ่งอะไรกับการเรียกแกร็บ ก็เพราะว่าแถบนี้เป็นชานเมืองนั่นแหละไม่ได้คึกคักเหมือนในตัวเมือง ผ่านไปครึ่งชั่วโมงฉันก็ยังไม่ได้แท็กซี่สักคัน
แถมยิ่งดึกก็ยิ่งน่ากลัวเพราะซอยมันเปลี่ยว และฉันเองก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยงเดินออกไปคนเดียว
น่าแปลกอยู่เหมือนกันคนแรกที่ฉันนึกถึงกลับไม่ใช่ไอ้ไนน์ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเจ้าตัวคงจะไม่ได้กลับมาบ้าน และบาสก็ดันมาหายหัว ใบหน้าที่ผุดขึ้นมาในหัวก็กลายเป็น… ไท…
ฉันชั่งใจอยู่นานว่าจะขอความช่วยเหลือเขาดีไหม… แต่สุดท้ายก็จำใจต้องทำ เพราะไม่อยากให้มันเป็นเรื่องเป็นราว หรือว่าสร้างสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัยให้ตัวเอง
‘ว่าไงนา…’
“เอ่อ…” ฉันอึกอักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเพลงดังเป็นจังหวะหนัก ๆ อยู่ชั่วครู่ราวกับว่าคนปลายสายกำลังอยู่ในผับหรือไม่ก็ร้านเหล้า
‘แป๊บนะ’
“…”
ฉันเม้มริมฝีปากอย่างคิดหนัก ดูท่าไทเองก็คงจะไม่อยู่บ้านเหมือนกัน เขาคงกำลังเที่ยวอยู่ และไม่ถึงนาทีเสียงเพลงในสายก็เงียบไป เหลือเพียงเสียงพูดอย่างเดียว
‘นามีอะไรรึเปล่า?’
“ปะ… เปล่าหรอก”
‘…มีอะไร?’
“คือไทอยู่ไหนเหรอ? ว่างไหม?” สุดท้ายแล้วฉันก็จำใจต้องถามออกไป เพราะแค่มองไปรอบ ๆ ตัวที่ไร้ซึ่งผู้คนก็แอบจะรู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้
‘ไทออกมาเที่ยว นาอยู่ไหน?’
“…”
‘กลับบ้านรึยัง? มีปัญหาอะไรรึเปล่า?’ เสียงปลายสายดูเครียดขึ้นเล็กน้อย ฉันไม่อยากทำให้ไทไม่สบายใจเลยบอกไปตรง ๆ
“เจ๊อยู่ที่ออฟฟิศ… ไม่มีรถกลับ”
‘…’
“แต่ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเรียกแท็กซี่อีกสักพักก็คงได้”
‘มันจะได้ยังไงนา? แถวนั้นเขาไม่รับงานหรอกดึกแบบนี้…’
“ไม่เป็นไร…”
‘นาส่งโลเคชันมา ไทไปรับเอง’
“แต่…”
‘ไม่ต้องแต่… ไทกำลังเดินไปขึ้นรถ’
“อือ โอเค”
แม้จะไม่อยากไปขัดจังหวะความสนุกของไท แต่ฉันเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นเลยต้องส่งโลเคชันไปให้น้องมัน ไม่งั้นตัวฉันเองก็จะไม่ปลอดภัย
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
รถคันเดิมของไทเคลื่อนตัวมาจอดเทียบฟุตพาทที่ฉันกำลังยืนรออยู่
ฉันถอนหายใจเบา ๆ เรียกกำลังใจให้ตัวเองเล็กน้อยก่อนจะก้าวขึ้นไปบนรถ คนขับหันมาขมวดคิ้วมองกันด้วยสายตาแสดงออกถึงความประหลาดใจ
“แฟนนามันไปไหน?”
“เจ๊ก็ไม่รู้เหมือนกัน ปกติบาสไม่เป็นแบบนี้”
“ทีหลัง… ถ้ามันเทนาอีกก็โทรมาหาไทได้เลย ไม่ต้องมัวมานั่งรอ อันตรายจะตายชัก ใครให้เลือกที่ทำงานเปลี่ยวขนาดนี้?”
“อือ”
ฉันตอบได้แค่นั้น แม้ว่าจะโดนคนเป็นเด็กกว่าบ่น แต่อย่างน้อยไทก็เป็นคนถ่อมารับกันถึงที่นี่ เจ้าตัวถอนหายใจเบา ๆ แล้วเริ่มเคลื่อนรถออกไป ฉันเพิ่งได้สังเกตว่าวันนี้ไทดูหล่อมาก เพราะเสื้อผ้าหน้าผมที่แต่งอย่างดี เสื้อเชิ้ตสีดำปล่อยชายกับกางเกงยีนที่ดูราคาแพงช่างดูเข้ากันกับดวงหน้าขาวใส เรือนผมสีดำถูกเซตเป็นทรงเท่ ติดก็ตรงที่ตอนนี้เขาดูอารมณ์ไม่ดีเท่าไร เรียวคิ้วเข้มยังคงขมวดเข้าหากันนิด ๆ
“เจ๊ขอโทษนะที่ต้องรบกวน”
“…” ไทชำเลืองมองมาแล้วถอนหายใจยิ่งทำให้ฉันรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่
“แต่ว่าเจ๊…”
“ไทไม่ได้หงุดหงิดที่ต้องมารับ… แต่หงุดหงิดที่ทำไมนาถึงปล่อยให้ตัวเองนั่งรออยู่ได้นานขนาดนี้?”
“…” และครั้งนี้เป็นฉันเองที่พูดไม่ออก นั่นสิ… เหมือนคนโง่เลย
“สัญญามาก่อน”
“หืม?”
“ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้อีก… นาต้องโทรหาไทเข้าใจใช่ไหม?” นัยน์ตาดุ ๆ หันมามอง และก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าทำไมฉันจะต้องกลัวแล้วรีบพยักหน้ารับ
“อือ รู้แล้วน่า”
บ้าจริง ๆ ไททำตัวเหมือนเป็นผู้ใหญ่ที่กำลังดุเด็กแบบนี้ได้ยังไงกัน…ขนาดฉันยังทำไม่ได้เลย…
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
เรามาถึงบ้านแล้ว และไทก็ดูเหมือนจะไม่ได้กลับออกไปเที่ยวอีก
เจ้าตัวกดล็อกรถแล้วเดินเข้ามาหาฉันเหมือนอยากจะคุยอะไรบางอย่าง
ร่างสูงของน้องยืนห่างออกไปเล็กน้อยดึงบุหรี่ออกมาจุดสูบ สายตาทอดมองมาเงียบ ๆ
“แล้วมันโทรกลับมารึยัง?”
“ยัง…”
“ปกติมันทำงี้?”
“ไม่เคยเลยนะ วันนี้อาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้” ฉันพยายามแก้ต่างให้แฟนตัวเองที่ปกติก็ทำตัวดีมาตลอด แต่คนตรงหน้ากลับแค่นหัวเราะ เบนสายตาไปทางอื่น
“นารู้จักมันดีแค่ไหน?”
“ก็… คบกันมาจะครบปีแล้วไง”
“ไม่ใช่… รู้จักสังคมรอบตัวมันดีแค่ไหน?”
“…”
ฉันชะงักไปเล็กน้อยเมื่อโดนคำถามประเภทนี้เข้าไป ไทรอฟังอยู่อึดใจแล้วก็ยกบุหรี่ขึ้นสูบถอนหายใจเบา ๆ จนควันลอยออกจมูก และมันก็น่าขายขี้หน้าที่ฉันไม่สามารถตอบคำถามนี้ของคนตรงหน้าได้เลย
ฉันรู้ว่าบาสเรียนอะไร อยู่ปีไหน เพื่อนสนิทชื่ออะไร… แต่ไม่รู้เรื่องราวอื่น ๆ ในชีวิตเขานักหรอก เพราะตัวฉันเองก็ทำงานทุกวัน ส่วนบาสเอง… ก็เรียน ๆ เล่น ๆ เหมือนเด็กมหา’ลัยทั่วไป
“นาไปนอนเถอะ”
“อือ”
ไทที่เห็นว่าฉันไปไม่เป็นหันมาบอกพร้อมทั้งยกยิ้มให้เล็กน้อยเหมือนไม่อยากจะให้คิดมาก แต่มันก็คงไม่ทันแล้วไหมล่ะ…
ในขณะที่ฉันเดินเข้าบ้าน ไทก็ยังคงยืนสูบบุหรี่อยู่ที่เดิม และจังหวะนั้นเองเสียงแจ้งเตือนแชตไลน์ก็ดังขึ้นมา ฉันรีบคว้ามือถือขึ้นมาดูพบว่าเป็นคนที่ทำให้ฉันต้องนั่งรออยู่หลายชั่วโมง
BAS: วันนี้ผมขอโทษนะเจ๊ ลืมโทรศัพท์ไว้ที่ห้องเพื่อนแล้วรถดันมาเสียอีก
ฉันรู้สึกแปลก ๆ กับคำแก้ตัวของคนเป็นแฟน เหตุผลมากมายผุดขึ้นมาในหัวอย่างช่วยไม่ได้ เขาจะไม่พยายามติดต่อหากันเลยหรือยังไง? เพราะก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าออฟฟิศฉันมันอยู่ลึกเข้าไปในซอยเปลี่ยว รถก็เรียกยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก
NANA: ไม่เป็นไร เจ๊จะนอนแล้ว ฝันดีนะ
และฉัน… ก็ตอบไปได้แค่นั้น ทำเหมือนว่าไม่เป็นอะไร… แต่ในใจก็แอบคิดถึงเรื่องที่ไทพูดเมื่อวันก่อนขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ จริง ๆ แล้วฉันเองก็ไม่รู้เรื่องรอบตัวของบาสเลยจริง ๆ
หรือว่า… ฉันควรจะฟังที่ไทพูดดูบ้าง… เพราะมันก็น่าคิดจริง ๆ
วันต่อมา
วันนี้เป็นวันหยุดอีกแล้ว ฉันคิดไว้แล้วว่าจะต้องซักเสื้อผ้าที่สะสมมาทั้งอาทิตย์ให้หมด และตั้งใจจะตื่นเช้ามาตักบาตร ส่วนช่วงบ่ายก็จะพักผ่อนด้วยการนอน ไม่ก็ตัดแต่งต้นไม้หน้าบ้าน ไม่ได้ออกไปไหนกับบาสหรอก เพราะน้องมันบอกว่าวันนี้ไม่ว่างจะไปดูหนังกับเพื่อน
และใช่… ถึงจะแปลกที่วันหยุดฉันก็มีแค่วันเดียว แทนที่จะมาหากัน แต่ฉันก็ทำเป็นไม่สนใจ บอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร
ฉันตื่นมาตั้งแต่ตีห้าเพื่อที่จะเตรียมของใส่บาตร พอฟ้าเริ่มสางก็ออกมานั่งรอพระมาบิณฑบาต และไม่น่าเชื่อว่าจะได้เจอกับคนข้างบ้านในเวลาเช้าตรู่ขนาดนี้
ไทดูเหมือนจะไปวิ่งออกกำลังกายมา เพราะใส่เสื้อกล้ามกับกางเกงสเตย์ขาสั้น เรือนผมสีดำมัดเป็นจุกไว้บนหัว สีหน้าสดชื่นแต่เช้าแบบนั้นทำให้ฉันอดที่จะลอบมองไม่ได้ ร่างสูงเดินมาหยุดลงที่รั้วบ้านฉัน แขนสองข้างเท้าลงบนประตูรั้วส่งยิ้มกว้างมองมา
“ตักบาตร?”
“อือ”
และเพราะชำเลืองมองไปเห็นพระกำลังเดินมาพอดี ฉันเลยคว้าถาดอาหารมาถือไว้แล้วรีบเดินออกไปนิมนต์ท่าน ไทเองก็ขยับตัวออกห่างเล็กน้อย ใช้ผ้าขนหนูที่พาดอยู่ที่คอเช็ดเหงื่อยืนพิงประตูรั้วมองมาเงียบ ๆ
หลังจากรอพระท่านให้พรเสร็จฉันก็ลุกขึ้นยืนหนีบถาดเข้าหาตัวหันกลับไปก็พบว่าไทยังคงยืนอยู่ที่เดิมมองกันด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ สายตาลากมองผ่านชุดฉันอีกครั้งแล้วเม้มปาก
มันไม่ใช่ชุดแปลกอะไร ก็แค่เสื้อยืดคอย้วยกับกางเกงขายาวกรอมข้อเท้า แต่เด็กบ้าชอบมองเหมือนมันเป็นของประหลาดอยู่เรื่อย
“ทำไม? จะว่าเจ๊ต้องแต่งตัวอีกเหรอ? แค่ออกมาใส่บาตร” ฉันอดที่จะมองค้อนอย่างเสียไม่ได้
“ไม่ได้ว่าสักหน่อย” คนตัวสูงยักไหล่นิด ๆ และเชื่อไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าไทเดินตามฉันเข้ามาในบ้านหน้าตาเฉย
“…”
“ไทแค่เห็นว่าแปลกดี… สมัยนี้ใคร ๆ ก็พากันแต่งตัวสวย… แต่นากลับแต่งแบบนี้ตลอด”
“…” อืม… แค่ออกมาตักบาตรไหมล่ะ…
“น่ารัก”
เสียงพึมพำเบา ๆ แต่ก็ดังพอที่จะทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นมอง เจ้าตัวหัวเราะกับตัวเองแล้วเดินตัวปลิวเข้าประตูบ้านฉันไปง่าย ๆ โดยไม่ขออนุญาต ในขณะที่ฉันยังคงชะงักค้างอยู่ที่เดิมกับคำชมแบบนั้น
แต่ก็ต้องเงยหน้าขึ้นอีกครั้งเพราะเสียงไทเรียกขึ้น
“ไทหิว…” ดวงหน้าหล่อผุดยิ้มเหมือนเด็ก ๆ กำลังขอขนม
“เจ๊ไม่…”
“นาทำให้กินหน่อยสิ”
“…”
และคงเป็นเพราะโดนสายตาอ้อน ๆ เหมือนหมาแบบนั้นมองมา ทำให้ฉันที่ตอนแรกว่าจะปฏิเสธไป กลับต้องพยักหน้ารับคำอย่างเสียไม่ได้ มันก็เป็นเหมือนเมื่อก่อนอีกนั่นแหละ… ที่เวลาคุณป้าสมรไม่อยู่ ไทก็จะมางอแงให้ฉันทำข้าวให้กินประจำ
ก็แค่ทำอาหารให้กิน… คงไม่มีอะไรมากหรอกยังไงฉันก็ว่างทั้งวันอยู่ดี…