CRUSH ON YOU
CHAPTER 5
ตกเย็น
หลังจากเมื่อเช้าทำอาหารให้ไทกินเสร็จ เด็กนั่นก็ไม่ได้มาก่อกวนอะไรกลับเข้าบ้านไปเงียบเชียบเหมือนว่าจะไปนอน เพราะคืนนี้จะออกไปเที่ยวกับเพื่อน ส่วนฉันเองก็ทำกิจกรรมที่ตัวเองตั้งใจไว้จนเสร็จ แต่พอจะอาบน้ำเตรียมตัวนอนก็มีสายเรียกเข้าหน้าจอโชว์เบอร์ที่ระบุว่าเป็นแฟนของฉันเอง
“อือ”
‘วันนี้เจ๊ว่างไหม?’
“ก็ว่างจนจะหมดวันแล้วเนี่ย” ฉันหัวเราะออกมาเบา ๆ ปลายสายเองก็หัวเราะเหมือนกัน
‘เพื่อนผมอยากเจอ ออกมาเที่ยวได้ไหม?’
“…” ฉันเม้มริมฝีปากคิดหนัก เพื่อนเขาก็คือแก๊งที่เที่ยว ๆ กันอยู่ทุกคืนนั่นไง
‘เจ๊ไม่เคยออกมาเที่ยวกับผมเลย ลองมาไหม?’
“แต่ว่าเจ๊…”
‘มาเถอะน่า… เปิดหูเปิดตา’
“พรุ่งนี้เจ๊ทำงานนะ”
‘อืม… เที่ยงคืนกลับก็ได้’
“เอาจริงเหรอ? เจ๊ไม่มีชุดแบบนั้นเลย” ฉันถอนหายใจเบา ๆ เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าการไปเที่ยวกลางคืนจะให้ใส่เสื้อผ้าเป็นแม่ชีแบบที่ฉันมีก็กระไรอยู่
‘ไม่เป็นไรหรอกมาเถอะ ผมอยากเจอด้วย’
“…”
‘นะ ๆ ๆ ๆ ๆ’
“อือ จะมารับกี่โมง?”
22.00 น.
และฉัน… ก็รู้สึกพลาดมากที่ยอมออกมากับบาส เสียงเพลงจังหวะเร้าใจกับเสียงจอแจของผู้คนประกอบกับเพื่อน ๆ ของบาสที่มีแฟนนั่งควงกันอยู่ในท่าทางที่เรียกได้ว่าแนบสนิทกัน ทำให้ฉันอดที่จะประหม่าขึ้นมาไม่ได้
และในขณะที่สาว ๆ คนอื่นแต่งตัวเผ็ดชนิดยกพริกมาทั้งสวน แต่ฉันกลับอยู่ในชุดเดรสแขนตุ๊กตาธรรมดาแสนเรียบร้อย ในขณะที่คนอื่นกำลังนั่งหัวเราะกระดกแก้วดื่มกัน ฉันก็ทำได้เพียงนั่งอยู่ข้าง ๆ บาส ดูไม่เข้าพวกอย่างเห็นได้ชัด
“เจ๊… ดื่มได้ไม่เป็นไรหรอก” คนข้าง ๆ หันมาคะยั้นคะยออีกครั้งพร้อมส่งแก้วมาให้
“พรุ่งนี้…”
“ผมรู้แล้ว ๆ ว่าเจ๊ต้องทำงาน… แต่นี่แค่นิดเดียวเอง” ดวงหน้าหล่อยิ้มหวานคว้ามือฉันไปถือแก้วที่ว่า
“หมดแก้ว! หมดแก้ว! หมดแก้ว!”
“…”
ดูเหมือนฉันจะปฏิเสธไม่ได้แล้วเมื่อเพื่อนของเขาพากันหันมาส่งเสียงเชียร์ พยักหน้าให้ฉันรับคำท้า และเพราะไม่อยากจะทำให้คนอื่นหมดสนุกฉันก็ตัดสินใจกรอกของเหลวเย็น ๆ ลงปากจนหยดสุดท้าย รสชาติขมไหลผ่านลำคอจนรู้สึกอยากจะอาเจียนออกมา แต่ก็ทำได้เพียงหลับตากลืนมันลงไป
“เจ๊น่ารักที่สุดเลย!” บาสขยับเข้ามากอดกันแล้วหอมแก้มฉันแรง ๆ ท่ามกลางสายตาเพื่อน ๆ ที่พากันมองมาแล้วหันไปพยักหน้าให้กันเอง
พอนั่งไปได้สักพักจากหนึ่งแก้ว ก็กลายเป็นสอง จากสองก็กลายเป็นสาม… ฉันรู้สึกเหมือนเริ่มจะเมาตอนแก้วที่เท่าไรไม่อาจนับได้ถูกยื่นมาตรงหน้า บาสหันมาพยักหน้าให้อีกครั้งรอยยิ้มกว้างยังคงอารมณ์ดีเหมือนเดิม
“เจ๊ไม่ไหวแล้ว” ฉันพยายามส่งสัญญาณบอก เพราะไม่อยากจะเมามากนัก
“แก้วสุดท้ายก็ได้”
“…”
สุดท้ายแล้วฉันก็ตัดสินใจรับมันมาแล้วกระดกดื่มจนหมด เสียงคนอื่นพากันพูดคุยเสียงดังเพราะต้องแข่งกับเสียงเพลง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครหันมาสนใจกันแล้วก็เลยทิ้งหลังพิงโซฟา บาสกำลังลุกขึ้นโยกตัวกับเพื่อนเขาที่ตอนนี้ก็ดูจะเมากันได้ที่ สาว ๆ พวกนั้นก็เหมือนกัน…
คงมีแค่ฉันที่กำลังนั่งมึน ๆ และจังหวะนั้นเองสายตาก็บังเอิญมองไปเห็นร่างสูงคุ้นตาของใครบางคนที่อยู่ห่างออกไปไม่เท่าไร ดวงหน้าหล่อจัดท่ามกลางฝูงชนกำลังมองมาทางนี้ และเพราะเห็นว่าเป็นใครฉันที่กำลังนั่งหมดท่าอยู่ถึงกับต้องขยับตัวนั่งหลังตรง
ไทยังคงมองมา เขาอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่ก็หน้าตาดีไม่แพ้กัน
และเพราะคนอื่น ๆ ทั้งกลุ่มที่ฉันร่วมวงอยู่ และเพื่อนไทเองก็ด้วย ไม่มีใครได้หันมาสนใจ ก็เลยไม่มีใครเห็น… ฉันสะดุ้งนิด ๆ ตอนที่แจ้งเตือนแชตไลน์ในมือถือดังขึ้น
TAI: นาเมารึเปล่า?
NA: ไม่ได้เมา
TAI: สภาพแบบนั้นไทเรียกว่าเมา
NA: เดี๋ยวบาสไปส่ง
TAI: ไหนมัน?
ฉันขมวดคิ้วนิด ๆ เมื่อได้อ่านสิ่งที่ไทพิมพ์มา แล้วเงยหน้าขึ้นมองข้างตัว ก็พบว่าตอนนี้คนเป็นแฟนหายไปไหนไม่รู้ แถมยังไม่บอกกันอีกต่างหาก ฉันลดโทรศัพท์ที่ถืออยู่ลง พยายามสอดส่องสายตาหาเจ้าตัว
แต่เพราะมันมืดแถมคนยังเยอะ มองหายังไงก็ไม่เจอ…
“หมดแก้ว!”
ฉันต้องละสายตากลับมา เพราะหนึ่งในแฟนเพื่อนของบาสเดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้าง ๆ ยกแก้วขึ้นมาชวนให้ชน แม้ว่าจะไม่อยากดื่มต่อแล้ว
แต่ในสถานการณ์แบบนี้ฉันก็เข้าใจดีว่าตัวเองจะต้องเข้าสังคมเลยจำใจต้องยกแก้วดื่มอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
คนที่มาชวนให้ดื่มชวนคุยต่อทำให้ฉันลืมเรื่องไทไปเลย มีก็แต่รับแก้วมาดื่มชนิดที่ว่าแทบจะดื่มเป็นน้ำเปล่า รู้ตัวอีกทีก็มึนหัวหนักจนแทบจะคุยต่อไม่รู้เรื่อง และพอน้องมันลุกไปเต้นกับคนอื่น ๆ ฉันก็ตัดสินใจว่าจะไปเข้าห้องน้ำเพื่อตรวจเช็กระดับความเมาของตัวเอง รวมถึงจะไปโทรหาบาสด้วย
หลังจากผละออกมาเข้าห้องน้ำ และกระหน่ำโทรหาคนที่ต้องการจะให้พากลับบ้านอยู่นานร่วมสิบนาที แต่ก็ดูไม่เป็นผล ไม่รู้ว่าบาสไปไหนอีกแล้ว และไม่ยอมรับสายอีกแล้วด้วย
ฉันเริ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิด ๆ กะว่าจะเดินกลับไปดูที่โต๊ะอีกรอบ แต่ถ้ารอบนี้ไม่เจอก็จะเรียกแท็กซี่กลับเองให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย เพราะคงนั่งดื่มต่อไม่ไหวแน่ ๆ แค่นี้ก็ตาลายแล้ว
“นา”
“…”
แต่แค่ฉันเดินเลี้ยวมุมออกมาจากห้องน้ำก็ถูกร่างสูงของใครคนหนึ่งคว้าแขนเอาไว้ ไทก้มลงมามองหน้ากันโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ราวกับจะดูว่าฉันเมาแค่ไหน… เป็นฉันเองที่พยายามจะหลบสายตาเพราะรู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองหน้าแดง แถมตายังลอย ๆ อีกด้วย
“นาเมาแล้ว”
“อือ เดี๋ยวจะไปบอกบาสให้พากลับแล้ว”
“…”
“ไท?”
ฉันเลื่อนคิ้วเข้าหากันเมื่อคนตรงหน้าไม่ยอมปล่อยให้เดินไป ไทเลียริมฝีปากมองกันอยู่อึดใจเหมือนกำลังชั่งใจอะไรบางอย่างก่อนจะเอ่ยต่อ
“มันไม่ได้อยู่ที่โต๊ะ”
“…”
“นาไม่ต้องรอหรอก เดี๋ยวไทพากลับเอง”
“แต่…”
“ถ้ากลับไปเดี๋ยวก็โดนชวนให้ดื่มอีก”
“…”
และฉันก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะสิ่งที่ไทพูดก็เป็นเรื่องจริง ถ้าเดินกลับไปนั่งเดี๋ยวคนนู้นคนนี้ก็พากันมาคะยั้นคะยอให้ดื่มอีกจนได้นั่นแหละ และบาสก็ดูท่าจะไม่อยู่ที่โต๊ะแบบที่ไทบอกจริง ๆ ไม่รู้ว่าหายไปไหน
มันก็น่าหงุดหงิดใจที่เจ้าตัวทำตัวแปลก ๆ อยู่เรื่อย จากที่ไม่เคยคิดอะไร แต่พักหลังมาฉันก็แอบคิดอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน…
“กลับเถอะ เมามากแล้วอันตราย” ไทไม่พูดเปล่าแต่ดึงแขนฉันให้เดินตามตัวเอง และฉันที่เมาจนแทบจะเดินให้ตรงไม่ได้ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเดินตามไทออกไป
ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะรอบาส แต่เพราะมันมีแนวโน้มว่าเด็กนั่นจะทิ้งฉันไว้คนเดียวแบบที่ไทว่าจริง สุดท้ายฉันก็ต้องเลือกที่จะเซฟตัวเอง
และแน่นอนว่าไม่พอใจกับสิ่งที่คนเป็นแฟนทำเหมือนกัน
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
เขาว่ากันว่าถ้าออกมาจากสถานที่ปิด หรือได้นั่งพักสักครู่จะสร่างเมา… แต่ดูเหมือนมันจะใช้ไม่ได้กับฉัน ตอนนี้ฉันกำลังโก่งคออาเจียนอยู่หน้าบ้านตัวเองโดยมีไทยืนลูบหลังให้
น่าทุเรศจริง ๆ
“นาเข้าบ้านไหวไหม?”
“ไหวสิ”
หลังจากใช้น้ำเปล่ากลั้วล้างปากเสร็จแล้วฉันก็ยืดตัวขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างกายโงนเงนเล็กน้อย แต่กลับพยักหน้าทำมือเป็นรูปโอเคส่งให้คนที่ยืนอยู่ข้างกัน ไทส่ายหัวไปมาแล้วถอนหายใจ
“เดี๋ยวไทพาไปส่งที่ห้อง เดี๋ยวได้ตกบันไดกันบ้างแหละยืนให้ตรงยังไม่ได้เลย”
“เจ๊ไหวน่า…”
“อย่าดื้อ”
คนตัวโตไม่ฟังเสียง แต่พาฉันเดินเข้าบ้านด้วยการประคองเดินไป
ฉันเถียงอะไรไม่ได้นอกจากเกาะแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของไทเอาไว้ เพราะฉันก็ยืนให้ตรงแทบจะไม่อยู่แบบที่น้องมันบอกจริง ๆ
“นา”
“อือ”
“กุญแจ?”
“ก็อยู่ในกระเป๋าไง”
“ไหนกระเป๋า?”
“…”
ฉันเงยหน้าขึ้นมองไทช้า ๆ ก่อนจะเบิกตาโตเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองน่าจะลืมหยิบกระเป๋ามาจากโต๊ะที่ผับ ไทที่แค่เห็นอาการกันก็หัวเราะออกมาเบา ๆ โดยที่ไม่ต้องอธิบายอะไรด้วยซ้ำ
เพราะก่อนออกไปฉันลืมล็อกประตูรั้ว ล็อกก็แค่ประตูตัวบ้านเท่านั้นเมื่อกี้เลยไม่ทันได้สังเกต แต่ตอนนี้ก็ชัดแล้วว่านอกจากโทรศัพท์ที่ตอนนี้อยู่ในกางเกงยีนของคนตรงหน้า ที่ตัวฉันก็ไม่มีอะไรเลย
“ทะ… ทำไงดี?” ฉันพูดเสียงอ้อแอ้เริ่มรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา
“ขอโทรศัพท์เจ๊หน่อย”
“…” ไทไม่ได้ตอบ แต่เอาโทรศัพท์ออกมาส่งให้เหมือนจะรู้ว่าฉันจะโทรหาใคร
และใช่… คนเดียวที่มีกุญแจบ้านก็คือไนน์… ที่ตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปเมาอยู่ที่ไหน และไม่ว่าจะโทรออกกี่สายต่อกี่สายก็ต่อไม่ติด ฉันเงยหน้ามองไทอีกครั้งพร้อมทั้งเม้มปากอย่างคิดไม่ตก
“นอนบ้านไทก็ได้” เสียงเรื่อย ๆ เอ่ยบอก สีหน้าดูเต็มใจ
“แต่ว่า…”
“นาก็นอนบนห้องไท เดี๋ยวไทลงไปนอนโซฟาเอง”
“…”
ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศ เราสบตากันอีกครั้งเหมือนจะรู้กัน… ว่าระหว่างเราต้องมีระยะห่าง เพราะก็โต ๆ กันแล้วมันคงไม่ดีเท่าไรถ้าดึก ๆ ดื่น ๆ คนที่มีแฟนแล้วแบบฉันจะไปอยู่กับอีกคนในห้องนอนเดียวกัน ไทไม่พูดอะไรอีก แต่ตัดสินใจให้ด้วยการดึงตัวฉันเดินย้อนกลับไปที่บ้านตัวเองแทน
ถึงแม้จะเป็นกังวลเล็กน้อย… แต่ฉันคิดว่าไทไว้ใจได้ ไม่น่าจะคิดอะไรไม่ดี...
ห้านาทีต่อมา
“อันนี้เสื้อไท นาใส่ได้”
“อือ”
“แล้วถ้ามีอะไรก็เรียก ไทไม่ได้ออกไปไหนแล้ว”
“อือ”
“นอนได้ใช่ไหม?”
“อือ”
ฉันนั่งพยักหน้าอย่างว่าง่ายอยู่ที่ขอบเตียง ไทย่อตัวลงเงยหน้าขึ้นมองมาด้วยสายตาเป็นกังวล และเพราะเจ้าของห้องไม่ยอมออกไปสักทีฉันเลยเอ่ยปากถาม
“มีอะไร?”
“แฟนนามันโทรกลับมารึยัง?”
“…ยัง”
“ให้ไทไปจัดการให้ไหม?”
“จะบ้าเหรอ?” ฉันทำตาโตเมื่อเห็นว่าไอ้เด็กบ้าทำหน้าเหมือนเอาจริงขึ้นมา
ฉันรู้ว่าไทคงจะไม่พอใจที่เห็นว่าฉันถูกปล่อยทิ้งเอาไว้คนเดียวท่ามกลางคนเมาเป็นร้อย และคิดจะออกตัวแทน แต่ถึงงั้นฉันก็ยังไม่ได้คุยกับบาสเลย เขาอาจจะมีเหตุผลก็ได้ แม้มันชักจะแปลกหนักขึ้นทุกทีก็เถอะ
พูดกันตรง ๆ ฉันเองก็เริ่มไม่ไว้ใจในแต่ละเรื่องที่คนเป็นแฟนทำแต่ละอย่างในพักหลัง ๆ มันแค่… ระแวง… แต่ก็ยังไม่สามารถฟันธงอะไรออกมาได้จริงจังขนาดนั้น… แต่เรื่องวันนี้มันน่าโกรธจริง ๆ
“นาใจดีเกินไป”
“…” ฉันช้อนสายตามองหน้าไทอีกครั้งก่อนจะเสมองไปทางอื่นเพราะโดนคนตรงหน้าจับนิสัยกันได้
“ถ้ามันทำอะไรไม่ดีก็อย่าไปยอม แบบนั้นมันจะยิ่งได้ใจ เมื่อวานก็เทนา วันนี้ก็หายหัว…”
“มะ… ไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่เป็นไรได้ไง? นาเป็นผู้หญิง”
“…”
ไทพ่นลมหายใจยาวแล้วผุดตัวลุกขึ้นยืน เราจ้องกันเงียบ ๆ อีกครู่หนึ่ง ไทก็ยกมือยอมแพ้แล้วเดินผละออกจากห้องไปโดยที่ไม่พูดอะไรอีก ในขณะที่ฉันนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมเหมือนคนโง่
ไม่ใช่ว่าคิดไม่ได้ในเรื่องที่เขาพูดหรอก เพราะมันคิดได้นี่แหละ… ถึงได้กำลังนั่งวิตกอยู่นี่ไง…
โอเค… ถึงตอนนี้คงต้องยอมรับแล้วว่าในเรื่องอย่างนี้ฉันแทบไม่มีภูมิคุ้มกันอะไรเลย ไม่เคยเจอกับปัญหาแบบนี้ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องจัดการยังไง ยิ่งไทพูดมาให้คิดมันก็ยิ่งต้องคิด…
ให้ตายสิ… มันน่าโมโหตัวเองจริง ๆ
ฉันสะบัดหน้าไล่ความเครียดออกไปแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ประตูห้องเพื่อกดล็อกลูกบิดก่อนที่จะมาเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่แค่เดินไปเห็นลูกบิดอะลูมิเนียมก็ต้องอดที่จะแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นว่ามันล็อกอยู่ก่อนแล้ว
คนที่เพิ่งเดินออกไปเป็นคนล็อกให้ไม่ต้องสงสัยเลย…