LOGINผับแห่งนี้เงียบสงบ ทั้งร้านมีโต๊ะตัวนี้ตั้งเด่นอยู่ตัวเดียว กับหลอดไฟเพดานที่ฉาบฉายแสงลงมาเพียงกระหย่อมหนึ่ง มันแทบจะยิงลงมาที่กลางหัวของพีผู้เป็นเจ้าของเสียงพูด ประโยคเด็ดจากเขาทำให้ทุกอย่างเงียบงัน เขาชี้นิ้วไปที่แพรวพลันพูดออกมาเป็นใจความสั้น ๆ ที่สรุปได้ว่า
.
ลับหลังนิทานพาฝันอันหวานแหววของแพรว ในช่วงกลางดึกของคืนเดียวกันเปรมกับพีนั้นมักจะออกไปมันส์ด้วยกันอยู่บ่อย ๆ พีก็เหมือนกับแพรวที่ตอนเป็นเฟรชชี่มักจะไปไหนไม่เป็น เขายังไม่รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง? , คณะอยู่ตรงไหน? , ห้องสมุดอยู่ตรงไหน? , โรงอาหาร? , ชมรม? , โรงพยาบาล? , หรือแม้กระทั่งร้านเหล้า!
.
ในคืนวันพระเมื่อสองปีก่อนพีในวัย 18 เกิดโหยหารสชาติของสุราขึ้นมากลางดึก เขาเกิดอาการเสี้ยนที่ยังไม่ถึงกับเงี่ยน เพียงแค่ต้องการเหล้าสักกลมหนึ่งมาดื่มย้อมใจเพื่อให้หายคิดถึงบ้าน คิดได้ดังนั้นจึงตัดสินใจแวะไปที่โซนนิ่งที่ทางมหาลัยจัดเอาไว้
.
ลักษณะมันเป็นตรอกถนนเล็ก ๆ เส้นหนึ่ง ที่จะมีห้างร้านมากมายมาจ่ายสัปทานให้แก่สถานศึกษาเพื่อแลกกับการขายสุราและสันทนาการโลกีย์ ว่ากันว่าร้านเหล้าและผับตรงนี้สร้างรายได้ให้แก่สถาบันมากกว่าค่าเทอมที่พวกเด็ก ๆ จ่ายซะอีก ทว่ามีได้ก็ต้องมีเสีย ทุกสิ่งล้วนต้องแลกมาด้วยกฎระเบียบอันเคร่งครัด มีการควบคุมอาวุธ มีการกำหนดอายุผู้เข้าใช้บริการชัดเจน ซึ่งแน่นอนว่าตุ๊ดอายุ 18 ปีอย่างพีย่อมไม่มีสิทธิ์
.
ครานั้นความเสี้ยนเหล้าก็พาเขาไปถึงไนท์คลับแห่งหนึ่งจนได้ พียืนต่อล้อต่อเถียงอยู่กับการ์ดหน้าประตูจนเกือบจะมีเรื่องกัน
.
"แสดงบัตรประชาชนด้วยครับน้อง!"
การ์ดหน้าเข้มในชุดซาฟารีทำเสียงดุยิ่งกว่าหมาเห่า
.
"โหพี่.. หน้าหนูแก่กว่าพี่ปี 4 ทุกคนรวมกันซะอีก ให้หนูเข้าไปเถอะ.. หนูหิว..หนูอยากกรึ๊บ! , ไม่มีใครรู้หรอกน่า ไฟก็ออกจะมืด ให้หนูไปนั่งอยู่หน้าห้องส้วมก็ได้หนูสัญญาว่าจะไม่บอกใคร.. น๊าาาน๊าาาา"
กระเทยควายพยายามต่อรอง แล้วนิสัยดังกล่าวก็ยังติดตัวมาจนถึงปัจจุบัน
.
"ไม่ได้! จากคำพูดเมื่อกี้บวกกับการมาคนเดียวแสดงว่าน้องต้องเป็นเด็กปี 1 พี่ให้เข้าไม่ได้! กรุณารักษากฎด้วยครับ! ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็ไปร้านขายของชำตรงหัวมุมดูสิ กินแบบ "กั๊ก" ก็น่าจะพอแก้ได้อยู่ไม่ใช่เหรอ? , หึๆๆ"
.
แล้วก็เป็นเสียงหัวเราะกับท่าทางเย้ยหยันกึ่งดูถูกนี่แหละที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้น เมื่อจู่ ๆ พีก็รู้สึกโมโหโกธาขึ้นมา เขาเป็นมนุษย์เพศทางเลือกที่ปกติก็โดนเหยียดอยู่แล้ว พอมาโดนไล่ให้ไปเซ็นเหล้าขาวแดกแบบนี้เข้า มันจะต่างอะไรกับแรงงานพม่า! ไม่รู้อะไรเข้าสิง! ตัดภาพมาอีกทีหมัดขวาตรงก็เหวี่ยงออกไปด้วยพิษสงของการบันดาลโทสะซะแล้ว!
.
"ฟิ้วววววววว!!!"
.
การ์ดดึงหลบพ้นอย่างฉิวเฉียด เขาจึงสวนกลับไปด้วยไม้กระบองทั้งดุ้นที่เหน็บอยู่ข้างเอว การง้างฟาดดอกนี้คงไม่แคล้วซัดลงกลางกบาลเป็นแน่ ทำให้พีถึงกับต้องก้มหลบ โดนชัวร์ ๆ แต่ขอให้โดนน้อยที่สุด!
.
"หมับบบ!!!!"
.
เดชะบุญที่เสี้ยวอึดใจนั้นดันมีมือข้างหนึ่งโผล่มารับเอาไว้ จากมุมเสยที่มองขึ้นไปพีจำได้แม่นว่านั่นคือมือของเปรมรุ่นพี่ที่คณะ เสี้ยววินาทีแห่งการหัวร้างข้างแตกที่กระเทยร่างโย่งอยู่ใต้วงแขนของเขา กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ นี่บอกเลยว่าแมนมาก ๆ กายเนื้อที่สัมผัสกันผ่านความบางของเนื้อผ้าทำให้พีรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกแมวตัวน้อย ๆ ที่กำลังถูกปกป้อง ท่อนแขนอันกำยำที่ชูขึ้นรับไม้แม่งโคตรเท่ห์! ไม่ไหวแล้ว! พีพ่ายแพ้ต่อสิ่งนี้ในชั่วขณะจิต เลยจงใจเซถลาเข้าไปให้เปรมโอบ ซึ่งเขาเองก็ตอบรับเป็นอย่างดีโดยไม่ว่าสักคำ
.
เปรมกอดพีไว้ด้วยร่างกายท่อนบนทั้งหมด แล้วใช้กำลังเพียงเศษเสี้ยวดึงกระบองออกจากมือการ์ด พลันจับยัดเสียบเข้าไปในกางเกงตามเดิม ก่อนจะพูดขึ้นว่า
.
"น้องคนนี้มากับผม ขอเข้าไปหน่อยนะครับ โต๊ะเดิมที่บุ๊คไว้"
.
พอการ์ดได้ยินเข้าก็เปลี่ยนท่าทางทันที พลันก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวยิ้มแหย ๆ พร้อมกับพยักหน้าให้หนึ่งทีผายมือเป็นสัญญาณว่า "เชิญครับ"
.
บางทีแกอาจจะหมั่นไส้เด็กกลุ่มนี้อยู่ไม่น้อย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะเปรมคือทายาทของร้านยาชื่อดัง กิจการตระกูลเขาควบรวมโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งในประเทศ แล้วโรงพยาบาลพวกนี้ก็เป็นผู้สนับสนุนหลักของมหาลัย กล่าวคือว่ากันว่ารั้วที่ปิดล้อมที่นี่ทั้งหมด , อิฐทุกก้อน , สีที่ทา , แม้กระทั่งช่างที่จ้างมาทำ , ล้วนแต่เป็นเงินที่ตระกูลของเปรมบริจาคให้ทั้งสิ้น
.
ขยายผลไปถึงสถานบริการทั้งหลายในตรอกแห่งนี้ ถ้ามีการต่อยตีกันแล้วมีผู้บาดเจ็บหรือมีอุบัติเหตุบนท้องถนนที่เกิดขึ้นในละแวก รถมูลนิธิทั้งหลายก็จะเป็นอันรู้กันทันที ว่าจะต้องเอาร่างผู้เคราะห์ร้ายไปส่งที่โรงพยาบาลในเครือของครอบครัวเปรม
.
ไม่มีตระกูลเขามหาลัยนี้ก็จบเห่! นี่คือเรื่องจริง! การ์ดพวกนี้ก็จะตกงาน และนั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไมน้าแกถึงยอมอ่อนข้อ ถึงแม้ว่าเปรมจะไม่เคยอวดเบ่งแถมยังสุภาพมาก ๆ แต่ไม่ว่าใครต่อใคร ร้านเหล้าผับบาร์ไหน ก็จะต้อนรับเปรมกับเพื่อนราวกับเป็นบุคคล V.I.P. เสมอ ซึ่งแน่นอนว่ากับครั้งนี้เองก็เช่นกัน
.
พีก็เลยเหมือนถูกหวย เขาได้เข้าไปนั่งร่วมโต๊ะกับเปรมทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จบคืนวันพระนั้นทุกอย่างก็เลยเต็มไปด้วยความสับสน ทว่าหลังจากนั้นเป็นต้นมาไม่ว่าพวกเปรมจะกินเหล้ากันครั้งใด พีก็จะถูกชวนไปด้วยตลอด เขาเหมือนแบ็ทแมนที่จะมีตัวตนอยู่แค่ตอนกลางคืนเท่านั้น โฉบเฉี่ยวเป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยว ใช้เวลาเพียงแค่หน่อยเดียวไม่กี่สัปดาห์พีก็รู้จักย่านโลกีย์รอบมหาลัยทั้งหมด เดินเข้าร้านนั้นออกร้านนี้เป็นว่าเล่น หนักข้อขึ้นก็ถึงกับไปปาร์ตี้ส่วนตัวกับพวกเปรมถึงคอนโดฯ เลยก็มี
.
อาจจะเป็นเพราะพีเป็นคนเอ็นเตอร์เทนเก่งล่ะมั้ง เป็นกระเทยที่ชอบม้อผู้ชาย ประกอบกับพวกเภสัชตี๋ ๆ ขาวๆ ก็มีพวกเก้งกวางกันเยอะ หลายครั้งมากที่พีโดนจับก้น แต่เขากลับชอบมันซะงั้น เพื่อนของเปรมสลับผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยมากหน้าหลายตา แต่ไม่มีใครรังเกียจพีเลย เขาเป็นน้องปีหนึ่งคนเดียวที่ถูกเชิญเข้าตี้ แล้วก็หวิดจะโดนปี้อยู่หลายทีในตอนที่เมา ถ้าเปรมไม่เข้ามาห้ามเอาไว้ก่อน
.
"ระวังตัวหน่อยสิ.. พี่ดูอยู่นะ"
โดยไม่ทราบเจตนาแต่น้ำเสียงนี่นิ่งมาก เปรมไม่เมาแน่ ๆ และดูเหมือนว่าเขาจะเฝ้ามองพีอยู่ตลอด
.
หลังจากนั้นเป็นต้นมาพีก็เริ่มสังเกตเปรมเป็นระยะ ก่อนจะพบว่าทุกครั้งที่ตนเองนัวกับผู้ชายอื่นเปรมจะมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป มีหันหน้าหนีบ้าง มีการจือปากหงุดหงิด หรือหนักสุดก็ถึงกับลุกหนีไปเลย เป็นแบบนี้เป็นเดือนเป็นปี ไล่มาตั้งแต่เป็นเด็กเฟรชชี่จนตอนนี้ที่แก่พอจะไล่ปี้เฟรชชี่ได้ทุกคนเปรมก็ยังไม่เลิกพฤติกรรม
.
.
"ไม่จริง! แกโกหก! พี่เปรมไม่ใช่เกย์!"
แพรวลุกขึ้นยืนแผดเสียงสูงปรี๊ด
.
"เขาหึงฉัน! สายตาฉันนี่แหละหลักฐาน!"
พีโต้กลับ พลันลุกขึ้นยืนชี้หน้ากลับคืนไปบ้าง
.
"ไม่! , ฉันไม่เชื่อ!"
.
"ก็ตอนที่แกนอนหลับฝันหวานฟังนิทาน พี่เขาก็ออกไปฟันกับฉันตอนกลางคืนไงง่าย ๆ แค่นั้นแหละ!"
.
"อีพี! , มึงนี่มัน!"
.
เกิดการโต้เถียงกันขึ้นอีกหลายยก ต่างคนต่างไม่ยอมกันทั้งที่ต่างก็คิดเองเออเองกันทั้งสองฝ่าย โต๊ะไม้สั่นโครม ๆ ถังน้ำแข็งเทกระจาด ไม่รวมแก้วเหล้าที่โดนเขวี้ยงใส่กันจนบาด แพรวกับพีเหมือนจะวางมวยกันอีกรอบ จนเด็กเฝ้าร้านที่นั่งอยู่หลังเคาท์เตอร์เริ่มขยับตัว เขาคงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้ทรัพย์สินของทางร้านเสียหายไปมากกว่านี้
.
แต่ทว่ายังไม่ทันจะเดินไปถึงเลย มิวท์ที่นั่งอุดหูดูอยู่ข้าง ๆ ก็ชิงลงมือซะก่อน แต่สิ่งที่เธอเลือกทำนั้นชาวบ้านเขาดันไม่ทำกันก็แค่นั้นเอง
.
"กรี๊ดดดดดด! , หยุดเดี๋ยวนี้นะ.. ทั้งสองคนเลย!"
"นี่แหนะ! , นี่แหนะ!"
.
"ฟู่.. , ฟู่.. , ฟุ่ ๆ ๆ , ฟู่ ๆ ๆ"
.
ใครจะเชื่อว่ามิวท์จะกล้า เมื่อเธอเล่นเอาสเปร์ย์ฆ่าเชื้อฉีดเข้าปากเพื่อนทั้งสองคนโดยไม่สนคำเตือนในฉลากใด ๆ พลางบอกสาเหตุว่าแค่นี้ก็เสี่ยงมากแล้ว Social Distancing ก็ไม่มี ยังจะมาตะโกนพ่นน้ำลายใส่กันอีก หน้ากากอุตส่าห์ให้ไปก็ไม่ยอมใส่โดนซะบ้างจะได้เข็ด
.
"แค๊ก , แค๊ก , แค๊ก , แค๊ก"
.
"ค๊อก , ค๊อก , ค๊อก , ค๊อก"
.
"ยัยมิวท์นี่คิดจะฆ่ากันหรือไง.. ใครเขาทำกันแบบนี้?!"
แพรวสำลอกออกมา น้ำตาแตกขมคอ
.
"ก็ไม่รู้ล่ะ.. ถ้ามิวท์ไม่ป้องกันตัวเองมิวท์ก็อาจจะตายเพราะติดเชื้อ covid ก็ได้ อย่างน้อยมันก็ได้ผล เห็นไหมว่าพวกเธอหยุดทะเลาะกันแล้ว^^"
ยิ้มหวานทำตาบ่องแบ้วเช่นเคย พลางลุกขึ้นยืนเปิดทางให้พนักงานร้านเข้ามาปฏิบัติหน้าที่
.
เด็กหนุ่มหน้าสิวปรี่เข้ามาประชิดตัว เขาแจ้งให้ทั้ง 3 คนทราบว่าขณะนี้เวลา 21.30 น. เหลืออีก 30 นาทีจะถึงกำหนดเคอร์ฟิว ได้โปรดย้ายก้นออกจากที่นี่ตามที่ตกลงกันไว้ด้วย แล้วก็โปรดวางเงินค่าเสียหายพร้อมกับติปสินไหมให้แก่เขาผู้เป็นคนเฝ้าร้านด้วย
.
"รับเป็นโอนจ่ายนะครับ ผมไม่อยากสัมผัสเงินสดของพวกคุณ มันน่าจะสกปรก"
เด็กหนุ่มกำชับ
.
"แค๊ก ๆ , แค๊ก ๆ , ย่ะ! จ่ายเขาไปสิอีแพรวมึงอ่ะตัวก่อเรื่อง! ค๊อก ๆ , ค๊อก ๆ , แค๊ก ๆ"
.
สาวเจ้ามุ่ยหน้ามองบนใส่ เธอชักไม่แน่ใจว่าตัวเองไปตกลงปลงใจคบกระเทยพรรค์นี้เป็นเพื่อนได้ยังไง เพราะเผลอก้มลงมองสมาร์ทโฟนเข้าแอพแป๊บเดียว พีก็ดันตูดมิวท์ให้กลับออกไปทางช่องทิ้งขยะโดยไม่รอเธอเลย
.
.
ตัดภาพออกมาข้างนอก , ภายในรถเก๋งบุโรทั่งคันหนึ่งที่เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด
.
ฝ่าเท้ากระทุ้งคันเร่งมันส์อย่างกับเล่นเกมตู้ ถนนเมืองกรุงในช่วงโรคระบาดนี่โล่งพอ ๆ กับหยุดสงกรานต์หรือวันปีใหม่ เบรคมันอยู่ที่ใจก่อนใช้เพียงฝ่าเท้าเล้าโลมอารมณ์ตื่นเต้น พีเป็นคนขับ แพรวนั่งด้านข้าง ส่วนมิวท์นั่งอยู่ข้างหลัง
.
รู้ว่ายากที่จะเชื่อแต่ได้โปรดเชื่อเถอะว่า การหักพวงมาลัยเข้าโค้งแต่ละครั้งเข็มขัดนิรภัยนี่แทบจะกลายเป็นเชือกรัดคอ
.
"บรื๊นนนนน!!!!"
.
ควันดำยิ่งกว่าท้องฟ้า มืดขมุกขมัวแถมยังพ่นออกมาเป็นปื้น ๆ เพราะกลัวจะไม่ทันเคอร์ฟิว พีต้องไปส่งมิวท์ ส่งแพรว แล้วก็ต้องวกกลับเข้าบ้านตัวเองอีก
.
"บริ้นนนนน! ๆ ๆ , บรื้น ๆ ๆ ๆ ๆ !!! , เอี๊ยดดดด!!! , บรื้นนนนน!!!"
.
"มึงช้าลงหน่อยเถอะอีพี! กูขอโทษก็ได้! มึงแค้นกูใช่ไหม? มึงจะเนียนฆาตกรรมอำพรางกูใช่หรือไม่! อีเพื่อนเลว! อร๊ายยยยย!!! ทางโค้งหักศอก!!!!"
.
"แฟร๊บบบบบ!!!!! , ฟิ้ววววว!!!!"
ดริฟท์สไลท์ผ่านสวยงาม สีข้างรถไหลผ่านแท่นแบริเออร์เพียงแค่ 3 มิลลิเมตร!
.
"เฮือกกกก.. หัวใจกูจะวาย.. มึงจอดข้างทางให้กูขับแทนก็ได้อีพีเอ๊ยยย!"
แพรวขอร้องเธอเหงื่อแตกเต็มหน้า แล้วก็ถึงกับต้องดึงเข็มขัดนิรภัยมาพับเป็นสองทบรัดตัวเองให้แน่นขึ้นกว่าเก่า
.
สวนทางกับมิวท์ที่นั่งอยู่เหมาะหลัง เธอโคตรจะนิ่งแล้วก็ก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์อยู่ตลอดตั้งแต่ขึ้นรถมา
.
"กูจะให้มึงขับได้ไงในเมื่อมึงเมาเป็นหมา! แหกด่านเคอร์ฟิวแล้วยังโดนจับเมาแล้วขับ มึงบ้าหรือมึงปัญญาอ่อน! หุบปากไปเลยแล้วนั่งเฉย ๆ ทำตัวให้ได้ครึ่งมิวท์เขาสิหัดดูเพื่อนเป็นตัวอย่างซะบ้าง!"
.
ไม่แม้แต่จะฟังคำซักค้านใด ๆ เวลาไม่เคยคอยท่าเคอร์ฟิวไม่เคยคอยใคร กลัวติดโรคตายมากกว่ากลัวรถคว่ำ ตรรกะโคตรป่วยแต่เชื่อเถอะว่าคนไทยหลายคนล้วนเป็นแบบนี้ ฝ่าเท้าใหญ่เท่าใบพายจากชายผู้แอ๊บตุ๊ดยังคงกระทุ้งแป้นเหยียบ เก๋งบุโรทั่งยังคงพุ่งทะยานขึ้นสะพานกระโดดจั๊มเนินราวกับคิดว่าตัวเองเป็นมอเตอร์ไซต์ไต่ถัง
.
ก่อนที่จุดเปลี่ยนของเรื่องจะมาถึง เมื่อพีบึ่งยนตรกรรมคันนี้มาถึงแยกไฟแดงหน้าหมาลัย เขาตีไฟเลี้ยวเตรียมจะเลี้ยวเข้าไปข้างในอยู่แล้ว แต่ก็ไม่แคล้วสังเกตเห็นว่าที่ด้านหน้ามีสัญญาณไฟแดงสว่างโล่อยู่ กฎหมู่ต้องไม่อยู่เหนือกฎหมาย ต่อให้สามคนบนรถจะรีบแทบตายแต่กฎก็ต้องเป็นกฎ
.
"พี! ไฟแดงเบรคคคคค!"
แพรวตะโกนลั่น
.
"เอ้อ! เห็นแล้วน่ะ! จะเบรคเดี๋ยวนี้แหละ!"
.
"เอี๊ยดดดดดดดด!!!"
.
ถ้าเป็นรถแดร็กที่แข่งวัดความเร็วทางตรงจะไม่ว่าเลย แต่นี่อะไร! สภาพรถอย่างกับเศษเหล็กแถมเบิร์นยางซะจนควันขึ้นเป็นรอยไหม้ ตัวมิวท์ถึงกับถลำทะลุออกมาคร่อมคันเกียร์ ในขณะที่แพรวนั้นกลายเป็นพรีเซ็นเตอร์ยาสระผมไปเป็นที่เรียบร้อย! Head & shoulder ไหมละมึง! หัวโขกกระจก ไหล่โขกคอนโซล แพรผมนี่สะบัดพริ้วรังแคกระจาย! ซึ่งคนเดียวที่ไม่เป็นอะไรเลยก็คือพีที่ตัวใหญ่เป็นควายป่าเก๊กหน้าอยู่หลังพวงมาลัยรถ
.
เขาได้แต่นั่งอึ้ง!
.
"มึงชนคนหรอ..?"
แพรวถาม ส่วนมิวท์เองก็กระท่อนกระแท่นตัวเองขึ้นมาจัดแต่งทรงผม โทรศัพท์เธอกระเด็นไปไหนแล้วก็ไม่รู้?
.
"เปล่าหรอก..รถคันนั้นต่างหาก! เขาวิ่งฝ่าไฟแดงตัดหน้าฉันไป!"
.
"อูยยยยย..คงรีบเหมือนเราล่ะมั้ง.. อีกแค่ 10 นาทีจะเคอร์ฟิวด่านตรวจก็อยู่แถวนี้นี่เอง.. โอย..เจ็บ ๆ ๆ"
เพื่อนสาวผมส้มตั้งข้อสังเกต
.
พียกมือขึ้นเท้าคางเขากำลังคิดอะไรบางอย่างระหว่างรอให้สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว ก่อนจะโพล่งคำออกมาว่า
.
"ไม่แพรว.. ฉันว่านั่นมันรถ Honda Civic IVTEC TURBO ปี 2019 สีดำ รถพี่เปรมชัด ๆ ! แกจะไปไหน? แล้วในเวลาแบบนี้เนี่ยะนะ!?"
.
.
แน่นอนว่าสีหน้าแพรวเปลี่ยนไป แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม? เพราะจู่ ๆ มิวท์ก็รีบควานหาสมาร์ทโฟนที่ทำหล่นเป็นการใหญ่
ปุ่มสวิตซ์ถูกกดไปตั้งแต่อยู่บนรถ ปล่อยเวลาผ่านเลยไปเล็กน้อยบ้านทั้งหลังก็จมหายยุบลงไปใต้ดิน! นี่คือระบบป้องกันตัวเองที่ด็อกเตอร์ออกแบบไว้นานแล้ว เพื่อใช้ป้องกันตัวบ้านไม่ให้โดนไวรัสกัดกร่อน แกมีนวัตกรรมเจ๋ง ๆ แบบนี้หลายอย่างเพียงแต่เป็นพวกเราเองที่ไม่ได้โฟกัสมาที่แกตั้งแต่แรก กลับมัวแต่ตามติดชีวิตของแพรวกับความมะรุมมะตุ้มเละเทะของเนื้อเรื่อง จนหวิดจะออกทะเลอยู่หลายรอบ.ซึ่งจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้วเพราะนี่คือศึกสุดท้าย มีแผ่นเหล็กขนาดเท่าบานประตูสองบานวางแผ่หลาอยู่บนสนาม ตรงตำแหน่งที่เคยเป็นตัวบ้านมาก่อน ลักษณะของมันคล้ายกับประตูบานพับที่แข็งแรงแต่กลับวางนอนอยู่บนพื้น ไม่ได้ตั้งขนานกับพื้นโลกอย่างที่ควรจะเป็น แพรวที่อยู่ใกล้กับด็อกเตอร์เลือกที่จะทอดสายตาต่ำลง พลางเพ่งมองไปยังฝ่ามืออันหยาบกร้านของชายสูงอายุ พอดีกันกับมิวท์และเฟิงฉินที่เร่งเดินตามมาติด ๆ."อะไรอ่ะแพรว.. ไม่เห็นจะมี! , อุ๊บ!".โดนจ่อนิ้วเข้ากับริมฝีปาก ยินเสียงจี่จากแพรวทำให้เฟิงฉินกับมิวท์ต้องเงียบลงในทันใด ทุกคนต่างจ้องมองไปยังกระบวนการในการเปิดประตูอันพิลึกพิลั่นนั่น."เงียบก่อนอย่าเพิ่งพูดอะไร ประตูทางลงอุโมงค์มีเซ็นเ
"ซ่าาาาา , ซ่าาาาา , ครืดดด.. ด.. ด.. ด , ครืดดด.. ด.. ด.. ด"ตามปกติถ้าเปิดวิทยุก็จะได้ยินเสียงประมาณนี้.แต่หนนี้กลับเป็นอะไรที่แตกต่างออกไป แพรวถึงกับกระชากตัวเครื่องออกมาจากช่องเสียบหน้าคอนโซลรถ แล้วเอามาแนบหูตัวเองให้ถนัดถนี่ โชคร้ายที่ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลย! เพราะเสียงที่ดังกลับมาก็มีแต่เสียงสะท้อนจากปลายกระบอกปืน."ปัง! , ปัง! , ปัง! , ปัง! , ปัง! , ปัง! , ปัง! , ปัง! , ปัง! , ปัง!"."อ๊ากกกก! , เอื๊อกกกก! , อ๊ากกกก.. ก.. ก.. , อ๊ากกกก!".ถ้อยสำเนียงผนวกรวมกับเสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยอง บ่งบอกถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ทางฟากโน้น หัวหน้าหน่วยทั้งสองและลูกทีมหลักร้อยคงไม่มีใครรอด แม้แต่ลูกทีมของเฟิงฉินที่พูดแต่คำจีนใส่กันก็ไม่มีการวิทยุตอบกลับมาแต่อย่างใด พวกเขาน่าจะตายคาสมรภูมิเยี่ยงทหารดินเผาของจิ๋นซีฮ่องเต้ และตอนนี้ก็คงจะเหลือแต่เฟิงฉินผู้เป็นหัวหน้า กับมิวท์ , แพรว , แล้วก็ด็อกเตอร์ ที่เป็นดั่งความหวังสุดท้าย.แพรวลองจูนสัญญาณคลื่นวิทยุไปอีกหลายย่าน แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิมคือเงียบสนิท! ไม่ม่วี่แววว่าจะมีเสียงใดลอดเข้ามา เว้นก็แต่เสียงร้องคำรามของพวกผู้ติดเชื้อที่ดังไม่หยุดหย่
หนาวตัวสั่นทั้งยังควันออกปาก แทบไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะมาตกอยู่ในสภาพนี้ได้ เปรมมองไปด้านหลังเพื่อเช็คว่านี่คือหน้าตึก AP ไม่ใช่กระท่อมเอสกิโม ทว่าเช็คแล้วเช็คเล่าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าชานเมืองฝั่งโน้นนั้นเกิดอะไรขึ้น เขารู้แต่เพียงว่าคราวก่อนเป็นฝ่ายเขาเองที่เพลี่ยงพล้ำเสียท่า ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากกลศึกของศัตรู ความเย็นเฉียบเงียบขรึมที่เป็นอยู่จึงเปรียบได้กับสาส์นเตือนให้เขารับรู้ว่าต้องละเอียดรอบคอบมากยิ่งขึ้น."หึ๊ยยย!"กัดกรามกรอดก้มหน้าลงหงุดหงิด.เรียนตามตรงว่ากองทัพผู้ติดเชื้อเวอร์ชั่นตีบวกเป็นล้าน ๆ สู้กับคนจำนวนหลักร้อยนั้นโคตรจะไม่สูสี แต่ครานั้นเปรมก็ไม่อยากพลาดอีกแล้ว เขาเคยเสียหมามาแล้วหนหนึ่งจึงรีบหลับตาลงเร่งทำสมาธิอีกครั้ง ก่อนที่ต่อมาหน้าจอคอนโทรลในจิตใจจะสว่างโพลงขึ้นทีละดวงสองดวง! มันคือตัวแทนของลูกสมุนผู้ติดเชื้อแต่ละตน ซึ่งเปรมสามารถคอนโทรลได้ไกลถึง 30 กม.!."วิ้ง~!"."โคร่งงงงง~!"."โคร่งงงงงงงง~!"."โคร่งงงงงงงงงงงง~!".ตัดภาพไปฝั่งโน้นจะเห็นสัมภเวสีไวรัสจำนวน 10 ตัวที่ถมึงทึงดวงตาขึ้น! ดวงเนตรสีแดงก่ำร้อนฉ่าน่ากลัวสยดสยอง แต่ละตัวเดินง่อนแง่นเยื้อย่างอ
ภาพความยิ่งใหญ่อลังการประหนึ่งพระราชาออกว่าราชการที่หน้าบัลลังก์ มองจากมุมต่ำฝ่าความยั้วเยี้ยสะอิดสะเอียนเข้าไป จะเห็นเปรมยืนผายมืออยู่บนชั้น 3 ตัวเขาใหญ่เท่ากับมดแต่ท่วงท่าการผายมือออกทั้งสองข้างนี่สิ ที่ช่างทรงพลังและน่ายำเกรงยิ่งกว่าสิ่งใด เสียงแซ่ซ้องอื้ออึงจากสัมภเวสีไวรัสนับล้านดังระงม พวกมันต่างพากันหันหน้าขึ้นไปมองในทิศทางเดียวกัน แม้เนื้อตัวจะเบียดแน่นราวกับอัดกันอยู่ในงานคอนเสิร์ตก็ตามที."โคร่งงงงง~!"เปรมก้มหน้าลงไปคำรามใส่ เขาไม่จำเป็นต้องหลับตาอีกต่อไปแล้วเพราะเบื้องล่างคือสมาชิกผู้ติดเชื้อที่คอนโทรลได้ทุกอย่าง.สอดรับกับรูปปากของเจ้าตัวที่เริ่มจะงอกยาวออกมา คมเขี้ยวพับงุ้มหุบเข้าไปด้านหลัง โควิดกำลังโชว์วิวัฒนาการกล้ามเนื้อมุมปาก คิดเอาสิว่าขนาดถนนคอนกรีตทั้งเส้นเชื้อยังย่อยสลายได้ แล้วนับประสาอะไรกับช่องปากของร่างภาชนะอย่างเปรม แค่ขมิบนิดเดียวรูปปากที่เคยแข็งเป็นหิน ตอนนี้ก็พูดในสิ่งที่มันคิดออกมาได้แล้ว."โคร่งงงงง~!"คำรามเที่ยวนี้ข้างล่างนับล้านถึงกับร้องตาม."โคร่งงงงง! , โคร่งงงงง! , โคร่งงงงง! , โคร่งงงงง! , โคร่งงงงง!"."เรียก..! , กู..! , ว่า..! , เปรม..!!
"แหวนเธอเป็นไงบ้างโบ๊ท ยังใช้งานได้อีกไหม!?"เสียงตะโกนจากเจนิสพุ่งแหวกอากาศ ทแยงสวนขึ้นไปบนแนวกำแพงวิลเลจ."ไม่ได้แล้วพี่.. ลำพังใช้ดึงดาวเทียมให้ตกลงมาสู่ชั้นบรรยากาศ นิ้วผมก็แทบจะขาดอยู่แล้ว!"โบ๊ทป้องปากตะโกนตอบลงมา จากนั้นจึงพาดฝ่ามือลงกับสันกำแพง เขามองเห็นลอยห้อเลือดปูดบวมและเส้นเลือดฝอยมากมายที่บ่งบอกได้ถึงอาฟเตอร์เอฟเฟ็คหลังการใช้แหวน.เย็นย่ำอาทิตย์อัสดงใกล้ค่ำ วันนี้ก็เหมือนวันวานเมื่อวานก็เหมือนวันก่อน ที่วิลเลจย่อมต้องถูกโจมตีเป็นเรื่องปกติ จะต่างจากเดิมหน่อยก็แค่หนนี้แทบจะไม่มีใครเหลืออยู่ที่นี่เลย แพรวไม่อยู่หัวหน้าหน่วยทั้งคู่ก็ไม่อยู่ กระทั่งเจนิสต้องลงไปไฟว้กับสัมภเวสีไวรัสข้างล่างด้วยตัวเอง เธอถึงกับต้องเกณฑ์คุณลุงคุณป้ากับทหารรับจ้างคลาสต่ำที่ถูกหัวหน้าหน่วยทิ้งไว้ให้มาเป็นสหายร่วมรบ.เด็ก 9 ขวบอย่างโบ๊ทกลายเป็นคนคุมสถานการณ์จากบนกำแพง แต่ก่อนข้างบนนี้จะมีทหารรับจ้างยืนสลับเวรยามคุ้มกันตลอด 24 ชั่วโมง แต่ปัจจุบันกลับเหลือแค่โบ๊ทเพียงคนเดียว อาญาสิทธิ์เด็ดขาดทั้งหมดจึงตกเป็นของเขา ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้โบ๊ทใช้แหวนเวอร์ชั่น 2 ที่สร้างขึ้นจากเศษเหล็ก ย้ายผีดิบผู้
คอหักห้อยต่องแต่ง น้ำลายยืดหยดย้อยเป็นพิซซ่าขอบชีส เสื้อผ้าขาดวิ่นกลิ่นยิ่งไม่ต้องพูด กองทัพผี Covid กรูกันออกมามากกว่าครึ่งร้อย ดูท่าทางพิกลพิการและทิศทางที่เคลื่อนมาก็เหมือนกับถูกคอนโทรลมาจากแหล่งเดียวกัน พวกมันกลายเป็นสิ่งไม่มีชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีจิตใจไร้สัมปัชชัญญะร่างกายที่มูฟแกว่งไกวก็เหมือนทำไปตามคำสั่ง.ถนนคอนกรีตด้านหน้าแนวที่แตกร้าวและมีหญ้าแห้งแซมเล็กน้อยกลายเป็นสมรภูมิแรก ความกว้างของมันมากกว่า 8 เลนแต่บัดนี้ทั้งถนนและเกาะกลางกลับเต็มไปด้วยภูตผีที่ประจันหน้าอยู่กับลูกทีมของเฟิงฉิน.กลุ่มชายชาวจีนเกาะกลุ่มกันเป็นครึ่งวงกลม พร้อมกับเครื่องทำความเย็นแบบพกพาที่แบกอยู่บนแผ่นหลัง ด้านหลังสุดของแนวโล่มนุษย์คือกลุ่มรถกระบะที่จอดไว้เรียงกัน พวกมันบรรทุกเครื่องทำความเย็นเวอร์ชั่นใหญ่ยักษ์เอาไว้ และตอนนี้ก็กำลังเดินเครื่องเต็มที่เพื่อใช้ในการดำเนินกลยุทธ์เปลี่ยนกลางวันให้กลายเป็นกลางคืนอย่างที่เห็น.สาบานได้ว่าทั้ง 50 นายไม่มีทีท่าว่าจะหวาดกลัวเลย เหล่าชายตาตี๋ต่างพากันยืนจังก้าราวกับรอให้กองทัพผู้ติดเชื้อพุ่งเข้ามาขย้ำ! แต่ก็แน่นอนว่าหัวหน้าหน่วยลาดตระเวนกับหัวหน้าหน่วยทหาร







