ความสงสัยของฉันถูกกระจ่างขึ้นทันที สายตาที่เขามองฉันในตอนแรกคงเป็นสายตาของคนที่เหยียดตัวว่าเหนือกว่าสินะ มันไม่ใช่ความพิศวาสอะไรเลยสักนิด
แต่ถึงจะใช่ฉันก็มั่นใจว่าฉันไม่เอาคนปากไม่ดีอย่างเขาแน่!
"ครับ…คุณฟินซ์มีสิทธิ์ออกความคิดเห็นเพราะเป็นหน้าที่ของบอร์ดบริหาร แต่ทุกอย่างมีเหตุมีผลและต้องมีทางแก้ แล้วทางแก้สำหรับคุณคืออะไรครับ"
"ทางแก้ของผมง่ายๆ ครับ เปลี่ยนคนทำ" ตาบ้านี่กล้าดียังไงมาตัดสินว่าฉันไม่เหมาะที่จะทำงานนี้ กล้าหักหน้าฉันกลางที่ประชุมทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้รู้จักฉันเลยด้วยซ้ำ ฉันทำงานที่นี่มาหนึ่งปีเต็ม ไม่เคยมีบอร์ดบริหารคนไหนกล้าว่าฉันขนาดนี้มาก่อน นับประสาอะไรกับคนที่เพิ่งเข้ามาทำงานหนึ่งวันแต่กลับขีดเส้นให้ค่าความสามารถของฉันต่ำต้อยขนาดนี้
ใครจะยอม!
"คนอื่นว่ายังไงครับ" ป๊าหันไปถามบอร์ดบริหารคนอื่นๆ ซึ่งทุกคนเงียบกริบอีกเช่นเคย ไม่มีใครคัดค้านแต่ก็ไม่มีใครแสดงออกว่าส่งเสริมที่จะอยู่ข้างฉันเลย
"ฉันดูแลโปรเจ็คมานักต่อนัก ถึงจะเป็นโปรเจ็คเล็กแต่ฉันก็ทำดีมาตลอด คุณเป็นบอร์ดคนใหม่กล้ามาตัดสินว่าฉันทำงานออกมาได้ไม่มีประสิทธิภาพได้ยังไงกัน!?" แต่แล้วสุดท้ายความอดทนของฉันก็ขาดผึ่ง กัดกรามแน่นแล้วจดจ้องเขาอย่างไม่วางตา ใครจะยอมให้คนอื่นมาให้ค่างานของตัวเองไม่ดีทั้งที่ยังไม่รู้ความจริง
ใครจะทนก็ทนไป แต่…ยัยลิลินจะไม่ทนอีกต่อไป
"ลิลิน" ป๊าหันมาส่ายหัวให้ฉันเพื่อเตือนสติ แน่นอนว่าแต่ตอนนี้ฉันไม่ได้ใช้อารมณ์ ฉันแค่อยากรู้ว่าเขาต้องการหาเรื่องฉันอยู่หรือเปล่า!?
ซึ่งเขาเหยียดยิ้มใส่ฉันเป็นคำตอบ!
ก่อนที่จะเอนตัวไปพิงเก้าอี้สบายๆ พร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ฉันยิ่งไม่พอใจเข้าไปใหญ่
"ทำมาเยอะแต่ก็ไม่ได้แปลว่าทำมาดีนี่ครับ" ให้ตายเถอะ…ฉันอยากลุกไปบีบคอเขาให้หมดลมคามือซะเดี๋ยวนี้ แต่สิ่งที่กำลังรั้งฉันไว้ไม่ให้พุ่งไปหาเขาในตอนนี้คือหน้าป๊า ที่ฉันต้องอดทนเพราะการกระทำของฉันอาจจะส่งผลไปถึงป๊าได้
นี่คือสิ่งที่ฉันทำให้ป๊าได้มากที่สุดในตอนนี้
"ลิลินใจเย็นๆ"
"ค่ะ"
"งั้นเอาอย่างนี้ โปรเจ็คนี้จะถูกให้รองผู้บริหารทำเหมือนเดิม" ฉันยิ้มเยาะใส่เขาอย่างผู้ชนะ บอร์ดบริหารอย่างเขาจะทำอะไรได้ในเมื่อประธานบริษัทยังคงยกหน้าที่นั้นให้ฉันทำต่อเหมือนเดิม ใครจะไปรู้ความสามารถของฉันดีเท่าพ่อฉันอีกล่ะ
"แต่…" รอยยิ้มผู้ชนะหุบลงเมื่อป๊ายังพูดไม่จบ รีบหันขวับไปตั้งหน้าตั้งตารอสิ่งป๊าที่กำลังจะพูดต่อ หวังว่าประโยคต่อไปนี้จะไม่ทำให้ฉันผิดหวัง…
"จะมีคุณฟินซ์เป็นที่ปรึกษาจนกว่าจะทำโปรเจ็คเสร็จ" เหมือนฟ้าผ่าตรงกลางใจ ผิดหวัง…ผิดหวังกับประโยคของป๊ามาก ฉันมองหน้าคนข้างๆ อย่างไม่เข้าใจ บอร์ดบริหารไม่ได้มีหน้าที่คอยให้คำปรึกษา เขาแค่ต้องตั้งตัวเป็นคณะกรรมการ คอยเตือนสติและมองความยั่งยืนของบริษัทเท่านั้น ทำไมฉันถึงต้องไปร่วมงานกับคนประเภทนี้ด้วย
ป๊ากำลังทำอะไรอยู่!?
แค่หน้าฉันก็แทบไม่อยากจะมองแล้ว จะให้ฉันมีเขาคอยเป็นที่ปรึกษาตลอดทั้งงานได้ยังไงกัน!?
"ผมยินดีครับ" เขารีบชิงตอบ
นายยินดี…แต่ฉันไม่!
"ท่านประธานคะ…"
"เข้าเรื่องต่อไปเลยนะครับ" ฉันยังไม่ทันที่จะพูด ป๊าก็รีบชิงเปลี่ยนเรื่องหนีทันที ฉันรู้ว่าป๊าได้ยินและรู้ว่าฉันกำลังจะพูดอะไร แต่ท่านเลือกที่จะเมินแล้วเข้าเรื่องวาระต่อไปโดยไม่สนฉันที่กำลังโมโหเลือดขึ้นหน้าอยากจะตบเขาให้เลือดกลบปากจนไม่มีแรงพูดอีกเลย
การประชุมดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยที่มีฉันคอยมองตาบ้านั้นด้วยสายตาอาฆาตแค้นตลอดเวลา ซึ่งเขาเองก็มองมาทางฉันเป็นระยะ บ้างที่เราสบตากันเขาก็เหยียดยิ้มใส่ บ้างเขาก็แกล้งเมินใส่ฉัน จนตลอดเวลาการประชุมฉันไม่ค่อยมีสมาธิเลย เพราะมัวแต่คิดหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราสองคนไม่มีอะไรเหมือนกันเลย แค่ความคิดก็ต่างกัน แล้วจะร่วมงานกันได้ยังไง?
เวลาผ่านไปประมาณสองชั่วโมงเต็มวาระของการประชุมในวันนี้ก็จบลงอย่างน่าเบื่อ
"งั้นสำหรับวันนี้ก็มีแค่นี้ ขอบคุณครับ" ป๊าฉันปิดการประชุมพร้อมกับลุกขึ้นยืน ก่อนที่จะเดินออกจากห้องประชุมเป็นคนแรกและตามด้วยบอร์ดบริหารคนอื่นๆ ที่เดินตาม
"พี่ตาลเคลียร์คิวสักหนึ่งชั่วโมงนะคะ ลินจะเข้าไปพบท่านประธานก่อน" ฉันเก็บแฟ้มต่างๆ พร้อมกับหันไปสั่งงานกับเลขาสาวสวย พี่ตาลพยักหน้าเข้าใจเราสองคนจึงรีบเก็บของแล้วเดินออกจากห้อง
กึก!
"ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะครับ" ฉันชะงักเท้ากึกแล้วปรายตามองไปทางมือหนาที่ยื่นมาหมายจะจับมือฉัน เขายืนดักรอฉันหน้าห้องพร้อมกับบอดี้การ์ดสองที่ขนาบข้าง
จะเป็นใครไปได้นอกจากตาบ้าคนนั้น
มิสเตอร์ฟินซ์!
"ฉันไม่ยินดี" ฉันตอกหน้าใส่เขาอย่างใส่อารมณ์ เป็นสิ่งเดียวที่ฉันอยากทำตลอดการประชุมคือระบายความโกรธใส่เขา เมื่อพอใจแล้วฉันก็เดินเบี่ยงหนีไปอีกทางโดยที่ไม่ได้สนใจจะจับมือเขาที่ยื่นมาเลยสักนิดเดียว
กล้ามาหักหน้าฉันกลางที่ประชุมคิดว่าฉันจะเสวนาด้วยอีกหรือไง
ปล่อยให้ยืนหน้าแตกตรงนั้นนั้นแหละ
"ฟิลิปส์มานอนได้แล้วครับ""ค้าบ~" เด็กชายตัวน้อยรีบวิ่งขึ้นมานอนบนเตียงกว้างหลังจากที่ฉันเอ่ยเรียก ฟิลิปส์นอนแยกห้องกับฉันตั้งแต่สองขวบ เมื่อฉันพาเข้านอนเสร็จก็จะกลับห้องตัวเอง ซึ่งเป็นแบบนั้นทุกวันจนเขาชินไปแล้ว"วันนี้ให้หม่ามี้อ่านเรื่องไหนดีคะ?" กิจกรรมก่อนนอนของเขาคือการให้ฉันอ่านนิทานให้ฟัง เพื่อกล่อมให้เขานอนเร็ว อีกอย่างก็เป็นการเสริมพัฒนาการของเขาในตัวด้วย"ผมอยากให้ปาป๊าอ่าน" เด็กน้อยเงยหน้ามองฉันพร้อมกับสีหน้าออดอ้อน"วันนี้ปาป๊ายังทำงานไม่เสร็จเลย ให้หม่ามี้เล่าให้ฟังเนอะ""ก็ได้ครับ" ใบหน้าเล็กเศร้าลงเมื่อไม่ได้ดั่งใจ แต่ก็ยอมฉันแต่โดยดีจนกระทั่ง…แอด ~"ปาป๊า~" บานประตูห้องนอนของลูกถูกเปิดออกพร้อมกับสามีของฉันที่เดินเข้ามาในชุดนอนพร้อม วันนี้เขาบอกว่าจะอยู่ปั่นงานจนถึงดึก ฉันก็นึกว่าเขาจะจมอยู่กับกองงานจนรอเจออีกทีก็พรุ่งนี้เสียแล้ว"ทำไมยังไม่นอนหื้ม…" ร่างสูงล้มตัวนอนอีกฝั่งของลูกชาย มือหนาก่ายขึ้นมาโอบฉันไว้โดยที่มีฟิลิปส์นอนอยู่ตรงกลาง"ปาป๊าเล่านิทานได้ไหมครับ?" เด็กชายรีบออดอ้อนอีกครั้ง"อยากให้ป๊าเล่าให้ฟังเหรอ?""ผมอยากฟังเรื่องนี้" ฟิลิปส์หยิบหนังสือนิทานโดยไม่
สามปีผ่านไป"ไปไหนกันมาคะ ทำไมถึงเหงื่อซกกันทั้งสองคนแบบนี้" ฉันปรายตาไปมองสองพ่อลูกที่จับมือกันเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดเต็มกรอบหน้า วันนี้หายออกจากบ้านไปทั้งพ่อลูกเกือบค่อนวัน ฉันให้การ์ดตามหาก็หากันไม่เจอ ไม่รู้ว่าไปเล่นซนกันที่ไหน ปิดเรื่องเงียบทั้งพ่อทั้งลูก"ฟิลิปส์…ป๊าพาไปอาบน้ำ" พี่ฟีนิกซ์ทำเมินคำถามของฉัน ก้มลงไปอุ้มเจ้าลูกชายแสนซนหมายจะเดินผ่านหน้าฉันขึ้นไปชั้นสอง"พี่ฟีนิกซ์พาลูกไปทำอะไรแปลกๆ หรือเปล่าคะ?" เชื่อใจไม่ได้หรอก พี่ฟีนิกซ์ตามใจลูกเสียทุกอย่าง ไม่ว่าฟิลิปส์จะขออะไรก็ทำให้ได้หมด ตามใจจนลูกถามหาแต่เขาอยู่คนเดียว"เปล่า แค่ไปวิ่งเล่นกัน" เรียวปากหนาเอ่ยตอบ แต่ท่าทางดูมีพิรุธฉันว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ"ฟิลิปส์ บอกหม่ามี้มาค่ะว่าไปทำอะไรกันมา" ในเมื่อถามหาเรื่องจากฝั่งพ่อไม่ได้ก็มาเค้นลูกชายแทน เด็กโกหกไม่เป็นอยู่แล้ว"ป๊าพาไปวิ่งเล่นครับ" ฟิลิปส์รีบตอบทันที ขณะที่ฉันกำลังจดจ้องเพื่อเค้นความจริง พี่ฟีนิกซ์ก็รีบอุ้มลูกเดินหนีฉันไปเฉยเลย"อย่าให้รู้ว่าไปแอบเล่นอะไรพิเรนทร์มานะคะ" ฉันตะโกนไล่หลังสองพ่อลูก ตอนนี้เหมือนมีลูกสองคนเพราะพี่ฟีนิกซ์เหมือ
"หนูโอเคขึ้นแล้วจริงๆ ค่ะ" ร่างสูงยังคงจับมือฉันไม่ห่าง หลังจากที่ผ่านช่วงเวลาที่แสนลำบากไปได้ตอนนี้ฉันอยู่ในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลแล้ว ทั้งฉันและพี่ฟีนิกซ์เราเพิ่งออกจากห้องคลอดมาด้วยกัน เจ้าฟิลิปส์ได้ออกมาลืมตาดูโลกแล้ว ตัวกลมแก้มแดงเชียว จมูกนิดตาโตเหมือนที่ฉันคิดไว้ว่าต้องเหมือนพ่อของเขาไม่มีผิด และดูเหมือนเจ้าตัวก็ภูมิใจมาก ตลอดการคลอดของฉันมีเขาคอยจับมือเป็นกำลังใจอยู่ตลอด น้ำตาแห่งความสุขของคนเป็นพ่อไหลลงอีกครั้งเมื่อเห็นหน้าลูก คนไม่เคยเห็นหน้าทั้งสองคนในที่สุดก็ได้เจอกันสักที วันนี้เขาไม่ต้องคุยกันผ่านหน้าท้องของฉันอีกต่อไป เขาจะได้สัมผัสตัวเป็นๆ อย่างที่เขารอมาเนิ่นนานแล้ว"เจ็บตรงไหนบอกฉันนะ" หลังจากที่ออกจากห้องคลอดพี่ฟีนิกซ์ก็ยังดูแลไม่ห่าง มีสลับไปดูลูกในตู้ของโรงพยาบาลบ้าง แต่เมื่อมีคนบอกว่าฉันตื่นแล้วก็รีบกลับมาหาอย่างไวเลยผลออกมาอย่างที่เห็น เขาดูสงสารฉันตลอดเวลา ไม่ยอมเดินออกไปไหนเฝ้าฉันตลอดเวลา ถึงจะมีครอบครัวของฉันคอยอยู่เป็นเพื่อนแล้วก็ตาม"หม่ามี้อยากเห็นหน้าหลานเต็มทีแล้ว" คนอื่นๆ ยังไม่ได้เห็นกันชัดๆ เลย เพราะทางโรงพยาบาลต้องกักตัวลูกไว้ก่อน จึงพากันตื่นเต้นไ
แปดเดือนผ่านไป ~"วันนี้รู้สึกยังไงบ้างลิลิน เจ็บเท้าบ้างหรือเปล่า?" เสียงหวานของคนเป็นแม่เอ่ยถามขึ้นขณะที่ลงมานั่ง ช่วงนี้ฉันอยู่ในช่วงใกล้คลอด อีกไม่กี่สัปดาห์ก็ใกล้กำหนดคลอดที่คุณหมอตั้งไว้แล้ว ระหว่างนี้ก็ถูกพักการทำงานไปก่อน ช่วงว่างๆ ฉันจึงมาอยู่ที่บ้านของตัวเอง โดยที่มีพี่ฟีนิกซ์มาส่งก่อนไปทำงานและมารับหลังเลิกงานทุกวันเพราะเป็นห่วงกลัวว่าฉันจะเหงาอยู่คนเดียว แถมที่นี่คนยังเยอะกว่าบ้านของพี่ฟีนิกซ์อีก มีหม่ามี้อยู่ด้วยฉันจึงเห็นด้วยที่จะไปๆ มาๆ บ้านของตัวเอง และทุกคนก็ลงความคิดเห็นเหมือนกันหมด"นิดหน่อยค่ะหม่ามี้" ช่วงนี้เท้าฉันเริ่มบวมขึ้น ทำให้เดินแล้วเกิดอาการตึงจึงมักจะเจ็บแปล๊บอยู่บ่อยๆ แต่มันก็ไม่ได้มาก อยู่ในช่วงที่อดทนได้"อดทนหน่อยนะ อีกไม่กี่วันก็จะคลอดแล้ว""ตั้งแต่มีเจ้าตัวน้อยหนูรักหม่ามี้ขึ้นเยอะกว่าเดิมเลย" ความรู้สึกของคนเป็นแม่เป็นแบบนี้นี่เอง ต้องใช้ความพยายามสูงมากที่จะดูแลคนๆ หนึ่งให้เติบโตจนเขาสามารถดูแลตัวเองได้ ฉันเพิ่งอยู่ระหว่างทางเอง กว่าจะโตจนแต่งงานออกเรือนได้คงต้องเหนื่อยอีกเยอะเลย"เหนื่อยแต่ก็มีความสุข เดี๋ยวหนูก็จะได้สัมผัสกับคำนั้น""ขนาดเขายัง
"ในที่สุดเราก็เจอกันอีกจนได้น้า~" ฉันยิ้มรับพร้อมกับเอ่ยออกมาเบาๆ ทันทีที่เรียวขายาวได้แตะกับน้ำทะเลสีใสบนเกาะส่วนตัวของพี่ฟีนิกซ์ที่เคยมาในครั้งก่อน มันยังคงสวยเหมือนเดิมแม้กาลเวลาจะผ่านไป ถึงอะไรๆ จะเปลี่ยนแปลงไปแต่ธรรมชาติที่นี่ก็ยังคงสง่างาม ร่มรื่นอยู่เหมือนเดิม"รีบไปกันเถอะ" ขณะที่คุณชายฟินซ์ทำการผูกเรือเสร็จสรรพเราก็จับมือกันเพื่อเดินไปยังบ้านหลังใหญ่ ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเขาถึงต้องทำเองทุกอย่าง เป็นเพราะครั้งนี้การมาเที่ยวทะเลมีเพียงแค่เราสองคนตามสัญญาแต่สิ่งที่เพิ่มเติมคือเจ้าก้อนเลือดในท้องอีกหนึ่งชีวิตที่คนนี้ฉันไม่สามารถห้ามตามมาขัดจังหวะสวีทหวานของเราได้จริงๆ มันอยู่นอกแผนไปหน่อย แต่ฉันก็ยินดีกับการมาของเขามากๆ เลยฉันและเขาเดินจับมือกันเข้ามาในบ้านหลังใหญ่ มันสะอาดตาอยู่ตลอดเวลา แม้จะไม่มีใครอยู่ระหว่างนั้นก็ตาม"ทำไมมันถึงไม่มีฝุ่นเลยล่ะคะ?" แต่ก็น่าแปลกใจนะ มันต้องเก่าลงบ้างแหละ แต่ตอนนี้มันช่างดูสะอาดไปหมด สะอาดจนน่าแปลกใจ"ที่นี่ไม่ได้มีแค่บ้านนี้ แต่ยังมีอีกบ้านที่ฉันจ้างมาเป็นแม่บ้านของที่นี่""อ๋อ แล้วทำไมหนูไม่เคยเห็นเลยล่ะคะ?""เพราะเธออยากได้ความเป็นส่วนตัว ให
"อุแหวะ ~" ฉันโก่งคออ้วกอยู่ในห้องน้ำของบริษัทโดยที่มีเลขาสาวอย่างพี่ตาลคอยลูบหลังให้ วันนี้ฉันใช้เวลาในห้องน้ำมากกว่าการนั่งทำงานอยู่บนโต๊ะเสียอีก เหตุผลคงไม่ต้องถาม ฉันและพี่ฟีนิกซ์แต่งงานกันมาแล้วสามเดือน และเราตกลงกันว่าอยากมีฟีนิกซ์น้อยมาวิ่งเล่นในบ้านหลังใหญ่เร็วๆ ซึ่งวันนี้ก็มาถึง วันที่ฉันกำลังแพ้ท้องลูกของฉันและเขาโดยที่เขายังไม่รู้ตัว"คุณลินไหวไหมคะ?" พี่ตาลช่วยพยุงร่างที่ไร้เรี่ยวแรงเดินออกจากห้องน้ำ เรียวปากบางซีดเผือกค่อยๆ นั่งลงบนโซฟาพร้อมกับหยิบยาขึ้นมาดมแก้วิงเวียนและอาการคลื่นไส้"มึนๆ นิดหน่อยค่ะพี่ตาล""คุณลินควรจะพักผ่อนที่บ้านนะคะ""พี่ตาลรู้ด้วยเหรอคะ?" ฉันเก็บความลับนี้เงียบมาคนเดียวหลังจากที่รู้ว่าตัวเองท้องมาได้สองวัน โดยที่ยังไม่ได้บอกใครทั้งนั้นเพราะอยากให้ทุกคนเซอร์ไพรส์พร้อมกันโดยเฉพาะพ่อของลูก"ฉันก็เคยมีอาการคล้ายคุณลินเลยค่ะ คนเคยผ่านมาแล้วดูไม่ยากเลยค่ะ""ยิ่งเป็นแบบนี้ ลินยิ่งไม่อยากอยู่บ้านเลยค่ะ กลัวพี่ฟินซ์จะจับได้" ฉันตั้งใจหาเวลาที่เหมาะสมเพื่อจะบอกเขา จึงไม่อยากนอนพักที่บ้านเพื่อให้ดูน่าสงสัย อีกอย่างอาการแพ้ท้องสองวันที่ผ่านมาก็ยังไม่หนักเท่า