Masukความสัมพันธ์แบบ Friend with benefits เมื่อมีคนหนึ่งเผลอตกหลุมรักเข้า ก็จำต้องถอนตัวออกมา แต่เขากลับไม่ยอมให้เธอได้จากไปดีๆ นี่สิ!!!
Lihat lebih banyak1
ร้อยวันพันปีไม่เคยมาหา
“เปตอง มีคนมาหาอยู่ที่ห้องรับรองแขกน่ะ หล่อเชียว มีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เห็นพามาแนะนำกันเลยน้าาา”
เสียงแหลมของโทรโข่งประจำออฟฟิศอย่าง น้ำฟ้า ที่ตั้งใจคุยกับเธอนั้น ดังกว่าปกติอย่างคนที่อยากจะพูดให้คนอื่นได้ยิน หรือเรียกง่ายๆ ว่า พวกเรียกร้องความสนใจ
เปตองหน้ากระตุกเล็กน้อย... โดยไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็น
ด้วยความที่มีตำแหน่งเล็กสุดของที่ทำงานแห่งนี้ เธอจึงไม่มีสิทธิออกเสียงอะไรใดๆ ได้แต่ทำตัวให้เคยชินกับเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพนักงานแต่ละคน และสนแต่งานของตนก็พอ
โชคดีที่งานของเธอส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวกับคนที่มีนิสัยไม่น่าคบหา ชอบพูดจากระแหนะกระแหนอย่างน้ำฟ้า เธอก็เลยทนทำงานในที่แห่งนี้มาได้เกือบสามปี
เปตอง ปวิชญา เพิ่มเพียร เป็นหญิงสาววัยยี่สิบห้าปี อาชีพพนักงานประจำ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการ ของบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่งชานเมืองกรุงเทพ ที่มีสำนักงานเป็นเพียงห้องขนาดใหญ่ห้องหนึ่งเชื่อมต่อกับตัวโรงงานแบบบ้านๆ มีพนักงานในออฟฟิศนี้เพียงแค่ห้าคน
...และอยู่กันแบบครอบครัว
ชื่อตำแหน่งก็เป็นได้เพียงเครื่องประดับเท่านั้น เพราะหน้าที่ของเธอจริงๆ นั้นคล้ายกับเจเนอรัลเบ๊ของบริษัท ทำพวกงานจิปาถะทั่วไป ถ่ายเอกสาร เสิร์ฟน้ำ คีย์ข้อมูล ตอบอีเมลลูกค้า รับสายฟังคำบ่นจากลูกค้า
ยังดีหน่อยที่งานส่วนใหญ่ จะมีเพียงเจ้านายเท่านั้นที่สั่งเธอได้ ส่วนเพื่อนร่วมงานคนอื่นสามารถไหว้วานให้เธอช่วยถ่ายเอกสารนิดๆ หน่อยๆ ได้เพียงเท่านั้น ก็เลยไม่ได้มีเหตุให้ทนอยู่ในบริษัทนี้ไม่ได้
ยิ่งสมัยนี้งานหายากด้วยแล้ว ต่อให้โดนโขกสับแค่ไหน เธอก็ทนได้หมดแหละ ปวิชญาคนสู้ชีวิตซะอย่าง สมัยเรียนอยู่และหลังเรียนจบ ก็ผ่านงานพาร์ทไทม์มาตั้งมากมาย สู้กับทั้งเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย และลูกค้ามาก็มาก จนตอนนี้ไม่อยากจะสู้กับใครอีกแล้ว
...อยากเป็นปลาเค็ม ทำงาน กลับบ้าน นอนดูซีรีส์ รอเงินเดือนออก ใช้ชีวิตไปวันๆ
“ตองยังไม่มีแฟนค่ะ”
ปฏิเสธสั้นๆ พร้อมกับกดเซฟงาน ลุกออกจากเก้าอี้ เดินผ่านหน้าคนที่ยังยืนเท้าโต๊ะอยู่อย่างไม่สนใจอะไร ถึงแม้จะรู้ว่าหลังจากเธอเดินออกไปแล้ว ต้องถูกเอาไปเป็นหัวข้อนินทาก็ตาม
เดินออกจากห้องทำงาน ก็จะเป็นห้องรับรองแขกที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เมื่อมองผ่านกระจกใสเข้าไปเห็นเบื้องหลังของคนที่นั่งอยู่บนโซฟา หญิงสาวก็แทบสะดุดล้ม ด้วยมั่นใจว่าต้องเป็นคนที่ไม่น่าจะมาหาเธอที่นี่
เปิดประตูเข้าไปยังไม่ทันจะได้เอ่ยคำทักทายใดๆ หัวหน้าที่ดูแลทางส่วนของโรงงานก็เดินสวนออกไป โดยไม่วายทิ้งท้ายเบาๆ กะให้เธอได้ยินเพียงคนเดียว
“คราวหลัง ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็อย่าให้เพื่อนมารบกวนเวลาทำงานอีกล่ะ แต่ถ้าจะมาสั่งสินค้าจากโรงงานเรา ก็พามาได้ทุกเมื่อ ครั้งนี้ฉันจะยกเว้นให้เธอครั้งหนึ่งก็แล้วกัน”
“ค่ะ ตองจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกค่ะ”
รับปากเสร็จ ก็เดินไปยืนกอดอกอยู่ข้างหน้าคนที่นั่งไขว่ห้างโชว์ความเรียบเป๊ะของกางเกงสแล็คที่ถูกรีดมาอย่างดี เข้ากับเสื้อเชิ้ตสีขาว ปลดกระดุมสองเม็ด โชว์แผงอกหนั่นแน่น
ไม่รู้ว่าตั้งใจยั่วใครกันแน่
“ตองว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนี่คะ” หญิงสาวเปิดประเด็นขึ้นมาทันที เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายมาด้วยเรื่องอะไร
ปูน ธเนศ ฐากูลประสิทธิ์ อายุสามสิบปี เป็นเจ้าของธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เจ้าใหญ่ที่สุดในประเทศไทยร่วมกับพี่ชายของตน
ชายหนุ่มเหมือนกับหลุดออกมาจากนิยาย เพราะทั้งหล่อ รวย ฉลาด มีบุคลิกภาพดี และมีเสน่ห์ดึงดูดใจสุดๆ
และที่สำคัญ... เขาและเธอมีความสัมพันธ์กันแบบ Friend with benefits
“การพูดเองเออเองเพียงฝ่ายเดียวของตอง โดยที่พี่ไม่ยินยอมพร้อมใจ มันไม่เรียกว่าคุยกันเข้าใจแล้วหรอกนะ” ดวงตาคมที่ดูดุอยู่ตลอดเวลา และมุมปากที่ยกขึ้นนิดหน่อยนั้น ทำให้ปวิชญารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในอารมณ์จริงจัง
แต่แล้วยังไงล่ะ... เธอก็จริงจังเหมือนกัน
“แล้วพี่ปูนจะเอายังไงล่ะ ตองพูดชัดเจนพอแล้ว ตองไม่อยากจะอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้อีกต่อไป”
เรื่องที่ทำให้ชายหนุ่มมาหาเธอถึงที่ทำงานทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยจะมาได้ ก็คือเรื่องที่หญิงสาวเพิ่งจะโทรไปขอยุติความสัมพันธ์กับเขาเมื่อคืนนี้
“นั่งคุยกันดีๆ ก่อน” ธเนศเอ่ยเสียงเข้มติดจะวางอำนาจ
“ไม่ล่ะค่ะ ตองมีงานต้องทำ พี่ปูนก็ควรจะกลับไปได้แล้ว”
“เปตอง” น้ำเสียงดุๆ เพราะอารมณ์ที่ถูกกวนจนขุ่น
“ให้คิดซะว่าเป็นการบอกเลิกก็ได้ค่ะ คนอยากเลิก ไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายยินยอมนี่คะ”
เหมือนประโยคนี้จะทำให้สติของชายหนุ่มขาดผึง เพราะเขาลุกขึ้นดึงแขนร่างบางให้นั่งลงบนตักของตน
“พี่ปูน!”
ที่ปวิชญาตกใจไม่ใช่อ้อมกอดที่รัดเอวของเธอไว้แน่น แต่เธอกังวลว่าจะมีคนงานที่เดินผ่านไปมา มองเข้ามาเห็นฉากนี้ต่างหากล่ะ
“ทีนี้จะคุยกันดีๆ ได้หรือยัง”
เสียงกระซิบ ลมร้อนที่เป่ารดหลังคอ และกลิ่นกายของชายหนุ่มที่นับวันจะยิ่งหลอกหลอนเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หญิงสาวใจอ่อนยวบ แต่ขณะเดียวกันก็ยืนยันการตัดสินใจของเธอได้เป็นอย่างดี
“ตองมีงานต้องทำจริงๆ ค่ะ”
“ร่างกายของตองยังตอบสนองพี่ดีอยู่เลยนะ... เราก็สนุกกันมาโดยตลอดนี่” ฝ่ามือหนาล้วงเข้าไปใต้กระโปรงยาวเท่าเข่า ลูบไล้ต้นขานวลนุ่มเบาๆ เลื่อนขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะสัมผัสกับชิ้นส่วนน้อยที่ปกปิดกลีบดอกไม้เอาไว้ ทำเอาหญิงสาวต้องใช้แรงทั้งหมดในการหยุดมือนั้นไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวไปมากกว่านี้
“พี่ปูน ตองไม่ใช่ของเล่นนะคะ ให้เกียรติกันด้วย”
“ตองก็อย่าพูดจาแบบนั้นอีกสิ บอกพี่ที ว่าตองยังชอบสัมผัสของพี่อยู่” ริมฝีปากหนาสัมผัสลงบนต้นคอที่มีเพียงผมสั้นสีน้ำตาลไฮไลท์ปลายชมพูปกปิดอยู่ ความชื้นแฉะของลิ้นร้อนที่แตะลงเบาๆ ทำให้คนถูกกระทำตัวสั่นสะท้าน หน้าแดงก่ำไปหมด
มือขวาเลื่อนออกจากใต้กระโปรงขึ้นมาบีบคลึงหน้าอกที่มือของเขาไม่สามารถกำได้มิดผ่านเนื้อผ้าเล่น
ธเนศมองคนพยายามจะเอียงคอหนีและยึดข้อมือเขาไว้แน่นอย่างขบขัน อารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย เพราะหญิงสาวยังคงตอบสนองต่อร่างกายของเขาได้ดีเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไป
“อะ...เอาไว้ค่อยคุยกันที่คอนโดก็แล้วกันค่ะ”
ปวิชญารู้ว่าเธอไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อีกต่อไป ก็เลยเสนอทางลงให้กับทั้งคู่
“ได้ แล้วพี่จะไปหา ตองกลับไปทำงานเถอะ”
ชายหนุ่มตอบรับอย่างง่ายดาย เขามองหญิงสาวที่กระเด้งตัวขึ้นหนีออกจากตักเขาไปหน้าประตูห้องรับรองแขกอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่มือบางจะผลักประตูออกไป ก็หยุดชะงักเสียก่อน
“ไหนๆ พี่ปูนก็แวะมาแล้ว ช่วยหยิบแค็ตตาล็อกสินค้าของโรงงานกลับไปพิจารณาด้วยนะคะ”
“ได้สิ”
ธเนศกลั้นยิ้มให้กับท่าทางของคนที่ตอนแรกดูเขินอาย แต่ยามเมื่ออยู่ห่างเขากลับกลายเป็นแม่เสือสาว ก่อนจะหยิบแค็ตตาล็อกสินค้าบนโต๊ะตรงหน้าขึ้นมาโชว์เป็นการยืนยันให้เธอได้สบายใจ
แต่เขาคงไม่แค่ดูหรอกนะ... เขาว่าจะเหมาสินค้าสักสองสามตู้คอนเทนเนอร์ ต่อไปเวลาแวะมาหาเธอ หญิงสาวจะได้ไม่สามารถหยิบยกข้ออ้างว่าต้องรีบกลับไปทำงานขึ้นมาได้อีก
บทส่งท้าย กริ๊งกร่อง~ เสียงออดบ้านที่ดังขึ้น ทำให้เจ้าของบ้านที่นั่งอยู่ใกล้ประตู ลุกขึ้นเดินไปเปิด ก่อนจะพบกับคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่นอกประตูรั้ว แปลกหน้าไม่เท่าไหร่ แต่ทั้งหล่อ แต่งตัวดูดี มีออร่าจับนี่สิ เขามั่นใจมากว่าไม่มีใครในบ้านเขารู้จักคนอย่างนี้ “ผมมาหาเปตอง ปวิชญาครับ” ผู้มาเยือนพูดภาษาอังกฤษใส่ ทำให้เจ้าของบ้านรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนแถวนี้ เพราะคนแถวนี้พูดแต่ภาษาจีน ไม่ก็มาลายูกันทั้งนั้น “คุณเป็นอะไรกับเธอ” “เป็นแฟนครับ ผมมารับเธอกลับ” หลังจากเจรจากันอยู่สักพัก เจ้าของบ้านก็ยอมอนุญาตให้ธเนศเข้าไป ชายหนุ่มเดินไปยังบริเวณข้างหลังบ้าน ซึ่งมีซุ้มไม้เลื้อยและโต๊ะหินอ่อนตั้งอยู่ คนที่นั่งอยู่บนโต๊ะหินอ่อนนั่นคือหญิงสาวคนที่เขาเฝ้าตามหาอยู่เกินครึ่งปี ข้างๆ กันคือเด็กหญิงวัยห้าขวบ กำลังคุยจ้อไม่หยุด ท่าทางน่ารักน่าชัง แก้มยุ้ยผิวขาว ดูคล้ายกับหญิงสาวเป็นอย่างมาก ถ้าเขาไม่ได้เจอเธอหลายปี เขาก็คงนึกว่าเด็กนั่นเป็นลูกของเธอเหมือนกัน “พี่ปูน...” ปวิชญามองมาทางเขาอย่างตกใจ ก่อนจะขยี้ตา และมอ
21อับจนหนทาง ต่อให้มีอิทธิพลมากมายแค่ไหน แต่การตามหาคนคนหนึ่งที่หลบซ่อนตัวอยู่ ก็ใช่ว่าจะหาง่ายๆ ธเนศมั่นใจว่าปวิชญากำลังพยายามหลบซ่อนตัวจากเขาอยู่แน่ๆ เพราะการที่คนคนหนึ่งจะหายไป ไร้ซึ่งร่องรอยการกิน เที่ยว ใช้ชีวิต มันเป็นไปไม่ได้ “ไม่ได้เรื่อง!” ชายหนุ่มตะคอกใส่บรรดาหัวหน้าสาขาบ่อนคาสิโนตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพราะอิทธิพลในด้านสว่างใช้ไม่ได้ผล เขาจึงต้องพึ่งพาเครือข่ายอันกว้างไกลที่มีอยู่ตามสาขาต่างๆ ของบ่อนการพนันทั่วประเทศ “เอ่อ... ไม่แน่ว่าคุณปวิชญาอาจจะไม่ได้อยู่ในประเทศแล้วก็ได้นะครับ” หนึ่งในชายที่นั่งคุกเข่าอยู่ในท่ารับผิดเหมือนกับลูกน้องแก๊งยากูซ่าเอ่ยเสนอด้วยน้ำเสียงเจื่อนๆ เป็นเหตุให้เพื่อนรอบข้างหันมามองและแทบจะยกนิ้วให้กับความใจกล้านี้ “คิดว่าฉันโง่หรือไง!” ธเนศตวาดเสียงเย็นยะเยียบ ก่อนจะโบกมือให้มือขวาจัดการพาทุกคนออกไป เพราะเขาไม่อยากเห็นหน้าเจ้าพวกนี้อีก ไม่ใช่ว่าเขาไม่นึกถึงการตามหาเธอที่ประเทศอื่น แต่เพราะโลกนี้มันกว้างมาก ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มค้นหาจากประเทศไหน การเริ่ม
20จุดเปลี่ยนของคนบ้า ทุกคนรู้ว่าธเนศแปลกไป แต่ดูเหมือนจะมีเพียงเจ้าตัวเพียงคนเดียวที่ยังไม่รู้ ทั้งออกงานสังคมน้อยลง ไม่ได้มีสาวคนไหนมาเป็นคู่ควงอยู่เคียงข้างกาย และบ้างานหนักขึ้น สั่งให้ลูกน้องทำโอที จนทุกคนแทบจะกราบขอร้องอ้อนวอนให้ปล่อยพวกเขาไปสักที บรรยากาศรอบตัวก็อึมครึมเข้าขั้นทะมึน ใครหน้าไหนก็เข้าหน้าไม่ติด รอยยิ้มจากเขาสักแอะก็ไม่มีโผล่มาให้เห็น แรกๆ ทุกคนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเดี๋ยวมันก็คงจะดีขึ้น แต่ปรากฏว่าทุกอย่างกลับยิ่งเลวร้ายลง พอไม่มีงานที่บริษัทและที่บ่อนให้ทำ ธเนศก็จัดการหางานเพิ่มโดยการขยายธุรกิจ บินไปโน่นมานี่หาคู่ค้า สั่งเปิดสาขาเพิ่มที่ประเทศใกล้เคียง หางานให้เหล่าลูกน้องไม่เว้นแต่ละวันจนต้องจ้างพนักงานเพิ่ม แม้แต่วันเสาร์อาทิตย์ก็ยังทำงาน ไม่คิดจะหยุดพักผ่อนเลยสักนิด “พอเลย ไอ้ปูน ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ใช่แกนะที่จะตายก่อน คนอื่นจะได้โดนแกลากไปตายด้วยกันหมด แหกตาดูบ้างสิว่าพนักงานบริษัทเราตาโหลเป็นหมีแพนด้ากันขนาดไหนแล้ว ต่อไปคงได้มีข่าวพนักงานตายในหน้าที่ ยืนถ่ายเอกสารอยู่ก็ไหลตายได้กันพอดี”
19ห้องที่ไร้ไออุ่น “หันหลังกลับไม่ได้แล้วนะ” เสียงย้ำเตือนดังมาจากภูผา เพื่อนสนิทที่เรียนจบปริญญาโทจากต่างประเทศมา และคอยเป็นที่ปรึกษาเรื่องความรักให้กับเธอ ขณะนี้ภูผาและคะนิ้งกำลังมาส่งเพื่อนสาวที่สนามบินดอนเมือง ทั้งที่อาการกระดูกหักของหญิงสาวยังไม่หายสนิท และครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเดินทางไปต่างจังหวัดเท่านั้น แต่ยังเป็นการเดินทางไปไกลขึ้น...ถึงต่างประเทศ “เดี๋ยวก่อนนะ แกต้องถามฉันสิ ว่า แน่ใจแล้วเหรอว่าจะไป” “พูดอย่างกับว่าภูถามตอนนี้แล้วตองจะเปลี่ยนใจทัน” ภูผาว่า “ใช่ ก็แกทั้งซื้อตั๋วเครื่องบิน ทั้งเซ็นสัญญา จ่ายเงินค่านายหน้าไปหมดแล้ว คงไม่ใจเสาะ ยอมยกเลิกเอาตอนนี้หรอกมั้ง” คะนิ้งรีบเอ่ยสนับสนุน “เกลียดจริงพวกรู้ทัน” ปวิชญายิ้มมุมปาก “ฉันไปก่อนนะ” “เออ โชคดี ว่างๆ ก็บินกลับมาบ้าง กรุงเทพ-ปีนังก็แค่ปากซอย” คะนิ้งว่า หญิงสาวผมประบ่าเพียงพยักหน้ารับ ก่อนที่จะกอดลาเพื่อนที่กรุงเทพทั้งสองคน และเดินจากไป ตอนที่ออกจากคอนโด เธอได้ส่งข้าวของทั้งหมดกลับไปยังบ้านเกิดที่ต่างจังหวัด และกลับไปพัก