ความสัมพันธ์แบบ Friend with benefits เมื่อมีคนหนึ่งเผลอตกหลุมรักเข้า ก็จำต้องถอนตัวออกมา แต่เขากลับไม่ยอมให้เธอได้จากไปดีๆ นี่สิ!!!
View More1
ร้อยวันพันปีไม่เคยมาหา
“เปตอง มีคนมาหาอยู่ที่ห้องรับรองแขกน่ะ หล่อเชียว มีแฟนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เห็นพามาแนะนำกันเลยน้าาา”
เสียงแหลมของโทรโข่งประจำออฟฟิศอย่าง น้ำฟ้า ที่ตั้งใจคุยกับเธอนั้น ดังกว่าปกติอย่างคนที่อยากจะพูดให้คนอื่นได้ยิน หรือเรียกง่ายๆ ว่า พวกเรียกร้องความสนใจ
เปตองหน้ากระตุกเล็กน้อย... โดยไม่มีใครได้ทันสังเกตเห็น
ด้วยความที่มีตำแหน่งเล็กสุดของที่ทำงานแห่งนี้ เธอจึงไม่มีสิทธิออกเสียงอะไรใดๆ ได้แต่ทำตัวให้เคยชินกับเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพนักงานแต่ละคน และสนแต่งานของตนก็พอ
โชคดีที่งานของเธอส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวกับคนที่มีนิสัยไม่น่าคบหา ชอบพูดจากระแหนะกระแหนอย่างน้ำฟ้า เธอก็เลยทนทำงานในที่แห่งนี้มาได้เกือบสามปี
เปตอง ปวิชญา เพิ่มเพียร เป็นหญิงสาววัยยี่สิบห้าปี อาชีพพนักงานประจำ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรการ ของบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่งชานเมืองกรุงเทพ ที่มีสำนักงานเป็นเพียงห้องขนาดใหญ่ห้องหนึ่งเชื่อมต่อกับตัวโรงงานแบบบ้านๆ มีพนักงานในออฟฟิศนี้เพียงแค่ห้าคน
...และอยู่กันแบบครอบครัว
ชื่อตำแหน่งก็เป็นได้เพียงเครื่องประดับเท่านั้น เพราะหน้าที่ของเธอจริงๆ นั้นคล้ายกับเจเนอรัลเบ๊ของบริษัท ทำพวกงานจิปาถะทั่วไป ถ่ายเอกสาร เสิร์ฟน้ำ คีย์ข้อมูล ตอบอีเมลลูกค้า รับสายฟังคำบ่นจากลูกค้า
ยังดีหน่อยที่งานส่วนใหญ่ จะมีเพียงเจ้านายเท่านั้นที่สั่งเธอได้ ส่วนเพื่อนร่วมงานคนอื่นสามารถไหว้วานให้เธอช่วยถ่ายเอกสารนิดๆ หน่อยๆ ได้เพียงเท่านั้น ก็เลยไม่ได้มีเหตุให้ทนอยู่ในบริษัทนี้ไม่ได้
ยิ่งสมัยนี้งานหายากด้วยแล้ว ต่อให้โดนโขกสับแค่ไหน เธอก็ทนได้หมดแหละ ปวิชญาคนสู้ชีวิตซะอย่าง สมัยเรียนอยู่และหลังเรียนจบ ก็ผ่านงานพาร์ทไทม์มาตั้งมากมาย สู้กับทั้งเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย และลูกค้ามาก็มาก จนตอนนี้ไม่อยากจะสู้กับใครอีกแล้ว
...อยากเป็นปลาเค็ม ทำงาน กลับบ้าน นอนดูซีรีส์ รอเงินเดือนออก ใช้ชีวิตไปวันๆ
“ตองยังไม่มีแฟนค่ะ”
ปฏิเสธสั้นๆ พร้อมกับกดเซฟงาน ลุกออกจากเก้าอี้ เดินผ่านหน้าคนที่ยังยืนเท้าโต๊ะอยู่อย่างไม่สนใจอะไร ถึงแม้จะรู้ว่าหลังจากเธอเดินออกไปแล้ว ต้องถูกเอาไปเป็นหัวข้อนินทาก็ตาม
เดินออกจากห้องทำงาน ก็จะเป็นห้องรับรองแขกที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เมื่อมองผ่านกระจกใสเข้าไปเห็นเบื้องหลังของคนที่นั่งอยู่บนโซฟา หญิงสาวก็แทบสะดุดล้ม ด้วยมั่นใจว่าต้องเป็นคนที่ไม่น่าจะมาหาเธอที่นี่
เปิดประตูเข้าไปยังไม่ทันจะได้เอ่ยคำทักทายใดๆ หัวหน้าที่ดูแลทางส่วนของโรงงานก็เดินสวนออกไป โดยไม่วายทิ้งท้ายเบาๆ กะให้เธอได้ยินเพียงคนเดียว
“คราวหลัง ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็อย่าให้เพื่อนมารบกวนเวลาทำงานอีกล่ะ แต่ถ้าจะมาสั่งสินค้าจากโรงงานเรา ก็พามาได้ทุกเมื่อ ครั้งนี้ฉันจะยกเว้นให้เธอครั้งหนึ่งก็แล้วกัน”
“ค่ะ ตองจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกค่ะ”
รับปากเสร็จ ก็เดินไปยืนกอดอกอยู่ข้างหน้าคนที่นั่งไขว่ห้างโชว์ความเรียบเป๊ะของกางเกงสแล็คที่ถูกรีดมาอย่างดี เข้ากับเสื้อเชิ้ตสีขาว ปลดกระดุมสองเม็ด โชว์แผงอกหนั่นแน่น
ไม่รู้ว่าตั้งใจยั่วใครกันแน่
“ตองว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนี่คะ” หญิงสาวเปิดประเด็นขึ้นมาทันที เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายมาด้วยเรื่องอะไร
ปูน ธเนศ ฐากูลประสิทธิ์ อายุสามสิบปี เป็นเจ้าของธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เจ้าใหญ่ที่สุดในประเทศไทยร่วมกับพี่ชายของตน
ชายหนุ่มเหมือนกับหลุดออกมาจากนิยาย เพราะทั้งหล่อ รวย ฉลาด มีบุคลิกภาพดี และมีเสน่ห์ดึงดูดใจสุดๆ
และที่สำคัญ... เขาและเธอมีความสัมพันธ์กันแบบ Friend with benefits
“การพูดเองเออเองเพียงฝ่ายเดียวของตอง โดยที่พี่ไม่ยินยอมพร้อมใจ มันไม่เรียกว่าคุยกันเข้าใจแล้วหรอกนะ” ดวงตาคมที่ดูดุอยู่ตลอดเวลา และมุมปากที่ยกขึ้นนิดหน่อยนั้น ทำให้ปวิชญารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในอารมณ์จริงจัง
แต่แล้วยังไงล่ะ... เธอก็จริงจังเหมือนกัน
“แล้วพี่ปูนจะเอายังไงล่ะ ตองพูดชัดเจนพอแล้ว ตองไม่อยากจะอยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้อีกต่อไป”
เรื่องที่ทำให้ชายหนุ่มมาหาเธอถึงที่ทำงานทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยจะมาได้ ก็คือเรื่องที่หญิงสาวเพิ่งจะโทรไปขอยุติความสัมพันธ์กับเขาเมื่อคืนนี้
“นั่งคุยกันดีๆ ก่อน” ธเนศเอ่ยเสียงเข้มติดจะวางอำนาจ
“ไม่ล่ะค่ะ ตองมีงานต้องทำ พี่ปูนก็ควรจะกลับไปได้แล้ว”
“เปตอง” น้ำเสียงดุๆ เพราะอารมณ์ที่ถูกกวนจนขุ่น
“ให้คิดซะว่าเป็นการบอกเลิกก็ได้ค่ะ คนอยากเลิก ไม่จำเป็นต้องให้อีกฝ่ายยินยอมนี่คะ”
เหมือนประโยคนี้จะทำให้สติของชายหนุ่มขาดผึง เพราะเขาลุกขึ้นดึงแขนร่างบางให้นั่งลงบนตักของตน
“พี่ปูน!”
ที่ปวิชญาตกใจไม่ใช่อ้อมกอดที่รัดเอวของเธอไว้แน่น แต่เธอกังวลว่าจะมีคนงานที่เดินผ่านไปมา มองเข้ามาเห็นฉากนี้ต่างหากล่ะ
“ทีนี้จะคุยกันดีๆ ได้หรือยัง”
เสียงกระซิบ ลมร้อนที่เป่ารดหลังคอ และกลิ่นกายของชายหนุ่มที่นับวันจะยิ่งหลอกหลอนเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หญิงสาวใจอ่อนยวบ แต่ขณะเดียวกันก็ยืนยันการตัดสินใจของเธอได้เป็นอย่างดี
“ตองมีงานต้องทำจริงๆ ค่ะ”
“ร่างกายของตองยังตอบสนองพี่ดีอยู่เลยนะ... เราก็สนุกกันมาโดยตลอดนี่” ฝ่ามือหนาล้วงเข้าไปใต้กระโปรงยาวเท่าเข่า ลูบไล้ต้นขานวลนุ่มเบาๆ เลื่อนขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะสัมผัสกับชิ้นส่วนน้อยที่ปกปิดกลีบดอกไม้เอาไว้ ทำเอาหญิงสาวต้องใช้แรงทั้งหมดในการหยุดมือนั้นไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวไปมากกว่านี้
“พี่ปูน ตองไม่ใช่ของเล่นนะคะ ให้เกียรติกันด้วย”
“ตองก็อย่าพูดจาแบบนั้นอีกสิ บอกพี่ที ว่าตองยังชอบสัมผัสของพี่อยู่” ริมฝีปากหนาสัมผัสลงบนต้นคอที่มีเพียงผมสั้นสีน้ำตาลไฮไลท์ปลายชมพูปกปิดอยู่ ความชื้นแฉะของลิ้นร้อนที่แตะลงเบาๆ ทำให้คนถูกกระทำตัวสั่นสะท้าน หน้าแดงก่ำไปหมด
มือขวาเลื่อนออกจากใต้กระโปรงขึ้นมาบีบคลึงหน้าอกที่มือของเขาไม่สามารถกำได้มิดผ่านเนื้อผ้าเล่น
ธเนศมองคนพยายามจะเอียงคอหนีและยึดข้อมือเขาไว้แน่นอย่างขบขัน อารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย เพราะหญิงสาวยังคงตอบสนองต่อร่างกายของเขาได้ดีเหมือนเดิม ไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไป
“อะ...เอาไว้ค่อยคุยกันที่คอนโดก็แล้วกันค่ะ”
ปวิชญารู้ว่าเธอไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อีกต่อไป ก็เลยเสนอทางลงให้กับทั้งคู่
“ได้ แล้วพี่จะไปหา ตองกลับไปทำงานเถอะ”
ชายหนุ่มตอบรับอย่างง่ายดาย เขามองหญิงสาวที่กระเด้งตัวขึ้นหนีออกจากตักเขาไปหน้าประตูห้องรับรองแขกอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่มือบางจะผลักประตูออกไป ก็หยุดชะงักเสียก่อน
“ไหนๆ พี่ปูนก็แวะมาแล้ว ช่วยหยิบแค็ตตาล็อกสินค้าของโรงงานกลับไปพิจารณาด้วยนะคะ”
“ได้สิ”
ธเนศกลั้นยิ้มให้กับท่าทางของคนที่ตอนแรกดูเขินอาย แต่ยามเมื่ออยู่ห่างเขากลับกลายเป็นแม่เสือสาว ก่อนจะหยิบแค็ตตาล็อกสินค้าบนโต๊ะตรงหน้าขึ้นมาโชว์เป็นการยืนยันให้เธอได้สบายใจ
แต่เขาคงไม่แค่ดูหรอกนะ... เขาว่าจะเหมาสินค้าสักสองสามตู้คอนเทนเนอร์ ต่อไปเวลาแวะมาหาเธอ หญิงสาวจะได้ไม่สามารถหยิบยกข้ออ้างว่าต้องรีบกลับไปทำงานขึ้นมาได้อีก
บทส่งท้าย กริ๊งกร่อง~ เสียงออดบ้านที่ดังขึ้น ทำให้เจ้าของบ้านที่นั่งอยู่ใกล้ประตู ลุกขึ้นเดินไปเปิด ก่อนจะพบกับคนแปลกหน้าที่ยืนอยู่นอกประตูรั้ว แปลกหน้าไม่เท่าไหร่ แต่ทั้งหล่อ แต่งตัวดูดี มีออร่าจับนี่สิ เขามั่นใจมากว่าไม่มีใครในบ้านเขารู้จักคนอย่างนี้ “ผมมาหาเปตอง ปวิชญาครับ” ผู้มาเยือนพูดภาษาอังกฤษใส่ ทำให้เจ้าของบ้านรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนแถวนี้ เพราะคนแถวนี้พูดแต่ภาษาจีน ไม่ก็มาลายูกันทั้งนั้น “คุณเป็นอะไรกับเธอ” “เป็นแฟนครับ ผมมารับเธอกลับ” หลังจากเจรจากันอยู่สักพัก เจ้าของบ้านก็ยอมอนุญาตให้ธเนศเข้าไป ชายหนุ่มเดินไปยังบริเวณข้างหลังบ้าน ซึ่งมีซุ้มไม้เลื้อยและโต๊ะหินอ่อนตั้งอยู่ คนที่นั่งอยู่บนโต๊ะหินอ่อนนั่นคือหญิงสาวคนที่เขาเฝ้าตามหาอยู่เกินครึ่งปี ข้างๆ กันคือเด็กหญิงวัยห้าขวบ กำลังคุยจ้อไม่หยุด ท่าทางน่ารักน่าชัง แก้มยุ้ยผิวขาว ดูคล้ายกับหญิงสาวเป็นอย่างมาก ถ้าเขาไม่ได้เจอเธอหลายปี เขาก็คงนึกว่าเด็กนั่นเป็นลูกของเธอเหมือนกัน “พี่ปูน...” ปวิชญามองมาทางเขาอย่างตกใจ ก่อนจะขยี้ตา และมอ
21อับจนหนทาง ต่อให้มีอิทธิพลมากมายแค่ไหน แต่การตามหาคนคนหนึ่งที่หลบซ่อนตัวอยู่ ก็ใช่ว่าจะหาง่ายๆ ธเนศมั่นใจว่าปวิชญากำลังพยายามหลบซ่อนตัวจากเขาอยู่แน่ๆ เพราะการที่คนคนหนึ่งจะหายไป ไร้ซึ่งร่องรอยการกิน เที่ยว ใช้ชีวิต มันเป็นไปไม่ได้ “ไม่ได้เรื่อง!” ชายหนุ่มตะคอกใส่บรรดาหัวหน้าสาขาบ่อนคาสิโนตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศไทย เพราะอิทธิพลในด้านสว่างใช้ไม่ได้ผล เขาจึงต้องพึ่งพาเครือข่ายอันกว้างไกลที่มีอยู่ตามสาขาต่างๆ ของบ่อนการพนันทั่วประเทศ “เอ่อ... ไม่แน่ว่าคุณปวิชญาอาจจะไม่ได้อยู่ในประเทศแล้วก็ได้นะครับ” หนึ่งในชายที่นั่งคุกเข่าอยู่ในท่ารับผิดเหมือนกับลูกน้องแก๊งยากูซ่าเอ่ยเสนอด้วยน้ำเสียงเจื่อนๆ เป็นเหตุให้เพื่อนรอบข้างหันมามองและแทบจะยกนิ้วให้กับความใจกล้านี้ “คิดว่าฉันโง่หรือไง!” ธเนศตวาดเสียงเย็นยะเยียบ ก่อนจะโบกมือให้มือขวาจัดการพาทุกคนออกไป เพราะเขาไม่อยากเห็นหน้าเจ้าพวกนี้อีก ไม่ใช่ว่าเขาไม่นึกถึงการตามหาเธอที่ประเทศอื่น แต่เพราะโลกนี้มันกว้างมาก ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มค้นหาจากประเทศไหน การเริ่ม
20จุดเปลี่ยนของคนบ้า ทุกคนรู้ว่าธเนศแปลกไป แต่ดูเหมือนจะมีเพียงเจ้าตัวเพียงคนเดียวที่ยังไม่รู้ ทั้งออกงานสังคมน้อยลง ไม่ได้มีสาวคนไหนมาเป็นคู่ควงอยู่เคียงข้างกาย และบ้างานหนักขึ้น สั่งให้ลูกน้องทำโอที จนทุกคนแทบจะกราบขอร้องอ้อนวอนให้ปล่อยพวกเขาไปสักที บรรยากาศรอบตัวก็อึมครึมเข้าขั้นทะมึน ใครหน้าไหนก็เข้าหน้าไม่ติด รอยยิ้มจากเขาสักแอะก็ไม่มีโผล่มาให้เห็น แรกๆ ทุกคนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเดี๋ยวมันก็คงจะดีขึ้น แต่ปรากฏว่าทุกอย่างกลับยิ่งเลวร้ายลง พอไม่มีงานที่บริษัทและที่บ่อนให้ทำ ธเนศก็จัดการหางานเพิ่มโดยการขยายธุรกิจ บินไปโน่นมานี่หาคู่ค้า สั่งเปิดสาขาเพิ่มที่ประเทศใกล้เคียง หางานให้เหล่าลูกน้องไม่เว้นแต่ละวันจนต้องจ้างพนักงานเพิ่ม แม้แต่วันเสาร์อาทิตย์ก็ยังทำงาน ไม่คิดจะหยุดพักผ่อนเลยสักนิด “พอเลย ไอ้ปูน ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ใช่แกนะที่จะตายก่อน คนอื่นจะได้โดนแกลากไปตายด้วยกันหมด แหกตาดูบ้างสิว่าพนักงานบริษัทเราตาโหลเป็นหมีแพนด้ากันขนาดไหนแล้ว ต่อไปคงได้มีข่าวพนักงานตายในหน้าที่ ยืนถ่ายเอกสารอยู่ก็ไหลตายได้กันพอดี”
19ห้องที่ไร้ไออุ่น “หันหลังกลับไม่ได้แล้วนะ” เสียงย้ำเตือนดังมาจากภูผา เพื่อนสนิทที่เรียนจบปริญญาโทจากต่างประเทศมา และคอยเป็นที่ปรึกษาเรื่องความรักให้กับเธอ ขณะนี้ภูผาและคะนิ้งกำลังมาส่งเพื่อนสาวที่สนามบินดอนเมือง ทั้งที่อาการกระดูกหักของหญิงสาวยังไม่หายสนิท และครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการเดินทางไปต่างจังหวัดเท่านั้น แต่ยังเป็นการเดินทางไปไกลขึ้น...ถึงต่างประเทศ “เดี๋ยวก่อนนะ แกต้องถามฉันสิ ว่า แน่ใจแล้วเหรอว่าจะไป” “พูดอย่างกับว่าภูถามตอนนี้แล้วตองจะเปลี่ยนใจทัน” ภูผาว่า “ใช่ ก็แกทั้งซื้อตั๋วเครื่องบิน ทั้งเซ็นสัญญา จ่ายเงินค่านายหน้าไปหมดแล้ว คงไม่ใจเสาะ ยอมยกเลิกเอาตอนนี้หรอกมั้ง” คะนิ้งรีบเอ่ยสนับสนุน “เกลียดจริงพวกรู้ทัน” ปวิชญายิ้มมุมปาก “ฉันไปก่อนนะ” “เออ โชคดี ว่างๆ ก็บินกลับมาบ้าง กรุงเทพ-ปีนังก็แค่ปากซอย” คะนิ้งว่า หญิงสาวผมประบ่าเพียงพยักหน้ารับ ก่อนที่จะกอดลาเพื่อนที่กรุงเทพทั้งสองคน และเดินจากไป ตอนที่ออกจากคอนโด เธอได้ส่งข้าวของทั้งหมดกลับไปยังบ้านเกิดที่ต่างจังหวัด และกลับไปพัก
18ความห่างเหิน ทั้งคู่ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยหลังจากเกิดเรื่องในวันนั้น การเงียบหายไปของธเนศ มันทำให้เธอตระหนักรู้ว่า เธอหมดประโยชน์ หมดความสำคัญกับเขาแล้ว จากที่ตอนแรกเขายื้อเธอไว้ ไม่ยอมให้เธอยุติความสัมพันธ์แบบมากกว่าเพื่อน ถึงขั้นพาเธอออกงาน พาเธอไปรู้จักโลกของเขา มันทำให้เธอคิดเกินเลยไปไกลกว่าเดิม...มาก ยิ่งได้อยู่ใกล้กันมากขึ้น ก็ยิ่งไม่กล้าเปิดเผยความรู้สึกออกไป จากคราแรกที่กลัวว่าเขาจะเล่นกับหัวใจเธอ กลายเป็นหวาดกลัวว่าเขาจะทิ้งเธอไป และมันก็มาถึงวันนี้จนได้... วันที่เขาตัดขาดจากเธอ เพราะว่าเธอโกรธเขา ที่เขาเล่นกับจิตใจของเธอ...คนที่รักเขา...มากเกินไป แต่ก็ดีแล้ว เพราะสิ่งนี้มันเป็นเรื่องที่เธอร้องขอเขามาตั้งแต่แรก แล้วทำไมวันนี้... วันที่เขายอมปล่อยเธอไป เธอกลับอยากให้เขายื้อเธอไว้อีก เฮ้อ... เจ็บไม่จำจริงๆ เลย ยัยเปตอง ปี๊นๆๆ โครม!!! “โอ๊ยยย” “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” “ขยับได้มั้ย” ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ขณะกำลังนั่งซ้อนท้ายวินมอเตอร์ไซค์ และ
17ชัดเจนแล้วว่าไม่ได้คิดอะไรกับเธอ “ตองเป็นอะไร โกรธอะไรใครมา” ธเนศยังคงเซ้าซี้ไม่หยุด หลังจากที่หญิงสาวเดินหนี ไม่ยอมกลับเข้างาน จนเขาต้องเป็นคนขับรถไปส่งเธอ เพราะไม่อยากปล่อยให้หญิงสาวต้องเดินทางตอนกลางคืนคนเดียว “โกรธหมดทุกคนนั่นแหละค่ะ โดยเฉพาะพี่ปูน” ในที่สุดหญิงสาวก็ยอมเปิดปากพูด เมื่อรถหรูเคลื่อนเข้ามาถึงหน้าคอนโด “โกรธที่พี่ทิ้งตองไว้คนเดียว? หรือโกรธที่ไม่ยอมบอกเรื่องงานเลี้ยงล่วงหน้า? แต่ไม่น่าจะใช่ งานอื่น พี่ก็ไม่เห็นต้องบอกตองล่วงหน้าเลยนี่” “ใช่สิ ตองเป็นแค่คู่ควง พี่ปูนสั่งให้ไปงานไหนก็ต้องไป ไม่มีสิทธิได้รู้ล่วงหน้าหรอก” “อ้าว พาลโกรธเรื่องนั้นเฉยเลย ไม่เอาสิ สรุปว่าตองโกรธอะไรกันแน่” “จริงๆ งานแบบนี้ พี่ปูนควรจะควงคุณดาด้าไปมากกว่า” “พี่ไม่อยากรบกวนเขา ตองก็รู้ว่าเขากำลังขาขึ้น งานยุ่งมาก” “ก็เลยมาใช้งานคนว่างๆ แบบยัยเปตองคนนี้สินะคะ” น้ำเสียงติดจะประชดประชัน “ตอง ไม่เอาน่า” ชายหนุ่มพูดเสียงอ่อน “พี่ปูนก็รู้ว่าตองชอบพี่ ยังจะพามาเจอพ่อแม่พี่อีก” ในที่สุดหญิงสาวก็ระเบิดอ
16คำแนะนำจากสองฝั่ง คราวนี้ที่ทำงานที่ต้าพูดถึงไม่ใช่บ่อนคาสิโน แต่เป็นที่ทำงานด้านสว่างของเขา ตึกที่ธเนศทำงานอยู่เป็นอาคารสูงสามสิบหกชั้นในย่านธุรกิจ รายล้อมไปด้วยตึกสูงอื่นๆ ห้างสรรพสินค้า และร้านอาหารมากมาย ต้านำรถไปจอดที่ชั้นจอดรถสำหรับผู้บริหารโดยเฉพาะ ก่อนจะนำเธอขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นผู้บริหาร พาเธอเดินผ่านเลขาหนุ่มหน้าห้อง เข้าไปนั่งรอธเนศในห้องทำงานของชายหนุ่ม ถึงแม้ว่าปวิชญาจะทำงานออฟฟิศเหมือนกัน แต่บรรยากาศออฟฟิศของเขากับเธอนั้นค่อนข้างจะแตกต่างกัน น่าจะเป็นเพราะชั้นนี้เป็นชั้นสำหรับผู้บริหารโดยเฉพาะ พนักงานที่ทำงานอยู่นอกห้อง ก็เลยค่อนข้างจะเงียบ มีเพียงเสียงกดแป้นพิมพ์และคลิกเม้าส์ดังอยู่เป็นระยะ แอบกดดันจนหญิงสาวต้องลอบถอนหายใจ เมื่อหลุดเข้ามาในห้องทำงานของธเนศได้ “เดี๋ยวบอสประชุมเสร็จแล้วจะเข้ามา คุณตองรออยู่ที่นี่ก่อนนะครับ” ต้าพูดเสร็จก็เดินออกไปทันที ปล่อยให้ปวิชญาได้แต่มองสำรวจรอบห้อง ผนังห้องทั้งสองมุมเป็นกระจกล้วน ทำให้มองเห็นวิวของกรุงเทพมหานครได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ยิ่งเป็นช่วงพระอาทิตย์ตกไปแล้วจนเริ่มมืดแบ
15กระทบกับงานจนได้ ร่างสูงสง่าในชุดสูทสั่งตัดราคาแพงยืนจิบไวน์อย่างเซ็งๆ “แม่ก็ว่าอยู่ว่าทำไมเราไปห้องน้ำนานจัง ที่แท้ก็มายืนลอยชายอยู่ตรงนี้นี่เอง” คุณหญิงเมธินีเอ่ยทักบุตรชายอย่างขัดใจ แม้จะอายุหกสิบปีแล้ว แต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงเต่งตึง ผิวพรรณดูสุขภาพดีอย่างคนที่ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี “ก็ถ้าแม่ไม่คิดจะจับคู่ผมให้กับคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย ผมก็คงไม่ต้องหนีออกมาอยู่ตรงนี้หรอกครับ” “คนโน้นคนนี้อะไรกัน หนูรุ่งน่ะ ทั้งนิสัยดี การศึกษาสูง ฐานะทัดเทียมเราทุกอย่าง แถมยังคุยเก่งเอาใจเก่ง เมื่อกี้ที่โต๊ะก็ทำให้เราหัวเราะได้ตั้งหลายทีไม่ใช่หรือไง” เมธินีหมายถึงรุ่งนภา ลูกสาวเพื่อนของเธอที่เพิ่งเรียนจบกลับมาจากเมืองนอก หญิงสาวทั้งเพรียบพร้อมและดูแก่นแก้วหน่อยๆ ดูมีชีวิตชีวาเหมาะกับลูกชายของเธอเป็นที่สุด “ผมยอมรับว่าคนนี้แม่เลือกมาดี แต่เธอควรไปเจอคนที่ดีกว่าผม เพราะผมไม่คิดจะรักใคร” “ก็ลองเดทกันสักหน่อย แต่งงานกันไป เดี๋ยวก็รักกันเองแหละน่า” “นี่มันสมัยไหนแล้วครับ” “แหม... ขนาดนิยายสมัยนี้ยังมีแต่เรื่องที่ถูกจ
14โดนทิ้งอีกแล้ว ในคืนนั้นปวิชญานอนไม่หลับ เธอพลิกตัวไปมาหลายตลบ เพราะในหัวมีแต่ภาพของธเนศลอยอยู่เต็มไปหมด ต้องเป็นเพราะวันนี้เขาทำตัวค่อนข้างแปลกไปจากปกติแน่ๆ ทั้งการเอาใจใส่ที่มากขึ้น และการยอมรับการตัดสินใจของเธอ ปล่อยให้เธอได้พักผ่อนคนเดียวที่คอนโด เพื่อที่จะได้มีแรงทำงานในวันพรุ่งนี้ ในเมื่อเธอนอนไม่หลับแล้ว โทรไปกวนเพื่อนสักหน่อยดีกว่า จะได้มีคนไม่ได้นอนเป็นเพื่อนเธอ ‘ครายยย’ เสียงงัวเงียดังออกมาจากปลายสาย ท่าทางจะรับมือถือแบบที่ยังหลับตาอยู่ “คะนิ้งจ๋าาา” ปวิชญาออดอ้อนเพื่อนสาวเพียงคนเดียวที่อยู่ในกรุงเทพ เพื่อนที่เธอมักจะนัดเจอกันสัปดาห์ละครั้ง ‘ยัยตอง เกิดอะไรขึ้น มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า’ น้ำเสียงตื่นตระหนกของเพื่อน ทำเอาคนโทรไปรู้สึกผิดนิดหน่อย “เปล่า แค่นอนไม่หลับเฉยๆ” ‘นอนไม่หลับ แล้วมาโทรกวนเพื่อนเนี่ยนะ!?’ “พอดีมีเรื่องจะปรึกษานิดหน่อย อย่าเพิ่งวางนะ” ‘ว่ามาสิ ให้เวลาแค่สิบนาทีนะ ฉันง่วงมากกก’ ผ่านไปห้านาที... ‘โห... โนไอเดียเลยว่ะ ไม่รู้จะให้คำปร
Comments