“พี่โจวิศวะ มาหามึงทำไมวะ” ฟินฟินถามเมื่อฉันกลับเข้าห้องเรียนก่อนอาจารย์เข้าสอน
“เขาชื่อโจเหรอ” ฉันถามด้วยความไม่รู้ เพิ่งรู้ว่าเขาเป็นเพื่อนของพี่เซ้นต์ก็ตอนที่พี่เซ้นต์แนะนำให้รู้จัก แนะนำตอนเขาเข้ามานั่งประจำที่คนขับแล้วก็ขับรถมาส่งฉันที่หน้าตึกเมื่อกี้นี้เอง แล้วก็ไม่ได้มีแค่พี่โจ มีพี่อีกคนด้วยที่เข้ามานั่งข้างคนขับ เขาชื่อว่าเบย์
“มึงไม่รู้จักเขาแล้วไปกับเขาทำไมอีเพ้นท์” ฟินฟินทำหน้าโมโห
“ก็เขาบอกมีเรื่องคุยด้วย”
“แบบนี้ถ้าใครขอคุยด้วยมึงไม่ไปกับเขาหมดเหรอ”
“ก็ไปนะ มีมารยาท”
“อี อีเพ้นท์บ้า ทีหลังอย่าไปกับคนแปลกหน้า ดีนะที่วันนี้คนที่มาคือเพื่อนพี่เซ้นต์ ถ้าเป็นคนอื่นจะทำไง มึงไม่กลัวมีปัญหากับพี่เซ้นต์เหรอ หรือว่ามึงเลิกคุยกับพี่เซ้นต์แล้ว”
“เปล่า ก็คุยอยู่ เขาเป็นคนให้เพื่อนเขามาตามน่ะ”
“อ้อ งั้นกูถามหน่อย”
“ถามอะไร”
“มึงได้บอกเขาไหมว่ามึงชอบลืมโทรศัพท์แล้วบางทีอารมณ์ผีบ้าเข้าสิงมึงก็ชอบกดปิดเสียง ปิดแจ้งเตือน”
“บอกนะ บอกไปนิดหน่อย”
“ตอนนี้มึงกับเขาเป็นอะไรกัน คนคุยไหมหรือยังไง” หว่าหวาที่ฟังอยู่เงียบ ๆ เอ่ยถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
“เขาเพิ่งขอกูเป็นแฟนเมื่อกี้เอง”
“ว้าว มึงว่าไง”
“ก็ลองดู”
“ไม่เสียหายเพราะว่าเขาจีบมึงมานานมาก ต่างจากคนอื่นที่จีบแล้วไม่ติดก็ค่อย ๆ หายไป”
“แน่นอน เพื่อนเรามันสวยด้วย ในที่สุดก็ขายออกสักที” หว่าหวายิ้มกว้าง ดีใจนักหนาที่ฉันขายออก
เมื่อก่อนกูแค่หมกมุ่นกับคนคนเดียวค่ะเพื่อน ไม่ใช่ขายไม่ออกสักหน่อย
“แบบนี้ต้องฉลองไหมวะ คืนนี้ร้านไหนดี ฉลองที่เมียหลวงของกูทิ้งกูอย่างเป็นทางการ” ทรีแสร้งทำหน้าเศร้า
“กูไปคบมึงทิ้งมึงตอนไหนทรี”
“การที่มึงมีแฟนก็แปลว่ากูหมดสิทธิ์”
“แหมมึงพูดมาได้นะไอ้ทรีว่าหมดสิทธิ์ ระหว่างที่มึงจีบไอ้เพ้นท์สำเร็จกูก็เห็นมึงล่าไปทั่ว”
“มึงเงียบเลยฟินฟิน มึงไม่เข้าใจความรักของกู”
“หึ ไอ้ความรักที่ยิ่งใหญ่”
“พวกมึงนี่ขยันตีกันจริงนะ” เฟย์ที่นั่งข้างฉันเอ่ยกับเพื่อน แล้วก็หันมาถามฉันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “แน่ใจใช่ไหมที่มีแฟน”
“ก็ลองคบดู 20 แล้วอยากลองมีแฟนดูสักครั้ง”
“อืม จากที่สืบจากเฮียเบย์มาก็ถือว่าเขาไม่ใช่คนที่แย่ ไม่เจ้าชู้เหมือนไอ้ทรีด้วย ลองดูแล้วกัน แต่อย่ารักเขาจนลืมรักตัวเองอะ”
“ขอบใจนะ”
“เพื่อนกันนี่”
“สรุปยังไง ร้านไหน” ทรีย้ำอีกรอบ
“วันนี้ไม่ได้อะ มีธุระ” ฉันรีบปฏิเสธ
“มีแฟนแล้วทิ้งเพื่อนไง ออกลายเร็วจริง ๆ”
“ไม่ใช่แบบนั้น มีธุระจริง ๆ เอาไว้วันหลังนะ”
“เออ ๆ กูไปเมาย้อมใจกับสาวคนอื่นก็ได้ เหอะ” ทรีก็แสร้งทำท่าน้อยใจไปงั้น เขาน่ะไม่ได้ชอบฉันหรอก ก็แค่แกล้งพูดเฉย ๆ มั้ง
วันนี้ฉันเลิกเรียนตอนบ่ายสี่โมงเย็น หลังจากเลิกเรียนฉันก็รีบปลีกตัวจากเพื่อนเพื่อกลับบ้านไปเอาโทรศัพท์และข้าวของบางส่วน วันนี้ฉันขับรถมามอด้วยตัวเอง เมื่อก่อนชอบอ้างว่ากลัวเพราะอยากมากับออยล์ ทว่าหลังจากที่เลิกกันจริงจังครั้งนี้ฉันจึงเลิกพึ่งพาเขา จะได้ไม่เป็นการให้ความหวังตัวเอง แล้วก็ไม่ต้องทำให้เขาลำบากใจ
เวลาหกโมงเย็นฉันมาหยุดยืนที่ชั้น 36 ของคอนโดแห่งหนึ่ง ที่นี่เป็นคอนโดที่แม่ยกให้ฉันในตอนที่ฉันอายุครบ 19 ปี แม่บอกว่าเดินทางไปมาระหว่างมหาวิทยาลัยมันลำบากก็เลยแอบซื้อคอนโดไว้หนึ่งยูนิต เพื่อให้ฉันเข้าอยู่ ฉันเคยมาดูห้องกับแม่เมื่อนานมาแล้ว จากนั้นก็ไม่ค่อยมาอีก ไม่ได้ย้ายเข้าอยู่เพราะว่าการอยู่บ้านมันทำให้ฉันได้อยู่ใกล้ออยล์ พ่อแม่ออยล์มีลูกชายเพียงคนเดียว ก็เลยอยากให้ลูกอยู่บ้าน ไม่อยากให้อยู่คอนโด
ฉันที่เคยคลั่งเขาจึงหาโอกาสอยู่กับเขาด้วยข้ออ้างการติว อ้างแบบนี้มาตลอดจนเกิดเรื่องนั้นในตอนที่ฉันกับเขาอายุ 18 ปีบริบูรณ์ ความรู้สึกแอบรักมานานเริ่มมีหวัง
แต่แล้วตอนนี้มันก็จบละ ฉันตัดสินใจย้ายมาอยู่คอนโดเพื่อห่างจากออยล์ให้มากที่สุด
เมื่อเปิดเข้ามาในห้องอุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างแม่ของฉันเตรียมไว้ให้พร้อมหมดตั้งแต่หนึ่งปีก่อน ตอนนี้มีผ้าขาวคลุมเครื่องใช้ทุกอย่างไว้ แม้ไม่ได้ฝุ่นเกรอะกัง แต่ก็ยังต้องทำความสะอาดอยู่ดี
ครืด ครืด... เสียงโทรศัพท์แผดร้อง คนที่โทรเข้ามาคือพี่เซ้นต์
“ค่ะ”
(นึกว่าจะโทรไม่ติดซะแล้ว)
“ติดสิคะ เลิกเรียนก็รีบกลับมาเอาโทรศัพท์ก่อนเลยค่ะ”
(ไปกินข้าวกันไหม)
“ตอนนี้เลยเหรอคะ”
(อื้ม พี่อยู่หน้าบ้านเพ้นท์)
“เพ้นท์ไม่ได้อยู่บ้าน ขอโทษนะคะเพ้นท์ลืมทักบอกพี่เซ้นต์ก่อน”
(อ่า ไม่เป็นไรครับ งั้นตอนนี้สะดวกเจอกันไหม บอกพี่ได้หรือเปล่าว่าเราอยู่ไหน)
“เพ้นท์ขี้เกียจตื่นเช้าก็เลยย้ายมาอยู่คอนโดใกล้มอที่แม่ซื้อไว้ให้ค่ะ ตอนนี้กำลังจะเริ่มเก็บกวาดห้องค่ะ”
(ต้องการผู้ช่วยไหมครับ)
“ยินดีเลยค่ะ”
(ส่งโลเคชันมาให้พี่นะ เดี๋ยวพี่ไปหา)
“ค่ะ ไว้เจอกันนะคะ”
กดวางสายแล้วจึงกดส่งโลเคชันไปให้พี่เซ้นต์ทางไลน์พร้อมกับส่งข้อความไปบอกว่า ‘ถึงแล้วบอกนะคะเดี๋ยวลงไปรับ’ เขาส่งสติ๊กเกอร์รูปโอเคกลับมา ฉันจึงวางโทรศัพท์แล้วเริ่มเก็บผ้าสีขาวออกจากเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ
จากนี้ฉันจะเริ่มต้นใหม่ ฉันจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่นี่ ไหน ๆ แม่ก็ยังไม่ได้เดินทางกลับมาง่าย ๆ คือหลังจากเปิดเครื่องโทรศัพท์แม่ของฉันก็ส่งข้อความมาบอกว่า ‘ที่รักกลับจากมาเลฉันต้องเดินทางไปฮ่องกง ที่รักดูแลตัวเองนะ ฉันก็จะดูแลตัวเอง รักเธอที่สุด’ จากนั้นก็แนบสลิปโอนเงินมาให้
ฉันชินแล้วกับการที่แม่ไม่มีเวลาให้และชอบฝากฉันไว้กับคนข้างบ้าน
ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้วเพราะว่าตอนนี้ฉันดูแลตัวเองได้ละ...
ประมาณชั่วโมงครึ่งพี่เซ้นต์ก็โทรเข้ามาบอกให้ฉันลงไปรับเขาที่ล็อบบี้ เราเข้าลิฟต์มาด้วยกัน การอยู่ภายในลิฟต์ด้วยกันสองคนทำให้ฉันคิดขึ้นมาได้ว่าการที่จะอยู่ในห้องกับเขาสองต่อสองมันดีแน่แล้วเหรอ ต่อให้เราเป็นแฟนกัน เราก็เพิ่งเป็นแฟนกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงนะ
หรือว่าฉันควรบอกให้เขากลับไปดี
แต่ถ้าพูดไปแบบนั้นไม่เท่ากับเสียมารยาทและไม่รักษาน้ำใจเขาไหม ไม่ ฉันไม่ควรทำแบบนั้น ในเมื่ออนุญาตให้เขามาแล้ว ก็ลองดูแล้วกัน ถือว่าเป็นการทำความรู้จักนิสัยใจคอกันไปในตัว
สองปีต่อมาฉันเป็นคุณแม่ลูกสอง ลูกชายคนเล็กชื่ออินทัช ตอนนี้อายุขวบกว่า ใกล้จะสองขวบในอีกสองเดือนข้างหน้า ลูกชายอยู่ในวัยน่ารักน่าชัง ฉันเป็นคุณแม่อย่างเต็มที่ งานของฉันคือหน้าที่แม่ ฉันและพี่เซ้นต์เห็นตรงกันว่าไม่อยากให้ลูกรู้สึกขาดเหมือนที่เรารู้สึก เขาก็เลยเสนอให้ฉันเลี้ยงลูกไปก่อน เมื่อลูกโตเข้าโรงเรียนแล้วหากฉันอยากจะทำงานเขาก็ไม่ขัดฉันเห็นด้วยกับความเห็นของเขา เพราะฉันก็อยากมีเวลาให้ลูกมาก ๆ เหมือนกัน ในเมื่อครอบครัวของเราไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน ฉันก็ควรเป็นคุณแม่ฟูลไทม์ ดูแลเอาใจใส่ลูกและก็ไม่ลืมที่จะเอาใจใส่สามีสุดที่รัก ที่แทบจะทำงานที่บ้านเพื่อช่วยฉันเลี้ยงลูก นาน ๆ เขาจะเข้าบริษัทสักครั้งขณะที่ฉันเลี้ยงลูกอยู่บ้านก็ไม่ได้อยู่นิ่ง ฉันใช้เงินลงทุนกับเพื่อนในธุรกิจต่าง ๆ และยังลงทุนทำร้านกับพี่ต่อที่ตอนนี้มีสาขาเพิ่มอีกที่ มีแววไปได้สวยด้วย“วันนี้มีขนมมาฝากอินทัชอีกแล้วน้า” ยัยหนูอินเลิฟขึ้นมานั่งบนรถได้ก็รีบเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบขนมออกมาให้น้องชายที่นั่งคาร์ซีลอยู่เบาะข้างกัน “นี่จ้า เอริคฝากมาให้อินทัช ชอบเปล่า”“เอริคนี่ขยันฝากขนมจริง ๆ เลยนะ” พี่เซ้นต์ที่เป็นคนขับทำหน้าไ
“เซ้นต์ขา เซ้นต์ขามาดูน้องดิ้นเร็วค่า น้องในท้องเพ้นท์ขาดิ้นใหญ่เลยค่า” ลูกสาวคนโตของผมกำลังเอาหน้าแนบที่หน้าท้องกลมนูนของเพ้นท์ภรรยาของผมเพ้นท์ท้องได้เจ็ดเดือนแล้วครับ เป็นโชคดีของเธอที่ไม่แพ้ท้องหนัก ช่วงนี้เธอชอบกินของเปรี้ยวมาก มะม่วงน้ำดอกไม้เปรี้ยว ๆ เธอเอาเข้าปากเหมือนมันเป็นแค่มะม่วงมัน เธอกินอย่างเอร็ดอร่อยทำให้ผมอยากกินตาม แน่นอนว่าพอเอาเข้าปากรสชาติมันไม่น่ากินเลยจริง ๆคงมีแต่เพ้นท์ที่กินได้แบบนั้น“เซ้นต์ขาเร็วค่า เดี๋ยวน้องหนีน้า” น้องอินเลิฟตะโกนเรียกผมอีกครั้ง“มาแล้วครับเซ้นต์มาแล้ว” ผมเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับผลไม้ที่เพิ่งปอกเสร็จ ใบหน้าของอินเลิฟยังคงแนบที่หน้าท้องของเพ้นท์“เร็วค่าเดี๋ยวไม่ทัน” มือเล็ก ๆ ของลูกสาวคนโตรีบกวักมือเรียกให้ผมเข้าไปหาและอยู่ในท่าเดียวกับเธอผมทำตามที่อินเลิฟต้องการ แนบใบหน้าที่หน้าท้องกลมนูนของเพ้นท์ “ไหนครับ ดิ้นให้พ่อดูหน่อย”เหมือนว่าลูกในท้องของผมจะได้ยินที่ผมพูดหรือไม่ก็อาจจะรำคาญถึงได้ขยับตัว นั่นทำให้ท้องเพ้นท์ขยับสิ่งที่ผมสัมผัสได้ผมรู้สึกว่ามันมหัศจรรย์มาก ๆ เพ้นท์ที่ตัวเล็กนิดเดียวกำลังอุ้มท้องลูกของผมอีกคน ข้างในตัวเพ้นท์
หนึ่งเดือนต่อมาในงานแต่งงานของเรา เป็นงานแต่งที่จัดขึ้นอย่างใหญ่โต สมฐานะของสองตระกูล ยัยหนูอินเลิฟยิ้มกว้างแจกจ่ายรอยยิ้มให้แขกที่มาร่วมงาน ผู้คนต่างหลงรักในความน่ารักของลูกสาวฉัน“ยินดีด้วยนะครับพี่” ทรีเอ่ยด้วยสีหน้าเหมือนจะยินดี แต่ก็ไม่เต็มที่ จากนั้นเขาพูดอีกว่า “ถึงเวลาที่ต้องปล่อยเมียหลวงไปแล้วสินะ”“เพ้นท์เคยเป็นเมียหลวงทรี?” เจ้าบ่าวขี้หึงของฉันรีบหันมาถาม“เป็นแค่คำเรียกที่เรียกแบบนี้ตั้งแต่สมัยเรียนค่ะ”“ต่อไปก็จะเรียกเหรอ พี่ไม่ชอบเลย”“ต่อไปเรียกไม่ได้แล้วครับ คนที่มีสามีแล้วผมไม่นิยม”“ยังจะมีหน้ามาพูด” ทรีนี่จริง ๆ เลย“แซวเฉย ๆ ครับพี่เซ้นต์ ต่อไปไม่มีแล้วครับ” ทรีพูดอีกครั้งก่อนจะหันมาพูดกับฉัน “ดีใจด้วยนะ ต่อไปขอให้มีความสุขมาก ๆ ก่อนจะลงมือทำอะไรก็คิดให้เยอะ ๆ”“ขอบใจมากนะมึง”“มึงจะอวยพรคนเดียวเลยเหรอ หลบเลย” ทูเดินเข้ามาแทรก“อยากมีบทขึ้นมาเลยนะมึง” ทรีโวยวายแต่ก็ยอมหลบทางให้“มีความสุขมาก ๆ เพื่อนรัก ถ้าอีก 15 ปีข้างหน้ากูไม่มีเมียก็ขอฝากตัวเป็นลูกเขยมึงเลยก็แล้วกันเพื่อน”“ไอ้เหี้ย ทำไมกูถึงคิดเรื่องนี้ไม่ได้วะ แม่งเอ๊ย โดนไอ้ทูตัดหน้าว่ะ”“พวกมึงไม่ใครแตะต้อง
“ผมอยากแต่งงานกับน้องครับ” ฉันไม่น่าตามพี่เซ้นต์มาบ้านย่าเขาเลย แล้วนี่ย่าฉันก็ขยันมาเที่ยวเล่นบ้านย่าพี่เซ้นต์เหลือเกิน คนที่อายุมากแล้วทั้งยังมีเงินนี่วัน ๆ เขานั่งคุยกันเรื่องจับคู่ให้หลานให้ลูกสินะสองย่าถึงได้มานั่งวางแผนกันอยู่แบบนี้เหมือนว่ารายต่อไปจะเป็นอาทั้งสองของฉัน ก็ไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้โชคดีคนแรกโทษฐานที่ทิ้งฉันไว้กลางทางฉันจะทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้อาโตแล้วเรื่องนี้เด็กอย่างฉันยุ่งไม่ได้“เพ้นท์ เพ้นท์ เพ้นท์ครับ”“คะ” แรงสะกิดที่แขนจากพี่เซ้นต์ทำให้ฉันรู้สึกตัว ย่าทั้งสองและพี่เซ้นต์กำลังมองหน้าฉันคล้ายต้องการคำตอบ “มีอะไรกันเหรอคะ”“ย่าถามว่าเราสองคนจะแต่งงานกันเมื่อไหร่”“ก็เพ้นท์เคยตอบไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ ทำไมถึงถามอีกรอบ” จู่ ๆ ทำไมถามล่ะ ก่อนหน้านี้ที่ฉันมัวแต่เหม่อทั้งสามพูดอะไรกันนะ“เซ้นต์บอกย่าว่าเซ้นต์เป็นพ่อแท้ ๆ ของอินเลิฟ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงไหม” ย่าของฉันถาม ย่าเอ่ยเสียงเรียบไม่ได้มีท่าทีโกรธเคือง ดูจะดีใจด้วยซ้ำที่รู้เรื่องนี้“จริงค่ะ เพ้นท์กับพี่เซ้นต์เคยคบกันค่ะ”“ไม่เห็นบอกย่าเลย ย่าก็เชียร์ซะออกนอกหน้า นี่ถ้ารู้ว่าเป็นคนรักเก่าก็ไม่จำเป็นต้องดันแรง
“ทำไมกด 40 เพ้นท์อยู่ 36 นะ” กลับจากฉลองกับเพื่อนเราก็คุยกันว่าจะนอนที่คอนโดเพราะว่าใกล้ที่สุดแล้วในตอนนี้ ขับกลับบ้านใครบ้านมันไม่ไหวลึก ๆ ในใจก็อยากแนบชิดแหละ ห่างมานานพออยู่ใกล้ใจก็เริ่มไม่เป็นสุข“คืนนี้ค้างห้องพี่นะ” พี่เซ้นต์ทำหน้าจริงจัง“…” ฉันน่ะยังไม่เคยเห็นห้องเขาเลย ถ้าไปด้วยนี่จะเป็นครั้งแรกที่จะเห็นแม้ปรับความเข้าใจกันแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับนะว่ายังเคือง ๆ อยู่อะ คือมันไม่ได้จะหายไปหมดใช่ปะเข้าใจอารมณ์ไหม รักเขา แต่ก็โกรธเขาด้วยแต่ก็อยากรักเขาอยู่ดีความรู้สึกตรงนี้คงต้องใช้เวลารักษาเยียวยา“เบบี๋ไม่อยากไปเหรอ”ในเมื่อเขาถามตรง ๆ ฉันก็จะตอบตรง ๆ เลยเหมือนกัน การพูดตรง ๆ บางครั้งมันก็เจ็บจึก แต่ก็ดีกว่าเก็บไว้แล้วอึดอัด ทั้งยังทำให้เราคิดไปเอง ปล่อยให้เรื่องบานปลายซึ่งฉันเคยได้รับบทเรียนมาแล้ว ไม่อยากเดินซ้ำรอยเดิมอีก“แค่เจ็บจี๊ดนิดหน่อยตอนนึกขึ้นได้ว่าพี่ก็อยู่ที่นี่มาตลอด พี่แนบเนียนมาก” หลอกเก่งมากจ้า ขนาดว่าเลิกกันแล้วยังจับไม่ได้อะ“ต่อไปไม่มีเรื่องปิดบังอีกแล้ว เชื่อพี่อีกสักครั้งนะครับ”“ให้จริงเถอะ ไม่ใช่ว่าแอบมีผู้หญิงแล้วไม่บอกนะ ถ้ามีรีบบอกเลย ก่อนที่เรื่องขอ
“เซ้นต์ขาทำอาราย” ในตอนเช้าอินเลิฟออกมาจากห้องนอนก็รีบวิ่งตรงไปหาพี่เซ้นต์ที่กำลังทำมื้อเช้า“ทำอาหารอร่อย ๆ ให้เลิฟกับเพ้นท์ขาทานครับ”“ว้าว น่าทานจังเลยค่า ต้องอร่อยมากแน่ ๆ เลย”“เดี๋ยวก็ได้ชิมแล้วครับ ใกล้เสร็จแล้ว”“เมนูไรค้า”“เกี๊ยวกุ้งครับ เพ้นท์ขาบอกว่าน้องเลิฟชอบกินกุ้ง เซ้นต์ก็เลยจะทำเกี๊ยวกุ้งให้ทานครับ”“ขอบคุณค่า ใจดีที่สุดเลย”“อ้อนแบบนี้เซ้นต์จะทำให้กินตลอดเลยดีไหมครับ”“ดีค่า ทำให้เพ้นท์ขากินด้วยนะค้า”“ได้เลยครับ”“เซ้นต์ขาใจดีมาก ๆ”“อ้อนเกินไปแล้วนะคะอินเลิฟ”“เซ้นต์ขาเป็นแฟงเพ้นท์ขา ย่าทวดบอกว่าอ้อนได้ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”“ย่าทวดบอกแบบนั้นเหรอคะ”“ใช่แย้ว” ย่านี่จริง ๆ เลยกลัวฉันขายไม่ออกถึงได้ใช้แผนอินเลิฟมาช่วย เสียงเจื้อยแจ้วของลูกสาวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เราเป็นครอบครัวเดียวกันหรือเปล่าค้า”“เป็นครับ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เพ้นท์ขาเป็นแม่ของน้องอินเลิฟ เซ้นต์ขาเป็นพ่อของน้องอินเลิฟ จากนี้เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปครับ แบบนี้ดีไหมครับ”“ดีค่า แบบนี้ดีมาก เยิฟชอบ” ยัยหนูอินเลิฟของฉันยิ้มแป้นตาปิดหมดแล้ว มีความสุขมากจริง ๆ สินะอินเลิฟเมื่อคืนนี้เราจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ