“เราจะไปคุยกันที่ไหนคะ” เดินออกมาไกลจากโรงอาหารของคณะบริหารแล้วนะ นี่ต้องไปไกลแค่ไหนกัน
แต่ทำไมฉันต้องเดินตามเขาล่ะ ฉันไม่ได้รู้จักเขาสักหน่อย
“รู้จักพี่ไหม” หนุ่มคณะวิศวะหยุดเดิน หันมาพูดกับฉัน
“เหมือนจะเคยเห็นนะคะ แต่จำไม่ได้ว่าที่ไหน”
“แล้วรู้จักไอ้เซ้นต์ไหม”
“อ้อ รู้จักค่ะ”
“เป็นอะไรกับมัน”
“...”
“ว่าไง”
“ก็คุย ๆ กันอยู่ค่ะ”
“คนคุย?”
“ทำไมคะ”
“ถ้าเป็นคนคุยงั้นก็คุยกับมันหน่อยสิ”
“หืม?”
“มันนั่งรออยู่ในรถ” หนุ่มวิศวะชี้ไปที่รถเก๋งสีดำเงาที่จอดอยู่ตรงลานจอดรถ “ไปดิ”
“ค่ะ” เพราะท่าทางน่ากลัวของคนพูด ทำให้ฉันต้องเดินมาที่ลานจอดรถ เดินใกล้เข้ามาถึงได้ยินเสียงเครื่องยนต์ติดอยู่ ฉันเคาะที่กระจกฝั่งคนขับ
ไม่รู้เหมือนกันว่ามีคนนั่งอยู่ตรงนี้ไหม เพราะว่ามันมืด มองไม่เห็นด้านในของรถ
ประตูจากเบาะหลังเปิดออก ฉันชะโงกหน้ามองจึงเห็นว่าพี่เซ้นต์นั่งอยู่เบาะหลัง สีหน้าที่เรียบนิ่งผลักให้ฉันเดินเข้ามานั่งในรถข้างเขา
“ผู้ชายคนนั้นเพื่อนพี่เซ้นต์เหรอคะ” ฉันถามพลางมองไปที่หนุ่มวิศวะคนนั้นซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลนัก แต่ก็ไม่ได้ใกล้มาก
พี่เซ้นต์เอื้อมมือปิดประตูโดยการขยับตัวมาใกล้ฉันมาก ๆ ฉันก็เลยพยายามลีบตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะได้ไม่ต้องโดนตัวเขา แต่คนจะลีบตัวได้ยังไงใช่ไหมล่ะ แมวก็ว่าไปอย่าง แมวทำตัวใหญ่ได้ ทำตัวเล็กได้
“จำเป็นต้องรังเกียจพี่ขนาดนั้นเลยเหรอ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่น่าฟังเท่าไหร่นัก คล้ายว่าฉันรังเกียจเขา
ฉันไปรังเกียจเขาเมื่อไหร่กัน หรือหมายถึงเมื่อกี๊เหรอ
“เปล่านะคะ เพ้นท์แค่หลบ กลัวเกะกะพี่”
“หายดีแล้วเหรอ”
“ค่ะ” ไม่ได้ป่วยกาย ฉันน่ะป่วยใจ แต่จะพูดกับเขาเพื่ออะไรล่ะ ไม่ได้สำคัญสักหน่อย
“พี่ทำอะไรให้เพ้นท์ไม่พอใจหรือเปล่า”
“เปล่านะคะ” เราเพิ่งทำความคุ้นเคยกัน เขายังไม่เคยล้ำเส้น จะมาทำอะไรให้ฉันไม่พอใจได้ “ทำไมถึงถามแบบนี้คะ”
“แล้วทำไมเพ้นท์ถึงทำแบบนี้”
“...ทำ ทำอะไรคะ” เขาจับได้แล้วเหรอว่าฉันดึงเขาเข้ามาเพื่อต้องการลืมออยล์
“อ้างว่าป่วยเพื่อปฏิเสธไม่มาเรียนพร้อมพี่ จากนั้นก็ไม่ติดต่อมาหา พี่ติดต่อไปก็ติดต่อไม่ได้ วันนั้นที่เราแยกกันพี่ก็คิดว่าทุกอย่างดีมากเลยนะ ตกลงพี่ทำอะไรผิด ทำไมเพ้นท์ถึงไม่คุยกับพี่แล้ว”
“...” อ้อ เหตุผลนี้เหรอ ฉันก็นึกว่าเขารู้เรื่องฉันกับออยล์ ก็งงอยู่ว่าเขาจะรู้ได้ยังไง
“ว่าไง พูดให้พี่หายสงสัยที”
“เพ้นท์ไม่สบาย กินยาแล้วก็นอนยาว ๆ ไม่ได้คุยกับใครเลย โทรศัพท์ก็ไม่ได้จับ ก็เลยไม่รู้ว่าแบตหมด วันนี้ก็ลืมพกมา”
เพราะสามวันที่ผ่านมาอยู่ในช่วงจำศีล ไม่ติดต่อใครสักคน แม่ฉันก็ไม่ได้ติดต่อ แบตที่มีน้อยนิดของคืนนั้นที่เกิดเรื่องก็เลยหมดไปเอง ซึ่งฉันที่เมาก็ไม่ได้สนใจเครื่องมือสื่อสาร บวกกับอยากยู่คนเดียว ทบทวนตัวเอง ฉันก็เลยปล่อยให้มันหมดไป หลังจากเมาเต็มที่ วันนี้มีสอบก็เลยต้องตั้งสติและแบกสังขารมาเรียน โทรศัพท์ถูกหยิบมาชาร์จแบตโดยที่ไม่ได้เปิดเครื่อง เมื่อเช้ามองนาฬิกาแล้วเห็นว่าสายก็เลยรีบออกมา นึกขึ้นได้ว่าลืมก็ไม่ทันแล้ว ขี้เกียจเสียเวลากลับไปเอา
“สามวันกินยาแล้วนอน กินยาแล้วนอนตลอดเลยเหรอ”
“ค่ะ” กินเหล้าก็เหมือนกินยาแหละ ยาใจ ช่วยให้จิตใจฟื้นฟู เหล้านี่เป็นเพื่อนที่ดีเลยล่ะ เหล้ากินแล้วต้องเมา เหล้าไม่เคยหลอกเรา กินทีไรก็เมาตลอด
“...” หน้าพี่เซ้นต์เหมือนจะไม่เชื่อฉันเลย เหตุผลฉันฟังไม่ขึ้นเหรอ
“วันนั้นเพ้นท์โกหก ที่จริงบ้านเพ้นท์ไม่มีคนอยู่ แม่เพ้นท์เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว แม่ต้องออกไปทำงาน บางทีก็ไปต่างจังหวัด บางทีก็ไปต่างประเทศ แม่ไม่ค่อยอยู่บ้าน เพ้นท์อยู่บ้านคนเดียว เวลาป่วยก็กินยาแล้วนอน ร่างกายก็จะดีขึ้น” ที่พูดมาก็ไม่ได้โกหกนะ ป่วยใจก็ต้องใช้เหล้าช่วย
“...”
“...” แล้วทำไมเอาแต่จ้องหน้าล่ะ พูดอะไรสักอย่างสิ
“วันนั้นพี่ถามแล้วว่ามีคนอยู่ด้วยไหม”
“...”
“ถ้าเกิดอาการหนักแล้วฟุบไปใครจะช่วย เครื่องมือสื่อสารก็ไม่เปิด รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วงแค่ไหน แต่พอเพ้นท์หายไปนานวันเข้าพี่ก็คิดว่าเป็นเพราะเพ้นท์อยากเลิกคุยกับพี่เพ้นท์ถึงหายไปแบบนี้ ติดต่อก็ไม่ได้”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ หน้าเพ้นท์ไม่เหมือนคนป่วยเหรอ”
“...เหมือน ดีขึ้นหรือยัง”
“ดีขึ้นเยอะแล้วค่ะ” ที่เหมือนคนป่วยก็เพราะฉันกินเหล้ายาว ๆ ข้าวแทบไม่ลงท้อง ท่าทางก็เลยคล้ายคนป่วย
“ดีขึ้นอะไร โทรมมาก”
“...” นี่กำลังว่าฉันไม่สวยเหรอวะ
“ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีกนะ รู้ปะว่าพี่เป็นห่วง น่าจะบอกว่าไม่มีใครอยู่ด้วย พี่จะได้ไปอยู่เป็นเพื่อน”
“เราเพิ่งคุยกัน เพ้นท์จะกล้ารบกวนพี่เซ้นต์ได้ยังไงคะ” คำตอบดูนางเอกจัง ทั้งที่ความจริงถูกขืนใจจนสภาพไม่น่ามอง ถ้าเกิดพี่เซ้นต์เห็นเขาคงรับไม่ได้และเลิกคุยกับฉัน
“พี่ชอบเพ้นท์ ชอบมาปีกว่าแล้ว เพ้นท์รบกวนพี่ได้เต็มที่พี่ยินดี”
“...” ฉันมองหน้าพี่เซ้นต์ที่พูดคำว่าชอบออกมาด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่จริงจังมาก ทำให้ฉันรู้สึกผิดมาก
“ไม่เชื่อพี่เหรอ”
“...พี่ชอบเพ้นท์เพราะอะไร” ฉันตัดสินใจแล้ว ก่อนที่เขาจะชอบฉันไปมากกว่า ก่อนที่ฉันจะผิดต่อเขาเหมือนที่ออยล์ทำผิดต่อฉัน ฉันควรจะจบเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่วันข้างหน้าฉันจะทำให้เขาเสียใจ
“ไม่รู้สิ เห็นแล้วก็รู้สึกชอบ ชอบใครสักคนต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ”
“นั่นสิเนอะ” หัวใจคนเราเป็นอะไรที่ควบคุมได้ยากที่สุดแล้ว
“ตอนอายุ 18 เพ้นท์เคยมีแฟน เราเคยมีอะไรกัน เพ้นท์เคยมีอะไรกับแฟนคนแรก ถ้าพี่รับไม่ได้ เราสามารถเลิกคุยกันได้ก่อนที่ความรู้สึกจะถลำลึกไปมากกว่านี้ เพ้นท์ไม่อยากทำให้พี่เสียใจ”
“พี่สนเรื่องนั้นที่ไหนกัน พี่ก็ไม่ได้มีเพ้นท์เป็นแฟนคนแรกนะ พี่ก็เคยผ่านผู้หญิงมา เราต้องแคร์เรื่องนี้กันด้วยเหรอ ถ้าคนในอดีตไม่ใช่ เราไม่สามารถเริ่มกับคนใหม่ได้เหรอเพ้นท์”
“...เพ้นท์กับเขาเพิ่งเลิกกัน”
“...”
“เพ้นท์บอกพี่เพราะไม่อยากทำผิดต่อพี่ ถ้าพี่ถอยจากเพ้นท์ตอนนี้ยังทันนะ เพราะเพ้นท์ไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีขนาดนั้น เพ้นท์มีข้อเสีย และการที่เพ้นท์คุยกับพี่ก็เพราะอยากลืมเขา เพ้นท์ไม่อยากใจอ่อนให้เขาอีกแล้ว”
“...รักเขามากไหม”
“ไม่รักแล้ว”
“งั้นต่อไปรักพี่นะ พี่จะดีกับเพ้นท์ พี่จะเป็นแฟนที่ดี เราเป็นแฟนกันนะ”
“...พี่เซ้นต์รับได้จริงเหรอ เพ้นท์ไม่ได้จริงใจกับพี่ตั้งแต่แรกนะ”
“พี่ชอบเพ้นท์ ชอบเพ้นท์มาก ๆ เลยนะ ยิ่งเราคุยกัน เราอยู่ด้วยกันพี่ยิ่งชอบเพ้นท์มากกว่าเดิม เป็นแฟนพี่นะ”
“...”
“เป็นแฟนพี่นะเพ้นท์”
“พี่เซ้นต์ยังไม่มีแฟนแน่เหรอ” เขาหล่อนะ คนที่หล่อแบบเขาจะไม่มีแฟนได้ไง
“ไม่มีมานานแล้วครับ แต่ตอนนี้กำลังจะมีนะ”
“...”
“ว่าไง เป็นแฟนกันไหม”
“...”
“ยังไม่ต้องชอบพี่ก็ได้ เดี๋ยวพี่จะค่อย ๆ ทำให้เพ้นท์ชอบพี่เอง เป็นแฟนกันนะ”
“ค่ะ ลองดูก็ได้”
เอาจริงฉันไม่ได้อยากตอบตกลงเร็วขนาดนี้ ทว่าสายตาพี่เซ้นต์ดูคาดหวังกับคำตอบ ฉันก็เลยตกลง
ก็เผื่อว่าจะมีเรื่องดี ๆ อย่างน้อยตอนนี้ฉันก็ไม่ได้หลอกใช้เขา ไม่ได้เล่นกับความรู้สึกของเขา
สองปีต่อมาฉันเป็นคุณแม่ลูกสอง ลูกชายคนเล็กชื่ออินทัช ตอนนี้อายุขวบกว่า ใกล้จะสองขวบในอีกสองเดือนข้างหน้า ลูกชายอยู่ในวัยน่ารักน่าชัง ฉันเป็นคุณแม่อย่างเต็มที่ งานของฉันคือหน้าที่แม่ ฉันและพี่เซ้นต์เห็นตรงกันว่าไม่อยากให้ลูกรู้สึกขาดเหมือนที่เรารู้สึก เขาก็เลยเสนอให้ฉันเลี้ยงลูกไปก่อน เมื่อลูกโตเข้าโรงเรียนแล้วหากฉันอยากจะทำงานเขาก็ไม่ขัดฉันเห็นด้วยกับความเห็นของเขา เพราะฉันก็อยากมีเวลาให้ลูกมาก ๆ เหมือนกัน ในเมื่อครอบครัวของเราไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน ฉันก็ควรเป็นคุณแม่ฟูลไทม์ ดูแลเอาใจใส่ลูกและก็ไม่ลืมที่จะเอาใจใส่สามีสุดที่รัก ที่แทบจะทำงานที่บ้านเพื่อช่วยฉันเลี้ยงลูก นาน ๆ เขาจะเข้าบริษัทสักครั้งขณะที่ฉันเลี้ยงลูกอยู่บ้านก็ไม่ได้อยู่นิ่ง ฉันใช้เงินลงทุนกับเพื่อนในธุรกิจต่าง ๆ และยังลงทุนทำร้านกับพี่ต่อที่ตอนนี้มีสาขาเพิ่มอีกที่ มีแววไปได้สวยด้วย“วันนี้มีขนมมาฝากอินทัชอีกแล้วน้า” ยัยหนูอินเลิฟขึ้นมานั่งบนรถได้ก็รีบเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบขนมออกมาให้น้องชายที่นั่งคาร์ซีลอยู่เบาะข้างกัน “นี่จ้า เอริคฝากมาให้อินทัช ชอบเปล่า”“เอริคนี่ขยันฝากขนมจริง ๆ เลยนะ” พี่เซ้นต์ที่เป็นคนขับทำหน้าไ
“เซ้นต์ขา เซ้นต์ขามาดูน้องดิ้นเร็วค่า น้องในท้องเพ้นท์ขาดิ้นใหญ่เลยค่า” ลูกสาวคนโตของผมกำลังเอาหน้าแนบที่หน้าท้องกลมนูนของเพ้นท์ภรรยาของผมเพ้นท์ท้องได้เจ็ดเดือนแล้วครับ เป็นโชคดีของเธอที่ไม่แพ้ท้องหนัก ช่วงนี้เธอชอบกินของเปรี้ยวมาก มะม่วงน้ำดอกไม้เปรี้ยว ๆ เธอเอาเข้าปากเหมือนมันเป็นแค่มะม่วงมัน เธอกินอย่างเอร็ดอร่อยทำให้ผมอยากกินตาม แน่นอนว่าพอเอาเข้าปากรสชาติมันไม่น่ากินเลยจริง ๆคงมีแต่เพ้นท์ที่กินได้แบบนั้น“เซ้นต์ขาเร็วค่า เดี๋ยวน้องหนีน้า” น้องอินเลิฟตะโกนเรียกผมอีกครั้ง“มาแล้วครับเซ้นต์มาแล้ว” ผมเดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับผลไม้ที่เพิ่งปอกเสร็จ ใบหน้าของอินเลิฟยังคงแนบที่หน้าท้องของเพ้นท์“เร็วค่าเดี๋ยวไม่ทัน” มือเล็ก ๆ ของลูกสาวคนโตรีบกวักมือเรียกให้ผมเข้าไปหาและอยู่ในท่าเดียวกับเธอผมทำตามที่อินเลิฟต้องการ แนบใบหน้าที่หน้าท้องกลมนูนของเพ้นท์ “ไหนครับ ดิ้นให้พ่อดูหน่อย”เหมือนว่าลูกในท้องของผมจะได้ยินที่ผมพูดหรือไม่ก็อาจจะรำคาญถึงได้ขยับตัว นั่นทำให้ท้องเพ้นท์ขยับสิ่งที่ผมสัมผัสได้ผมรู้สึกว่ามันมหัศจรรย์มาก ๆ เพ้นท์ที่ตัวเล็กนิดเดียวกำลังอุ้มท้องลูกของผมอีกคน ข้างในตัวเพ้นท์
หนึ่งเดือนต่อมาในงานแต่งงานของเรา เป็นงานแต่งที่จัดขึ้นอย่างใหญ่โต สมฐานะของสองตระกูล ยัยหนูอินเลิฟยิ้มกว้างแจกจ่ายรอยยิ้มให้แขกที่มาร่วมงาน ผู้คนต่างหลงรักในความน่ารักของลูกสาวฉัน“ยินดีด้วยนะครับพี่” ทรีเอ่ยด้วยสีหน้าเหมือนจะยินดี แต่ก็ไม่เต็มที่ จากนั้นเขาพูดอีกว่า “ถึงเวลาที่ต้องปล่อยเมียหลวงไปแล้วสินะ”“เพ้นท์เคยเป็นเมียหลวงทรี?” เจ้าบ่าวขี้หึงของฉันรีบหันมาถาม“เป็นแค่คำเรียกที่เรียกแบบนี้ตั้งแต่สมัยเรียนค่ะ”“ต่อไปก็จะเรียกเหรอ พี่ไม่ชอบเลย”“ต่อไปเรียกไม่ได้แล้วครับ คนที่มีสามีแล้วผมไม่นิยม”“ยังจะมีหน้ามาพูด” ทรีนี่จริง ๆ เลย“แซวเฉย ๆ ครับพี่เซ้นต์ ต่อไปไม่มีแล้วครับ” ทรีพูดอีกครั้งก่อนจะหันมาพูดกับฉัน “ดีใจด้วยนะ ต่อไปขอให้มีความสุขมาก ๆ ก่อนจะลงมือทำอะไรก็คิดให้เยอะ ๆ”“ขอบใจมากนะมึง”“มึงจะอวยพรคนเดียวเลยเหรอ หลบเลย” ทูเดินเข้ามาแทรก“อยากมีบทขึ้นมาเลยนะมึง” ทรีโวยวายแต่ก็ยอมหลบทางให้“มีความสุขมาก ๆ เพื่อนรัก ถ้าอีก 15 ปีข้างหน้ากูไม่มีเมียก็ขอฝากตัวเป็นลูกเขยมึงเลยก็แล้วกันเพื่อน”“ไอ้เหี้ย ทำไมกูถึงคิดเรื่องนี้ไม่ได้วะ แม่งเอ๊ย โดนไอ้ทูตัดหน้าว่ะ”“พวกมึงไม่ใครแตะต้อง
“ผมอยากแต่งงานกับน้องครับ” ฉันไม่น่าตามพี่เซ้นต์มาบ้านย่าเขาเลย แล้วนี่ย่าฉันก็ขยันมาเที่ยวเล่นบ้านย่าพี่เซ้นต์เหลือเกิน คนที่อายุมากแล้วทั้งยังมีเงินนี่วัน ๆ เขานั่งคุยกันเรื่องจับคู่ให้หลานให้ลูกสินะสองย่าถึงได้มานั่งวางแผนกันอยู่แบบนี้เหมือนว่ารายต่อไปจะเป็นอาทั้งสองของฉัน ก็ไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้โชคดีคนแรกโทษฐานที่ทิ้งฉันไว้กลางทางฉันจะทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้อาโตแล้วเรื่องนี้เด็กอย่างฉันยุ่งไม่ได้“เพ้นท์ เพ้นท์ เพ้นท์ครับ”“คะ” แรงสะกิดที่แขนจากพี่เซ้นต์ทำให้ฉันรู้สึกตัว ย่าทั้งสองและพี่เซ้นต์กำลังมองหน้าฉันคล้ายต้องการคำตอบ “มีอะไรกันเหรอคะ”“ย่าถามว่าเราสองคนจะแต่งงานกันเมื่อไหร่”“ก็เพ้นท์เคยตอบไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ ทำไมถึงถามอีกรอบ” จู่ ๆ ทำไมถามล่ะ ก่อนหน้านี้ที่ฉันมัวแต่เหม่อทั้งสามพูดอะไรกันนะ“เซ้นต์บอกย่าว่าเซ้นต์เป็นพ่อแท้ ๆ ของอินเลิฟ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงไหม” ย่าของฉันถาม ย่าเอ่ยเสียงเรียบไม่ได้มีท่าทีโกรธเคือง ดูจะดีใจด้วยซ้ำที่รู้เรื่องนี้“จริงค่ะ เพ้นท์กับพี่เซ้นต์เคยคบกันค่ะ”“ไม่เห็นบอกย่าเลย ย่าก็เชียร์ซะออกนอกหน้า นี่ถ้ารู้ว่าเป็นคนรักเก่าก็ไม่จำเป็นต้องดันแรง
“ทำไมกด 40 เพ้นท์อยู่ 36 นะ” กลับจากฉลองกับเพื่อนเราก็คุยกันว่าจะนอนที่คอนโดเพราะว่าใกล้ที่สุดแล้วในตอนนี้ ขับกลับบ้านใครบ้านมันไม่ไหวลึก ๆ ในใจก็อยากแนบชิดแหละ ห่างมานานพออยู่ใกล้ใจก็เริ่มไม่เป็นสุข“คืนนี้ค้างห้องพี่นะ” พี่เซ้นต์ทำหน้าจริงจัง“…” ฉันน่ะยังไม่เคยเห็นห้องเขาเลย ถ้าไปด้วยนี่จะเป็นครั้งแรกที่จะเห็นแม้ปรับความเข้าใจกันแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับนะว่ายังเคือง ๆ อยู่อะ คือมันไม่ได้จะหายไปหมดใช่ปะเข้าใจอารมณ์ไหม รักเขา แต่ก็โกรธเขาด้วยแต่ก็อยากรักเขาอยู่ดีความรู้สึกตรงนี้คงต้องใช้เวลารักษาเยียวยา“เบบี๋ไม่อยากไปเหรอ”ในเมื่อเขาถามตรง ๆ ฉันก็จะตอบตรง ๆ เลยเหมือนกัน การพูดตรง ๆ บางครั้งมันก็เจ็บจึก แต่ก็ดีกว่าเก็บไว้แล้วอึดอัด ทั้งยังทำให้เราคิดไปเอง ปล่อยให้เรื่องบานปลายซึ่งฉันเคยได้รับบทเรียนมาแล้ว ไม่อยากเดินซ้ำรอยเดิมอีก“แค่เจ็บจี๊ดนิดหน่อยตอนนึกขึ้นได้ว่าพี่ก็อยู่ที่นี่มาตลอด พี่แนบเนียนมาก” หลอกเก่งมากจ้า ขนาดว่าเลิกกันแล้วยังจับไม่ได้อะ“ต่อไปไม่มีเรื่องปิดบังอีกแล้ว เชื่อพี่อีกสักครั้งนะครับ”“ให้จริงเถอะ ไม่ใช่ว่าแอบมีผู้หญิงแล้วไม่บอกนะ ถ้ามีรีบบอกเลย ก่อนที่เรื่องขอ
“เซ้นต์ขาทำอาราย” ในตอนเช้าอินเลิฟออกมาจากห้องนอนก็รีบวิ่งตรงไปหาพี่เซ้นต์ที่กำลังทำมื้อเช้า“ทำอาหารอร่อย ๆ ให้เลิฟกับเพ้นท์ขาทานครับ”“ว้าว น่าทานจังเลยค่า ต้องอร่อยมากแน่ ๆ เลย”“เดี๋ยวก็ได้ชิมแล้วครับ ใกล้เสร็จแล้ว”“เมนูไรค้า”“เกี๊ยวกุ้งครับ เพ้นท์ขาบอกว่าน้องเลิฟชอบกินกุ้ง เซ้นต์ก็เลยจะทำเกี๊ยวกุ้งให้ทานครับ”“ขอบคุณค่า ใจดีที่สุดเลย”“อ้อนแบบนี้เซ้นต์จะทำให้กินตลอดเลยดีไหมครับ”“ดีค่า ทำให้เพ้นท์ขากินด้วยนะค้า”“ได้เลยครับ”“เซ้นต์ขาใจดีมาก ๆ”“อ้อนเกินไปแล้วนะคะอินเลิฟ”“เซ้นต์ขาเป็นแฟงเพ้นท์ขา ย่าทวดบอกว่าอ้อนได้ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน”“ย่าทวดบอกแบบนั้นเหรอคะ”“ใช่แย้ว” ย่านี่จริง ๆ เลยกลัวฉันขายไม่ออกถึงได้ใช้แผนอินเลิฟมาช่วย เสียงเจื้อยแจ้วของลูกสาวเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เราเป็นครอบครัวเดียวกันหรือเปล่าค้า”“เป็นครับ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เพ้นท์ขาเป็นแม่ของน้องอินเลิฟ เซ้นต์ขาเป็นพ่อของน้องอินเลิฟ จากนี้เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปครับ แบบนี้ดีไหมครับ”“ดีค่า แบบนี้ดีมาก เยิฟชอบ” ยัยหนูอินเลิฟของฉันยิ้มแป้นตาปิดหมดแล้ว มีความสุขมากจริง ๆ สินะอินเลิฟเมื่อคืนนี้เราจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ