เสียงนาฬิกาปลุกของเช้าวันจันทร์ดังขึ้นราวกับเสียงระฆังประหารชีวิต ขวัญข้าวลืมตาขึ้นในความมืดสลัวของอพาร์ตเมนต์ ความรู้สึกหนักอึ้งกดทับอยู่เต็มอก วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยให้จิตใจสงบลงเลยแม้แต่น้อย มันเป็นเพียงการยืดเวลาแห่งความทรมานออกไปเท่านั้น
ความเด็ดเดี่ยวที่ก่อตัวขึ้นจากสัญชาตญาณความเป็นแม่เมื่อวันเสาร์ยังคงอยู่ เป็นเหมือนถ่านไฟก้อนเล็กๆ ที่คุแดงอยู่ท่ามกลางพายุหิมะแห่งความหวาดกลัว แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความจริงในวันทำงานที่ต้องพบกับลูเซียโน่ พายุหิมะนั้นก็โหมกระหน่ำรุนแรงขึ้นจนแทบจะดับถ่านไฟก้อนนั้นให้มอดลง
การเตรียมตัวในเช้านี้จึงไม่ใช่แค่การไปทำงาน แต่เป็นการสวมเกราะเพื่อไปเผชิญหน้ากับชะตากรรม หญิงสาวเลือกชุดทำงานที่เรียบที่สุด ชุดเดรสสีเทาเข้มที่ไม่มีส่วนเว้าส่วนโค้งใดๆ เพื่อทำให้ตัวเองดูเป็น 'เจ้าหน้าที่' มากที่สุด และลดทอน 'ความเป็นผู้หญิง' ของตนเองลงให้เหลือน้อยที่สุด ผมถูกรวบเป็นมวยเรียบตึงยิ่งกว่าทุกวัน และแว่นตาที่เป็นดั่งเกราะกำบังชิ้นสำคัญก็ถูกสวมทับ
ก่อนจะออกจากห้อง ขวัญข้าวเปิดลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งออก หยิบเอากล่องเล็กๆ ที่ซ่อนไว้ใต้กองผ้าเช็ดหน้าออกมา ในนั้นคือแท่งพลาสติกสีขาวที่มีขีดสีชมพูสองเส้น หญิงสาวจ้องมองมันอีกครั้ง มันไม่จางลงเลยแม้แต่น้อย ราวกับจะตอกย้ำชะตากรรมที่รออยู่ นี่คือหลักฐาน คือคำสารภาพ คือระเบิดเวลาที่ต้องนำติดตัวไปด้วย ร่างบางห่อมันด้วยทิชชู่อย่างดีแล้วใส่ลงไปในช่องลับของกระเป๋าถือ สัมผัสของมันเย็นเฉียบราวกับแท่งเหล็ก
ตลอดทั้งวันที่ออฟฟิศ ขวัญข้าวทำทุกอย่างตามปกติด้วยรอยยิ้มแบบมืออาชีพที่ฝึกฝนมาอย่างดี แต่ในใจกลับสั่นสะท้านราวกับลูกนกที่พลัดตกจากรัง เวลาเดินไปอย่างเชื่องช้าจนน่าทรมาน หญิงสาวพยายามหา 'จังหวะ' ที่เหมาะสมในการเข้าไปคุยกับเจ้าของอาณาจักรแห่งนี้ แต่กลับไม่มีเลยสักครั้ง
ช่วงเช้าประธานหนุ่มมีประชุมยาวต่อเนื่อง ช่วงบ่ายก็มีแขกสำคัญเข้ามาพบ ทุกครั้งที่เสียงอินเตอร์คอมดังขึ้นสั่งงานเล็กๆ น้อยๆ ร่างกายก็สะดุ้งสุดตัว ทุกย่างก้าวของร่างสูงสง่าที่เดินผ่านโต๊ะไปพร้อมกับที่ปรึกษาคนสนิท หัวใจก็แทบจะหยุดเต้น โลกภายนอกดำเนินไปอย่างปกติ มีเพียงโลกภายในของขวัญข้าวเท่านั้นที่กำลังจะแตกสลาย
'บอสคะ ดิฉันมีเรื่องสำคัญจะเรียนให้ทราบ'
'คุณลูเซียโน่คะ พอจะมีเวลาสักครู่ไหมคะ'
ประโยคสารภาพนับสิบแบบถูกซ้อมพูดในหัวนับพันครั้ง แต่ทุกประโยคกลับฟังดูอ่อนแอและน่าสมเพชในความคิดของตนเอง จะมีคำพูดไหนในโลกที่สามารถเปลี่ยนระเบิดเวลาให้กลายเป็นของขวัญได้กัน
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนกระทั่งเข็มนาฬิกาบอกเวลาเลิกงาน โอกาสสุดท้ายกำลังจะหมดลง ขวัญข้าวเห็นร่างสูงใหญ่เริ่มเก็บเอกสารลงในกระเป๋าหนังราคาแพง นั่นคือสัญญาณว่าเขากำลังจะกลับ
ตอนนี้...หรือไม่มีวันเลย!
ความคิดนั้นกรีดร้องอยู่ในหัว สัญชาตญาณความเป็นแม่ตะโกนสั่งให้สู้เพื่อลูก หญิงสาวรวบรวมความกล้าทั้งหมดเท่าที่ชีวิตนี้จะมี ลุกขึ้นยืนบนขาที่สั่นเทาแล้วก้าวเดินไปยังประตูไม้บานใหญ่ของห้องทำงานเจ้านายหนุ่ม แต่ละก้าวหนักอึ้งราวกับกำลังเดินลุยโคลนที่พร้อมจะดูดร่างให้จมลงไปทุกขณะ
ขวัญข้าวยืนอยู่หน้าประตูบานนั้น หัวใจเต้นแรงจนเจ็บไปทั้งอก มือข้างหนึ่งยกขึ้นค้างอยู่กลางอากาศ ห่างจากบานประตูเพียงไม่กี่เซนติเมตร
มือที่สั่นเทาของขวัญข้าวเคาะลงบนบานประตูไม้สักหนักอึ้งเบาๆ สองครั้ง เสียงนั้นกลืนหายไปในความเงียบงันของโถงทางเดินจนน่าใจหาย
"เข้ามา"
เสียงทุ้มต่ำที่ตอบกลับมานั้นสั้นและเฉียบขาด ปราศจากซึ่งการเชื้อเชิญใดๆ หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึกอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะผลักประตูเข้าไป
บรรยากาศภายในห้องทำงานของลูเซียโน่เย็นเฉียบและทรงอำนาจเหมือนเช่นเคย กลิ่นหนังราคาแพง กลิ่นกระดาษ และกลิ่นโคโลญจน์จางๆ ของเจ้าของห้องผสมปนเปกันจนเป็นกลิ่นแห่งอำนาจที่น่าพรั่นพรึง โต๊ะทำงานไม้สีดำขลับตัวมหึมาตั้งตระหง่านอยู่กลางห้อง เปรียบเสมือนบัลลังก์ที่ขวางกั้นระหว่างโลกของคนสองคน
ลูเซียโน่เงยหน้าขึ้นมาจากเอกสาร แววตาคมกริบคู่นั้นฉายแววไม่พอใจเล็กน้อยที่ถูกรบกวนในเวลาเลิกงาน
"มีอะไร"
คำถามสั้นๆ ที่ไร้หางเสียงทำให้คำพูดทั้งหมดที่ซ้อมมาในหัวสลายไปในพริบตา ขวัญข้าวยืนตัวแข็งทื่ออยู่หน้าโต๊ะ อ้าปาก แต่กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา ความกลัวเข้าเกาะกุมจนลำคอแห้งผากราวกับทะเลทราย
ประธานหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นอย่างหงุดหงิด ร่างสูงวางปากกาในมือลงแล้วเหลือบมองนาฬิกาข้อมือเรือนหรู
"ถ้าไม่มีอะไร ผมจะกลับแล้ว"
คำพูดนั้นเป็นเหมือนตัวเร่งปฏิกิริยา ขวัญข้าวรู้ว่าโอกาสนี้จะหลุดลอยไปไม่ได้ หญิงสาวหลับตาลงแน่น เค้นเสียงที่สั่นเครือที่สุดในชีวิตออกมา
"ดิฉัน...ท้องค่ะ"
ความเงียบเข้าปกคลุมห้องทั้งห้องในทันที เป็นความเงียบที่หนักอึ้งจนขวัญข้าวรู้สึกเหมือนอากาศรอบตัวจับตัวเป็นของแข็ง เธอรวบรวมความกล้าสุดท้าย ลืมตาขึ้นสบตากับดวงตาคมกริบคู่นั้นตรงๆ แล้วพูดต่อ
"เป็นลูกของบอสค่ะ"
วินาทีนั้นเองที่ขวัญข้าวได้เห็นปฏิกิริยาที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิต ลูเซียโน่ไม่ได้ตกใจ ไม่ได้โกรธ ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ร่างสูงนิ่งไปเพียงครู่เดียว ดวงตาคมกริบคู่นั้นเปลี่ยนจากความรำคาญเป็นความนิ่งสงบที่น่าขนลุก มันคือแววตาของนักล่าที่กำลังประเมินสถานการณ์ ไม่ใช่แววตาของมนุษย์ที่เพิ่งรับรู้ว่าตนเองกำลังจะเป็นพ่อคน
"กี่สัปดาห์แล้ว" เสียงราบเรียบจนน่ากลัวดังขึ้น
"หก...หกสัปดาห์ค่ะ" ขวัญข้าวตอบเสียงสั่น
"แน่ใจได้ยังไงว่าใช่"
"ดิฉัน...ไม่เคย..." หญิงสาวไม่กล้าพูดประโยคนั้นออกมาเต็มๆ ทำได้เพียงก้มหน้างุด
"ไปตรวจเลือดเพื่อยืนยันรึยัง" คำถามต่อไปดังขึ้นโดยไม่สนใจความอับอายของคนฟังเลยแม้แต่น้อย
"ยังค่ะ"
ลูเซียโน่พยักหน้ารับช้าๆ เหมือนกำลังรับทราบข้อมูลทางธุรกิจ ก่อนจะเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หนังตัวใหญ่ ประสานมือไว้บนโต๊ะ แล้วจ้องมองคนตรงหน้าด้วยสายตาของผู้พิพากษาที่กำลังจะอ่านคำตัดสิน
"เรื่องนี้มีทางออกสองทาง คุณเลือกเอาเอง" น้ำเสียงนั้นราบเรียบเหมือนกำลังเจรจาต่อรองเรื่องราคาหุ้น
หัวใจของขวัญข้าวเย็นเฉียบ...มันเป็นไปตามที่คิดไว้ไม่ผิดเพี้ยน
"ทางเลือกที่หนึ่ง" ประธานหนุ่มเริ่มต้น "ผมจะให้เงินคุณสิบล้านบาท และให้คนจัดการเรื่องทุกอย่างให้เรียบร้อยที่สุด ไปจัดการ 'ปัญหานี้' ให้สิ้นซาก แล้วกลับมาทำงานเหมือนเดิม ทุกอย่างจะเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น"
คำว่า 'ปัญหา' แทงทะลุหัวใจของขวัญข้าวจนแหลกละเอียด
"ทางเลือกที่สอง" น้ำเสียงทุ้มยังคงพูดต่อไปโดยไม่เว้นจังหวะ "ถ้าคุณอยากจะเก็บเด็กไว้ ผมจะดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมดของคุณอย่างดีที่สุดระหว่างตั้งครรภ์ แต่ทันทีที่เด็กคลอดออกมา เด็กคนนั้นจะเป็นสิทธิ์ขาดของตระกูลเตโชบวรเดช-แอชธอร์นในฐานะทายาทของผม คุณจะได้รับเงินอีกก้อน ห้าสิบล้านบาท และต้องเซ็นสัญญายินยอมว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเด็กคนนี้อีกตลอดไป"
นี่ไม่ใช่ข้อเสนอ แต่มันคือการซื้อขาย...การซื้อขายชีวิตลูกของเธอเอง
ขวัญข้าวยืนนิ่งราวกับถูกสาปเป็นหิน ร่างกายชาวาบไปทั้งตัว ความหวังลมๆ แล้งๆ ทั้งหมดที่เคยมีถูกบดขยี้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค ชายที่เคยครางชื่อเธอในค่ำคืนที่เร่าร้อน บัดนี้ได้กลายเป็นนักธุรกิจเลือดเย็นที่กำลังตีราคาเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองอย่างไม่สะทกสะท้าน
ลูเซียโน่เหลือบมองนาฬิกาอีกครั้ง เป็นการกระทำที่สื่อว่าบทสนทนานี้ได้สิ้นสุดลงแล้วสำหรับเขา
"ผมให้เวลาคุณตัดสินใจยี่สิบสี่ชั่วโมง พรุ่งนี้เย็นมาให้คำตอบผม"
สิ้นคำพูดนั้น ประธานหนุ่มก็หยิบปากกาขึ้นมาอีกครั้ง ก้มลงไปสนใจเอกสารบนโต๊ะราวกับว่าบทสนทนาที่เพิ่งจบไปไม่เคยเกิดขึ้น
"ไปได้แล้ว"
ขวัญข้าวไม่รู้ว่าตัวเองหมุนตัวและเดินออกมาจากห้องทำงานนั้นได้อย่างไร ทุกอย่างเกิดขึ้นราวกับภาพในฝันร้ายที่พร่าเลือน โลกทั้งใบหดแคบลงเหลือเพียงเสียงหึ่งๆ ในหูและเสียงคำพูดอันเย็นชาที่ยังคงก้องสะท้อนอยู่ไม่จางหาย
หญิงสาวเดินผ่านโต๊ะทำงานของตัวเองไปโดยไม่แม้แต่จะเก็บของ ร่างกายขยับไปเองโดยอัตโนมัติ กดลิฟต์ ลงมายังชั้นล่าง ผ่านโถงล็อบบี้ที่ว่างเปล่า และโบกเรียกแท็กซี่ที่ผ่านมาคันแรก
ตลอดเส้นทางกลับอพาร์ตเมนต์ ดวงตากลมโตเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย แสงสีนีออนยามค่ำคืนของกรุงเทพฯ สาดผ่านเข้ามาแล้วจางหายไป เสียงดีเจจากวิทยุในรถพูดคุยเรื่องตลกขบขัน แต่ไม่มีคำใดเลยที่เดินทางผ่านเข้าสู่โสตประสาท
เมื่อมาถึงหน้าอพาร์ตเมนต์ หญิงสาวจ่ายเงินและเดินขึ้นห้องราวกับคนไร้วิญญาณ เสียงกลอนประตูที่ลงสลักดัง คลิก เบาๆ เป็นเหมือนสัญญาณตัดขาดจากโลกภายนอก และเป็นสัญญาณปลดปล่อยความอดทนเส้นสุดท้าย
และในวินาทีนั้นเอง เรี่ยวแรงทั้งหมดที่เคยพยุงร่างเอาไว้ก็หมดสิ้นลง ร่างบางทรุดฮวบลงไปกองอยู่กับพื้นข้างประตูอย่างหมดแรง ความมืดและความเงียบภายในห้องโอบล้อมร่างกายที่สั่นเทาเอาไว้
แต่ไม่มีน้ำตา ยังไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว ในตอนนี้มีเพียงความรู้สึกว่างเปล่าที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยรู้สึกมาในชีวิต ในหัวมีเพียงคำพูดเหล่านั้นที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมา
'ปัญหานี้'
'ทายาท'
'สิบล้าน'
'ห้าสิบล้าน'
ทุกคำคือการตีราคา ทุกคำคือการยืนยันว่า 'หัวใจ' และ 'ความรัก' ไม่เคยอยู่ในสมการของเขาเลย ตัวตนของขวัญข้าวถูกลบเลือนจนหมดสิ้น ไม่ใช่คนรัก ไม่ใช่แม้แต่เลขาฯ คนสนิทอีกต่อไป เหลือเพียงสถานะที่ถูกตีตรา ไม่เป็น 'ปัญหาที่ต้องกำจัด' ก็เป็น 'ภาชนะที่รอวันส่งมอบสินค้า'
ความหวังสุดท้ายที่เคยมี ความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าการมีอยู่ของเลือดเนื้อเชื้อไขอาจจะทำให้หัวใจที่เย็นชาของบุรุษผู้นั้นอ่อนลงได้บ้าง ได้แหลกสลายไปจนไม่เหลือชิ้นดี
ขวัญข้าวนั่งนิ่งอยู่ในความมืดข้างประตู สองตาเหม่อลอยจ้องมองไปในความว่างเปล่าเบื้องหน้า ในหัวใจของหญิงสาวไม่เหลือสิ่งใดอีกแล้ว นอกจากซากปรักหักพังของความหวังและความฝัน
เบื้องหน้ามีเพียงทางสองเส้นทางที่นำไปสู่ความพินาศไม่ต่างกัน ทางหนึ่งคือการสูญเสียลูก อีกทางคือการสูญเสียตัวตน และไม่ว่าจะเลือกทางไหน ชีวิตของขวัญข้าว กันต์สิน ก็ไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกต่อไป