#ไฟฟ้า
"ใครมันมาออกกำลังเท้าแถวนี้กันวะ?"
ตุบ ตั๊บ พั๊ว พั๊ว เสียงชลมุนเหมือนคนกำลังมีเรื่องทำให้ผมที่กำลังเดินอยู่ริมถนนต้องหยุดฟัง ทำเอาต่อมเผือกของผมกระดิกเหมือนหางหมาเพราะอยากจะรู้ เลยค่อย ๆ เดินย่องเข้าไปดูตามเสียง
"นั่นมัน..." คนที่นอนรองรับฝ่าเท้า เบ้าหน้าที่มีรอยฟกช้ำ ทำให้ผมตกใจมากรีบวิ่งเข้าไปอย่างไม่คิดเกรงกลัว แม้จะมีตัวคนเดียวก็ตาม เรื่องแบบนี้ผมค่อนข้างจะชินตามประสาเด็กช่างในสมัยเรียน ผมมันโคตรจะเกรียนเลยช่วงวัยรุ่น
"แม่งโคตรอ่อนเลยว่ะสามรุมหนึ่ง" ผมพูดขึ้นพร้อมสีหน้าที่ท้าทาย สายตามองต่ำไปยังคนที่นอนหมดสภาพไม่เป็นท่า ใบหน้ามีเลือดซึมและรอยแดงช้ำตรงปาก...ผมนึกสงสัยว่าคนอย่างนายหน้าขาวนี่ไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนมาจากไหน ทำไมถึงได้มาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ตอนนี้คือไอ้สามตัวนี่กำลังจะเลี้ยงไม่โต บังอาจมาแตะคนของผม ซึ่งเขาก็ยังไม่ยินยอมหรอก ผมคิดไปเองคนเดียวและยัดเยียดสถานะให้เองแหละ
"แล้วมึงเสือกอะไรด้วยวะ!" หนึ่งในสามคนพูดขึ้น นี่ผมต้องกลัวพวกมันไหมอะ แสดงไม่ถูกเลยจริง ๆ
"น นาย มาได้ยังไง" นายหน้าขาวเจ้าของร้านขายยาเงยหน้าแล้วพูดด้วยความทุลักทุเล ผมได้แต่มองไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้ต้องระวังตัวไงมาคนเดียวเสือกโชว์กร่าง อยากโชว์แมนต่อหน้าคนที่ชอบเท่านั้นแหละ
"นายยังไม่ตายเนอะ" ผมพูดแซวทั้งที่เห็นแหละว่าเขากำลังแย่ ขยิบตาและยกยิ้มให้กำลังใจ สายตาที่ผมสื่อไปมันแอบแฝงด้วยความห่วงใย แต่เขาจะรับรู้ไหมผมก็ไม่แน่ใจ...ถ้าไม่ซื่อบื้อคงสัมผัสได้เองแหละเนอะ
"ยังหายใจเองได้" ก็ยังอุตส่าห์ตอบผม ไม่ดูสภาพตัวเองเอาซะเลย จะลุกยืนยังดูลำบาก
ตอนนี้ไอ้สามตัวมันเริ่มเดินเข้ามาใกล้ผม ถูกล้อมหน้าล้อมหลัง ซึ่งผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะสู้อีท่าไหนถึงจะไม่ให้ตัวเองเจ็บตัว เห็นผมหน้าชั่วร้ายแบบนี้ก็ไม่เคยหมาหมู่นะจะบอกให้
"มึงพวกมันใช่มะ...ก็ดี!" ไอ้คนที่อยู่ทางซ้ายมือของผมพูดขึ้น พร้อมกับไม้หน้าสามในมือชี้หน้าผม
"พวกไหมไม่รู้ แต่กูไม่ค่อยชอบพวกหมาหมู่ เห็นแล้วมันชอบคันไม้คันมือ ดูแล้วก็ไม่เจริญหูเจริญตา" ผมว่าขึ้นอย่างท้าทาย พร้อมกับประสานมือดัดนิ้วไปมาจนเสียงดัง พวกมันสามตัวมองหน้ากันแล้วพยักหน้าส่งสัญญาณ ทำให้ผมรับรู้ว่าต้องเตรียมตั้งรับ
และเป็นอย่างที่ผมคิด พวกมันเริ่มลงมือรุมผม แต่คนอย่างผมใช่ว่าจะไม่มีวิชาป้องกันตัว ผมสวนหมัดทั้งถีบพวกมันคนละทีสองที มีบ้างที่ผมก็โดนฝ่าเท้าและกำปั้น แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมต้องนอนจมฝ่าเท้าทั้งหกข้าง เจ็บแต่ยังสู้ไหว ตอนนี้ผมมายืนบังนายเภสัชฯ นั้นไว้ ก่อนจะฟาดไม้หน้าสามเรียงหน้ากระดานเข้าเบ้าหน้าพวกมัน จากนั้นผมก็จับมือนายเภสัชฯ วิ่งหนีออกมา วิ่งชนิดที่ว่าใส่เกียร์หมาเลยครับ เพราะตอนนี้คงสู้ไม่ไหว เพราะผมก็เจ็บตัวไม่น้อย หนึ่งต่อสามสู้ได้ก็บ้าระห่ำแล้วครับ ผมไม่ใช่พระเอกซีรี่ส์เหมือนในทีวีหรอกนะ ที่จะเก่งปานนั้นต่อให้มีวิชาการต่อสู้แค่ไหนก็เถอะ
"นายโอเคไหม?" ผมพานายเภสัชฯ นั่งหลบตรงมุมลับสายตาแล้วถามขึ้น สภาพหน้าหล่อใสตอนนี้เต็มไปด้วยเลือดและรอยช้ำ น่าสงสารฉิบหายเลย
"อืม"
"พวกมันคงไม่ตามมาแล้วล่ะ" ผมชะเง้อมองเห็นพวกมันวิ่งผ่านหน้าไป ตอนนี้คงรอดจากฝ่าเท้าทั้งหกแล้วล่ะ
"ขอบใจนะ ว่าแต่มาเจอได้ยังไง"
"นี่มันซอยเข้าบ้านผม"
"อ้อ"
"ขอถามหน่อยสิ พวกมันทำไมต้องทำร้ายนายด้วย"
มันคืออะไรที่ผมอยากรู้จริง ๆ ตั้งแต่วันนั้นแล้วที่เห็นพวกมันไล่ล่านายนี่ และวันนี้อีกถึงขั้นลงไม้ลงมือ มันมีเรื่องอะไรกันแน่ เพราะคนอย่างนายนี่ไม่น่าจะมีเรื่องกับพวกอันธพาลแบบนี้สักหน่อย หรือว่าผมประเมินนายนี่ดีเกินไป
".........." เขาเงียบ
"มันคือกลุ่มเดียวกันกับวันที่ไล่นายที่ผับวันนั้นใช่ไหม?" ผมถามขึ้นอีก
"อืม" ถามซะยาวมันก็ตอบผมมาแค่นี้ ผมจะรู้เรื่องไหมเนี่ยวันนี้
"เล่าให้ฟังได้ไหม?" เป็นคำพูดที่ผมก็ยังไม่เคยพูดกับใครด้วยน้ำเสียงแบบนี้มาก่อนเลยยกเว้น...นางสาวพันดาว
"แค่อยากได้แฟนคืน ผมรักเธอคนนั้นมากเพราะเธอคือรักแรกของผม" เขาเริ่มเล่าและผมก็ตั้งใจฟัง แต่จะรู้สึกแอบเศร้าที่เขามีแฟนแล้วก็ตาม ยังพยายามที่จะฟังต่อให้จบ
"พวกมันแย่งแฟนนาย?" ผมถาม
"เธอยินยอมไปเอง แต่ว่ามันคือความจำเป็น บริษัทพ่อเธอกำลังแย่เธอเลยเลือกที่จะไปแต่งงานกับนักธุรกิจช่วยที่บ้าน...เธอบอกเลิกผมทั้งที่เราสองคนรักกัน ผมเข้าใจเธอ แต่บางครั้งผมก็ทำใจไม่ได้ที่จะเสียเธอไปเลยแอบนัดเจอกับเธอบ้าง" นี่มันละครชีวิตหรือไง ทำไมก่อนหน้าที่ผมเจอเขาดูเหมือนใช้ชีวิตเรียบง่าย อยู่ร้านขายยาเหมือนจะสบายดีนี่นา แต่ก็อย่างว่าแหละชีวิตคนเรามักมีสองด้านด้วยกันทั้งนั้น
"นี่มันซีรี่ส์เรื่องไหนวะเนี่ย" ผมหันหน้าหนีแล้วบ่นเบา ๆ
"คุณไม่เคยเจอคงคิดว่ามันตลกและน้ำเน่าใช่ไหมล่ะ แต่นี่มันคือชีวิตจริงที่ผมพบเจอ"
"ก็ไม่ได้ขนาดแบบนั้นหรอก แค่ไม่คิดว่าชีวิตคนมันจะเจอเรื่องอะไรทำนองนี้เฉย ๆ..."
"ผมมันคงดูโง่ ดูหมดสภาพมากสินะ"
"เอาน่าคิดซะว่าไม่ใช่เนื้อคู่กัน" แหวะ ทำไมผมถึงได้พูดอะไรเลี่ยน ๆ แบบนี้ได้นะ ทั้งที่เกิดมาไม่เคยพูดปลอบลักษณะนี้สักครั้ง นายนี่นับว่าโชคดีแล้วล่ะที่ได้ฟังมันออกจากปากของผม
"ไปจำมาจากซีรี่ส์เรื่องไหนโคตรเลี่ยนเลย" อย่าว่าแต่คนฟังจะอวกเลย ผมพูดเองยังอยากอวกให้หมดไส้หมดพุง
"หน้าผมนี่เหมือนคนติดซีรี่ส์หรือไง..." ผมย้อนถามทีเล่นทีจริง ก็ไม่อยากให้เขาเครียดไปมากกว่านี้ แค่ชีิวิตเขาก็น้ำเน่าพอแล้ว
"ไม่เหมือนคนติดซีรี่ส์หรอก แต่ดูเหมือนจะติดอย่างอื่นมากกว่า เบ้าหน้าดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ สายซีรี่ส์นี่คงไม่น่าใช่หรอก ผมขอโทษละกัน" มันก็พูดซะยาวเลยเนอะ ทั้งที่ปากแตกเลือดไหล คงอยากได้ปริมาณเลือดเพิ่มอีกสิท่า
"ได้ทีเอาใหญ่ วันนี้ไม่ต่อปากกับนายแล้วกัน เห็นว่าโดนตีนมาหรอกนะถึงได้ยอม" ผมพูดขึ้นและมันก็ทำให้นายนั่นอมยิ้ม
"ขอบคุณอีกครั้งนะ เดี๋ยวผมขอเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทนที่ช่วยผมวันนี้"
"อะ อืม"
ผมไม่ได้หูฝาดใช่ไหม นายนี่ชวนผมกินข้าวด้วย หัวใจฟูเลยครับผมจนอยากจะฉีกยิ้มให้กว้างยันใบหู แต่ต้องเก็บอาการไว้ ผมค่อย ๆ ประคองนายนี่ให้ลุกยืน นั่งแอบอยู่ใกล้ถังขยะเน่า ๆ ก็ไม่ได้กลิ่นเลย อะไรรอบตัวก็หอมไปซะหมด ... โคตรดีใจแค่ได้ใกล้กันแค่นี้ผมก็รู้สึกดีแล้ว
"แล้วคุณชื่ออะไรต่อไปผมจะได้ไม่เรียกว่าคุณยาคุม" และผมก็ต้องดีใจอีกรอบเพราะเขาถามชื่อผมด้วย นี่เรียกว่าจีบผมทางอ้อมได้ไหมวะ...หรือว่าผมเข้าข้างตัวเองมากไป
"ไฟฟ้า" ผมอมยิ้มและตอบเขาไป "แล้วคุณล่ะ?"
"เคมี" คนเชี่ยอะไรวะชื่อเคมี แต่ไม่เป็นไรชื่ออะไรก็ช่างไม่สำคัญ มันอยู่ที่ว่าผมชอบคนไม่ได้ชอบที่ชื่อเสียงเรียงนาม
โดนตีนวันนี้โคตรคุ้มเลยครับ
//วันถัดมา//เคมี“พี่พร้อมไหม?” ผมจับมือพี่ไฟฟ้า พร้อมกับเอ่ยถาม เมื่อเห็นพี่เขายืนกลืนน้ำลายลงคอ ด้วยสีหน้าคิ้วขมวด เพราะพวกเราสองคนนั่งอยู่ในรถราวสิบห้านาที“พะ พร้อม” ตอบตะกุกตะกัก ดูน่าสงสารมากเลยครับ“ถ้าพี่ไม่ไหว วันหลังเราค่อยมาใหม่ก็ได้นะ” เห็นสีหน้าเขาแล้วผมรู้สึกเป็นห่วง“ยังไงก็มาแล้ว เป็นไงเป็นกัน” พี่ไฟฟ้าสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ถ้าพี่โอเค เราเข้าไปกันเลยไหม?”“อืม”ตกลงกันได้ผมกับพี่ไฟฟ้าจึงพากันเดินมุ่งตรงเข้าไปในบ้าน การมาครั้งนี้ผมได้ส่งข้อความบอกพ่อกับแม่ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะพาเพื่อนสนิทมาทำความรู้จัก ซึ่งแม่ก็ตอบกลับมาว่ายินดี และตามด้วยข้อความของพ่อ บอกจะรออยู่ที่บ้าน ซึ่งดูท่านก็ตอบปกติ ไม่ได้ถามต่อให้มากความ“แม่ครับ พ่อครับ ผมมาแล้ว” ผมพูดเมื่อเดินมาในบ้าน ตรงโซนรับแขก“สวัสดีครับ” พี่ไฟฟ้ายกมือไหว้พ่อกับแม่ของผม และฉีกยิ้มอ่อนเบา ๆ“มากันแล้วเหรอ เดี๋ยวแม่เอาน้ำมาให้ คุยเล่นกับพ่อไปก่อนนะ” แม่เงยหน้าจากจอทีวีแล้วทักทายพวกผมด้วยรอยยิ้ม แม่ของผมเป็นคนใจดีครับ“นั่งสิ” เป็นเสียงพ่อที่บอกกล่าว แล้วพวกเราก็นั่งลงเก้าอี้ข้างกัน“ขอ
เหมือนลมหายใจเดียวกันเคมี“คืนนี้พี่จะค้างที่นี่ใช่ไหม?” ผมถามพร้อมด้วยน้ำเสียงเว้าวอน หลังจากรถยนต์จอดสนิท“ก็ว่าจะไม่...”“พี่ไฟฟ้า” ผมเรียกเสียงอ่อนเหมือนอ้อนวอนตัดบท“แต่ทำงานเหนื่อยขี้เกียจขับรถกลับ” ประโยคตอบรับทำให้ผมฉีกยิ้มทันที“งั้นรีบขึ้นไปกันเถอะ พี่จะได้อาบน้ำแล้วพักผ่อน”“อืม”จากนั้นผมและพี่ไฟฟ้าก็ขึ้นมายังหอพัก เขาวางสีหน้าบึ้งตลอดตั้งแต่เดินทางมา แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรมากมาย เพราะกลัวว่าพี่เขาจะเปลี่ยนใจ เห็นโหด ๆ แต่บางทีก็อ่อนไหวง่ายเหลือเกินผมเข้าใจในความโกรธที่พี่ไฟฟ้าเป็นดี หลังจากที่พี่ไฟฟ้าหนีออกมาในวันนั้น ก็นั่งคิดทบทวนเหตุการณ์อยู่หลายหน จนผมตระหนักได้ และรู้นิสัยของพี่ไฟฟ้าว่าเป็นคนยังไง เขาเป็นคนคิดมากและขี้หวง แม้นิสัยที่แสดงออกมานั้นจะห่าม แต่ลึกแล้วเขามีใจเปราะบางแต่แสร้งเข้มแข็ง ผมไม่น่าจะใส่อารมณ์กับพี่ไฟฟ้าไปแบบนั้น ทั้งที่รู้นิสัยใจคอเขาเป็นอย่างดี ผมรู้สึกผิดและเสียใจมาก เมื่อย้อนคิดในเรื่องราวเหตุการณ์ใต้ตึกคณะในวันนั้นผมไม่ได้คิดอะไรกับรุ่นพี่ แต่ใจผมรู้ดีว่ารุ่นพี่คิดยังไงกับผม ซึ่งเป็นอย่างที่พี่ไฟฟ้าคาดเดา เขาชอบผม แต่ผมปฏิเสธไปแล้ว การที่รุ่
วันต่อมาผมเข้าบริษัทตามปกติ เพราะวันนี้มีนัดประชุมเรื่องโครงการใหม่ หลังจากที่เมื่อเช้าไปเยี่ยมไอ้กลาส ตอนนี้กลาสรู้สึกตัวแล้ว และมีน้องเพชรพลอยคอยดูแลไม่ห่าง ผมยืนสังเกตท่าทีของกลาสและน้องเพชรพลอยอยู่ด้านนอกผ่านช่องกระจกเล็ก ๆ เลยไม่อยากเข้าไปขัด ทำให้เสียบรรยากาศ กลาสมันดูปฏิบัติกับน้องเพชรพลอยแตกต่างจากแต่ก่อน เห็นแล้วทำให้ผมยิ้มตามและรู้สึกยินดี บางทีการที่บอกว่ากลบข่าวเรื่องเกย์ อาจจะทำให้ทั้งสองคนมีการพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างไม่รู้ตัวก็ได้“ทำไมพี่ไม่อ่านข้อความหรือรับสายผมบ้าง” ระหว่างที่ผมจอดรถสนิทและกำลังจะปิดประตู เสียงที่แสนคุ้นเคยก็ดังขึ้น จึงทำให้ผมนิ่งและหันไปมองด้วยสีหน้าเรียบ“ไม่ค่อยว่าง พอดีช่วงนี้มีโครงการใหม่เลยยุ่ง ๆ” ผมตอบแล้วเดินเลี่ยงออกมาจะเข้าไปในตึกสำนักงาน“พี่หลบหน้าผม”“เปล่า...แล้ววันนี้ไม่ไปเรียนหรือไง?”“คุยกันก่อนพี่ไฟฟ้า” เคมีมันคว้าแขนของผมไว้ ทำให้ผมหยุดเดิน แต่ไม่ได้หันกลับไปมอง น้องมันเลยขยับมายืนตรงหน้าของผม“วันนี้กูมีประชุม”“พี่โกรธผมใช่ไหม?”“ไม่ได้โกรธ...จะให้โกรธเรื่องอะไรล่ะ”“ก็เรื่องเมื่อสามวันก่อนที่เราทะเลาะกัน”“กูผิดก็ขอโทษ
ผมขับรถออกมาอย่างคนไร้จุดหมาย ตอนนี้หัวสมองมันเริ่มจะประมวลภาพพวกนั้นเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน ผมอยากจะเชื่อคำพูดของเคมี แต่อดที่จะคิดไม่ได้...เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นทำให้ผมหลุดจากความคิดเรื่อยเปื่อย“อืม...ว่าไงไม้?”“อยู่ไหนวะไฟฟ้า”“ขับรถอยู่”“มึงเห็นข่าวไอ้กลาสหรือยัง?...ด่วน ๆ เลยตอนนี้”เมื่อไม้บอกด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วร้อนรน ผมเลยรีบจอดรถข้างถนนทันที แล้วเปิดดูหน้าข่าวตามลิงก์ที่ไม้มันส่งมาให้ในแชต“เกิดอะไรขึ้นกับไอ้กลาสกันแน่”“กูก็ไม่รู้ ตอนนี้ไอ้กิตอยู่กับไอ้กลาส ติดต่อไปก็ไม่มีใครรับสาย”“กูจะไปโรงพยาบาลตอนนี้แหละ”“อืม ๆ เดี๋ยวกูจะออกไปเดี๋ยวนี้เลย”“เจอกัน”“อืม”ทันทีที่ผมเห็นข่าวก็ตกใจจนมือสั่น เพียงแค่เห็นภาพของไอ้กลาสที่โชกเลือด แม้ภาพข่าวจะมีการเซ็นเซอร์เอาไว้ ผมก็รู้ว่านั่นคือกลาสเพื่อนสนิทของกลุ่มผม พวกเราเพิ่งจะเจอกันเมื่อไม่กี่วันก่อน เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นเร็วจนผมตั้งรับไม่ทัน ห่วงว่ากลาสจะเป็นอันตราย แม้ผมจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวที่กลาสเจอ ว่าต้นตอเกิดจากอะไรกันแน่ แต่ผมรู้ว่ากลาสไม่มีศัตรูที่ไหนเลย นอกจากวงการธุรกิจของครอบครัวมัน//โรงพยาบาล//ผมมาถึงในเวล
(ไฟฟ้า)“เบื่อว่ะ”“เบื่อไรของมึงอีกครับพี่ไฟฟ้า”“บางครั้งกูก็รักอิสระ แต่กูก็อยากมีโมเม้นมีแฟน แต่กูก็ยังรักอิสระ แต่กูก็อยากมีแฟน แต่บางครั้งกูก็อยากอยู่คนเดียว แต่กูก็อยากมีแฟนอะ”“แต่ตอนนี้กูอยากถีบมึงมากครับพี่ เพราะกูรำคาญมึง และกูก็อยากอยู่คนเดียว”“โอ๊ย!...ใจร้าย หยอกเล่นหรอก ก็มึงไม่สนใจกูเลยไง เอาแต่สนใจหนังนี่หว่า”ผมพูดขึ้นระหว่างที่เราสองคนกำลังนั่งดูหนังด้วยกันในวันหยุดสุดสัปดาห์ อาการไหนก็ไม่รู้ครับ แต่ผมอยากจะกวนตีนไอ้ดื้อที่มันไม่สนใจผมสักนิด เอาแต่นั่งดูหนังอย่างใจจดจ่อ เลยอยากจะเรียกร้องความสนใจ แต่เหมือนน้องมันจะไม่ค่อยแคร์แถมยกเท้าถีบผมจนตกโซฟาก้นกระแทกพื้นอีก“สมน้ำหน้า”“มึงจำไว้เลยเคมี อย่าให้ถึงทีกูนะ ถีบมาได้ไอ้บ้านี่”“กวนอยู่ได้คนกำลังดูหนังสนุก ๆ กลับบ้านไปเลยไป”“ไม่กลับ...กูไม่กลับ”“ลูกดี ๆ ที่ไหนปล่อยให้พ่อแม่อยู่บ้านลำพังวันสุดสัปดาห์”“ลูกดี ๆ แบบกูนี่แหละ”“ทำตัวเหมือนไม่มีที่นอนเป็นของตัวเอง”“ทุกที่คือที่นอนของกูไงครับ”“ต่อปากต่อคำเก่งเหลือเกิน”“ต่อปาก...มึงกล้าปะทะกับกูปะล่ะ”“วุ้ย! วนมาเรื่องลามกอีกละ”กวนกันไปกันมาด้วยความมีไหวพริบแบบผม เลยท
“พี่ใจเย็นก่อนสิครับ”“เห็นหน้ามึงแล้วกูอดใจไม่ไหวเคมี”เพียงผมเปิดประตูเข้ามาในห้องพัก ก็ถูกลุกล้ำด้วยการไล่จูบ ถูกพี่ไฟฟ้าดันแผ่นหลังแนบชิดกับผนังห้อง สองมือของเขาถอดเสื้อของผมอย่างคนรีบร้อน ตอนนี้ทุกอย่างล่อแหลมแม้เราสองคนจะยังไม่ถึงเตียงนอน เขาปลุกปั่นอารมณ์ของผมจนยากที่จะหักห้าม“พี่ครับ”“กูต้องการมึงเคมี รักมึงมากนะ”เขาบอกรักผมทั้งที่ยังดอมดมตามซอกคอ นั่นยิ่งสร้างความปั่นป่วนภายในร่างกายของผมให้ร้อนรุ่ม“เรายังไม่ได้ทำความสะอาด”“ช่างแม่ง แข็งจนจะระเบิดแล้ว”“อื้ม พี่ครับ”ผมดันอกของพี่ไฟฟ้าไว้ แล้วเตือนในเรื่องการเตรียมความพร้อมสำหรับก่อนทำกิจกรรมบนเตียง แต่พี่ไฟฟ้าไม่ได้สนใจสักนิด เขายังเล้าโลมตามร่างกายของผมไม่หยุดหย่อน เขาบดจูบปากของผมด้วยความช่ำชอง จูบอย่างดูดวิญญาณผมก้าวขาเดินตามแรงของพี่ไฟฟ้าอย่างไม่รู้ทิศทางด้วยความเคลิบเคลิ้มจากรสจูบที่พี่เขาปรนเปรอ รู้สึกวาบหวามจนขนลุกซู่ไปทั้งตัวตอนนี้เสื้อผ้าของเราสองคนหลุดออกจากตัวด้วยความรวดเร็ว จนเผยให้เห็นร่างกายที่เปลือยเปล่าของกันและกัน ผมเริ่มทัดทานแรงเร้าของพี่ไฟฟ้าไม่ไหว ดันเขาให้นั่งลงบนเก้าอี้ ตัวตนที่ขึงขังชี้หน้าผมอย่