เมลินนั่งนิ่งบนเตียงสีเข้มของห้องกว้าง เปลือกตาขยับน้อยนิด ขณะที่ร่างกายอ่อนล้าเกินจะไหวติง
ขณะที่จิตใจของเธอเหมือนกำลังล่องลอยไปในอดีตที่ไม่อยากย้อนคิดถึงมันอีกเลย
...เสียงกรีดร้องของแม่ในวันนั้นยังดังก้องอยู่ในหู
วันนั้น...
วันที่เธอตัดสินใจเสี่ยงชีวิต บุกเข้าไปยังโกดังเก่าริมท่าเรือเพื่อช่วยแม่ผู้ให้กำเนิด ซึ่งถูกมายด์หลอกล่อและจับตัวไว้
ภาพที่ฝังแน่นในหัว...ไม่ใช่แค่ใบหน้าบิดเบี้ยวของมายด์ที่เต็มไปด้วยความสะใจ แต่เป็นใบหน้าของชายอีกคนที่ไม่ควรอยู่ตรงนั้น...ภาคิน
ชายหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเป็นเพื่อนสนิทของคิรินทร์
เขายืนอยู่ข้างมายด์ — ไม่เพียงแค่นิ่งเฉยต่อเสียงร้องของแม่เธอ แต่ยังมีท่าทีข่มขู่ด้วยคำพูดเย็นเยียบ
“พาแม่เธอกลับไปให้ไกลที่สุด ถ้าฉันเห็นหน้าเธอหรือแม่เธอเฉียดใกล้คิรินทร์อีก...ฉันสาบานว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเธอจะได้หายใจ”
เมลินจำได้ทุกคำ ทุกสีหน้า และทุกอณูความรู้สึกที่กัดกินใจ
แต่...เธอไม่มีหลักฐาน ไม่มีอะไรที่จะเอาไปบอกคิรินทร์ได้เลย
เขาจะเชื่อเธอหรือ?
ความคิดเหล่านี้วนเวียนไม่หยุด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดที่แล่นพล่านไปทั่วร่าง
ทั้งจากความเครียดสะสม ทั้งจากร่างกายที่ถูกเขาเคี่ยวกรำทั้งคืนก่อนหน้านั้น — รุนแรงเกินจะกล่าว
ความคลั่งไคล้ที่เต็มไปด้วยความแค้น ความไม่เชื่อใจ และการครอบครองของเขา…เหมือนจะดูดกลืนลมหายใจเธอไปทั้งหมด
ในเช้าวันถัดมา...
เมลินลืมตาไม่ได้ด้วยซ้ำ ได้แต่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม หายใจช้า ๆ ร่างกายร้อนผ่าวอย่างน่ากลัว
ไข้ขึ้นสูง
ไม่ต่างอะไรกับร่างที่กำลังจะพัง
คิรินทร์เห็นเธอไม่ลุกขึ้นมา เขาไม่ได้แสดงท่าทีตกใจ — แต่สายตานั้นเข้มขึ้นทันที ราวกับจะสั่งให้คนทั้งคฤหาสน์หยุดหายใจ
เขาเรียกหมออคิน — เพื่อนสนิทผู้เงียบขรึม แต่ไร้ที่ติในวิชาชีพ
“ดูให้แน่ ว่าเธอไม่ได้แกล้ง” เสียงเขาเย็นเฉียบตอนสั่ง แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความว้าวุ่นที่ไม่อาจซ่อน
อคินแค่ปรายตามอง ก่อนจะตรวจอาการเธออย่างรวดเร็ว แล้วตัดสินใจฉีดยาลดไข้ให้ทันที
“ร่างกายเธออ่อนแรงมาก ถ้าไม่พัก จะทรุด”
“ให้พักก็พัก…” คิรินทร์พึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหันไปมองร่างบอบบางที่นอนนิ่งเหมือนคนไร้แรงใจบนเตียง
สองวันเต็มๆ...ที่เมลินไม่ได้ลุกจากเตียงเลย
กินได้นิดหน่อย แล้วก็หลับยาว
ไข้ยังไม่ลดลงมากนัก แต่อย่างน้อยก็ไม่มีอาการแทรกซ้อน
เขาเฝ้าอยู่เงียบ ๆ ห่าง ๆ ไม่ได้แตะต้องเธออีก แต่ไม่เคยออกจากห้องไปไหนนานนัก ราวกับไม่ไว้ใจให้เธอคลาดสายตาอีก
เขาไม่พูด ไม่แตะ ไม่แม้แต่จะขอโทษ...แต่มันชัดเจน — เขากำลังกลัวว่าจะเสียเธอไปอีกครั้ง โดยไม่รู้ว่าความกลัวนั้นมาจากความรู้สึกแบบไหน
ระหว่างนั้น...
เสียงร้องไห้งอแงของเด็กชายวัยสามขวบก็ดังขึ้นเกือบทุกชั่วโมง
“แม่...หม่าม๊า...น็อตอยากเจอหม่าม๊า...”
เด็กตัวน้อยน้ำตาคลอเบ้า หันซบอกพี่เลี้ยงแทบไม่ยอมกินอะไรเลย
กระทั่งประตูห้องเปิดออก และชายร่างสูงในชุดสูทดำที่เดินเข้ามาในห้องนอนเด็ก
น็อตชะงัก ดวงตากลมโตหยุดร้องทันที
เขาไม่รู้ว่าควรกลัวผู้ชายคนนี้ไหม...ตอนนี้ไม่มีแม่อยู่ด้วย.....แต่ใจดวงน้อยกลับไม่รู้สึกน่ากลัวเลยแม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม เขาเดินเข้าไปใกล้คิรินทร์ช้า ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองด้วยแววตาเชื่อฟังอย่างไม่คาดคิด
“ปะป๊า...แม่เป็นอะไรฮะ” เสียงเล็กถามเบา ๆ
คิรินทร์มองเด็กน้อย เห็นตัวเองในดวงตานั้นอย่างปฏิเสธไม่ได้
เขาไม่ตอบคำถามในทันที แต่ย่อตัวลงจนได้ระดับสายตา แล้วใช้มือใหญ่ลูบผมนิ่มของเด็กเบา ๆ
“แม่เธอแค่ไม่สบาย เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
เสียงเขานุ่มกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
เด็กน้อยพยักหน้าแล้วก้าวเข้าไปกอดแขนเขาแน่น — ไม่ร้องไห้ ไม่กลัว
คิรินทร์ได้แต่นิ่งค้างอยู่อย่างนั้น...กับความรู้สึกบางอย่างที่กำลังปะทุขึ้นในอก
เขาไม่รู้ว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงเชื่อใจเขา
หรือ...เพราะสายเลือดมันไม่อาจโกหก
เขาไม่รู้
หรือเขาแค่...ไม่อยากรู้?
แสงแดดยามสายส่องลอดผ่านผ้าม่านหนาทึบในห้องพักแขกชั้นบนสุดของคฤหาสน์หลังใหญ่ เด็กชายตัวเล็กในชุดลายซุปเปอร์ฮีโร่กำลังนั่งกอดหมอนข้างใบยาวอยู่มุมโซฟา เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังลอดออกมาจากปากน้อย ๆ เมื่อของเล่นไม้ที่อยู่ในมือกลิ้งตกพื้น แล้วอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นตามมา—เสียงทุ้มต่ำที่ไม่ค่อยมีใครได้ยินบ่อยนักในโหมดนุ่มนวลเช่นนี้
“นั่นหมัดซ้ายเหรอ?”
“ใช่ครับพ่อ ดูนะครับ ผมชกแบบนี้... ฮึ่บ!”
คีรินทร์เอนตัวพิงพนักโซฟา มือใหญ่ข้างหนึ่งยกขึ้นแตะแก้มตัวเองเบา ๆ ขณะมองดูเด็กชายฝึก “ชกมวย” ใส่หมอนด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง
เขาไม่เคยอยู่กับเด็กคนไหนตามลำพังมาก่อน... ไม่เคยแม้แต่จะนั่งดูเด็กเล่นของเล่นด้วยซ้ำ แต่ครั้งนี้ เขาทำลงไปโดยไม่รู้สึกฝืนใจ
เด็กคนนี้... มีบางอย่างเหมือนเขาเกินไป
ท่าทางการวางเท้า องศามือที่ชก ท่ากัดริมฝีปากตอนตั้งใจ และที่ทำให้เขาหยุดคิดไม่ได้... คือผื่นแดงจาง ๆ ที่ข้อพับแขนข้างซ้ายเมื่อเช้านี้
‘เด็กคนนี้แพ้กุ้งเหรอ?’ เขาถามลิซ่าเมื่อวันก่อน
‘ค่ะ เหมือนกับคุณคีรินทร์ตอนเด็กไม่มีผิด’ หญิงสาวตอบพร้อมสีหน้าที่เขาไม่แน่ใจว่าตั้งใจจะบอกอะไรหรือเปล่า
ความรู้สึกคล้ายเข็มแหลมจิ้มกลางอก… บางสิ่งที่เขาไม่เคยอนุญาตให้ตัวเองรู้สึก กำลังค่อย ๆ กัดกร่อนกำแพงที่เขาสร้างไว้ตลอดชีวิต
และนั่นคือตอนที่ประตูห้องเปิดออกอย่างเงียบเชียบ
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ของใครคนหนึ่งทำให้เขาหันไปมอง
ร่างบางของหญิงสาวในชุดนอนผ้าฝ้ายยืนอยู่ที่หน้าประตู ใบหน้าซีดเซียวจากไข้ที่เพิ่งหายยังดูอ่อนล้า แต่แววตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึง... กลับแข็งแกร่งเกินบรรยาย
“เมลิน...”
นั่นเป็นคำเดียวที่เขาเอ่ยได้ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วหันไปมองเด็กชายที่ตอนนี้กำลังยิ้มกว้าง
“แม่!”
เสียงใสของเด็กเรียกอย่างตื่นเต้น วิ่งเข้าหาเธอด้วยแรงเท่าที่ร่างกายเล็ก ๆ จะมี เมลินย่อตัวลงรับลูกไว้ในอ้อมแขน น้ำตารื้นขึ้นมาโดยไม่ต้องบอกว่าเธอรู้สึกผิดเพียงใดที่ต้องนอนซมจนปล่อยให้ลูกอยู่ลำพัง
คีรินทร์ยืนอยู่ห่าง ๆ มองภาพนั้นอย่างนิ่งงัน มันทั้งอุ่น ทั้งเจ็บ และทั้ง... น่าสงสัย
เขาควรจะลากเธอออกไปคุยตามที่ตั้งใจ
เขาควรจะบังคับให้เธอบอกทุกอย่าง...
แต่แล้วเสียงเล็ก ๆ ก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“แม่ฮะ ป๊าใจดี ป๊าอยู่เล่นกับน็อตทุกวันเลย”
น็อตหันมามองเขา ก่อนจะยิ้มให้แล้วโบกมือน้อย ๆ ราวกับเป็นคำขอบคุณ คีรินทร์เผลอยิ้มมุมปากโดยไม่รู้ตัว
แล้วเขาก็หันกลับไปสบตาเมลินอีกครั้ง
“ฉันจะคุยกับเธอคืนนี้” น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่หนักแน่น ก่อนจะเว้นวรรคเล็กน้อย และสบตาเธอราวกับจะทะลวงทุกความลับในใจ
“และอย่าโกหกฉันอีก…ไม่งั้นคราวหน้า ฉันจะไม่อ่อนโยน”
เมลินเม้มริมฝีปากแน่น หัวใจเธอร่วงวูบเมื่อได้ยินคำว่า โกหก จากปากเขา... เธออยากจะพูด อยากจะบอกความจริงทั้งหมด อยากจะตะโกนออกไปว่า ‘น็อตคือลูกของคุณ!’ แต่เสียงในหัวก็ย้อนกลับมา
—ถ้าเขาแย่งน็อตไปจากเธอล่ะ?
—ถ้าเขาไม่ให้อภัย?
—ถ้าเขาไม่ยอมรับลูกของเธอ?
ความกลัวที่ฝังรากลึกทำให้เธอทำได้เพียงพยักหน้าเบา ๆ แล้วหลุบตาลง
คีรินทร์ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาแค่หมุนตัวเดินออกจากห้องไปโดยไม่แม้แต่หันกลับมามอง เมลินยังคงยืนกอดลูกไว้แน่น พยายามไม่ให้น้ำตาไหล
แต่หัวใจของเธอ... กำลังแตกร้าวช้า ๆ ในความเงียบงัน
ความเงียบที่ปกคลุมอยู่ในห้องทำงานใหญ่ของคีรินทร์ถูกทำลายด้วยเสียงรายงานจากลิซ่า เลขาสาวคนสนิท“เจอแล้วค่ะคุณคีร์...คุณมายด์กับคุณภาคินนัดเจอกันหลายครั้งในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ทุกครั้งเปลี่ยนสถานที่ ไม่เคยซ้ำ...เหมือนจงใจหลบสายตาใครบางคนค่ะ”คิรินทร์นิ่ง เงียบราวรูปสลัก แต่ดวงตาคมเข้มใต้กรอบหน้าเย็นชาฉายแววบางอย่างออกมา“บอกให้คนของเราเพิ่มอีกทีมไปจับตาดูภาคินโดยเฉพาะ” เสียงทุ้มต่ำสั่งออกมาอย่างเฉียบขาด“ค่ะคุณคีร์” ลิซ่าพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเหลือบมองนายตัวเองด้วยสายตาที่กังวล"แล้ว...เรื่องของน้องน็อตล่ะคะ?"คีรินทร์ไม่ตอบ ดวงตาคมหรี่ลงช้าๆ ใบหน้าของเด็กชายตัวน้อยลอยวาบขึ้นมาในหัว เขานึกถึงแววตาซื่อตรง การตอบโต้ฉับไวเกินวัย และสิ่งที่ชัดเจนที่สุด...ดวงตากลมโตคู่เดียวกับเขาเอง‘แพ้อาหารทะเลเหมือนกัน...นิสัยดื้อเงียบเหมือนกัน...แม่งเอ๊ย’ เขาคำรามอยู่ในใจเขากำลังจะเสียการควบคุม เขา...ที่ไม่เคยปล่อยให้ใครหลอกซ้ำซากคืนวันนั้น เขาตัดสินใจไปพบอคิน ในคลับหรูส่วนตัวที่เปิดเฉพ
เสียงฝีเท้าของลิซ่าดังสะท้อนในโถงคฤหาสน์หรูเมื่อเธอก้าวออกจากห้องของน้องน๊อต ท่าทางเธอรีบร้อน ผิดแปลกจากปกติจนคีรินทร์หันมองด้วยแววตาเฉียบคม ลิซ่าโน้มตัวมากระซิบข้างหูเขา เพียงไม่กี่คำ ทำให้เส้นเลือดข้างขมับเขาเต้นตุบ“เหยื่อติดเบ็ดแล้วค่ะ”คีรินทร์ไม่พูดอะไร เขาหันหลังเดินตรงไปยังห้องทำงานด้วยสีหน้าเรียบสนิท แต่แววตาเย็นเยียบแทบทำลายทุกอย่างในทางที่ก้าวผ่านประตูห้องทำงานปิดสนิท เสียงล็อกประตูดัง แกร๊ก ก่อนเขาจะกดรีโมตเปิดหน้าจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ที่ผนัง รายการไฟล์ภาพจากกล้องวงจรปิดปรากฏขึ้นเป็นแถวนิ้วเรียวยาวของเขากดเลือกไฟล์ช่วงเวลาหนึ่ง — เวลาที่ลิซ่ารายงานภาพในกล้องปรากฏใบหน้าที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้ในกับดักของเขา… “มายด์”เธอสวมแว่นกันแดดใหญ่ เดินจงใจตรงไปยังบริเวณโรงจอดรถด้านหลัง ซึ่งกล้องตัวที่เขาสั่งติดตั้งเพิ่มเป็นพิเศษจับภาพไว้ได้ชัดเจน เธอเดินเข้าไปหาใครบางคน — ลูกน้องของเขาในชุดลำลองที่ทำงานอยู่หน่วยความปลอดภัยภายในเสียงจากกล้องไม่มี แต่ภาพภาษากายบอกชัด...เธอยื่นซองเอกสารซองหนึ่ง
เมลินนั่งนิ่งบนเตียงสีเข้มของห้องกว้าง เปลือกตาขยับน้อยนิด ขณะที่ร่างกายอ่อนล้าเกินจะไหวติงขณะที่จิตใจของเธอเหมือนกำลังล่องลอยไปในอดีตที่ไม่อยากย้อนคิดถึงมันอีกเลย...เสียงกรีดร้องของแม่ในวันนั้นยังดังก้องอยู่ในหูวันนั้น...วันที่เธอตัดสินใจเสี่ยงชีวิต บุกเข้าไปยังโกดังเก่าริมท่าเรือเพื่อช่วยแม่ผู้ให้กำเนิด ซึ่งถูกมายด์หลอกล่อและจับตัวไว้ภาพที่ฝังแน่นในหัว...ไม่ใช่แค่ใบหน้าบิดเบี้ยวของมายด์ที่เต็มไปด้วยความสะใจ แต่เป็นใบหน้าของชายอีกคนที่ไม่ควรอยู่ตรงนั้น...ภาคินชายหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเป็นเพื่อนสนิทของคิรินทร์เขายืนอยู่ข้างมายด์ — ไม่เพียงแค่นิ่งเฉยต่อเสียงร้องของแม่เธอ แต่ยังมีท่าทีข่มขู่ด้วยคำพูดเย็นเยียบ“พาแม่เธอกลับไปให้ไกลที่สุด ถ้าฉันเห็นหน้าเธอหรือแม่เธอเฉียดใกล้คิรินทร์อีก...ฉันสาบานว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเธอจะได้หายใจ”เมลินจำได้ทุกคำ ทุกสีหน้า และทุกอณูความรู้สึกที่กัดกินใจแต่...เธอไม่มีหลักฐาน ไม่มีอะไรที่จะเอาไปบอกคิรินทร์ได้เลยเขาจะเชื่อเธอหรือ?
เสียงหอบยังแทรกผ่านริมฝีปาก ก่อนที่เมลินจะถูกจับพลิกร่างกลับอย่างรุนแรง และถูกยึดครองอีกครั้งจากด้านหน้า“มองหน้าฉัน…แล้วบอกสิว่าเธอไม่รู้สึกอะไรกับฉันเลย”คีรินทร์กระซิบเสียงพร่า ขณะร่างใหญ่กระแทกเข้าสุดแก่นอีกครั้งจังหวะนั้น เมลินสะท้านจนแทบน้ำตาไหล เพราะมันลึก มันแน่น มันเจ็บแต่มันก็หวานหวิวเหมือนตกลงเหวแห่งความรักและความแค้นพร้อมกัน“ฉัน...ไม่...” เธอพยายามห้ามน้ำตา พยายามปฏิเสธทั้งที่เสียงครางยังสั่นไหวอยู่ในลำคอเขาใช้ปลายนิ้วเชยคางเธอขึ้น บีบแน่นแต่ไม่ถึงกับทำร้าย“เธอโกหก...แม้แต่ตอนนี้ก็ยังโกหก”พูดจบ เขาก็ ดูดเม้มปากเธออย่างรุนแรง — ราวกับจะลงโทษถ้อยคำลวงโลกที่เธอกลืนมันไว้กับหัวใจลิ้นร้อนแทรกเข้าไปภายใน…เกี่ยวพันอย่างบ้าคลั่ง หยาบคายแต่โหยหาจนเธอเกร็งสะท้านไปทั้งตัวร่างกายเขาเคลื่อนไหวเร็วขึ้น รุนแรงขึ้นกระแทก — ลึกขึ้นบดขยี้ — หนักหน่วงกว่าเดิมดึงต้นขาเธอขึ้นคร่อมบนสะโพกเขา แล้ว สอดแทรกในมุมที่ลึกกว่าเดิม จนเธอสะดุ้
เสียงลมหายใจของเด็กชายตัวน้อยที่หลับอยู่ในอ้อมแขนผู้เป็นแม่ ดังสม่ำเสมออย่างสงบ ภายใต้แสงไฟอ่อนของห้องพักฟื้นในโรงพยาบาล เมลินก้มมองลูกน้อยด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักข้างกายคือชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทดำที่นั่งเงียบไม่ไหวติง สายตาของเขาไม่ได้จ้องที่โทรศัพท์ ไม่ได้อ่านเอกสาร แต่กลับจ้องนิ่งไปยังใบหน้าลูกที่หลับตาพริ้ม...ลูกที่หน้าเหมือนเขาราวกับแกะใบหน้านั่น...โครงหน้านั่น...แม้แต่ขมวดคิ้วตอนหลับ ก็ยังเหมือนเขาอย่างกับถอดกันมามันทำให้เขาไม่สบายใจความรู้สึกในอกเหมือนถูกตีวนด้วยหมัดใหญ่ๆ ความห่วงใยที่ไม่น่าเกิดขึ้นนี้...มันคืออะไร?ไม่ เขาไม่เชื่อ...เขา ยังไม่เชื่อ ว่าเด็กคนนี้จะเป็นลูกของเขาจริงอาจเป็นเรื่องบังเอิญ หรือ...บางทีเธอก็แค่สร้างเรื่องให้เขารู้สึกผูกพัน แล้วกดเขาไว้ด้วยคำว่าพ่อ...คีรินทร์เบือนหน้าหนี หัวใจเต้นแรงขึ้นทุกครั้งที่ลูกชายเรียกหาเขา หรือเผลอยิ้มให้เขาด้วยความไว้ใจไร้เดียงสามันราวกับมีอะไรบางอย่างค่อยๆ ทะลวงกำแพงในใจ...และเขาเกลียดมันเกลียดความรู้สึกนี้...ห้าวันเต็มๆ ที่น้องน๊อตต้องนอนโ
เสียงล้อรถแล่นเข้าจอดหน้าตึกฉุกเฉินในช่วงดึกสงัด ทันทีที่ประตูรถเปิดออก คีรินทร์ก็ก้าวลงมาก่อนจะอุ้มน้องน็อตที่ซบแนบอกเขาด้วยไข้ตัวร้อนจี๋ เมลินก้าวลงตามด้วยสีหน้าซีดเผือดและอ่อนแรง แต่ยังฝืนเดินไปกับเขาอย่างไม่คิดปล่อยลูกให้พ้นสายตาไฟในโถงฉุกเฉินสว่างจ้า แต่บรรยากาศโดยรอบกลับเต็มไปด้วยแรงกดดันและความเงียบงันที่แปลกประหลาด เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังสม่ำเสมอขณะชายร่างสูงในชุดสูทดำเดินตรงเข้ามา สายตานิ่งเย็นเฉียบพลันเหมือนคมมีดกรีดใจใครต่อใครในเสี้ยววินาทีคีรินทร์ กัลย์พิทักษ์ ไม่แม้แต่จะปรายตามองใครรอบตัว โทรศัพท์ในมือติดแนบหูอย่างรวดเร็ว“อคิน อยู่ไหน?”“เพิ่งลงเครื่อง” เสียงตอบกลับนิ่งเย็น แต่ฟังดูไม่เร่งรีบ“เกิดอะไรขึ้น?”“ลูก...เมลิน ลูกชายเธอ ป่วย”เพียงประโยคนั้นก็เพียงพอให้ปลายสายเงียบงันไปชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงเร่งเร้า“ห้องไหน?”ไม่ถึงสิบนาทีต่อมา หมออคินก็มาถึงเขาในชุดกาวน์สีขาวเดินเข้าห้องฉุกเฉินทันที โดยไม่พูดพร่ำกับใคร ทิ้งให้เพื่อนมาเ