ร่างบางใช้เวลาทั้งหมดก่อนจะโดนเรียกประชุมไปกับการแก้แผนงาน ที่จริงแล้วแผนงานฉบับเดิมนั้นดูโอเคดีแล้วเพียงแต่มีบางจุดอย่างไม่สามารถตอบโจทย์ ‘บอส’ ได้ก็เท่านั้น ห้องประชุมทีม NewType นั้นอยู่ชั้นเดียวกันกับห้องประธาน ร่างบางรวบแฟ้มที่มีแผนงานอยู่ในนั้นรวมทั้งแฟลชไดรฟ์เพื่อเตรียมจะนำเสนอ ก่อนจะเลือกหลบมุมอยู่มุมหนึ่งเพื่อใช้สมาธิในการท่องจำ ระหว่างนั้นมือถือที่ปิดเสียงไว้ก็สั่นขึ้นมา ร่างบางปรายหางตาไปมองก่อนจะตัดสายด้วยความรวดเร็วก่อนจะส่งสติกเกอร์รูปหัวใจตอบกลับไปให้ทีนึง “ทุกคน บอสมาแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาพาให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ไม่นานนักก็ปรากฏร่างสูงในชุดสูทแบรนด์ดังดูได้จากลวดลายบนเสื้อเดินผ่านประตูเข้ามาด้วยท่าทางที่สง่างามไปทุกท่วงท่า ทว่าใบหน้านั้นติดจะเรียบเฉยเอนเอียงไปทางหงุดหงิดค่อนข้างมาก ร่างสูงเดินผ่านทุกคนไปนั่งตรงหัวโต๊ะอย่างไม่แม้แต่จะสบตาใครสักคน บรรยากาศขมุกขมัวที่แผ่ออกมาจากร่างสูงทำให้ห้องนี้เหมือนอยู่ในอากาศที่ติดลบหนาวสั่นไปทั้งตัว ด้านหลังของร่างสูงนั้นมีคุณจันทร์เลขาของบอสตามมาติดๆ เธอได้แต่ส่งยิ้มแหยๆ ให้คนในห้องและยกกำปั้นขึ้นเพื่อจะบอกว่า ‘สู้ๆ’
Special Chapter l พนักงานใหม่ หนึ่งวันผ่านไปก็แล้ว... สองอาทิตย์ผ่านไปก็แล้ว... สามเดือนผ่านไปก็แล้ว... แต่ก็ยังไม่มีวี่แววที่นับแต้มจะกลับมา! ภายในห้องทำงานของท่านประธานบริษัท Being you Group ที่อยู่ชั้นบนสุดของตึก เจ้าของห้องกำลังเคาะปากกาลงบนโต๊ะจนได้ยินเสียง กึก กึก อยู่ตลอดเวลา ใบหน้าหล่อเหลาที่ได้รับสืบทอดยีนเด่นมาตั้งแต่ต้นตระกูลนั้นกำลังขมวดคิ้วยุ่งบ่งบอกถึงอารมณ์ของเจ้าตัวที่ไม่คงที่นัก นัยน์ตาสีเข้มทอดมองหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองที่ดับไปแล้ว นึกย้อนถึงบทสนทนาของตนกับนับแต้มที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ของยิ่งรู้สึกหงุดหงิด เขาพยายามเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะกลับมาแต่เจ้าของปลายสายนั้นกลับเบี่ยงประเด็นไปที่เรื่องอื่นอย่างจงใจ นี่เขากำลังถูกทิ้งอีกครั้งเหรอ? ร่างสูงเริ่มนั่งไม่ติด เข่าที่อยู่ใต้โต๊ะเริ่มเขย่าไปมาอย่างเสียบุคลิก เป็นไปไม่ได้หรอก...ไนล์เริ่มคิดปลอบใจตัวเอง ในเมื่อสองเดือนแรกที่นับแต้มกลับไปนั้นเขายังเทียวขึ้นเทียวลงไปกลับเชียงใหม่-กรุงเทพฯ ทุกเสาร์อาทิตย์อยู่เลย อีกอย่างตอนที่ไม่ได้เจอกันเราก็ยังคุยโทรศัพท์หรือวิดีโอคอลกันเป็นปกติดี แม้ก
มีเวลาสักพักกว่าเครื่องจะออก เพราะเช็กอินทางอออนไลน์มาแล้วจึงไม่ต้องรีบมากนัก ฉันขึ้นชั้นสองแวะซื้อขนมไปฝากพี่ๆ เพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัยและที่คลับ ก่อนจะเข้ามาภายในของเกต โชคดีที่เกตที่ฉันต้องขึ้นอยู่ไม่ไกลนัก เดินไปแป๊บเดียวก็ถึง ภายในเกตคนน้อยกว่าข้างนอกมาก ฉันนั่งลงที่เก้าอี้รอประกาศการขึ้นเครื่อง ทอดสายตามองไปนอกอาคารเห็นเครื่องบินลำน้อยใหญ่จอดรอเรียงกันอยู่บนรันเวย์ ฉันยกมือถือขึ้นถ่ายรูปกับภาพเบื้องหน้าที่มองเห็นก่อนจะอัปลงในไอจีและส่งข้อความไปรายงานไนล์ “ขอโทษนะครับ ตรงนี้มีคนนั่งมั้ยครับ?” !!! ฉันเงยหน้าขึ้นขวับทอดสายตามองไปยังเจ้าของเงาที่ปกคลุมร่างของฉันเอาไว้ ดวงตาของฉันเบิกกว้างด้วยความตกใจ อวัยวะภายในอกเต้นสั่นระรัว นิ่งค้างอยู่แบบนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง “ไนล์...” ฉันเอ่ยเสียงแผ่วเหมือนจะคุยกับตัวเองมากกว่า “อื้ม ไนล์เอง” ร่างสูงยิ้มพลางทรุดตัวลงนั่งข้างฉัน “มาได้ไง ไหนบอกว่าจะไม่มาไม่ใช่เหรอ?” “กลัวเด็กร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่หน้าเกตก็เลยเข้ามาดูสักหน่อย” ไนล์เอ่ยแซว ร่างสูงงอนิ้วชี้แล้วมาแตะลงบนจมูกฉันเบาๆ “ไนล์เห็นนับแต้มยืนหันซ้ายหันขวาตั้งแต่อยู่นอ
Final Chapter officially “อย่าโมโหไปเลยน่า เขาคงเมานั่นแหละ น่านะ” ฉันพูดขึ้นเมื่อเราสองคนเข้ามาอยู่ในรถ หันหน้ามองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังตีหน้ามุ่ยอยู่ นัยน์ตาเข้มจับจ้องไปที่ท้องถนนที่อยู่ด้านหน้า มือทั้งสองข้างกำพวงมาลัยรถไว้แน่น ช่วงนี้อารมณ์ของร่างสูงนั่นค่อนข้างจะอ่อนไหว ซึ่งฉันรู้ดีว่าเขาเป็นแบบนี้เพราะอะไร ตลอดทางจากร้านชาบูมายังหอพักที่ฉันเช่าเอาไว้ร่างสูงไม่พูดอะไรออกมาสักแอะ ยิ่งพอเข้ามาในห้องอารมณ์ของอีกฝ่ายก็เหมือนจะดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ หน้าของเขามืดไปแปดส่วนขณะทอดสายตาไปยังกระเป๋าเดินทางที่เปิดอ้าอยู่ตรงมุมห้องเพราะยังเก็บของไม่เสร็จ ไนล์เดินปั้นปึ่งไปทิ้งตัวนั่งกอดอกอยู่บนเตียงนอน คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่นจนเกิดเป็นรอยย่นตรงหน้าผาก ฉันมองแผ่นหลังกว้างแล้วเดินตามไปทรุดตัวนั่งลงข้างๆ อ้าแขนกอดรวบร่างอีกฝ่ายเอาไว้พลางเงยหน้าขึ้นวางคางบนหัวไหล่ของเขาเป็นที่ค้ำ “ไม่ไปไม่ได้เหรอ” เป็นไนล์ที่เอ่ยออกมาก่อน เสียงของเขาฟังดูเศร้าสร้อยเสียจนคนฟังอย่างฉันใจอ่อนยวบ แต่ถึงอย่างนั้นฉันและไนล์ต่างก็รู้ดีว่ามันเป็นไปไม่ได้ “ไม่ไปก็เรียนไม่จบสิ” ฉันบอกในสิ่งที่เจ้าตัวรู้อยู่แ
“อื้อออ” “อืมมม” ไนล์ออกแรงกระแทกเอวสอบเข้ามาทีหนึ่งแรงๆ ก่อนจะกดค้างไว้อย่างนั้นพร้อมกับเสียงทุ้มที่คำรามออกมาพร้อมกับเสียงหวีดร้องของฉัน ไนล์ซุกหน้าลงกับหน้าอกของฉันที่กระเพื่อมขึ้นลงปรับอารมณ์ตัวเองให้กลับมาอยู่ในระดับปกติ สองร่างสอดประสานกันแบบนั้นสักพักก่อนร่างสูงจะถอนตัวออกไป “ไปเขียนรายงานให้นับแต้มเลยนะ” “สบายอยู่แล้ว! ให้เป็นหน้าที่ไนล์เอง” เวลาสามเดือนแห่งการฝึกงานผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ แต่หากพอมองดีๆ แล้วกลับมีเรื่องราวเกิดขึ้นอย่างมากมาย ฉันมองไปที่โต๊ะข้างตัวที่ว่างเปล่า อย่างน้อยหนึ่งในนั้นคือพี่สาเลือกที่จะลาออกไปแต่โดยดี ฉันเก็บของบนโต๊ะลงใส่กล่องลังด้วยความรู้สึกหน่วงใจเล็กน้อย เย็นนี้พี่ปิ่นเป็นเจ้ามือเลี้ยงส่งเด็กฝึกงานแผนกการตลาดที่ร้านบุฟเฟ่ต์ชาบูแห่งหนึ่งใกล้กับบริษัท เมื่อมาถึงก็เห็นโต๊ะขนาดยาวต่อกันไว้ให้พวกเราโดยเฉพาะ ทุกคนในทีมต่างกันแย่งกันจับจองที่นั่งโดยมีพี่ปิ่นนั่งอยู่หัวโต๊ะ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือแอลกอฮอล์ แต่ฉันที่เพิ่งไปเจอเรื่องของนับตังค์มาแล้วยังสะเทือนใจไม่หายก็ขอผ่านเครื่องดื่มพวกนี้ไปกดน้ำพันช์สีส้มมาดื่มแทน ชาบูทุกหม้อแน่นขนัด
ฉันเขม่นตาหรี่มองคนที่พูดไปตุเป็นตะ “ตลกละ” ไนล์หัวเราะก่อนจะดึงฉันเข้าไปกอด “พ่อกับแม่ไม่ได้ทิ้งนับแต้มหรอกนะ เขาแค่ดีใจที่มีคนมาดูแลนับแต้มเพิ่มขึ้นไง ถ้าอะไรๆ ลงตัวเราสองคนก็ไปเยี่ยมท่านให้บ่อยขึ้นดีมั้ย” “อื้ม” ฉันพยักหน้าอยู่กับอกร่างสูง “ว่าแต่...อาทิตย์หน้าก็จะฝึกงานเสร็จแล้วใช่มั้ย” ฉันชะงักมือที่กอดเอวอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะเงยหน้าไปทำตาโตใส่ไนล์ “จริงด้วย! นับแต้มยังทำรายงานไม่เสร็จเลย เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ยมัวแต่ยุ่งๆ เรื่องนับตังค์ อ๊ะ!” “รายงานน่ะเดี๋ยวค่อยทำ มาทำการบ้านกับไนล์ก่อน” ฉันร้องเสียงหลง ร่างของฉันที่ตั้งใจจะผละออกไปยังที่โต๊ะทำงานกลับต้องซวนเซมาอยู่ในอ้อมแขนของไนล์อีกครั้งริมฝีปากหยักก้มลงมาประทับจูบอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนลิ้นหยุ่นจะเข้ามากวาดต้อนความหวานด้านในด้วยความรวดเร็ว ไนล์ใช้ร่างกายที่ใหญ่โตกว่าดันร่างฉันให้ก้าวถอยหลัง และด้วยขนาดของพื้นที่ห้องที่ไม่ได้กว้างอะไรเลย เพียงเดินถอยหลังสองสามก้าวก็ชนเข้ากับขอบเตียงเสียหลักหงายหลังหล่นตุ๊บไปอยู่บนที่นอนแล้ว ยังดีที่เหมือนว่าร่างสูงได้คาดคะเนไว้แล้วจึงใช้มือหนายั้งแผ่นหลังฉันไว้ไม่ให้กระแทกลงไปอย่างเ