ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องที่อลันนอนดังขึ้น ชายหนุ่มดีดตัวเด้งเป็นสปริงและเดินเกาหัวแกรก ๆ ไปเปิดประตูห้อง เดาว่าเด็กตัวแสบมาปลุกเขาตั้งแต่เช้าตรู่แน่นอน
“ซูมี่พี่บอกแล้วไงว่า พี่มีเรียนตอน...”
“อาเอง ขอโทษที่มารบกวนอลันนะลูก”
คุณเพียงขวัญเอ่ยด้วยสีหน้าดูเป็นกังวลบางอย่าง อลันจึงสะบัดความง่วงนอนออกทันใด
“ไม่เป็นไรครับคุณอา มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“อาขอความช่วยเหลือจากเราหน่อยสิ ช่วยพาซูมี่ไปส่งที่โรงเรียนและรับกลับบ้านหน่อยได้ไหม ซิงอีไข้ขึ้นสูงมาก อากำลังจะพาไปหาหมอ คุณหลินก็ออกไปทำงานตั้งแต่เช้าแล้วด้วยสิ”
สีหน้าเธอดูคร่ำเครียดที่แยกร่างทำหน้าที่แม่ดูแลลูกสองคนพร้อมกันไม่ได้ อลันเข้าใจความรู้สึกของเธอเป็นอย่างดี จึงตอบรับที่จะช่วยเหลือแบบไม่ลังเล
“ได้เลยครับคุณอา เดี๋ยวผมไปส่งน้องให้ครับ”
“ขอบใจนะอลัน เราขับรถเป็นและมีใบขับขี่ใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“อ่านี่กุญแจรถ ซูมี่เลิกเรียนตอน 4 โมงเย็นค่อยเอารถมาคืนตอนไหนก็ได้ที่สะดวกเลย อาฝากหน่อยนะลูก”
คุณเพียงขวัญยื่นกุญแจรถเบนซ์คันหรูป้ายแดงให้กับเขา พร้อมบอกพิกัดที่ตั้งโรงเรียนให้อลันก่อนจะรีบอุ้มเจ้าซิงอีไปโรงพยาบาลด้วยรถอีกคัน เมื่อพูดคุยจบอลันจึงรีบเดินไปเคาะประตูห้องฝั่งตรงข้ามเพื่อพาเด็กน้อยไปโรงเรียน
ก๊อก ก๊อก
“ซูมี่แต่งตัวเสร็จยัง พี่เข้าไปได้ไหม” แม้ว่าจะเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก เขาก็ให้เกียรติในเรื่องความเป็นส่วนตัวไม่ต่างกับผู้ใหญ่
“พี่อลันเหรอ ช่วยซูมี่หน่อยค่ะ”
ซูมี่ตะโกนสุดเสียงให้คนข้างนอกได้ยิน อลันจึงเปิดประตูเข้ามาแล้วพบว่าเด็กน้อยยืนจับกระโปรงนักเรียนเอาไว้ข้างหนึ่งด้วยสีหน้าเบะเหมือนคนจะร้องไห้
“เด็กดื้อทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“ดึงไม่ขึ้น เจ็บ”
ซูมี่ชี้ให้อลันดูว่าเธอพยายามรูดซิปกระโปรงนักเรียนขึ้น แต่ก็ไม่สำเร็จสักที จนเขาสังเกตเห็นนิ้วชี้กับนิ้วโป้งของเด็กน้อยเป็นรอยแดงก่ำ
“เขยิบตัวมาให้พี่ดูหน่อย”
ปกติคุณเพียงขวัญจะเป็นคนแต่งตัวให้ซูมี่ โดยที่เด็กน้อยไม่ต้องหยิบจับอะไรทั้งนั้น เพียงแค่ยืนอยู่เฉย ๆ เธอก็เข้าใจว่าอลันก็คงจะเป็นเหมือนกับคุณแม่ จึงปล่อยมือตัวเองจากที่จับขอบกระโปรงเอาไว้
“ซูมี่! ทำไมไม่จับกระโปรงไว้”
อลันตกใจเมื่อเห็นกระโปรงหล่นไปกองอยู่ที่พื้นทั้งที่เขายังไม่ได้รูดซิปให้เลย เขารีบดึงกระโปรงกลับขึ้นมาดังเดิม
“ก็พี่อลันบอกจะดูให้นี่คะ”
“ก็ใช่ แต่เราต้องจับมันไว้ก่อนสิ ไม่ใช่มาปล่อยทิ้งแบบนี้ รู้ไหมมันโป๊”
“ไม่โป๊ หม่าม้าเคยบอกอยู่กันแค่สองคนในห้อง ไม่มีใครเห็น” อลันก้มหน้าถอนหายใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นบอกซูมี่ให้ถือกระโปรงไว้
“ฟังพี่นะ เราห้ามปล่อยหรือเปิดกระโปรงให้ใครเห็นเป็นอันขาด ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ตาม ยกเว้นหม่าม้าเข้าใจไหม”
ซูมี่พยักหน้ารับ แต่ก็เกาหัวแบบงง ๆ ในที่สุด อลันก็ดึงซิปรูดขึ้นได้สำเร็จ พวกเขาจึงพากันออกจากห้องไปขึ้นรถ
ระหว่างทางนั่งรถไปโรงเรียน ซูมี่ก็ร้องเพลงภาษาจีนไปตลอดทางจนคนขับอย่างเขารู้สึกประหลาดใจ เด็กตัวเล็กแค่นี้จำเนื้อร้องหมดได้ยังไง เขาก็พอฟังความหมายเพลงออกบ้าง เพราะคุณพ่อเคยส่งให้เรียนพิเศษภาษาจีนตัวต่อตัวกับเหล่าซรือจากปักกิ่ง
ไม่ถึง 30 นาทีจากบ้าน อลันก็ขับรถผ่านเข้าทางประตูใหญ่ของโรงเรียนและวนหาที่จอดรถส่งเด็กน้อย
“ถึงแล้วซูมี่”
อลันเดินไปเปิดประตูรถฝั่งที่เธอนั่ง ก่อนจะเดินจูงมือไปหาคุณครูตรงทางเข้าตึกเรียน พอเดินไปถึงเด็กน้อยก็ยกมือไหว้สวัสดีคุณครู
“สวัสดีจ้าซูมี่ อุ๊ย! วันนี้ใครมาส่งเอ่ย เป็นคุณพ่อใช่ไหมคะ” คุณครูวัยประมาณเลขสี่หันหน้าไปถามผู้ชายที่ดูไม่คุ้นหน้าคุ้นตากันมาก่อน
“ผมเป็นพี่ชายครับ”
“อ๋อก็ว่าอยู่ว่าทำไมคุณพ่อหน้าเด็กจัง อิอิ เดี๋ยวครูช่วยดูแลน้องต่อให้นะคะ พี่ชายไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ”
“ขอบคุณครับ ซูมี่เดี๋ยวตอนเย็นพี่มารับนะ”
“โอเคค่ะพี่ิอลัน”
ทั้งคู่โบกมือลาให้กัน คุณครูจูงเด็กตัวน้อยเข้าตึกเรียนจนเดินไปลับตา อลันจึงขับรถไปแถวมหาวิทยาลัยต่อ
@ ห้องเรียนชั้นประถมศึกษาตอนต้น
ชั่วโมงแรกประเดิมเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ซูมี่ชอบเรียนวิชานี้มาก เพราะได้ทั้งพูดสนทนาโต้ตอบและเพิ่มพูนคำศัพท์ไว้ในคลังสมอง บทเรียนที่คุณครูสอนในวันนี้เกี่ยวกับเรื่องของคำศัพท์ที่มีความหมายบ่งบอกลักษณะเป็นคู่
“นอกจาก Two ที่แปลว่าสอง เด็ก ๆ รู้ไหมจ๊ะ มีศัพท์คำไหนอีกที่สื่อความเป็นสองอย่างหรือเป็นคู่กันบ้าง”
“คำว่า Duo ค่ะ” เด็กนักเรียนหญิงที่สวมแว่นหนาเตอะยกมือขึ้นตอบเป็นคนแรก
“Pair ครับ” เด็กชายผมเกรียนนั่งหลังสุดของห้องยกมือตอบตาม
“Twin ได้ไหมคะคุณครู” ถึงตาซูมี่ขอยกมือตอบบ้าง
“เก่งมาก! ฝาแฝดถือว่าเป็นคู่เหมือนกัน ลองอีกสักหนึ่งคำเด็ก ๆ”
เด็กนักเรียนหันหน้าหากันด้วยความสงสัยว่าอีกคำจะเป็นคำว่าอะไร คุณครูก็อมยิ้มพร้อมจะเฉลย แต่ก็ให้เวลาเด็ก ๆ ได้ฝึกคิดก่อน
“มีใครตอบได้ไหมเอ่ย ถ้าไม่มีครูขอเฉลยเลยนะเด็ก ๆ คำว่า Couple นั่นเองจ้า แปลว่าคู่หรือคู่รักนั่นเอง”
“คู่รักเหรอคะ”
ซูมี่ที่กำลังโฟกัสในสิ่งที่คุณครูสอนดันสะดุดหูกับคำว่าคู่รัก เด็กน้อยนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่คุยกับพี่ชาย 'คู่กันถึงนอนด้วยกันได้' ไหน ๆ คำถามที่ค้างคาใจก็ยังไม่ได้คำตอบ เด็กน้อยจึงตัดสินใจยกมือถามคุณครู
“คุณครูคะ คู่กัน กับ คู่รัก เหมือนกันไหมคะ”
“เหมือนกันจ้ะ สงสัยอะไรเหรอซูมี่”
“หนูถามหน่อยค่ะ แล้วทำยังไงถึงจะได้เป็นคู่กันเหรอคะ
“ทำยังไงเหรอ อืม...เราต้องรู้จักคนคนนั้นก่อนนะ อาจจะเริ่มจากการเป็นเพื่อนหรือพี่น้องกันแล้วค่อย ๆ ทำความสนิทสนมกันไปเรื่อย ๆ รู้ว่าใครชอบอะไรและไม่ชอบอะไร พอรู้จักกันมากขึ้นก็มีความรู้สึกที่ดีต่อกัน อาจจะขยับขึ้นมาเป็นแฟนกัน แต่งงานกัน และอยู่ด้วยกันอย่างคู่รักตลอดไป พอจะเข้าใจไหมเอ่ยซูมี่”
“อ๋อจะเป็นคู่กัน...ก็ต้องได้เป็นแฟนกันก่อนใช่ไหมคะ”
“ใช่แล้วจ้า” ซูมี่พยักหน้าให้คุณครูเมื่อเข้าใจคำตอบอย่างถ่องแท้แล้ว
@ คณะบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการจัดการโรงแรม
“ไอ้อลัน เมื่อคืนมึงไปนอนไหนมาวะ”
เพื่อนชายชื่อเต้ถามด้วยความสงสัย เพราะเมื่อคืนอลันเงียบหายชนิดที่ติดต่อไม่ได้เลย
“ไม่เสือกสักเรื่องจะตายไหม กูกลับไปนอนบ้านไม่ได้หรือไง” เมื่อเขาอยู่กับกลุ่มเพื่อนสนิทจะกลายเป็นอีกคนที่ชอบพูดจาโผงผางทันที
“บ้านมึงหรือบ้านใครกันแน่ น้ำก็ไม่ยอมอาบ ต้องมาขออาบที่หอกู แถมยังมายืมชุดนักศึกษากูไปใส่อีกเนี่ย”
นายฟินน์เพื่อนอีกคนพูดปนบ่น และเขาไม่เชื่อว่าอลันพูดความจริง 100%
“เออแล้วเมื่อเช้ากูเห็นมึงขับเบนซ์ของใครมา ไม่น่าใช่รถของมึงนะ” นายธีร์เพื่อนคนที่ 3 จาก 4 ของกลุ่มถามเสริม
“บ้านหรือรถใครก็ได้ ไม่ใช่ของพวกมึงก็แล้วกัน จบนะ”
“โว้ ๆ พูดอย่างนี้เจ็บนะครับคุณเพื่อนสุดหล่อ”
เพื่อน ๆ ต่างโห่ร้องแซวกันไม่หยุดหย่อน โดยทุกคนต่างลงความเห็นกันว่าอลันต้องไปนอนค้างกับใครสักคนที่ดูจะเป็นคนพิเศษ ปกติเขาไม่ใช่คนที่ชอบไปนอนค้างอ้างแรมกับใครง่าย ๆ และมั่นใจว่าต้องเป็นสาวสวยสักคนที่พวกเขาอาจจะรู้จัก
เวลา 16.00 น.
คลาสเรียนบ่ายเจ้ากรรมดันเลิกเกินเวลาไปตั้งครึ่งชั่วโมง อลันก้มมองดูนาฬิกาข้อมือเพื่อคำนวณเวลาการเดินทางจากที่นี่ไปรับซูมี่ ป่านนี้เด็กน้อยคงจะออกมายืนรอเขาข้างหน้าตึกแล้ว ชายหนุ่มรีบเก็บของอย่างลวก ๆ เข้ากระเป๋า จนเพื่อนสังเกตเห็นความผิดปกติ
“ไปหาสาวเหรอครับพี่อลัน” ฟินน์เกริ่นพูดทำนองแซว
“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครหนอ พวกกูรู้จักไหมวะ” นายธีร์ถามต่อ
“กู จะ ไป รับ น้อง ที่ โรง เรียน”
อลันพูดเน้นเสียงชัดถ้อยชัดคำ ทุกคนจะได้เลิกเข้าใจเขาผิดเสียที
“มึงลูกคนเดียวไม่ใช่เหรอ” นายเต้ยิงคำถามต่อ
“ถ้าพวกมึงยังไม่หยุดถาม กูจะเลิกคบพวกมึงแล้วนะ”
อลันแยกเขี้ยวเป็นยักษ์ใส่เพื่อน ก่อนจะลุกเดินออกจากห้องเรียนไปโดยไม่สนเสียงเรียกตามหลังของเพื่อนเลย เห็นเขาดูเป็นคนจิตใจดี ก็ใช่ว่าจะชอบให้คนอื่นมายุ่งเรื่องส่วนตัวนัก แม้จะสนิทกันมากก็เถอะ
เขารีบบึ่งรถไปโรงเรียนเหยียบคันเร่งเกือบมิดไมล์ ใจห่วงเด็กน้อยที่รอเขานานแล้ว เมื่อเริ่มใกล้เขตรั้วโรงเรียนเขาก็ค่อย ๆ คลายคันเร่งให้เสมือนเต่าคืบคลานเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้ในขณะที่เด็กนักเรียนเดินข้ามถนน ชายหนุ่มรีบหมุนพวงมาลัยรถเพื่อหาที่จอดและสับขาวิ่งไปหาซูมี่ที่จุดรับส่ง เขากวาดสายตามองโดยรอบ จนกระทั่งพบเธอนั่งตัวขดงออยู่ที่โต๊ะหินอ่อนสีขาว
“ซูมี่ พี่ขอโทษที่มาสาย”
อลันเดินมานั่งย่อตัวข้างเธอด้วยความรู้สึกผิดที่ให้รอ ทว่าเด็กน้อยส่ายหน้าให้และพูดบางอย่างขึ้น
“หิว”
“ฮะ อะไรนะ”
“หิว...ข้าว” ซูมี่หันมองอลันด้วยใบหน้าที่อิดโรยเหมือนคนกำลังหมดแรง เขาเห็นดังนั้นจึงรีบอุ้มเด็กน้อยไปขึ้นรถทันที
เมื่อเขาขับรถพ้นเขตโรงเรียน ก็หันไปถามซูมี่ว่าอยากทานอะไรดี เธอตอบเขาไปว่าอยากทานติ่มซำ มีหรือพี่ชายเปย์คนนี้จะขัดใจน้องสาว อลันค้นหาแผนที่ร้านอาหารติ่มซำที่อร่อยที่สุดในย่าน จนไปเจอเข้ากับร้านหนึ่งที่หน้าตาอาหารน่ารับประทาน อีกทั้งยังมีพวกนักชิมรีวิวให้คะแนนไปในทิศทางบวกกว่าพันคอมเมนต์ในเพจร้าน เพียงสิบนาทีทั้งคู่ก็มาถึงยังจุดหมาย
สไตล์การตกแต่งร้านอาหารติ่มซำให้บรรยากาศเสมือนอยู่ในโรงเตี๊ยมดินแดนยุทธภพ โทนสีร้านเป็นสีแดงชาด ประดับด้วยโคมแดงทั่วร้าน ชั้นนั่งทานมีทั้งหมด 2 ชั้นด้วยกัน ชั่นล่างจะประกอบด้วย เวทีลักษณะเป็นวงกลมที่ตั้งอยู่ใจกลางร้านเพื่อเอาไว้โชว์การแสดงหรือเชิญนักดนตรีมาบรรเลงกู่เจิง รอบเวทีเต็มไปด้วยโต๊ะกลมมากมายให้สำหรับลูกค้ามานั่ง ส่วนชั้นบนจะถูกจัดแบ่งเป็นห้อง ๆ เหมาะสำหรับรับประทานอาหารแบบส่วนตัวหรือแบบกลุ่มที้ต้องการความเป็นส่วนตัว สำหรับพวกเขาเลือกนั่งชั้นล่างแต่ออกห่างจากตัวเวทีมาเล็กน้อย เพราะอลันอยากให้เด็กน้อยได้เพลิดเพลินกับการนั่งทานอาหารมากกว่าชมการแสดง
อลันยกมือเรียกพนักงานเพื่อขอเมนูอาหาร ก่อนจะเอียงตัวไปเปิดเมนูให้ซูมี่เลือกจิ้มได้ตามใจชอบ เด็กน้อยอยากทานอะไรก็ทานด้วย และไม่นานอาหารที่สั่งก็ถูกนำมาวางเสิร์ฟเต็มโต๊ะ ซูมี่ตาลุกวาวเป็นประกายดังเพชรก่อนจะหยิบส้อมจิ้มขนมจีบหมูลูกโต ตามมาด้วยฮะเก๋าและสาหร่ายห่อกุ้ง เด็กน้อยเคี้ยวอาหารจนแก้มตุ่ยราวกับเป็นกระรอกน้อยยัดอาหารไว้ที่กระพุ้งแก้ม ชายหนุ่มได้แต่นั่งอมยิ้มมองการกินของเธอ
“พี่อลัน อ้าม” ซูมี่จิ้มขนมจีบปูขึ้นมาหนึ่งคำและเอื้อมมือป้อนพี่ชายสุดแขน
“อิ่มแล้วเหรอ ถึงให้พี่”
อลันกลัวซูมี่จะทานไม่อิ่มเลยถามดูให้แน่ใจ ทว่าเธอก็ยังยื่นส้อมป้อนค้างไว้อยู่อย่างนั้น เขาจึงยอมอ้าปากรับ
“ป่าป๊าสอนว่าต้องรู้จักมีน้ำใจแบ่งปันให้คนอื่น แล้วเราจะได้รับความสุขกลับมา”
เขารู้สึกยิ้มภูมิใจในตัวซูมี่มาก เธอเป็นเด็กดีน่ารักและว่านอนสอนง่าย อลันหวังว่าเมื่อเธอโตขึ้นจะเป็นคนดีที่มีคุณภาพในสังคม ถึงตอนนั้นอลันจะมีเวลามาพาเธอไปไหนมาไหนแบบตอนนี้หรือไม่นะ
“ซูมี่มีความฝันไหม” อลันเอ่ยถามเด็กตัวน้อย
“ก็มีฝันบ้างค่ะ แต่ตื่นมาก็จำไม่ได้แล้ว” คำตอบของซูมี่ทำให้อลันหัวเราะลั่นออกมา เพราะดันเข้าใจกันคนละความหมาย
“ฮ่า ๆ ไม่ใช่อย่างนั้น พี่หมายถึงเราอยากทำอะไร เช่น อยากเป็นหมอ หรือ อยากเป็นคุณครู”
“อ๋อ แล้วพี่อลันโตขึ้นอยากเป็นอะไรคะ”
“พี่เหรอ...ถ้าไม่ได้ทำธุรกิจของที่บ้าน คงจะเป็นนักวาดภาพน่ะ จริง ๆ พี่ชอบวาดรูปมากเลยนะ ไว้มีเวลาพี่วาดรูปให้ซูมี่สักรูปดีไหม”
“ดีค่ะ” เด็กน้อยยิ้มหน้าบานแฉ่ง ทำให้คนที่ฟังคำตอบพลอยยิ้มตามไปด้วย
“แล้วซูมี่จะตอบพี่ได้ยัง ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร”
ระหว่างที่ิชายหนุ่มรอคำตอบจากเด็กน้อยอยู่นั้น เขาก็ยกกาน้ำชาจีนโบราณเพื่อรินชาอู่หลงที่โปรดปรานลงในถ้วยน้ำชาเซรามิคลวดลายมังกร จากนั้นจึงค่อย ๆ ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม
“อยากเป็นแฟนพี่อลันค่ะ”
“แค่ก ๆ ว่าไงนะ?” เขาถึงกับสำลักน้ำหลังจากได้ยินคำพูดของเด็กน้อยวัย 8 ขวบตอบกลับ
“เป็นแฟนกับพี่อลันค่ะ”
คำพูดเธอช่างดูไร้เดียงสาตามประสาเด็กเสียจริง พี่ชายถึงกับทำตัวไม่ถูก ทว่าจะปฏิเสธไปโต้ง ๆ ก็กลัวเด็กน้อยจะเสียใจ เขาเลยคิดหาคำพูดที่ยังถนอมน้ำใจกับเธอ
“ซูมี่ ตอนนี้ยังไม่ได้หรอกนะ”
“ทำไมล่ะคะ พี่อลันไม่อยากคู่กับซูมี่เหรอ”
เด็กน้อยเริ่มทำหน้าเบะ เขาจึงต้องรีบพูดต่อ
“ไม่ใช่นะ ตอนนี้ซูมี่มีหน้าที่ที่ต้องทำคือ ต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้จบมหาวิทยาลัยก่อนนะ” อลันเอื้อมมือขึ้นลูบหัวซูมี่อย่างอ่อนโยน
“อืม...เรียนให้จบ” ซูมี่พยายามนำคำที่อลันบอกมาประมวลผลในสมองอันเล็กจิ๋วก่อนจะพูดต่อ
“ถ้าซูมี่เรียนจบแล้ว พี่อลันสัญญาจะเป็นแฟนกับซูมี่นะคะ”
แม้ว่าคำพูดของซูมี่จะดูเหมือนเป็นการผูกมัดไปในตัว อลันเพียงคิดแค่ว่าเป็นคำพูดของเด็กตัวเล็ก ไม่น่าจะต้องถือสาอะไรมากขนาดนั้น ไว้โตขึ้นอีกหน่อยเธอคงจะลืมคำพูดนี้ไปเอง
“ได้สิ พี่สัญญา”
1 เดือนต่อมา @ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัย เวลา 06.00 น.“นักศึกษาชั้นปีที่ 4 เชิญเข้าหอประชุมเลยครับ” ประธานสโมสรนักศึกษาประกาศเสียงผ่านโทรโข่งเพื่อกวาดต้อนนักศึกษาแต่ละคณะเข้าหอประชุมเพื่อเตรียมเข้าพิธีรับประกาศนียบัตรจบการศึกษาวันนี้นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวนมหาศาลจากต่างคณะมารวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยโดยไม่ได้นัดหมาย ยังไม่นับรวมญาติสนิทมิตรสหายที่มาร่วมแสดงความยินดีกับว่าที่บัณฑิตป้ายแดงในอีกไม่กี่ชั่วโมง จำนวนผู้คนหลั่งไหลเข้ามาราวกับฝูงมด หากจะติดต่อหากันคงต้องบอกที่นัดหมายไว้ให้เรียบร้อย ไม่เช่นนั้นคงพลัดหลงกันแน่ “ยัยมี่ทางนี้” ต้นข้าวชูมือขึ้นสูงเพื่อเรียกเพื่อนสาวที่กำลังเอามือถือแนบที่หูพลางกวาดสายตามองหาพวกเธอเมื่อซูมี่เห็นเป้าหมายจึงรีบเดินเบียดเสียดคนเข้าไปหาเพื่อนสาว “หวัดดีพวกแก ไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้” “จริง มาเข้าใจรุ่นพี่ปีก่อนก็ตอนนี้แหละเนอะมีมี่” ต้นรักเอ่ย“พวกเราเข้าไปห้องพิธีข้างในกันเถอะ ตรงนี้คนมันแน่นฉันหายใจไม่ออกแล้ว” ต้นข้าวเอ่ยชวน สามสาวเดินตามกันเข้าไปในห้องประชุมด้วยความทุลักทุเลกับชุดครุยที่ลากยาวติดพื้น ไหนจะรองเรื่องรองเท้าคัทชูที่สวมใส่กัดอีก ท
1 เดือนต่อมา@ คณะบริหารธุรกิจ“เย้! โปรเจคผ่านสักทีเว้ย!” แฝดสาวผู้พี่กระโดดโลดเต้นดีใจ“ดีใจเกินเหตุข้าว อย่าลืมสิว่ามีสอบอีกชุดใหญ่ไฟกะพริบ”แฝดผู้น้องย้ำเตือนเธอว่ายังเหลือโค้งสุดท้ายแห่งชีวิต ถ้าสอบไม่ผ่านก็เตรียมแหกโค้งปลิดชีพเรียนไม่จบไปได้เลย“เออว่ะ อย่าพูดสิฉันเศร้า” ต้นข้าวเสียงหงอยก่อนนั่งลงที่เก้าอี้แต่จะมีอยู่หนึ่งคนที่อยู่เหนือความเครียดและความกังวลใด ๆเพราะโลกของเธอช่างสดใสราวกับเดินเล่นอยู่ในดินแดนแห่งเวทมนตร์“คงจะมียัยมี่คนเดียวที่เบิกบานใจ” ต้นข้าวถึงกับหยิบปากกาขว้างไปที่หัวเหม่งของคนที่ถูกกล่าวถึง“โอ๊ย!ยัยข้าวเจ็บ” หญิงสาวที่โดนขว้างปากกาใส่หัวหันมาเรียกชื่อเพื่อนสาวฝาแฝด“มีความสุขเหลือเกินแม่สาวหมวย พอมีแฟนเป็นตัวเป็นตนก็เทเพื่อนเลยนะยะ” ต้นข้าวเอ่ยเชิงน้อยใจ“ฉันทิ้งพวกยูตรงไหน มา ๆ วันนี้มีแพลนไปไหนกัน ฉันไปด้วย”ซูมี่เอ่ยถามสองแฝดว่าวันนี้มีที่ไหนอยากไป เธอพร้อมจะไปด้วยเพื่อเป็นการไถ่โทษที่ช่วงนี้อยู่กับพวกเธอน้อยกว่าเดิม“ชิ ถ้าฉันบอกว่าอยากไปดื่มเหล้า แกจะไปกับพวกฉันเหรอ” ต้นข้าวเอ่ยถามทั้งที่รู้ว่าซูมี่คงไม่ไปด้วยแน่“ไปสิ ดื่มเหล้านี่ของชอบเลย” หญิงสาว
3 สัปดาห์ต่อมาความรักของชายหนุ่มกับหญิงสาวเริ่มสุกงอม หลายสัปดาห์ก่อนเขาและเธอได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นในสถานะความสัมพันธ์ที่เรียกว่าแฟนอลันตัดสินใจเปิดตัวซูมี่ต่อครอบครัวเขาและเธออย่างเป็นทางการโดยเชิญพวกท่านมาเป็นสักขีพยานช่วงทานอาหารมื้อค่ำที่โรงแรม HTND ทั้งคุณพ่อคุณแม่ของเขาและเธอต่างพากันตกใจในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ทว่าพวกท่านก็ไม่ได้ขัดที่ทั้งคู่จะคบหาดูใจกันพร้อมทั้งเอ่ยปากร่วมแสดงความยินดีไปในตัว ถือว่าทั้งคู่โชคดีที่ครอบครัวเปิดไฟเขียวให้คบหาดูใจกันได้ตามสะดวก ทางครอบครัวซูมี่ยังเอ่ยฝากฝังลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนกับอลันไว้ด้วย ซึ่งเขารับปากสัญญาว่าจะดูแลเธอเป็นอย่างดีในวันนี้อลันขออนุญาตทางผู้ปกครองของซูมี่พาเธอไปเที่ยวหรือที่เรียกกันว่าชวนไปออกเดต หากเป็นคู่รักคู่อื่น ๆ คงจะพาไปดูหนัง กินข้าว ร้องคาราโอเกะ เดินเล่นในสวน แต่สำหรับพวกเขาซึ่งตัวติดกันอย่างกับหมากฝรั่ง สถานที่ที่เขาเดตกันก็มีเพียงที่เดียวที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวนั่นคือ คอนโดของชายหนุ่ม@ คอนโดของอลันเมื่อทั้งคู่เปิดประตูห้องเข้ามาแล้ววางสัมภาระไว้ที่โต๊ะเรียบร้อย ไม่ทันไรผู้ชายคลั่งรักก็พุ่งตัวเข้าไปสวมกอดแฟนสาวจา
@ คอนโดของอลันเวลา 08.30 น.กริ๊งงงง!เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือที่ตั้งเอาไว้โดยซูมี่ดังขึ้น เธอเอื้อมมือสุดแขนไปที่โต๊ะเล็กข้างเตียงเพื่อปิดมันก่อนจะดันตัวเองจากเตียงแล้วลุกนั่งตัวตรงในสภาพที่ยังไม่ลืมตาตื่น“อยากนอนต่อจัง…ไม่ได้สิ เราอยู่คอนโดพี่อลันนี่นา”ซูมี่สะดุ้งตัวฟื้นคืนสติว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ที่บ้าน ทว่ายังอยู่ที่คอนโดผู้ชายที่เธอน่าจะเรียกได้เต็มปากแล้วว่า…แฟนหนุ่มหญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงแล้วพับผ้าห่มอย่างประณีตตามหลักสูตรวิชาการโรงแรมที่เรียนมา ก่อนจะเดินไปเปิดประตูทักทายยามเช้ากับชายหนุ่ม“อรุณสวัสดิ์ค่าพี่อลัน เอ…ยังไม่ตื่นเหรอ”ซูมี่กวาดตามองทั่วทิศเพื่อหาผู้ชายร่างสูง และพบว่าเป้าหมายยังคงนอนหลับสนิทอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น เธอค่อย ๆ ย่องฝีเท้าให้เบาประดุจดังขนนกมาหยุดอยู่ที่โซฟาก่อนจะย่อตัวลงเอามือชันเข่าพลางโน้มตัวจ้องมองใบหน้าของอลัน“คนอะไร ขนาดหลับยังหล่อเลย”เธอยื่นนิ้วเรียวเล็กเอื้อมไปปัดปอยผมข้างหน้าของอลันที่บังตาไว้เพื่อจะได้เห็นความหล่อของแฟนตัวเองชัด ๆหมับ!ยังไม่ทันจะได้ชื่นชมเต็มอิ่ม จู่ ๆ ข้อมือของเธอก็ถูกจับโดยผู้ชายที่นอนอยู่ แถมเขายังดึงร่างเธอใ
สามปีก่อน (สมัยซูมี่อยู่ปี 1 และซิงอีอยู่ ม.6) @ บ้านตระกูลหลินเวลา 19.00 น.“กลับมาแล้วค่ะ / ครับ” เสียงเด็กหนุ่มวัยมัธยมปลายและสาววัยมหาวิทยาลัยแจ้งคนในบ้านให้ทราบว่าพวกเขาเดินทางกลับถึงบ้านเป็นที่เรียบร้อย“วันนี้เป็นไงกันบ้างเด็ก ๆ ” คุณเพียงขวัญเอ่ยถามลูกรักทั้งสอง “เหนื่อยครับคุณแม่ ผมขอตัวไปนอนเลยนะครับ” ซิงอีพูดจบก็รีบขึ้นบันไดเข้าห้องนอนตัวเองทันที“อ้าว ไม่กินข้าวกินปลาก่อนเหรอลูก” ผู้เป็นแม่เอ่ยไล่หลังแต่ลูกชายไม่ตอบกลับอะไรเลย “เดี๋ยวซูมี่ไปดูน้องเองค่ะคุณแม่” ซูมี่รีบเดินขึ้นบันไดตามน้องชายตัวเองไปเธอมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพลางเคาะประตูขออนุญาตเปิดเข้าไป ภาพที่เธอเห็นคือซิงอีล้มตัวลงนอนทั้งที่ยังใส่ชุดนักเรียนอยู่เลย “ซิงอี ลุกขึ้นไปอาบน้ำก่อนค่อยมานอน เชื้อโรคมันจะสะสม” “ไม่ไหวแล้วซูมี่ วันนี้ผมเหนื่อยมากขอนอนพักแป๊บ เดี๋ยวมีนัดเล่นเกมตอนดึกกับเพื่อนต่อ” แปะ! พี่สาวตีไปที่หลังน้องชายเสียงดังแปะในขณะที่เขานอนคว่ำหน้าอยู่“โอ๊ย! พี่ทำไรเนี่ย” จนเขาต้องหันหน้ามาคุยกับเธอ “หมั่นไส้ ห่วงเล่นเกมอยู่ได้ หนังสืออ่านมั่งไหม ปีนี้แกต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนะ” “เออผมรู้แ
@ WithUs Café and Restaurantแอ๊ด...ประตูถูกเปิดอีกครั้งหลังจากสามสิบนาทีก่อนหน้าถูกปิดลง หญิงสาวที่นั่งรอใครบางคนหันไปในทิศทางที่ประตูเปิดออกแล้วเผยรอยยิ้มให้ผู้ชายที่กำลังเดินเข้ามา“ดีใจจัง พี่อลันกลับมาแล้ว”ขณะเดียวกันผู้ชายคนนั้นก็เดินปรี่เข้ามาสวมกอดผู้หญิงตรงหน้า“พี่คิดถึงเราจัง”เมื่อหญิงสาวได้ยินเขาเอ่ยแบบนี้จึงดันตัวเขาออกทันที คนที่สวมกอดถึงกับทำหน้างง“ถามจริง นี่ใช่พี่อลันตัวจริงหรือเปล่าคะ” ซูมี่เลิกคิ้วด้วยความสงสัย“ซูมี่…เราพูดอย่างกับพี่มีฝาแฝดอีกคนไปได้” คำตอบของเขาจะสื่อว่าไม่มีใครจะตัวจริงไปกว่านี้อีกแล้ว“ปกติพี่อลันไม่เคยทำตัวแบบนี้นี่นา ซูมี่แตะทีหรือกอดทีตะโกนโหวกเหวกตกใจทุกทีเลย”“มันเมื่อก่อนไหม ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว”“ไม่เหมือนเดิมยังไงคะ”“ก็เราเป็นแฟนของพี่แล้วไม่ใช่เหรอคะ”อลันกระชับกอดเอวบางแน่นขึ้น แถมยังพูดคำที่ซูมี่โคตรจะแพ้ใส่ไปในประโยคด้วย“ถ้าบอกยกเลิกตอนนี้ทันไหมคะ” ซูมี่ลองแกล้งพูดอำอลันเชิงขำขัน ทว่าเขาดันไม่รู้สึกขำด้วย“ลองดูสิ” อลันให้คำตอบสั้น ๆ พร้อมยักคิ้วให้“ได้ใช่ม้า”“เราก็ลองดูสิ แล้วเดี๋ยวก็รู้ว่าพี่จะทำยังไงต่อกับเรา”อลันไม่