เรื่องราวของรักต่างวัยที่อายุห่างกัน 1 ทศวรรษเศษ 12 ปีก่อน... เด็กน้อยวัย 8 ขวบ ดันอยากเป็นแฟนกับพี่ชายที่แสนดีวัย 20 ปี ซะงั้น เพราะอะไรกันล่ะ? เขาก็แสนจะเอ็นดูเธอเสมือนน้องสาวคนหนึ่ง จึงพยายามหาวิธีพูดเชิงถนอมน้ำใจเด็กน้อยไปก่อน โดยรับปากสัญญาว่าจะยอมเป็นแฟนด้วย หลังเธอเรียนจบมหาวิทยาลัย ตอนนั้นคิดแค่ว่า เมื่อเธอโตขึ้นอีกหน่อยก็คงจะลืมไปเอง...แต่ไม่! 12 ปีต่อมา... ปีสุดท้ายก่อนเรียนจบ เธอมาทวงสัญญาใจที่เคยให้ไว้ แต่เขากลับทำเป็นงงว่าคือสัญญาอิหยัง? จึงมีการประชันฝีปากกันเกิดขึ้น ซูมี่ : ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ ยังไงพี่อลันก็ต้องเป็นแฟนกับซูมี่ อลัน : หลิน ซูมี่! ซูมี่ : สัญญาต้องเป็นสัญญาค่ะ แม้ว่าในตอนนี้พี่จะไม่รู้สึกอะไรกับซูมี่เลยก็ตาม ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของซูมี่ที่จะทำให้พี่รู้สึกเอง
View More12 ปีก่อน
เวลา 20.00 น.
@ HTND Hotel, Bangkok
โรงแรมหรู 3 ชั้น ระดับ 5 ดาวใจกลางกรุง ตั้งตระหง่านติดริมฝั่งแม่น้ำออกแบบโครงสร้างสไตล์ไทยประยุกต์ ตัวอาคารถูกออกแบบให้มีความผสมผสานระหว่างไทยแท้ร่วมกับความเป็นยุโรป หรือที่รู้จักกัน 'สไตล์โคโลเนียล' โดยจะใช้ไม้ อิฐ และปูนเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง ผนังปูนถูกทาทับด้วยสีเหลืองอ่อนตัดกับสีขาวที่ถูกทาลงบนโครงไม้แกะสลักลายกนกอย่างลงตัว พื้นทางเดินภายในปูด้วยวัสดุไม้เคลือบเงามันวาว ชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์รวมถึงของตกแต่งโดยส่วนใหญ่เป็นของมูลค่าสูง และได้รับมาจากการประมูลวัตถุโบราณที่หายาก เพื่อให้แขกที่มาเข้าพักรู้สึกไม่ได้แค่มาพักผ่อน แต่ก็ยังได้เหมือนมาเดินเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ของสะสมไปในตัว
ในค่ำคืนนี้บริเวณลานจอดรถหนาแน่นไปด้วยรถหรูหลากหลายแบรนด์ชั้นนำระดับโลก กลุ่มผู้คนฐานะมั่งคั่งต่างพากันเดินทยอยเข้าไปยังห้องจัดเลี้ยงตามที่ถูกระบุไว้ในการ์ดเชิญ
เมื่อมาถึงยังห้องจัดงาน ทุกคนต่างร่วมวงสนทนากันประดุจดังญาติมิตรที่สนิทชิดเชื้อมาตั้งแต่ชาติปางก่อน หากสังเกตมองไปที่บนเวที จะพบกับป้ายขนาดใหญ่ที่ระบุข้อความเอาไว้ว่า
‘งานเปิดตัวโรงแรมในเครือ HTND แห่งแรกในภาคตะวันออก’
ในตอนนี้กลุ่มคนที่เห็นจะสะดุดตาที่สุดภายในงานคงหนีไม่พ้นชายหญิงสองคู่ ที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยทีมงานช่างภาพมืออาชีพที่คอยกดชัตเตอร์รัว ๆ ในทุกอิริยาบถของพวกเขา
ผู้ชายที่สวมชุดสูทสีดำเมี่ยมทั้งตัวคือคุณอคิณ หฤษฎ์ธานุเดช ประธานบริษัทโรงแรมและรีสอร์ตในเครือ HTND ส่วนผู้หญิงที่ยืนข้างกันคือภรรยาคุณราตรี หฤษฎ์ธานุเดช
ถัดมาอีกคู่ที่ยืนชิดกัน สุภาพบุรุษในชุดทักซิโด้ติดโบหูกระต่ายคือคุณชางอี หลิน ประธานบริษัทรับเหมาก่อสร้างฟาไฉ คอนสทรัคชั่น ผู้มีบทบาทรับผิดชอบโครงการก่อสร้างโรงแรมสาขาใหม่ที่จะถูกเปิดตัวภายในค่ำคืนนี้ เขามาพร้อมกับภรรยา คุณเพียงขวัญ หลิน และลูกน้อยน่ารักทั้งสองคน
“หม่าม้า เมื่อไหร่เราจะกลับบ้านกันคะ”
เด็กหญิงตัวน้อยนิดวัยไม่เกิน 10 ขวบ เดินมาจับชายกระโปรงชุดราตรีของผู้เป็นแม่พลางขยี้ตาข้างหนึ่ง เพื่อส่งสัญญาณบอกว่าอีกนิดเดียวตาเธอจะลืมไม่ขึ้นแล้ว
“เดี๋ยวก็ได้กลับแล้วซูมี่ ว่าแต่ซิงอีไปไหน”
คุณเพียงขวัญย่อตัวลงจับไหล่ลูกสาว ก่อนจะกวาดสายตารอบทิศเพื่อหาตัวลูกชายคนเล็ก
“ซิงอีเล่นอยู่กับเพื่อนค่ะ” ซูมี่ชี้นิ้วอ้วนกลมให้คุณแม่มองไปที่สวนตรงหน้าประตูทางเข้า
“งั้นซูมี่ไปเล่นกับน้องก่อนนะ ป่าป๊ากับหม่าม้าขอคุยธุระกับผู้ใหญ่ก่อนนะลูก” คุณเพียงขวัญดันตัวลูกสาวให้เดินไปหาน้องชายที่กำลัง วิ่งไล่จับกับเด็กผู้ชายคนอื่น ๆ
เด็กสาวเดินตาปรือหยุดที่ตรงขอนไม้ขนาดพอดีก้น ก่อนจะหย่อนตัวลงไปติดแหมะกับขอนไม้เพื่อดูน้องชายวิ่งเล่นกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน ทว่าขอนไม้ที่สาวน้อยนั่งอยู่นั้นแท้จริงแล้วถูกนำมาประดับตกแต่งเป็นป้ายยินดีต้อนรับแขกที่มาพัก ผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปมาต่างหันมามองเป็นตาเดียวพลางยิ้มให้กับความน่าเอ็นดูของเด็กน้อยที่เปรียบเสมือนตุ๊กตารูปปั้นดินเผาที่ไว้ต้อนรับแขกที่มาเยือน
“ซิงอี ยังไม่ง่วงเหรอ” ซูมี่ตะโกนสุดเสียงให้น้องชายได้ยิน
“ไม่ง่วง มาเล่นด้วยกันสิซูมี่”
ซิงอีกวักมือเรียกพี่สาวมาเล่นด้วยกัน แต่เธอดันส่งสัญญาณโบกไม้โบกมือกลับว่า ‘ไม่เล่น’ เด็กน้อยเริ่มหาววอด คอเริ่มอ่อนเปลี้ย เอียงทางซ้ายที ทางขวาที จนท้ายที่สุดซูมี่ก็ทรงตัวไม่อยู่ และหัวเจ้าตัวกำลังจะพุ่งลงดิน
“น้อง!”
เสียงตะโกนด้วยความตกใจจากชายหนุ่มผู้หนึ่งดังขึ้น เขารีบพุ่งตัวด้วยความไวเท่าที่จะทำได้เพื่อเอาฝ่ามือใหญ่ทั้งสองข้างไปรองรับหัวขนาดเท่าลูกฟักทองจิ๋วไว้ในอุ้งมือ ทว่าเด็กน้อยฟุบหน้าแหมะกับฝ่ามือได้เพียงสองนาที ก็เงยหน้าขึ้นตัวตรงดังเดิมแต่ยังอยู่ในสภาพที่หลับตาอยู่
“นุ่มเหมือนหมอนเลย แต่หายใจไม่ค่อยออก”
ซูมี่พูดด้วยน้ำเสียงงัวเงียฟังไม่ถนัด แต่พอจะจับใจความได้ว่าฝ่ามือของผู้ชายปริศนาคนนี้ท่าจะนุ่มสบาย ส่วนที่หายใจไม่ออกนั้นเป็นเพราะเด็กน้อยเอาหน้าลงฝ่ามือเต็มแรง จึงทำให้จมูกถูกกดทับปิดกั้นทางเดินหายใจของเธอนั่นเอง
“ง่วงเหรอน้อง พ่อแม่อยู่ไหนล่ะ”
ชายหนุ่มนั่งคุกเข่าให้พอดีตัวเด็กก่อนจะถามหาผู้ปกครอง เด็กน้อยเอี้ยวตัวชี้เข้าไปที่ประตูทางเข้าห้องจัดเลี้ยง เขาจึงรู้ทันทีว่าพ่อแม่ของเธอคงอยู่ภายในงาน นี่ก็มืดค่ำเสียแล้ว หากปล่อยเด็กมานั่งคนเดียวด้านนอกอาจจะเกิดอันตราย เขาจึงตัดสินใจจะพาเธอเข้าไปหาพ่อกับแม่
“เดี๋ยวพี่พาเราไปหาพ่อแม่ดีกว่า อยู่ข้างนอกคนเดียวอันตราย ว่าแต่ท่านชื่ออะไรล่ะ”
เมื่อได้ยินคำว่าจะพาไปหาพ่อแม่ข้างใน เด็กน้อยก็ค่อย ๆ ขยับเปลือกตาเปิดออกเพื่อมองคนตรงหน้า จากลักษณะดวงตาตี่เท่าเมล็ดถั่วกลับขยายโตขึ้นเท่าไข่ห่าน
“หล่อจัง”
ภาพตามจินตนาการของเด็กตัวเล็กที่เห็นผู้ชายคนนั้นคือ หนุ่มหล่อวัยรุ่นหน้าตาดี ผิวขาวราวน้ำนมข้าว ร่างสูงโปร่ง คิ้วหนาสีดำเข้ม ผมสีดำแสกกลาง สวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวไม่ทับเข้าในกางเกงยีน และใส่รองเท้าผ้าใบสีขาวล้วน
“เด็กน้อยฟังพี่อยู่หรือเปล่า”
ชายหนุ่มทวนถาม แม้จะรู้ว่าเด็กหญิงกำลังเอ่ยชมเขา ช่างดูน่ารักตามประสาเด็กเสียจริง ไม่นานเธอก็พยักหน้าบอกว่าจำที่พี่ชายคนนี้ถามได้
“หลิน ชางอี และ...” ทว่ายังเอ่ยสมาชิกในครอบครัวไม่จบ ชายหนุ่มก็พูดแทรกทันใด
“อ๋อลูกคุณอาหลินนี่เอง เราชื่อว่าอะไร”
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อหลิน ซูมี่ ชื่อเล่นว่า ซูมี่ อายุ 8 ขวบค่ะ เป็นลูกครึ่งไทย-จีน มีน้องชาย 1 คน ชื่อหลิน ซิงอี อายุ 7 ขวบค่ะ”
ซูมี่ตอบคำถามราวกับท่องจำมาจากการแนะนำตัวหน้าชั้นเรียน ทำให้เขาถึงกับหลุดขำออกมาก่อนจะเอ่ยชมเด็กน้อย
“พูดเก่งจังซูมี่ พี่ชื่ออชิรวิชญ์นะ เรียกพี่ว่าอลันก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะ
เด็กน้อย”“อายุกี่ขวบคะ” เด็กน้อยเอียงคอถามอายุพี่ชายที่คุยด้วย
“20 ขวบครับผม เอ...ถ้าพี่อยากรู้ว่าซูมี่มีอายุห่างกับพี่กี่ปีต้องคิดยังไงเอ่ย” อลันลองเล่นคณิตคิดเร็วเพื่อให้ซูมี่หายง่วง
“12 ปีค่ะ” เด็กน้อยตอบอย่างรวดเร็ว อลันถึงกับทึ่งความสามารถในด้านการคำนวณของซูมี่
“สุดยอดไปเลยซูมี่”
คำชื่นชมของอลัน ทำให้เด็กน้อยอย่างซูมี่ถึงกับยิ้มแก้มปริ อาการง่วงนอนก็พลันหายเป็นปลิดทิ้ง ทั้งสองพูดคุยกันถูกคอเหมือนรู้จักกันมานาน จนกระทั่งมีพนักงานโรงแรมเดินมาตามอลันให้เข้าไปในงาน เขาจึงหันมาบอกซูมี่ให้เข้าไปด้วยกันพร้อมกับจูงมือเธอ ส่วนซิงอีไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเด็กชายวิ่งเห็นหลังไกล ๆ เข้างานไปพร้อมกลุ่มเด็กผู้ชายแล้ว
อลันรู้จักตระกูลหลินเป็นอย่างดี เพราะครอบครัวตระกูลนี้รับเหมาก่อสร้างโรงแรมและโครงการต่าง ๆ ภายในเครือ HTND มาอย่างยาวนานชนิดที่ว่ามองตาก็รู้ใจไปมาหาสู่ดังญาติพี่น้องสายเลือดเดียวกันไปแล้ว ชายหนุ่มจูงมือเด็กน้อยค่อย ๆ ก้าวเดินอย่างไม่รีบร้อน จนกระทั่งมาหยุดตรงหน้าผู้ปกครองของเธอ
“สวัสดีครับคุณอาหลิน คุณอาเพียงขวัญ ผมพาน้องมาส่งครับ”
เขายกมือไหว้ผู้ใหญ่อย่างนอบน้อม ก่อนจะดันตัวเด็กน้อยไปหาพ่อแม่
“อาขอบคุณนะอลัน ที่พาเด็กดื้อมาส่ง”
คุณชางอียิ้มขอบคุณความมีน้ำใจของอลัน ทำให้พ่อแม่ของเขาที่ยืนอยู่ข้างกันรู้สึกภูมิใจในตัวลูกชายมาก ๆ
พิธีเปิดเริ่มขึ้นแล้ว ครอบครัวหฤษฎ์ธานุเดชถูกเชิญให้ขึ้นเวทีเพื่อกล่าวเปิดงาน ทว่ามีเพียงพ่อกับแม่ของอลันที่ขึ้นไป เขาปฏิเสธที่จะขึ้นด้วย เพราะคิดว่าตนเองแต่งกายไม่เหมาะสมเท่าไหร่ เผอิญช่วงนี้เป็นเทศกาลสอบและทำโปรเจคมากมาย เวลาของอลันส่วนใหญ่จะอยู่ที่มหาวิทยาลัย ไม่ก็ไปนอนค้างที่หอเพื่อน นาน ๆ ทีถึงจะได้กลับบ้าน วันนี้ชายหนุ่มรีบเร่งทำงานกลุ่มให้เสร็จและปลีกตัวออกจากมหาวิทยาลัยสุดชีวิต เพื่อที่จะมางานสำคัญของครอบครัวให้ทันการณ์
หลังจากคุณอคิณกล่าวเปิดโรงแรมอย่างเป็นทางการแล้ว พิธีกรจึงกล่าวเรียนเชิญผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในโครงการร่วมขึ้นมาถ่ายภาพบนเวที หนึ่งในนั้นก็มีครอบครัวตระกูลหลินด้วย ซิงอีเดินเกาะแขนแม่เป็นปลิงขึ้นไปบนเวทีเรียบร้อย ขณะที่่ซูมี่ยังยืนนิ่งอยู่ข้างอลัน
“ซูมี่ไม่ขึ้นไปถ่ายรูปเหรอ” อลันโค้งตัวมาถาม
“ไม่ค่ะ ซูมี่จะยืนอยู่เป็นเพื่อนพี่อลัน”
“ขอบคุณนะเด็กน้อย ไม่เปลี่ยนใจแน่นะ” อลันถามซูมี่อีกครั้ง เธอก็พยักหน้าตอบกลับว่าไม่เปลี่ยนใจ
พิธีจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ แขกที่มาร่วมงานต่างพากันแยกย้าย ผู้จัดงานเดินกล่าวอำลาและขอบคุณแขกที่มาร่วมงาน จนสุดท้ายเหลือเพียงครอบครัวผู้จัดงานและครอบครัวตระกูลหลินเท่านั้น ที่ยังดื่มด่ำความสำเร็จไม่จบสิ้น พวกผู้ใหญ่จะรู้ไหมนะว่ามีเด็กน้อยอยากพักสายตาเต็มทน ขนาดซูมี่ยังลืมตาไม่ขึ้น นับประสาอะไรกับซิงอี ตอนนี้เด็กชายนอนหลับคาอกผู้เป็นแม่เรียบร้อย
อลันเห็นท่าอีกไม่นานซูมี่ก็น่าจะสลบตามน้องชายไป เผลอ ๆ อาจลงไปนอนกองที่พื้นก็เป็นได้ จึงตัดสินใจจะอุ้มเธอให้นอนหลับ
“มา พี่อุ้ม”
ชายหนุ่มอุ้มร่างเล็กขึ้นมาโอบไว้ที่อก ซูมี่ที่ถูกอุ้มได้ไม่นานเมื่อรู้ว่ามีที่พักพิงก็เอนซบไหล่พี่ชายที่แสนดีโดยอัตโนมัติ จนผู้ปกครองตัวจริงถึงกับต้องแซว
“ไปลำบากพี่เขาอีกแล้วซูมี่” คุณเพียงขวัญเอ่ย
“เอาไปลองเลี้ยงดูสักอาทิตย์นึงไหมอลัน อาอนุญาต” คุณชางอีพูดเชิญชวน
“ถ้าบ้านผมรับมาเลี้ยงแล้ว ไม่ยกคืนให้นะครับ ฮ่า ๆ” เพียงคุณอคิณเอ่ย ทั้งวงสนทนาก็หัวเราะดังลั่นสนั่นห้อง
ทุกคนทยอยพากันเดินไปที่ลานจอดรถหลังจากพูดคุยกันจบ และกำลังเตรียมจะขึ้นรถกลับบ้าน ทว่ายังกลับกันไม่ได้ เพราะติดเจ้าเด็กน้อยซูมี่ที่ยังนอนนิ่งราวกับเป็นหุ่นขี้ผึ้งแนบอกของอลัน
“สงสัยได้กลับกับผมแน่” คุณอคิณพูดแซว
“เอาไงกันดีคะทุกคน” คุณราตรีแม่ของอลันถามความคิดเห็นทุกคน
“เอาแบบนี้ไหมครับ ผมขอติดรถคุณอาเพื่ออุ้มน้องไปนอนที่บ้านเลย แล้วเดี๋ยวผมค่อยตีรถกลับมาบ้านทีหลัง”
“มันเทียวไปเทียวมาหรือเปล่าลูก มืดค่ำแล้วอันตราย อาเป็นห่วง” คุณเพียงขวัญผู้มีสัญชาตญาณในความเป็นแม่เอ่ยด้วยความห่วงใยและรู้สึกเกรงใจ
“เอาอย่างนี้ อลันก็ไปนอนบ้านอาเลย มีห้องนอนว่างอีกตั้งหลายห้อง แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยกลับดีไหม” คุณชางอีเสนอ ซึ่งทุกคนต่างพากันเห็นพ้องต้องกันเป็นมติเอกฉันท์
อลันจึงอุ้มหนูน้อยขึ้นรถไปนั่งเบาะตรงกลาง เพื่อให้เด็กน้อยได้หลับยาว ๆ ส่วนเขาก็ได้พักกายให้หายเหนื่อยในระหว่างเดินทาง เมื่อรถเคลื่อนตัวออกมาได้สักระยะ ทุกคนต่างพากันงีบหลับ เว้นแต่เด็กน้อยที่นอนหลับไปก่อนใครเขา ดันลืมตาโตขึ้นพร้อมหันไปมองใบหน้าพี่ชายแสนดีที่โอบตัวเธอไว้ ซูมี่พยายามสะกิดให้เขาตื่นเพื่อจะขอขยับตัวลงจากตัก
“ไม่ต้องลง พี่ง่วงขี้เกียจปล่อยเราแล้ว”
“พี่อลันไม่หนักเหรอคะ”
ถ้าคนที่ถามดันเป็นเพื่อนสนิท เขาคงตอบกลับอย่างกวน ๆ ว่าเลยความรู้สึกนั้นไปนานแล้ว ตอนนี้เหน็บชาจนเหมือนกับขาทั้งสองข้างได้ขาดไป
“นอนต่อไปเลยเด็กดื้อ”
1 เดือนต่อมา @ หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัย เวลา 06.00 น.“นักศึกษาชั้นปีที่ 4 เชิญเข้าหอประชุมเลยครับ” ประธานสโมสรนักศึกษาประกาศเสียงผ่านโทรโข่งเพื่อกวาดต้อนนักศึกษาแต่ละคณะเข้าหอประชุมเพื่อเตรียมเข้าพิธีรับประกาศนียบัตรจบการศึกษาวันนี้นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จำนวนมหาศาลจากต่างคณะมารวมตัวกันที่มหาวิทยาลัยโดยไม่ได้นัดหมาย ยังไม่นับรวมญาติสนิทมิตรสหายที่มาร่วมแสดงความยินดีกับว่าที่บัณฑิตป้ายแดงในอีกไม่กี่ชั่วโมง จำนวนผู้คนหลั่งไหลเข้ามาราวกับฝูงมด หากจะติดต่อหากันคงต้องบอกที่นัดหมายไว้ให้เรียบร้อย ไม่เช่นนั้นคงพลัดหลงกันแน่ “ยัยมี่ทางนี้” ต้นข้าวชูมือขึ้นสูงเพื่อเรียกเพื่อนสาวที่กำลังเอามือถือแนบที่หูพลางกวาดสายตามองหาพวกเธอเมื่อซูมี่เห็นเป้าหมายจึงรีบเดินเบียดเสียดคนเข้าไปหาเพื่อนสาว “หวัดดีพวกแก ไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้” “จริง มาเข้าใจรุ่นพี่ปีก่อนก็ตอนนี้แหละเนอะมีมี่” ต้นรักเอ่ย“พวกเราเข้าไปห้องพิธีข้างในกันเถอะ ตรงนี้คนมันแน่นฉันหายใจไม่ออกแล้ว” ต้นข้าวเอ่ยชวน สามสาวเดินตามกันเข้าไปในห้องประชุมด้วยความทุลักทุเลกับชุดครุยที่ลากยาวติดพื้น ไหนจะรองเรื่องรองเท้าคัทชูที่สวมใส่กัดอีก ท
1 เดือนต่อมา@ คณะบริหารธุรกิจ“เย้! โปรเจคผ่านสักทีเว้ย!” แฝดสาวผู้พี่กระโดดโลดเต้นดีใจ“ดีใจเกินเหตุข้าว อย่าลืมสิว่ามีสอบอีกชุดใหญ่ไฟกะพริบ”แฝดผู้น้องย้ำเตือนเธอว่ายังเหลือโค้งสุดท้ายแห่งชีวิต ถ้าสอบไม่ผ่านก็เตรียมแหกโค้งปลิดชีพเรียนไม่จบไปได้เลย“เออว่ะ อย่าพูดสิฉันเศร้า” ต้นข้าวเสียงหงอยก่อนนั่งลงที่เก้าอี้แต่จะมีอยู่หนึ่งคนที่อยู่เหนือความเครียดและความกังวลใด ๆเพราะโลกของเธอช่างสดใสราวกับเดินเล่นอยู่ในดินแดนแห่งเวทมนตร์“คงจะมียัยมี่คนเดียวที่เบิกบานใจ” ต้นข้าวถึงกับหยิบปากกาขว้างไปที่หัวเหม่งของคนที่ถูกกล่าวถึง“โอ๊ย!ยัยข้าวเจ็บ” หญิงสาวที่โดนขว้างปากกาใส่หัวหันมาเรียกชื่อเพื่อนสาวฝาแฝด“มีความสุขเหลือเกินแม่สาวหมวย พอมีแฟนเป็นตัวเป็นตนก็เทเพื่อนเลยนะยะ” ต้นข้าวเอ่ยเชิงน้อยใจ“ฉันทิ้งพวกยูตรงไหน มา ๆ วันนี้มีแพลนไปไหนกัน ฉันไปด้วย”ซูมี่เอ่ยถามสองแฝดว่าวันนี้มีที่ไหนอยากไป เธอพร้อมจะไปด้วยเพื่อเป็นการไถ่โทษที่ช่วงนี้อยู่กับพวกเธอน้อยกว่าเดิม“ชิ ถ้าฉันบอกว่าอยากไปดื่มเหล้า แกจะไปกับพวกฉันเหรอ” ต้นข้าวเอ่ยถามทั้งที่รู้ว่าซูมี่คงไม่ไปด้วยแน่“ไปสิ ดื่มเหล้านี่ของชอบเลย” หญิงสาว
3 สัปดาห์ต่อมาความรักของชายหนุ่มกับหญิงสาวเริ่มสุกงอม หลายสัปดาห์ก่อนเขาและเธอได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นในสถานะความสัมพันธ์ที่เรียกว่าแฟนอลันตัดสินใจเปิดตัวซูมี่ต่อครอบครัวเขาและเธออย่างเป็นทางการโดยเชิญพวกท่านมาเป็นสักขีพยานช่วงทานอาหารมื้อค่ำที่โรงแรม HTND ทั้งคุณพ่อคุณแม่ของเขาและเธอต่างพากันตกใจในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ทว่าพวกท่านก็ไม่ได้ขัดที่ทั้งคู่จะคบหาดูใจกันพร้อมทั้งเอ่ยปากร่วมแสดงความยินดีไปในตัว ถือว่าทั้งคู่โชคดีที่ครอบครัวเปิดไฟเขียวให้คบหาดูใจกันได้ตามสะดวก ทางครอบครัวซูมี่ยังเอ่ยฝากฝังลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนกับอลันไว้ด้วย ซึ่งเขารับปากสัญญาว่าจะดูแลเธอเป็นอย่างดีในวันนี้อลันขออนุญาตทางผู้ปกครองของซูมี่พาเธอไปเที่ยวหรือที่เรียกกันว่าชวนไปออกเดต หากเป็นคู่รักคู่อื่น ๆ คงจะพาไปดูหนัง กินข้าว ร้องคาราโอเกะ เดินเล่นในสวน แต่สำหรับพวกเขาซึ่งตัวติดกันอย่างกับหมากฝรั่ง สถานที่ที่เขาเดตกันก็มีเพียงที่เดียวที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัวนั่นคือ คอนโดของชายหนุ่ม@ คอนโดของอลันเมื่อทั้งคู่เปิดประตูห้องเข้ามาแล้ววางสัมภาระไว้ที่โต๊ะเรียบร้อย ไม่ทันไรผู้ชายคลั่งรักก็พุ่งตัวเข้าไปสวมกอดแฟนสาวจา
@ คอนโดของอลันเวลา 08.30 น.กริ๊งงงง!เสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือที่ตั้งเอาไว้โดยซูมี่ดังขึ้น เธอเอื้อมมือสุดแขนไปที่โต๊ะเล็กข้างเตียงเพื่อปิดมันก่อนจะดันตัวเองจากเตียงแล้วลุกนั่งตัวตรงในสภาพที่ยังไม่ลืมตาตื่น“อยากนอนต่อจัง…ไม่ได้สิ เราอยู่คอนโดพี่อลันนี่นา”ซูมี่สะดุ้งตัวฟื้นคืนสติว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ที่บ้าน ทว่ายังอยู่ที่คอนโดผู้ชายที่เธอน่าจะเรียกได้เต็มปากแล้วว่า…แฟนหนุ่มหญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงแล้วพับผ้าห่มอย่างประณีตตามหลักสูตรวิชาการโรงแรมที่เรียนมา ก่อนจะเดินไปเปิดประตูทักทายยามเช้ากับชายหนุ่ม“อรุณสวัสดิ์ค่าพี่อลัน เอ…ยังไม่ตื่นเหรอ”ซูมี่กวาดตามองทั่วทิศเพื่อหาผู้ชายร่างสูง และพบว่าเป้าหมายยังคงนอนหลับสนิทอยู่ที่โซฟาในห้องนั่งเล่น เธอค่อย ๆ ย่องฝีเท้าให้เบาประดุจดังขนนกมาหยุดอยู่ที่โซฟาก่อนจะย่อตัวลงเอามือชันเข่าพลางโน้มตัวจ้องมองใบหน้าของอลัน“คนอะไร ขนาดหลับยังหล่อเลย”เธอยื่นนิ้วเรียวเล็กเอื้อมไปปัดปอยผมข้างหน้าของอลันที่บังตาไว้เพื่อจะได้เห็นความหล่อของแฟนตัวเองชัด ๆหมับ!ยังไม่ทันจะได้ชื่นชมเต็มอิ่ม จู่ ๆ ข้อมือของเธอก็ถูกจับโดยผู้ชายที่นอนอยู่ แถมเขายังดึงร่างเธอใ
สามปีก่อน (สมัยซูมี่อยู่ปี 1 และซิงอีอยู่ ม.6) @ บ้านตระกูลหลินเวลา 19.00 น.“กลับมาแล้วค่ะ / ครับ” เสียงเด็กหนุ่มวัยมัธยมปลายและสาววัยมหาวิทยาลัยแจ้งคนในบ้านให้ทราบว่าพวกเขาเดินทางกลับถึงบ้านเป็นที่เรียบร้อย“วันนี้เป็นไงกันบ้างเด็ก ๆ ” คุณเพียงขวัญเอ่ยถามลูกรักทั้งสอง “เหนื่อยครับคุณแม่ ผมขอตัวไปนอนเลยนะครับ” ซิงอีพูดจบก็รีบขึ้นบันไดเข้าห้องนอนตัวเองทันที“อ้าว ไม่กินข้าวกินปลาก่อนเหรอลูก” ผู้เป็นแม่เอ่ยไล่หลังแต่ลูกชายไม่ตอบกลับอะไรเลย “เดี๋ยวซูมี่ไปดูน้องเองค่ะคุณแม่” ซูมี่รีบเดินขึ้นบันไดตามน้องชายตัวเองไปเธอมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพลางเคาะประตูขออนุญาตเปิดเข้าไป ภาพที่เธอเห็นคือซิงอีล้มตัวลงนอนทั้งที่ยังใส่ชุดนักเรียนอยู่เลย “ซิงอี ลุกขึ้นไปอาบน้ำก่อนค่อยมานอน เชื้อโรคมันจะสะสม” “ไม่ไหวแล้วซูมี่ วันนี้ผมเหนื่อยมากขอนอนพักแป๊บ เดี๋ยวมีนัดเล่นเกมตอนดึกกับเพื่อนต่อ” แปะ! พี่สาวตีไปที่หลังน้องชายเสียงดังแปะในขณะที่เขานอนคว่ำหน้าอยู่“โอ๊ย! พี่ทำไรเนี่ย” จนเขาต้องหันหน้ามาคุยกับเธอ “หมั่นไส้ ห่วงเล่นเกมอยู่ได้ หนังสืออ่านมั่งไหม ปีนี้แกต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนะ” “เออผมรู้แ
@ WithUs Café and Restaurantแอ๊ด...ประตูถูกเปิดอีกครั้งหลังจากสามสิบนาทีก่อนหน้าถูกปิดลง หญิงสาวที่นั่งรอใครบางคนหันไปในทิศทางที่ประตูเปิดออกแล้วเผยรอยยิ้มให้ผู้ชายที่กำลังเดินเข้ามา“ดีใจจัง พี่อลันกลับมาแล้ว”ขณะเดียวกันผู้ชายคนนั้นก็เดินปรี่เข้ามาสวมกอดผู้หญิงตรงหน้า“พี่คิดถึงเราจัง”เมื่อหญิงสาวได้ยินเขาเอ่ยแบบนี้จึงดันตัวเขาออกทันที คนที่สวมกอดถึงกับทำหน้างง“ถามจริง นี่ใช่พี่อลันตัวจริงหรือเปล่าคะ” ซูมี่เลิกคิ้วด้วยความสงสัย“ซูมี่…เราพูดอย่างกับพี่มีฝาแฝดอีกคนไปได้” คำตอบของเขาจะสื่อว่าไม่มีใครจะตัวจริงไปกว่านี้อีกแล้ว“ปกติพี่อลันไม่เคยทำตัวแบบนี้นี่นา ซูมี่แตะทีหรือกอดทีตะโกนโหวกเหวกตกใจทุกทีเลย”“มันเมื่อก่อนไหม ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว”“ไม่เหมือนเดิมยังไงคะ”“ก็เราเป็นแฟนของพี่แล้วไม่ใช่เหรอคะ”อลันกระชับกอดเอวบางแน่นขึ้น แถมยังพูดคำที่ซูมี่โคตรจะแพ้ใส่ไปในประโยคด้วย“ถ้าบอกยกเลิกตอนนี้ทันไหมคะ” ซูมี่ลองแกล้งพูดอำอลันเชิงขำขัน ทว่าเขาดันไม่รู้สึกขำด้วย“ลองดูสิ” อลันให้คำตอบสั้น ๆ พร้อมยักคิ้วให้“ได้ใช่ม้า”“เราก็ลองดูสิ แล้วเดี๋ยวก็รู้ว่าพี่จะทำยังไงต่อกับเรา”อลันไม่
Comments