เขาเปิดให้ฉันดูพวก Presentation งานเก่า ๆ อาทิเช่นงานเปิดตัวแบรนด์ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า เครื่องประดับ เครื่องสำอาง รวมไปถึงเปิด รีสอร์ต โรงแรม งานแต่งงาน และโชว์รูมรถยนต์
พอดูมาถึงการเปิดตัวรถยนต์ ฉันก็อดคิดไปถึงพี่ภีมม์เจ้าบ่าวของฉันที่เขาเป็นเซลล์ขายรถ แน่นอนว่าถ้าพูดถึงการขายรถก็คงต้องมีการจ้างพริตตี้ เพราะงั้นชีวิตของเขาคงจะมีสาวสวย ๆ ระดับพริตตี้เข้ามาในชีวิตมากมาย รวมถึงผู้หญิงสวย ๆ คนนั้นที่ตั้งรูปเป็นสายโทรเข้ามา
เฮ้อ...ทำไมฉันถึงยังอดคิดมากในเรื่องนี้ไม่ได้นะ
หลังจากวันแรกที่ฉันทำงาน ผ่านมาสองอาทิตย์หลังจากที่ฉันเริ่มทำงาน ฉันสามารถปรับตัวและเรียนรู้งานใหม่ได้เป็นอย่างดี อาจจะเป็นเพราะส่วนหนึ่ง ฉันได้หัวหน้างานใจดีอย่างพี่แจน และได้คนสอนงานเก่ง ๆ อย่างลีโอ รวมถึงเพื่อนร่วมงานคนอื่นก็ดูเป็นมิตรหมดทุกคน
แต่…เห็นทีจะมีเพียงแต่คนที่บ้านของฉันเท่านั้นแหละ ที่ฉันยังคงปรับตัวไม่ได้เลย เราสองคนคุยกันแทบจะนับคำ ทั้ง ๆ ที่เราสองคนเพิ่งจะแต่งงานกันแต่กลับเหมือนอยู่กันคนละโลก
ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าพี่ภีมม์จะไม่ค่อยพอใจอะไรฉันหรือเปล่า เพราะถ้านับจากวันที่เขาโทรมาในวันที่ฉันเพิ่งทำงานวันแรกวันนั้น เขาก็ดูตึง ๆ ไป
“เราเลิกงานกี่โมง เดี๋ยวเย็นพี่ไปรับ”
“หา…พี่ภีมม์จะมารับเหรอคะ อย่าเลยค่ะเฟิร์นเกรงใจ อีกอย่างคือพอดีมีเพื่อนที่ทำงานของเฟิร์นบอกว่าคอนโดที่เราอยู่เป็นทางผ่านบ้านของเขาพอดี เขาเลยอาสาจะไปส่งเฟิร์นเองค่ะ”
“เพื่อน?”
“ใช่ค่ะ เพื่อนที่ทำงานแผนกเดียวกัน”
พี่ภีมม์เงียบไปนิดนึงเหมือนคิดอะไร ก่อนที่เขาจะตอบประโยคสั้น ๆ ออกมา
“ครับ”
แถมเขายังวางสายใส่ฉันในทันที ส่วนฉันก็ไม่ได้สนใจหรือไม่ได้คิดอะไรมากนักในตอนนั้น แต่ทว่าพอเลิกงานกลับมาฉันเห็นเตรียมอาหารเย็นรอไว้ให้ ก็แอบรู้สึกดีนิดหนึ่งที่เห็นพี่ภีมม์กำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่ในห้องครัวไว้ให้ฉัน
“ทำไมพี่ภีมม์เลิกงานไวละคะ”
“พี่ออกจากบริษัทมาไวครับ”
“อ้าวออกก่อนเวลาได้เหรอคะ เจ้านายบริษัทพี่ภีมม์ใจดีจัง”
เขาละจากการทำอาหารก่อนหันมามองฉันแว่บหนึ่ง แต่ไม่ตอบคำถามที่ฉันถาม แต่กลับเปลี่ยนไปพูดประโยคอื่น
“เราไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนเถอะ กลับมาเหนื่อยอาบน้ำเสร็จอาหารเย็นคงเสร็จพอดี”
“ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” จะว่าไปฉันก็แอบเขินนิดหน่อยที่เห็นผู้ชายหล่อ ๆ ขนาดนี้ใส่ผ้ากันเปื้อนแล้วมายืนทำอาหารให้ฉันกิน แต่ก็ยังมีแอบสงสัยนิดหน่อยว่าทำไมเขาถึงสามารถออกจากงานก่อนเวลาได้โดยที่บริษัทไม่ว่าอะไรเลย บริษัทที่พี่ภีมม์ทำงานอยู่นี่ใจดีชะมัด
ที่โต๊ะอาหาร
เต็มไปด้วยฝีมือของพี่ภีมม์ ทำให้ฉันรับรู้ได้อีกอย่างว่า นอกจากหน้าตาพี่ภีมม์จะหน้าตาดีมากแล้ว เขายังทำอาหารเก่งระดับน้องๆ เชฟอีกด้วย
“มีแต่อาหารน่าทานทั้งนั้นเลย ว่าแต่พี่ภีมม์ไปเรียนทำอาหารมาจากไหนเหรอคะ”
“เมื่อก่อนตอนพี่ไปเรียนที่บอสตันพี่เคยทำร้านอาหาร”
“โห ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยพี่ภีมม์นี่สู้ชีวิตมากเลย”
พี่ภีมม์ไม่ได้ตอบอะไร นอกจากพยักหน้าบอกให้ฉันรีบทาน คือฉันก็รู้แหละว่าเขาเป็นคนพูดน้อย แต่บางทีฉันก็ไม่รู้จะชวนคุยอะไรดีเหมือนกัน เอาแค่พี่ภีมม์เงยหน้ามามองตอนฉันตักข้าวเข้าปากฉันก็แอบรู้สึกเขินพี่ภีมม์ขึ้นมานิด ๆ ผู้ชายอะไรไม่รู้ตาคมเป็นบ้า
“แล้วพรุ่งนี้เราอยากให้พี่ไปส่งไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ ลีโอบอกว่าเป็นทางผ่านบ้านเขาเขาเลยจะแวะมารับ”
“ลีโอ?”
“เป็นบัดดี้ที่สอนงานน่ะค่ะ แต่นิสัยดีมาก ๆ เลย นี่เฟิร์นก็ได้ลีโอคอยแนะนำงานให้หลาย ๆ อย่าง เขาอธิบายงานได้ดีมาก ๆ”
“อ่อ...ครับ”
ทำไมฉันถึงรู้สึกเหมือนเห็นแววตาพี่ภีมม์เหมือนไม่ค่อยพอใจแว่บหนึ่งก่อนที่เขาจะก้มหน้าก้มตาตักอาหารใส่ปาก โดยไม่ชวนฉันคุยอะไรอีก แถมทานอาหารเสร็จก็ไม่ได้เข้านอนในทันที
หนำซ้ำพี่ภีมม์ยังไปนั่งทำงานต่อในห้องทำงานส่วนตัวของเขาอยู่จนดึก ส่วนฉันก็หลับไปก่อนที่พี่ภีมม์จะกลับมานอน
และเพราะตอนเย็นพี่ภีมม์เป็นฝ่ายทำอาหารเย็นให้ฉันทาน ตอนเช้าฉันเลยรีบตื่นเช้ากว่าปกตินิดหนึ่งเพื่อมาทำอาหารมื้อเช้าให้พี่ภีมม์ทานบ้าง อย่างน้อยก็ตอบแทนที่เมื่อวานเขาทำอาหารเย็นรอไว้ให้ฉัน
ซึ่งโชคดีที่อาหารเช้าทำง่ายกว่าอาหารเย็น เพราะเป็นเมนูพื้น ๆ เช่นพวกไข่ดาวไส้กรอกอะไรประมาณนี้ทำให้ฉันไม่ต้องลำบากอะไรนัก
“ทำไมตื่นเช้านักละครับ”
เสียงพี่ภีมม์ที่กำลังตื่นนอนเดินใส่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวออกมาจากห้องมาที่ห้องครัวแถมยังเดินตรงมาที่ฉัน ให้ตายเถอะฉันไม่ค่อยชินเท่าไหร่กับสภาพชายหนุ่มหล่อหุ่นที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นๆ แบบนี้เลย ฉันเผลอหันไปมองแค่แว่บเดียวก่อนจะหันมาสนใจกับการทำอาหารตรงหน้า
“ทะ...ทำอาหารเช้าให้พี่ภีมม์บ้างไงคะ ก็เมื่อเย็นพี่ภีมม์โชว์ฝีมือทำอาหารให้เฟิร์นบ้างแล้ว คราวนี้เฟิร์นก็เลยตั้งใจว่ามื้อเช้าเฟิร์นจะทำอะไรให้พี่ภีมม์ทานบ้าง”
“ไหนทำอะไร ให้พี่ช่วยไหม”
พี่ภีมม์พูดพลางเดินช้อนเข้ามาจากด้านหลังของฉัน แถมยัง ชะโงกมามองสิ่งที่ฉันทำแบบไม่ทันตั้งตัว ทำเอาฉันตกใจจนเผลอหันไปประจันหน้ากับเขา พอตัวจะเอนตัวหลบ หลังก็เกือบโดนเตาที่มีกระทะร้อน ๆ พี่ภีมม์เลยรั้งเอวฉันเข้ามาจนชิดแนบตัวเขา
ตึก ตึก ตึก
เขาจะได้ยินเสียงหัวใจของฉันที่เต้นแรงขนาดนี้ไหมเนี้ย
“ขะ ขอบคุณค่ะ”
น้องเกิด 1 กุมภาพันธ์ วั้นนั้นเขายังไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเพราะคุณแม่น้องเพิ่งคลอดใหม่ๆและเขาเจอน้องครั้งแรกในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั่นเป็นครั้งแรกที่ภีมม์เจอกับใบเฟิร์นทั้งสองบ้านสนิทกันมากไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ จนกระทั่งครอบครัวของภีมม์ ย้ายไปทำธุรกิจที่เมืองอเมริกา ภีมม์เลยไม่ได้มาหาใบเฟิร์นอีกแต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยลืมที่ตัวเองมีเจ้าสาว…#ภีมม์ตอน 9 ขวบ“แม่ครับ มีผู้หญิงเอาดอกกุหลาบมาให้ภีมม์ แต่ภีมม์ไม่รับไว้ ผิดไหมครับ”“อ้าว ทำไมละลูก”“ภีมม์บอกเขาว่าภีมม์มีเจ้าสาวแล้ว ภีมม์รับดอกไม้จากใครไม่ได้อีก ภีมม์ไม่ชอบให้ผู้หญิงคนอื่นมาทำแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ ภีมม์ขอแต่งงานกับน้องเฟิร์นเลยได้ไหมครับ”ตอนนี้ภีมม์โตขึ้นพอที่จะรู้ความหมายของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่หมายถึงคนที่ต้องแต่งงานอยู่ด้วยกัน“ไม่ได้ลูก น้องเพิ่ง 2-3 ขวบเอง เอาไว้ให้น้องเรียนจบมหาวิทยาลัยก่อนนะลูก”“งั้นถ้าจบ คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ใบเฟิร์นเป็นเจ้าสาวของภีมม์เลยนะครับ”“น้องภีมม์ครับ การเป็นเจ้าบ่าวคนไม่ใช่แค่เราไปขอเขาแต่งงานแล้วแต่งงานกันได้เลยนะครับ ก่อนอื่นลูกต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่ง ให้ได้ทำงานดี ๆ เป็นผู้นำคน มีอาชีพแ
“ภีมม์เข้ามาดูน้องสิลูก”เสียงผู้เป็นแม่หันมาเรียกลูกชายวัยเจ็ดขวบ เดินเข้ามาที่เตียงทารกตัวน้อยจิ้มลิ้มตัวแดง ๆ แก้มจ้ำม้ำที่ขยับตัวดุกดิ๊กไปมาอยู่บนเตียง“น่ารักจัง ตุ๊กตาหรือครับหม่าม๊า”“น้องเป็นคนจ๊ะ ไม่ใช่ตุ๊กตา”ภีมม์ขยับเข้าไปใกล้ด้วยความสนใจ สองมือจับขอบเตียงเด็ก จ้องมองทารกตัวน้อยที่ลืมตาแป๋วแหว๋ว ก่อนที่เด็กน้อยจะยิ้มหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างไม่รู้ภาษา มือน้อยควานสะเปะสะปะไปทั่ว ส่งผลให้ภีมม์ลองยื่นนิ้วชี้เข้าไปให้เด็กตัวน้อยจับด้วยความอยากรู้หมับ!มือเล็ก ๆ ของเธอนุ่มนิ่ม แต่จับเขาเอาไว้แน่นมาก“หม่าม๊าครับ น้องจับมือภีมม์แน่นเลย” ภีมม์ยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนใช้นิ้วชี้อีกข้างที่ว่างอยู่ จิ้มแก้มซาลาเปาของเด็กตัวน้อยเพราะดูนุ่มหยุ่นไปหมด“จับแน่นแบบนี้ แสดงว่าน้องจองภีมม์ไว้เป็นเจ้าบ่าวแน่ ๆ เลย” เสียงคุณน้าที่นอนอยู่บนเตียงและเป็นแม่ของเด็กทารกน้อยเอ่ยขึ้น“เจ้าบ่าว? เจ้าบ่าวคืออะไรครับ”“เจ้าบ่าวก็คือคนที่ต้องอยู่กับน้องไปตลอดชีวิตยังไงคะ”“หมายถึง ให้น้องใช้มือนุ่ม ๆ จับมือภีมม์แบบนี้ไปตลอดแบบนี้เลย นะเหรอครับ?”“ใช่จ๊ะ จับมือกันไปตลอดจนแก่เฒ่า”“แล้วปล่อยได้ไหมครับ”“
หลังจากที่เราปรับความเข้าใจกัน ถึงตอนนี้ฉันก็ไม่สนใจเสียงนกเสียงกาอะไรนั่นอีกแล้ว นอกจากจะเอาตัวเองมุ่งมั่นกับงานที่ทำ อย่างน้อยก็เพื่อให้งานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของพี่ภีมม์ดีที่สุด และเพื่อเป็นลบคำสบประมาทที่ใครต่อใครอาจจะนินทาฉันได้อีก ยิ่งตอนนี้พอมีพี่ภีมม์คอยให้กำลังใจและสนับสนุนงานฉันเต็มที่ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีพลังบวกเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่าถึงตอนนี้แม้คนจะยังคงซุบซิบเรื่องเดิม ๆ ของเรา แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันให้ความสนใจกับมันอีกต่อไป เพราะตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าสิ่งที่ฉันควรให้ความสนใจและสำคัญที่สุด คือความรักของฉันกับพี่ภีมม์มากกว่าที่มันมีมากขึ้นทุกวันต่างหากวันงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของบริษัททีเคยนต์มาถึงแน่นอนว่าเพราะเป็นรถนำเข้าหรูราคาหลายสิบล้าน ทำให้งานนี้เหล่าบรรดาเซเลปและสื่อมวลชนต่างให้ความสนใจกับงานวันนี้เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงคุณเจนนี่ที่ถูกเชิญมาเป็นแขกพิเศษมาร่วมงาน แต่กลับชอบทำตัวเสนอหน้าไปยืนอยู่ข้างพี่ภีมม์ทำเสมือนเป็นคนสำคัญข้างกายเขาเฮ้อ...จะว่าไปเธอก็น่าสงสารนะพยายามทำทุกอย่างก็แล้ว ก็ยังเป็นได้แค่เพื่อนฉันพยายามบอกกับตัวเองแบบนั้นแต่สุดท้า
อึก...พออ่านถึงตรงนี้ น้ำตาฉันก็ไหลออกมาหนักกว่าเก่า(เห็นโน้ตที่พี่เขียนเอาไว้ไหมครับ) เสียงพี่ภีมม์แทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฉันเงียบไปมีแต่เพียงสะอื้นที่แทรกเข้าไปในปลายสายเบา ๆ“ฮือ เห็นแล้วค่ะ ฮือ...พี่ภีมม์เฟิร์นขอโทษ”ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาเข้ามาในหัวใจ สุดท้ายแล้วพี่ภีมม์เองต่างหากที่เป็นฝ่ายรอรับสายโทรศัพท์มือถือจากฉัน ส่วนตอนนั้นที่ฉันโทรหาเขาไม่ติด ใช่ว่าพี่ภีมม์จะปิดเครื่องหนีแต่ความจริงแล้วตอนนั้นเขาอาจกำลังอยู่บนเครื่องบินเลยไม่ได้เปิดมือถือก็เป็นได้บ้าที่สุด ฮือ....(เฟิร์นครับ ถ้าพี่ทำให้เฟิร์นร้องไห้พี่ขอโทษนะ)“เฟิร์นต่างหากที่ควรขอโทษพี่ภีมม์”พี่ภีมม์วางสายไปแล้ว ในขณะที่ฉันหยิบกระดาษที่พี่ภีมม์ขึ้นมาอ่านซ้ำไปซ้ำมาน้ำตามันไหลออกมาไม่หยุดเลย มีแต่ฉันที่คิดเองเออเองไปคนเดียวทั้งนั้นแล้วตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาที่ฉันนั่งเสียใจและคิดมากอยู่เป็นคนเดียวทั้งเดียวล่ะ คืออะไรหลังจากที่ฉันวางสายจากพี่ภีมม์น้ำตามันก็ไหลออกมาราวกับทำนบแตก ครั้งนี้ฉันถึงได้ตระหนักเสียงหัวใจของตัวเองว่า ในเวลาที่ฉันไม่มีเขาหรือถ้าต้องเลิกกับเขาฉันคงทนไม่ไหวแน่ นี่สินะที่ใครๆ บอกไว้ว่าเราจะรู้ค่าขอ
ฉันรู้สึกจุกนิดหน่อยที่พวกเอ่ยถึงคุณเจนนี่ ดูเหมือนคุณเจนนี่น่าจะมีอิทธิพลต่อคนกลุ่มนี้พอสมควร ความจริงมันก็ไม่แปลกนักหรอกเพราะคุณเจนนี่มาหาพี่ภีมม์มากกว่าฉันที่เป็นภรรยาตัวจริงเสียอีก ซึ่งฉันไม่แปลกใจอะไรเลยสักนิดเมื่อคิดขึ้นได้ว่าพวกหล่อนอาจจะสนิทกับคุณเจนนี่มากพอสมควร“ถ้าพวกคุณว่างมากน่าจะไปทำงานกันนะคะ ถ้าคุณภีมม์รู้ว่าจ้างคนแบบพวกคุณมาทำงานเขาคงไม่ค่อยโอเค เห็นทีฉันคงต้องรายงานพี่ภีมม์บ้างแล้วละ”“แหมทำตัวเนียนเหมือนเป็นภรรยาเจ้าของบริษัทตัวจริงเลยนะ โน้นจ๊ะคุณภีมม์กับภรรยาตัวจริงเขาตอนที่อยู่ที่วอชิงตันดีซี” ไม่พูดเปล่าผู้หญิงคนนั้นยังเปิดรูปจากไอจีคุณเจนนี่ ที่เช็กอินอยู่ที่รัฐวอชิงตันดีซีมาให้ฉันดูแน่นอนในรูปมีพี่ภีมม์อยู่ในรูปของเธอจริง ๆภาพที่เห็นแม้สองคนจะไม่ได้ยืนใกล้ชิดกันแบบสนิทสนมแต่ก็ทำให้รู้ว่าทั้งสองคนอยู่ที่เดียวกันนี่สินะ...สาเหตุของการไม่โทรหาฉันเลยตลอดอาทิตย์นี้หัวใจมันชาจนแทบไม่มีความรู้สึก เมื่อเห็นว่าพี่ภีมม์อยู่กับคุณเจนนี่ที่อเมริกา ถึงจะเป็นรูปที่เธอเช็กอินเมื่อสองสามวันก่อน แต่มันทำให้มั่นใจได้เลยว่าคุณเจนนี่กับพี่ภีมม์คงเดินทางไปด้วยกันจากที่ตั้งใจจะ
น้ำตามันไหลออกมาจากไหนมากมายหนักก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันร้องไห้จนเผลอหลับไปบนที่นอน จนตอนเช้าของอีกวันเช้าที่ไม่มีพี่ภีมม์อยู่ข้าง ๆ ฉันต้องลากตัวเองเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวทั้งที่ตายังบวมเป่งจนเกือบจะปิด ดูตลกมากเสียจนต้องหาอะไรเย็น ๆ มาประคบเปลือกตาให้ยุบลงก่อนไปทำงาน“คุณเฟิร์น” ในขณะที่ฉันยืนเรียกรถ TAXI อยู่หน้าตึกก็พบว่าคนขับรถของพี่ภีมม์มารออยู่ก่อนแล้ว“อ้าว! สวัสดีค่ะคุณโจ มารับพี่ภีมม์เหรอคะพี่ภีมม์ไม่อยู่หรอกค่ะ น่าจะติดธุระ”“อ่อทราบแล้วครับ เมื่อวานผมเพิ่งไปส่งคุณภีมม์ขึ้นเครื่อง”“คะ...ขึ้นเครื่อง?”“คุณภีมม์ได้บอกคุณเฟิร์นเหรอครับ เห็นว่ามีประชุมด่วนกับบอร์ดบริหารของรถยนต์”“ออค่ะ เฟิร์นไม่ทราบเลย” ฉันพูดเพราะไม่รู้จริง ๆ พี่ภีมม์ไม่ได้บอกอะไรฉันเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะไปไหน อย่าว่าแต่เปิดเครื่องรับสายฉันหรือโทรมาเขายังไม่โทรมาด้วยซ้ำคุณโจทำสีหน้างง ๆ ก่อนจะเปิดประตูรถให้ฉันขึ้นไปนั่งบนรถ“เมื่อวานคุณภีมม์บอกว่าคุณน่าจะไม่สบายเลยให้นอนพักครับ ผมก็นึกว่าคุณจะไม่ออกไปทำงานเลยไม่ได้กลับมารอรับ”“อ่าค่ะ” ฉันซึ่งยังมึนงงอยู่เพราะไม่รู้ว่าพี่ภีมม์ไปไหนเลยยังสับสนอยู่เล็กน้อยจริงสินะเมื่อ