สภาพโคตรล่อแหลม เพราะหน้าของฉันอยู่ที่แผงอกเปล่า ๆ ของเขาแค่คืบ แถมพอฉันทำท่าจะผลักออกแต่ก็กลัวแผ่นหลังจะชนกับเตาเลยทำให้ขยับไปไหนไม่ได้ ซ้ำพี่ภีมม์ก็ไม่ยอมขยับตัวออก
“ซุ่มซ่ามเหมือนกันนะเนี่ยเรา”
“พี่ภีมม์นะแหละเดินเข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง”
“แต่พี่ก็ทักเราตั้งแต่เดินเข้ามาแล้วไม่ใช่หรือครับ”
คราวนี้ฉันเถียงไม่ออกเลยเพราะเป็นแบบที่พี่ภีมม์พูดจริง ๆ แต่ก็นั่นละ ฉันทั้งได้ยินทั้งเห็นว่าพี่ภีมม์เดินมา แต่ฉันแค่ไม่คุ้นชินกับกลายเห็นผู้ชายหล่อแบบนี้แล้วทำตัวแบบสบายเกินไปด้วยการใส่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวเดินไปเดินมาภายในบ้าน มันก็มีบ้างไหมที่วางตัวไม่ถูกนิดนึง
เข้าใจแหละว่าเราต้องปรับตัวเข้าหากันเพราะเราแต่งงานกันแล้ว แต่ฉันคิดไม่ถึงว่าเขาจะทำตัวแบบเป็นตัวของตัวเองมากไปหน่อย
แต่ยังไงแล้ว พี่ภีมม์ผิดก็อยู่ดีเพราะอยู่ ๆ ก็เข้ามาใกล้ชิดฉันขนาดนี้
“ก็เฟิร์นไม่ชินนี่คะ เวลาเห็นผู้ชายใส่แต่บ็อกเซอร์ตัวเดียวเดินไปเดินมาแบบนี้” ฉันพูดออกไปตรง ๆ
“เมื่อก่อนตอนพี่อยู่คนเดียวพี่ไม่ใส่อะไรเดินด้วยซ้ำ” เขาพูดพลางโน้มตัวมากระซิบที่ข้างหูเล่นเอาฉันยิ่งรู้สึกเขินไปกันใหญ่ คือแหม....คนเราเพิ่งอยู่ด้วยกันไม่จำเป็นต้องแสดงตัวตนชัดเจนขนาดนี้เลยก็ได้ม้างงงง
“ฟะ เฟิร์นว่าพี่ภีมม์ไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะค่ะ เดี๋ยวจะไปทำงานสายเจ้านายจะว่าเอา”
“เจ้านายพี่ใจดี”
“เห็นเขาใจดีก็ต้องยิ่งเกรงใจอย่าเอาเปรียบเขาสิคะ ไปอาบน้ำเถอะค่ะ เพราะนี่ใกล้เวลาลีโอจะมารับเฟิร์นไปทำงานแล้ว”
อยู่ ๆ ดีพี่ภีมม์ก็ปล่อยฉันจากอ้อมแขน แถมยังทำสีหน้าไม่พอใจเมื่อพูดเสร็จ หรืออาจจะตั้งแต่ฉันพูดชื่อลีโอ
“ที่ไม่อยากให้พี่ไปรับไปส่งเพราะอยากไปกับเพื่อนคนนั้นมากกว่า?”
“เปล่าเลยค่ะ เฟิร์นแค่เกรงใจพี่ภีมม์ กลัวพี่ภีมม์จะไปทำงานสาย ที่สำคัญเพื่อนมารับมาส่งก็ประหยัดดี”
“ทำไมต้องเกรง...”
ครืดดดด
“อุ้ย ลีโอน่าจะโทรมา สงสัยใกล้จะมาถึงแล้วเฟิร์นบอกเขาให้โทรบอกก่อนมาถึงยี่สิบนาที งั้นเดี๋ยวเฟิร์นไปเตรียมตัวก่อนนะคะ” ฉันเลี่ยงไปหยิบมือถือแล้วหันไปรับสายลีโอเพื่อนัดเวลา ก่อนจะวางสายแล้วหันมาตักอาหารใส่จานให้พี่ภีมม์ก่อนเอาไปวางไว้บนโต๊ะอาหาร
ส่วนพี่ภีมม์ก็ยังยืนมองด้วยสีหน้าที่ฉันเองก็คาดเดาไม่ถูก แต่ในเวลากระชั้นชิดที่ลีโอใกล้จะมาถึงแบบนี้ ทำให้ฉันไม่ทันได้ใส่ใจความรู้สึกของพี่ภีมม์มากนัก ฉันรีบถอดผ้ากันเปื้อนออกก่อนจะจัดเสื้อผ้าชุดทำงานให้เข้าที่ ดีว่าตั้งแต่ตอนตื่นนอนตอนเช้าฉันอาบน้ำมาแล้ว เลยไม่ค่อยแต่งตัวอะไรมากนักจึงทำเวลาได้ค่อนข้างไว
รู้ตัวอีกทีก็ออกจากห้อง โดยที่ไม่ทันสังเกตสีหน้าและความรู้สึกของพี่ภีมม์อีกเลย
และนับตั้งแต่วันนั้น ความสัมพันธ์ของฉันกับพี่ภีมม์ถึงไม่ได้พัฒนามากขึ้น นอกจากเลิกงานพี่ภีมม์เตรียมอาหารเย็นเอาไว้ให้ ส่วนตอนเช้าฉันเป็นฝ่ายเตรียมให้เขา และนอกจากนั้นเราก็แทบจะไม่ค่อยได้คุยกัน เพราะพี่ภีมม์มักจะใช้เวลาส่วนตัวอยู่ในห้องทำงานของเขามากกว่า
แต่ก็นะ….ช่างมันเถอะ ความสัมพันธ์ของคนที่ไม่ได้รักกันมาแต่งงานกัน ก็คงจะเป็นเหมือน ๆ กันหมด
อย่างนี้สินะที่มีคนบอกไว้ ถ้าเราโชคดีในเรื่องงาน ก็อาจจะโชคไม่ดีเรื่องความรักก็เป็นได้
ในขณะที่ผ่านไปเกือบสองอาทิตย์งานของฉันเริ่มลงตัวขึ้นเรื่อย ๆ
อยู่ ๆ พี่แจนหัวหน้าแผนกของฉันก็บอกว่า แผนกเรากำลังจะมีพนักงานใหม่เพิ่มเข้ามาอีกคน และคล้ายเธอจะเป็นเด็กฝากของผู้จัดการฝ่ายการเงินฝากมา
เธอชื่อเอมี่จบจากมหาวิทยาลัยเอกชน ดูเป็นลูกคุณหนูใส ๆ หน้าตาน่ารักไม่มีพิษมีภัย วันแรกที่เธอเข้ามาทำงาน เอมี่ก็ดูหน้าตาเป็นมิตรนอบน้อมน่ารักแถมยังยิ้มหวานให้กับฉัน แต่พอรู้ว่าฉันเองก็เป็นพนักงานใหม่และเพิ่งมาทำงานก่อนเธอสองอาทิตย์ อยู่ ๆ เธอก็ดูเชิดใส่ฉันขึ้นมาซะงั้น ซึ่งข้อนี้ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เอาเป็นว่าฉันมองเธอเป็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ไม่ได้มองเป็นคู่แข่งเพื่อสร้างงานผลงานอะไรทั้งนั้น และก็ไม่ได้ใส่ใจด้วยว่านางจะเชิดใส่ฉันเพราะอะไร เพราะฉันสนใจแค่งานที่ได้รับมอบหมายมากกว่า
ด้วยความที่ฉันผ่านการเทรนงานมาถึงสองอาทิตย์ ทำให้ในตอนนี้ฉันเริ่มสามารถออกหาลูกค้าเองได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสำหรับงานแรก ฉันยังต้องมีลีโอออกไปเป็นเพื่อนด้วยเพราะฉันยังใหม่มาก
“ตื่นเต้นไหมครับใบเฟิร์นที่จะต้องพบลูกค้ารายแรก”
“ถามได้ ตื่นเต้นสิเฟิร์นกลัวจะพรีเซนต์ติด ๆ ขัด ๆ มากเลย”
ทั้งที่เตรียมตัวมาดีมากแล้วนะ แต่เมื่อมันเป็นงานแรกที่ฉันต้องพบลูกค้า และเป็นงานที่จะต้องรับผิดชอบโดยตรง เลยอดที่จะประหม่าไม่ได้
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวถ้าติดตรงไหนเราช่วยเสริม”
ลีโอยิ้มอ่อนโยนมาให้ เขาใจดีกับฉันเสมอตั้งแต่วันแรกที่เข้างานเลยก็ว่าได้
เราสองคนมาที่บริษัท JK จิเวอรี่ เพราะเร็ว ๆ นี้ทางบริษัทกำลังจะเปิดสาขาใหม่ให้กับลูกสาวคนเดียวที่เพิ่งกลับมาจากอิตาลี ว่ากันว่าเธอเป็นลูกคุณหนูที่สวยมาก ชื่อ จณิสิตา เห็นม่ะ แค่ฟังชื่อก็สวยแล้ว แถมออฟฟิศของเธอก็ดูอลังการมาก เรียกว่าค่าตกแต่งภายในแบบนี้น่าจะหลายสิบล้าน รวมไปถึงถ้าฉันได้งานโปรเจคงานเปิดตัวสาขาจิเวอรี่ของเธอคงจะต้องเน้นความหรูหราและอลังการไม่เบา
ไม่ช้าเราสองคนก็พากันมาถึงที่หน้าห้องทำงานของเธอ โดยมีพนักงานจากด้านล่างตึกมาพาอีกที
“สวัสดีครับ เราสองคนมาพบคุณจณิสิตาที่นัดไว้”
ลีโอบอกกับเลขาสาวหน้าตาน่ารักที่นั่งอยู่หน้าห้อง ก่อนที่เธอจะส่งยิ้มหวาน ๆ กลับมาให้
“อ่อ ได้ค่ะคุณเจนนี่แจ้งเอาไว้แล้วค่ะ เชิญทางนี้เลยค่ะ”
เลขาสาวลุกขึ้นผายมือชวนพวกเราสองคน แต่ที่ฉันเอะใจนิดหน่อยคือชื่อที่เรียกว่า “เจนนี่” มันช่างเหมือนชื่อผู้หญิงคนนั้นที่เคยโทรหาพี่ภีมม์เจ้าบ่าวของฉันเลย
เฮ้อ…ทำไมถึงหนีชื่อนี้ไปไม่พ้นเลยนะ
และทันทีที่ประตูห้องเปิดขึ้น ภาพผู้หญิงในชุดสูทอามานี่สีขาวราวกับเจ้าหญิงผู้สง่างามหันมาส่งยิ้มให้กับฉันและลีโอ ฉันถึงกับตกตะลึง คือนอกจากความสวยมาก ๆ ของผู้หญิงตรงหน้าแล้ว คือผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงคนเดียวกับที่ฉันเห็นปรากฏรูปในหน้าจอมือถือของพี่ภีมม์
น้องเกิด 1 กุมภาพันธ์ วั้นนั้นเขายังไม่ได้เข้ามาเยี่ยมเพราะคุณแม่น้องเพิ่งคลอดใหม่ๆและเขาเจอน้องครั้งแรกในวันที่ 14 กุมภาพันธ์นั่นเป็นครั้งแรกที่ภีมม์เจอกับใบเฟิร์นทั้งสองบ้านสนิทกันมากไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ จนกระทั่งครอบครัวของภีมม์ ย้ายไปทำธุรกิจที่เมืองอเมริกา ภีมม์เลยไม่ได้มาหาใบเฟิร์นอีกแต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยลืมที่ตัวเองมีเจ้าสาว…#ภีมม์ตอน 9 ขวบ“แม่ครับ มีผู้หญิงเอาดอกกุหลาบมาให้ภีมม์ แต่ภีมม์ไม่รับไว้ ผิดไหมครับ”“อ้าว ทำไมละลูก”“ภีมม์บอกเขาว่าภีมม์มีเจ้าสาวแล้ว ภีมม์รับดอกไม้จากใครไม่ได้อีก ภีมม์ไม่ชอบให้ผู้หญิงคนอื่นมาทำแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนี้บ่อย ๆ ภีมม์ขอแต่งงานกับน้องเฟิร์นเลยได้ไหมครับ”ตอนนี้ภีมม์โตขึ้นพอที่จะรู้ความหมายของเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่หมายถึงคนที่ต้องแต่งงานอยู่ด้วยกัน“ไม่ได้ลูก น้องเพิ่ง 2-3 ขวบเอง เอาไว้ให้น้องเรียนจบมหาวิทยาลัยก่อนนะลูก”“งั้นถ้าจบ คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ใบเฟิร์นเป็นเจ้าสาวของภีมม์เลยนะครับ”“น้องภีมม์ครับ การเป็นเจ้าบ่าวคนไม่ใช่แค่เราไปขอเขาแต่งงานแล้วแต่งงานกันได้เลยนะครับ ก่อนอื่นลูกต้องตั้งใจเรียนหนังสือให้เก่ง ให้ได้ทำงานดี ๆ เป็นผู้นำคน มีอาชีพแ
“ภีมม์เข้ามาดูน้องสิลูก”เสียงผู้เป็นแม่หันมาเรียกลูกชายวัยเจ็ดขวบ เดินเข้ามาที่เตียงทารกตัวน้อยจิ้มลิ้มตัวแดง ๆ แก้มจ้ำม้ำที่ขยับตัวดุกดิ๊กไปมาอยู่บนเตียง“น่ารักจัง ตุ๊กตาหรือครับหม่าม๊า”“น้องเป็นคนจ๊ะ ไม่ใช่ตุ๊กตา”ภีมม์ขยับเข้าไปใกล้ด้วยความสนใจ สองมือจับขอบเตียงเด็ก จ้องมองทารกตัวน้อยที่ลืมตาแป๋วแหว๋ว ก่อนที่เด็กน้อยจะยิ้มหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมาอย่างไม่รู้ภาษา มือน้อยควานสะเปะสะปะไปทั่ว ส่งผลให้ภีมม์ลองยื่นนิ้วชี้เข้าไปให้เด็กตัวน้อยจับด้วยความอยากรู้หมับ!มือเล็ก ๆ ของเธอนุ่มนิ่ม แต่จับเขาเอาไว้แน่นมาก“หม่าม๊าครับ น้องจับมือภีมม์แน่นเลย” ภีมม์ยิ้มกว้างอย่างดีใจ ก่อนใช้นิ้วชี้อีกข้างที่ว่างอยู่ จิ้มแก้มซาลาเปาของเด็กตัวน้อยเพราะดูนุ่มหยุ่นไปหมด“จับแน่นแบบนี้ แสดงว่าน้องจองภีมม์ไว้เป็นเจ้าบ่าวแน่ ๆ เลย” เสียงคุณน้าที่นอนอยู่บนเตียงและเป็นแม่ของเด็กทารกน้อยเอ่ยขึ้น“เจ้าบ่าว? เจ้าบ่าวคืออะไรครับ”“เจ้าบ่าวก็คือคนที่ต้องอยู่กับน้องไปตลอดชีวิตยังไงคะ”“หมายถึง ให้น้องใช้มือนุ่ม ๆ จับมือภีมม์แบบนี้ไปตลอดแบบนี้เลย นะเหรอครับ?”“ใช่จ๊ะ จับมือกันไปตลอดจนแก่เฒ่า”“แล้วปล่อยได้ไหมครับ”“
หลังจากที่เราปรับความเข้าใจกัน ถึงตอนนี้ฉันก็ไม่สนใจเสียงนกเสียงกาอะไรนั่นอีกแล้ว นอกจากจะเอาตัวเองมุ่งมั่นกับงานที่ทำ อย่างน้อยก็เพื่อให้งานเปิดตัวรถรุ่นใหม่ของพี่ภีมม์ดีที่สุด และเพื่อเป็นลบคำสบประมาทที่ใครต่อใครอาจจะนินทาฉันได้อีก ยิ่งตอนนี้พอมีพี่ภีมม์คอยให้กำลังใจและสนับสนุนงานฉันเต็มที่ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีพลังบวกเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเป็นสิบเท่าถึงตอนนี้แม้คนจะยังคงซุบซิบเรื่องเดิม ๆ ของเรา แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันให้ความสนใจกับมันอีกต่อไป เพราะตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าสิ่งที่ฉันควรให้ความสนใจและสำคัญที่สุด คือความรักของฉันกับพี่ภีมม์มากกว่าที่มันมีมากขึ้นทุกวันต่างหากวันงานเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของบริษัททีเคยนต์มาถึงแน่นอนว่าเพราะเป็นรถนำเข้าหรูราคาหลายสิบล้าน ทำให้งานนี้เหล่าบรรดาเซเลปและสื่อมวลชนต่างให้ความสนใจกับงานวันนี้เป็นจำนวนมาก รวมไปถึงคุณเจนนี่ที่ถูกเชิญมาเป็นแขกพิเศษมาร่วมงาน แต่กลับชอบทำตัวเสนอหน้าไปยืนอยู่ข้างพี่ภีมม์ทำเสมือนเป็นคนสำคัญข้างกายเขาเฮ้อ...จะว่าไปเธอก็น่าสงสารนะพยายามทำทุกอย่างก็แล้ว ก็ยังเป็นได้แค่เพื่อนฉันพยายามบอกกับตัวเองแบบนั้นแต่สุดท้า
อึก...พออ่านถึงตรงนี้ น้ำตาฉันก็ไหลออกมาหนักกว่าเก่า(เห็นโน้ตที่พี่เขียนเอาไว้ไหมครับ) เสียงพี่ภีมม์แทรกขึ้นมาเมื่อเห็นว่าฉันเงียบไปมีแต่เพียงสะอื้นที่แทรกเข้าไปในปลายสายเบา ๆ“ฮือ เห็นแล้วค่ะ ฮือ...พี่ภีมม์เฟิร์นขอโทษ”ความรู้สึกผิดตีตื้นขึ้นมาเข้ามาในหัวใจ สุดท้ายแล้วพี่ภีมม์เองต่างหากที่เป็นฝ่ายรอรับสายโทรศัพท์มือถือจากฉัน ส่วนตอนนั้นที่ฉันโทรหาเขาไม่ติด ใช่ว่าพี่ภีมม์จะปิดเครื่องหนีแต่ความจริงแล้วตอนนั้นเขาอาจกำลังอยู่บนเครื่องบินเลยไม่ได้เปิดมือถือก็เป็นได้บ้าที่สุด ฮือ....(เฟิร์นครับ ถ้าพี่ทำให้เฟิร์นร้องไห้พี่ขอโทษนะ)“เฟิร์นต่างหากที่ควรขอโทษพี่ภีมม์”พี่ภีมม์วางสายไปแล้ว ในขณะที่ฉันหยิบกระดาษที่พี่ภีมม์ขึ้นมาอ่านซ้ำไปซ้ำมาน้ำตามันไหลออกมาไม่หยุดเลย มีแต่ฉันที่คิดเองเออเองไปคนเดียวทั้งนั้นแล้วตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาที่ฉันนั่งเสียใจและคิดมากอยู่เป็นคนเดียวทั้งเดียวล่ะ คืออะไรหลังจากที่ฉันวางสายจากพี่ภีมม์น้ำตามันก็ไหลออกมาราวกับทำนบแตก ครั้งนี้ฉันถึงได้ตระหนักเสียงหัวใจของตัวเองว่า ในเวลาที่ฉันไม่มีเขาหรือถ้าต้องเลิกกับเขาฉันคงทนไม่ไหวแน่ นี่สินะที่ใครๆ บอกไว้ว่าเราจะรู้ค่าขอ
ฉันรู้สึกจุกนิดหน่อยที่พวกเอ่ยถึงคุณเจนนี่ ดูเหมือนคุณเจนนี่น่าจะมีอิทธิพลต่อคนกลุ่มนี้พอสมควร ความจริงมันก็ไม่แปลกนักหรอกเพราะคุณเจนนี่มาหาพี่ภีมม์มากกว่าฉันที่เป็นภรรยาตัวจริงเสียอีก ซึ่งฉันไม่แปลกใจอะไรเลยสักนิดเมื่อคิดขึ้นได้ว่าพวกหล่อนอาจจะสนิทกับคุณเจนนี่มากพอสมควร“ถ้าพวกคุณว่างมากน่าจะไปทำงานกันนะคะ ถ้าคุณภีมม์รู้ว่าจ้างคนแบบพวกคุณมาทำงานเขาคงไม่ค่อยโอเค เห็นทีฉันคงต้องรายงานพี่ภีมม์บ้างแล้วละ”“แหมทำตัวเนียนเหมือนเป็นภรรยาเจ้าของบริษัทตัวจริงเลยนะ โน้นจ๊ะคุณภีมม์กับภรรยาตัวจริงเขาตอนที่อยู่ที่วอชิงตันดีซี” ไม่พูดเปล่าผู้หญิงคนนั้นยังเปิดรูปจากไอจีคุณเจนนี่ ที่เช็กอินอยู่ที่รัฐวอชิงตันดีซีมาให้ฉันดูแน่นอนในรูปมีพี่ภีมม์อยู่ในรูปของเธอจริง ๆภาพที่เห็นแม้สองคนจะไม่ได้ยืนใกล้ชิดกันแบบสนิทสนมแต่ก็ทำให้รู้ว่าทั้งสองคนอยู่ที่เดียวกันนี่สินะ...สาเหตุของการไม่โทรหาฉันเลยตลอดอาทิตย์นี้หัวใจมันชาจนแทบไม่มีความรู้สึก เมื่อเห็นว่าพี่ภีมม์อยู่กับคุณเจนนี่ที่อเมริกา ถึงจะเป็นรูปที่เธอเช็กอินเมื่อสองสามวันก่อน แต่มันทำให้มั่นใจได้เลยว่าคุณเจนนี่กับพี่ภีมม์คงเดินทางไปด้วยกันจากที่ตั้งใจจะ
น้ำตามันไหลออกมาจากไหนมากมายหนักก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าฉันร้องไห้จนเผลอหลับไปบนที่นอน จนตอนเช้าของอีกวันเช้าที่ไม่มีพี่ภีมม์อยู่ข้าง ๆ ฉันต้องลากตัวเองเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวทั้งที่ตายังบวมเป่งจนเกือบจะปิด ดูตลกมากเสียจนต้องหาอะไรเย็น ๆ มาประคบเปลือกตาให้ยุบลงก่อนไปทำงาน“คุณเฟิร์น” ในขณะที่ฉันยืนเรียกรถ TAXI อยู่หน้าตึกก็พบว่าคนขับรถของพี่ภีมม์มารออยู่ก่อนแล้ว“อ้าว! สวัสดีค่ะคุณโจ มารับพี่ภีมม์เหรอคะพี่ภีมม์ไม่อยู่หรอกค่ะ น่าจะติดธุระ”“อ่อทราบแล้วครับ เมื่อวานผมเพิ่งไปส่งคุณภีมม์ขึ้นเครื่อง”“คะ...ขึ้นเครื่อง?”“คุณภีมม์ได้บอกคุณเฟิร์นเหรอครับ เห็นว่ามีประชุมด่วนกับบอร์ดบริหารของรถยนต์”“ออค่ะ เฟิร์นไม่ทราบเลย” ฉันพูดเพราะไม่รู้จริง ๆ พี่ภีมม์ไม่ได้บอกอะไรฉันเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะไปไหน อย่าว่าแต่เปิดเครื่องรับสายฉันหรือโทรมาเขายังไม่โทรมาด้วยซ้ำคุณโจทำสีหน้างง ๆ ก่อนจะเปิดประตูรถให้ฉันขึ้นไปนั่งบนรถ“เมื่อวานคุณภีมม์บอกว่าคุณน่าจะไม่สบายเลยให้นอนพักครับ ผมก็นึกว่าคุณจะไม่ออกไปทำงานเลยไม่ได้กลับมารอรับ”“อ่าค่ะ” ฉันซึ่งยังมึนงงอยู่เพราะไม่รู้ว่าพี่ภีมม์ไปไหนเลยยังสับสนอยู่เล็กน้อยจริงสินะเมื่อ