“ฉันคงได้มาบ่อยแล้วล่ะค่ะ”
“แม้จิตของหนูจะเป็นเงือก แต่ร่างกายของหนูเป็นมนุษย์ ยังไงก็จะทานแต่ผักผลไม้ไม่ได้ หากจะให้ร่างกายแข็งแรงก็ต้องทานโปรตีนเสริมเยอะๆ ด้วยนะลูก”
“ฉันจะพยายามนะคะ”
ทั้งสองใช้เวลาอยู่ในห้องรับประทานอาหารร่วมสองชั่วโมง มนตรามัจฉาทั้งพึงพอใจกับรสชาติอาหารของมที่นี่ อีกทั้งยังรู้สึกอุ่นใจเมื่อได้อยู่ใกล้และพูดคุยกับเด่นจันทร์จนไม่อยากจะกลับ ทว่าก็ไม่อยากรบกวนเวลาของหญิงชรามากนักเธอเลยต้องจำใจบอกลา
“ขอบคุณคุณหมอมากๆ เลยนะคะที่ทำให้ฉันได้มารู้จักคุณย่า” สาวเจ้าหันหลังไปขอบคุณหมอหนุ่มที่อุตส่าห์เดินมาส่งเธอถึงที่ลานจอดรถ
“ยินดีครับ หลังจากนี้คุณมนตราก็จะไม่ได้มาเป็นคนไข้ของผมแล้วล่ะสิ”
“ไม่ได้เป็นคนไข้ แต่กลายมาเป็นลูกค้าประจำที่นี่แทนค่ะ แล้วต่อไปนี้คุณหมอก็เรียกฉันว่าชมพูนะคะ คนอื่นจะได้ไม่สงสัยอะไร”
“เข้าใจแล้วครับ”
“ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
มนตรามัจฉาขับรถกลับบ้านด้วยสีหน้าระรื่น อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้เป็นเงือกที่โดดเดี่ยวอยู่บนโลกใบนี้ ทว่าก็ยังสงสัยไม่น้อยว่าอำนาจของหัวใจสมุทรสามารถทำอะไรได้บ้าง หรือแท้จริงแล้วที่เธอต้องเข้ามาอยู่ในร่างของมนุษย์ก็เพราะอำนาจของหัวใจสมุทรเหมือนกัน
“หนูชมพู”
ยังไม่ทันที่มนตรามัจฉาจะลงจากรถหลังจากมาถึงหน้าหอพักของเธอจู่ๆ ป้าน้อยก็รีบเดินปรี่เข้ามาหาหน้าตาตื่น
“มีอะไรเหรอคะป้าน้อย”
“ตามป้ามาลูก” หญิงร่างท้วมรีบจูงมือคนที่เพิ่งลงจากรถเข้าไปยังหลังร้านของเธอ
“นั่งก่อนลูก”
มนตรามัจฉานั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับป้าน้อยที่ยังคงหน้าตาตื่นไม่คลาย
“รู้ไหมว่าป้าถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเพราะเลขที่หนูบอกป้าเลยนะ”
“จริงเหรอคะ”
“ป้าเอาเงินที่ขึ้นได้ไปใช้หนี้หมดแล้ว ตอนนี้ป้าล่ะอยากจะกราบหนูจริงๆ เลย” พูดจบก็เลื่อนตัวลงจากเก้าอี้เตรียมยกมือจะก้มกราบหญิงสาวจริงๆ ทำให้มนตรามัจฉาต้องรีบดึงมือหญิงวัยกลางคนให้กลับขึ้นมานั่งที่เดิมเสียก่อน
“ไม่ต้องกราบหนูค่ะป้าน้อย ป้าน้อยเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงไหมคะ”
“เชื่อสิ ไม่งั้นป้าจะไปไหว้ขอพรที่ต้นไม้ตอนทุกข์ใจทำไมล่ะ”
มนตรามัจฉาเงียบไปครู่หนึ่ง ในขณะนั้นเธอก็จ้องมองป้าน้อยไม่วางตาเพราะลังเลที่จะบอกเรื่องจริงกับคนตรงหน้าดีหรือไม่ ทว่าความเธอก็ไม่อยากให้ป้าน้อยมายกความดีให้เธอคนเดียว เพราะคนที่ช่วยจริงๆ คือนางไม้
“คนที่บอกตัวเลขพวกนั้นกับฉันคือนางไม้ค่ะ”
“อะไรนะ นี่หนูชมพูคุยกับนางไม้ด้วยเหรอ” หญิงร่างท้วมเอ่ยกระซิบกระซาบ
“ฉันก็ไม่อยากโกหกหรอกนะคะ แต่ถ้าฉันบอกเห็นป้าน้อยจะเชื่อเหรอคะ”
“ป้าเชื่อ เพราะป้าถูกรางวัลก็เพราะหนู”
“แต่ต้องปิดเป็นความลับนะคะ เพราะฉันกลัวคนอื่นไม่เชื่อ”
“โอเค ป้าจะปิดเป็นความลับ แต่ยังไงป้าก็ต้องขอบคุณหนูชมพูมากๆ เลยนะลูก วันหลังอยากกินอะไรบอกป้าเดี๋ยวป้าจะทำให้ฟรีเลย”
“ขอบคุณค่ะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“จ้า”
มนตรามัจฉาเดินยิ้มออกมาจากร้านของป้าน้อย เธอเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าต้นไม้ใหญ่ก่อนจะยิ้มให้ต้นไม้นั้นด้วยความขอบคุณ
“เจ้าสามารถยกผลบุญนี้ให้ผู้ใดก็ได้”
“ข้ามีความดีในเรื่องนี้ด้วยฤาเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว หากเจ้ามิเป็นสะพานบอกตัวเลขแก่นางผู้นั้น นางผู้นั้นจักถูกหวยฤา”
มนตรามัจฉายิ้มกว้างให้กับเจ้าของเสียงอีกครั้ง จากนั้นก็หันหลังเดินเข้าไปในบ้าน
“บุญนี้ฉันยกให้คุณนะคะคุณอัคคี” สาวเจ้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ขณะเดินขึ้นบันไดไปยังห้องของตัวเองโดยที่ไม่รู้ว่าโชติรวีมองการกระทำของเธอทั้งหมดตั้งแต่ไปยืนยิ้มพูดคุยอยู่กับต้นไม้ใหญ่เมื่อครู่นี้แล้ว
“พี่เราปกติแล้วจริงๆ เหรอวะ” โชติรวีเดินออกมาจากห้องนั่งเล่นมองตามหลังพี่สาวคนรองที่กำลังเดินขึ้นบันไดพร้อมกับยกมือเกาหัวแกรกๆ
“มนตรามัจฉา นั่นคุณรึเปล่า”
ยังไม่ทันได้วางกระเป๋า มนตรามัจฉาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหู เธอเดินไปยังหน้าต่าง จากนั้นก็มองไปยังต้นไม้ใหญ่อีกครั้ง เพราะอยากให้สาลิกาได้รับรู้ด้วยว่าตอนนี้เธอสวามารถติดต่อกับอัคคีได้อีกแล้ว
“คุณอัคคีเหรอคะ คุณได้รับบุญที่ฉันให้รึเปล่าคะ”
“หันหลังมาสิ”
สาวเจ้าเริ่มมุ่นคิ้วจากนั้นก็หันหลังตามคำบอกของชายหนุ่ม หันหลังกลับมาได้สายตาของเธอก็ไปปะทะเข้ากับร่างสูงใหญ่โปร่งแสงในชุดเสื้อยืดกับกางเกงขายาวสีขาว
“คุณอัคคี คุณออกมาได้แล้วเหรอคะ คุณคือคุณอัคคีจริงๆ ด้วย” เมื่อพินิจพิจารณาใบหน้าอันหล่อเหลาดีๆ เธอก็มั่นใจได้เลยว่าเขาคืออัคคีคนที่นอนเป็นผักอยู่ในโรงพยาบาล
“ผมก็ไม่รู้ว่าผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แต่คุณคือชมพูนี่ ทำไมถึงบอกกับผมว่าชื่อมนตรามัจฉา” อัคคีฉงนใจไม่น้อย เพราะไม่รู้ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาคนที่เขาสื่อสารด้วยคือคนที่เขารู้จักมาโดยตลอด
“คุณจำฉันได้แล้วเหรอคะ”
“ใช่ ผมจำทกุอย่างได้หมดแล้ว แต่ผมยังไม่รู้ว่าร่างกายของผมอยู่ที่ไหน แล้วคุณก็ยังไม่ได้ตอบผมเลยว่าทำไมคุณบอกกับผมมาตลอดว่าคุณคคือมนตรามัจฉา”
“เอาทีละข้อนะคะ คุณเข้าใจว่าฉันคือชมพูก็ไม่ผิดค่ะ แต่มันมีเรื่องที่ทำให้คุณชมพูไม่ได้อยู่ในร่างนี้หลังจากเกิดอุบัติเหตุพร้อมกับคุณวันนั้น แล้วชื่อจริงๆ ของฉันก็คือมนตรามัจฉา ฉันมาจากเมืองของเงือกสมุทรอย่างที่เคยเล่าให้คุณฟังไงคะ ไม่รู้ว่าตอนนี้คุณยังจะเชื่ออยู่อีกหรือเปล่า”
“อ๋อ...ผมจำเรื่องที่คุณเล่าให้ฟังได้ ที่คุณบอกกับผมว่าวิญญาณของเจ้าของร่างนี้อาจจะไปอยู่ในร่างของคุณ”
“นั่นแหละค่ะ ฉันหมายถึงคุณชมพู”
“โลกนี้มันมีอะไรให้ผมทึ่งหลายเรื่องจริงๆ แล้วตอนนี้ตัวของผมยังอยู่ดีหรือเปล่าครับ เพราะผมได้ยินว่าไอ้คนที่จับผมไปมันยังทำพิธีสลับวิญญาณไม่สำเร็จ”
“คุณคะ”วินาทีที่ผู้หญิงคนนั้นหันหน้ากลับมามองเธอ ทำเอามนตรามัจฉาตัวชาวาบ เพราะคนตรงหน้ามีรูปร่างหน้าตาไม่ได้ต่างจากเธอแม้แต่น้อย วินาทีนั้นมนตรามัจฉารู้ได้ทันทีว่าตรงหน้าคือร่างกายของเธอในขณะที่มีขาทั้งสองนั่นเอง“นั่นตัวของฉันนี่” ชมชีวันเห็นตัวเองก็ยืนอ้าปากค้างไม่ต่างจากมนตรามัจฉา“นั่นร่างของฉันเหมือนกัน”“คุณคือมนตรามัจฉาใช่ไหม”“คุณคือคุณชมพูเหรอคะ”“ใช่ ฉันเอง ฉันกับคุณสลับร่างกันจริงๆ ด้วย เรามาหาวิธีสลับร่างคืนกันดีไหม” ชมชีวันรีบปรี่เข้ามายืนตรงหน้ามนตรามัจฉาด้วยความหวัง คิดว่าอาจจะถึงเวลาแล้วที่เธอและเงือกสาวจะได้กลับไปอยู่ในที่ที่ตัวเองจากมาเสียที“แต่ว่า ฉันต้องขอกลับไปลาท่านน้าก่อน แล้วเราค่อยมาสลับร่างกัน”“มันไม่ได้ง่ายเช่นนั้นหรอกหนา”ทั้งสองมองหาต้นเสียง ไม่นานนักเจ้าของเสียงที่เป็นชายสูงวัยร่างสูงใหญ่สวมโจงกระเบนสีขาวก็ปรากฎตัวขึ้น “คุณเป็นใคร แล้วมาที่นี่ได้ยังไง” ชมชีวันมองชายวัยกลางคนที่มีเรือนผมหยิกยาว ทั้งยังกระเซิงจนเหมือนไม่ได้เจอหวีมาหลายชาติ“ข้านามว่าตรีทศ ข้าเป็นผู้สร้างห้วงฝันนี้ขึ้นมาเอง ให้พวกเจ้าทั้งสองได้พบเจอกันอย่างใดเล่า”“ตรีทศ ครุฑที่ขโมยหัวใ
“ยังอยู่ดีค่ะ แต่ยังไม่ออกจาก ICU ฉันคิดว่าถ้าวิญญาณของคุณกลับเข้าร่างได้ก็น่าจะฟื้น ฉันคิดว่าพลังบุญที่ฉันทำให้คุณอาจจะช่วยคุณได้จริงๆ ดูสิคะตอนแรกที่ฉันทำบุญ ฉันคุยกับคุณได้บ่อยขึ้น หลังจากนั้นไม่นานคุณก็เริ่มรู้ตัวว่าเป็นวิญญาณ แล้วก็ค่อยๆ จำเรื่องราวของตัวเอง แถมตอนนี้ยังออกมาจากที่กักขังได้แล้วด้วย ถ้าฉันทำบุญให้คุณเพิ่มอีก ไม่นานคุณก็จะได้กลับเข้าร่างได้ก็ได้นะคะ”“ขอบคุณคุณมากๆ ที่ทำเพื่อผมขนาดนี้”“ฉันเต็มใจค่ะ ยิ่งรู้ว่าคุณเป็นลูกของท่านแม่ฉันก็ยิ่งอยากช่วย”“หมายความว่ายังไง” สีหน้าของอัคคีเต็มไปด้วยความฉงนหนัก“ก็...” ไม่ทันที่สาวเจ้าจะได้พูดจบร่างของอัคคีก็สลายหายไปต่อหน้าต่อตา“คุณอัคคี คุณอัคคีคะ” มนตรามัจฉารีบกวาดสายตามองไปยังรอบห้องแล้วก็ต้องถอนหายใจ เพราะไม่เห็นหรือแม้แต่ได้ยินเสียงของชายหนุ่มได้อีกต่อไป“หวังว่าคุณจะปลอดภัยนะคะคุณอัคคี แล้วฉันจะพยายามทำบุญให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” เธอพึมพำก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนปลายเตียง แม้จะเสียใจที่ได้คุยกับชายหนุ่มได้น้อยไปหน่อย ทว่าอย่างน้อยตอนนี้เธอก็รู้แล้วว่าคนที่เธอกำลังช่วยคืออัคคีคนเดียวกับที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล เห็นทีคนเดี
“ฉันคงได้มาบ่อยแล้วล่ะค่ะ”“แม้จิตของหนูจะเป็นเงือก แต่ร่างกายของหนูเป็นมนุษย์ ยังไงก็จะทานแต่ผักผลไม้ไม่ได้ หากจะให้ร่างกายแข็งแรงก็ต้องทานโปรตีนเสริมเยอะๆ ด้วยนะลูก”“ฉันจะพยายามนะคะ”ทั้งสองใช้เวลาอยู่ในห้องรับประทานอาหารร่วมสองชั่วโมง มนตรามัจฉาทั้งพึงพอใจกับรสชาติอาหารของมที่นี่ อีกทั้งยังรู้สึกอุ่นใจเมื่อได้อยู่ใกล้และพูดคุยกับเด่นจันทร์จนไม่อยากจะกลับ ทว่าก็ไม่อยากรบกวนเวลาของหญิงชรามากนักเธอเลยต้องจำใจบอกลา“ขอบคุณคุณหมอมากๆ เลยนะคะที่ทำให้ฉันได้มารู้จักคุณย่า” สาวเจ้าหันหลังไปขอบคุณหมอหนุ่มที่อุตส่าห์เดินมาส่งเธอถึงที่ลานจอดรถ“ยินดีครับ หลังจากนี้คุณมนตราก็จะไม่ได้มาเป็นคนไข้ของผมแล้วล่ะสิ”“ไม่ได้เป็นคนไข้ แต่กลายมาเป็นลูกค้าประจำที่นี่แทนค่ะ แล้วต่อไปนี้คุณหมอก็เรียกฉันว่าชมพูนะคะ คนอื่นจะได้ไม่สงสัยอะไร”“เข้าใจแล้วครับ”“ฉันขอตัวก่อนนะคะ”มนตรามัจฉาขับรถกลับบ้านด้วยสีหน้าระรื่น อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้เป็นเงือกที่โดดเดี่ยวอยู่บนโลกใบนี้ ทว่าก็ยังสงสัยไม่น้อยว่าอำนาจของหัวใจสมุทรสามารถทำอะไรได้บ้าง หรือแท้จริงแล้วที่เธอต้องเข้ามาอยู่ในร่างของมนุษย์ก็เพราะอำนาจของหัวใจสมุทรเหม
มนตรามัจฉาขับรถมาที่ร้านอาหารไม่ไกลจากบ้านของเธอมากนัก หญิงสาวจอดรถเรียบร้อยก็มองไปยังหน้าร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นที่บรรยากาศค่อนข้างเป็นส่วนตัวหญิงสาวในชุดมินิเดรสสีขาวสวมทับด้วยเสือคลุมสีฟ้าเดินเข้ามาในร้านอาหารได้ไม่กี่ก้าว ธีรภพก็รอต้อนรับเธออยู่แล้ว เพราะที่นี่เป็นร้านอาหารครอบครัวของเขา “สวัสดีครับคุณมนตรา”“สวัสดีค่ะคุณหมอ นัดฉันมาที่นี่มีธุระเรื่องอะไรเหรอคะ”“มาคุยกันข้างในดีกว่าครับ”มนตรามัจฉาเดินตามธีรภพเข้าไปในห้องอาหารใหญ่บนชั้นสองของร้าน เมื่อเข้ามาถึงในห้องก็มีอาหารเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะแล้ว และส่วนมากก็เป็นพวกผักที่เธอชอบด้วย“เชิญนั่งก่อนครับ”“ค่ะ” หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้ที่หมอหนุ่มเลื่อนให้“คุณหมอมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันเหรอคะ”“อันที่จริงเป็นคุณย่าของผมที่อยากคุยกับคุณครับ ท่านบอกว่าท่านพร้อมจะเชื่อทุกอย่างที่เป็นตัวคุณ”“คุณหมอเล่าเรื่องฉันให้คุณย่าคุณหมอฟังเหรอคะ”“ครับ เพราะเรื่องของคุณมันเหมือนกับเรื่องที่คุณย่าของผมชอบเล่าให้ฟังตอนเด็กๆ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้ขออนุญาตคุณก่อน”“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แล้วคุณย่าคุณหมออยู่ไหนเหรอคะ”ก๊อก ก๊อก ก๊อก ทั้งสองหันไปมองยั
มนตรามัจฉาเงยหน้ามองไปยังต้นไม้ใหญ่อีกครั้ง “ลองซื้อตามที่ฉันบอกนะป้าน้อย ฉันเข้าบ้านก่อนนะคะ”“จ้ะๆ” หญิงวัยกลางคนมองตามหลังหญิงสาวที่กำลังเดินกลับเข้าไปในบ้านด้วยแววตาฉงน จากนั้นก็หันไปมองต้นไม้ใหญ่เช่นเดียวกับที่เห็นหญิงสาวมองเมื่อครู่ จากนั้นเธอก็เดินไปที่ร้านตัวเอง ทั้งยังชั่งใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อหวยตามที่ชมชีวันบอกดี เพราะทั้งชีวิตเธอไม่เคยคิดจะรวยทางลัด เชื่อเสมอว่าคนอย่างตัวเองไม่ทำงานจนเหงื่อออกก็จะไม่ได้เงินรถตู้คันหรูสีดำแล่นเข้ามาจอกที่หน้าบ้านหลังโตตั้งแต่เช้าตรู่ หลังรถจอดสนิทก็มีหญิงวัยกลางคนที่ยังสวยสะพรั่งประโคมแบรนด์เนมไปทั้งตัวเดินลงมาจากรถนินันท์ที่ยืนต้อนรับเพื่อนรักอยู่หน้าบ้านตั้งแต่คราแรก เห็นหน้าสโรชาได้ก็รีบเข้าไปโผกอดกัน ดีใจที่วันนี้จะได้มีคนให้ระบายเรื่องที่กำลังอึดอัดใจเสียที“เราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”“อิ่มจ๊ะ เดี๋ยวลากกระเป๋าตามฉันมาด้วยนะ” ก่อนจะเข้าไปในบ้าน สโรชาก็ชี้ไปยังกระเป๋าเดินทางข้างตัวให้แม่บ้านของเพื่อนถือเดินตามพวกเธอเข้าไป“ค่ะคุณโรส”“อะไรเหรอ” นินันท์มองไปยังกระเป๋าเดินทางสีดำใบใหญ่ด้วยแววตาฉงน เพราะน้อยครั้งนักที่เพื่อนเธอจะเอาของพวก
“วันนี้ฉันกลับก่อนก็ได้ค่ะ แต่จะมาใหม่นะคะ” พูดจบก็โผเข้าไปกอดนินันท์ จนคนที่ไม่ทันตั้งตัวรีบผลักเธอออกด้วยความตกใจ“นี่ ปล่อยฉันนะ”มนตรามัจฉาที่นอนกองอยู่กับพื้น เธอค่อยๆ ลุกยืนขึ้นจากนั้นก็ยกมือไหว้แม่สามีและหันหลังเดินออกไปนินันท์มองตามหลังลูกสะใภ้ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความฉงน แม้เธอจะตกใจกับอ้อมกอดเมื่อครู่ของชมชีวัน ทว่าตอนที่เธอผลักหญิงสาวลงไปกองกับพื้นกลับรู้สึกผิดไม่น้อย ทั้งยังแปลกใจที่ทำไมชมชีวันถึงได้มีพฤติกรรมอ่อนลงให้เธอได้ขนาดนี้“เธอดูแปลกไปนะคะคุณนันท์” อิ่มเดินเข้ามาหานินันท์หลังจากมองดูทั้งสองอยู่ห่างๆ ได้ครู่หนึ่ง“ฉันยังไม่เชื่อใจเด็กนั่นง่ายๆ หรอก” แม้อ้อมกอดเมื่อครู่จะทำให้ความรู้สึกที่เธอมีต่อชมชีวันดีขึ้น ทว่าเธอก็ยังไม่ค่อยเชื่อใจหญิงสาวที่เคยก้าวร้าวใส่เธอมาก่อนได้เต็มอก หลังจากนี้เธอจะคอยดูพฤติกรรมของลูกสะใภ้เธอเป็นพิเศษว่าที่ทำดีกับเธอแบบนี้เพราะต้องการอะไรกันแน่ มนตรามัจฉาขับรถกลับบ้านด้วยรอยยิ้มไปตลอดทาง แม้นินันท์จะยังไม่ยอมเปิดใจให้กับเธอ ทว่าก็ไม่ได้ใจร้ายถึงกระทั่งไม่คิดจะพูดคุยหรือรับของจากมือของเธอ ด้วยประสบการณ์การออดอ้อนผู้ใหญ่จากตอนที่เป็นเงื