มนตรามัจฉาขับรถมาที่ร้านอาหารไม่ไกลจากบ้านของเธอมากนัก หญิงสาวจอดรถเรียบร้อยก็มองไปยังหน้าร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นที่บรรยากาศค่อนข้างเป็นส่วนตัว
หญิงสาวในชุดมินิเดรสสีขาวสวมทับด้วยเสือคลุมสีฟ้าเดินเข้ามาในร้านอาหารได้ไม่กี่ก้าว ธีรภพก็รอต้อนรับเธออยู่แล้ว เพราะที่นี่เป็นร้านอาหารครอบครัวของเขา “สวัสดีครับคุณมนตรา”
“สวัสดีค่ะคุณหมอ นัดฉันมาที่นี่มีธุระเรื่องอะไรเหรอคะ”
“มาคุยกันข้างในดีกว่าครับ”
มนตรามัจฉาเดินตามธีรภพเข้าไปในห้องอาหารใหญ่บนชั้นสองของร้าน เมื่อเข้ามาถึงในห้องก็มีอาหารเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะแล้ว และส่วนมากก็เป็นพวกผักที่เธอชอบด้วย
“เชิญนั่งก่อนครับ”
“ค่ะ” หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้ที่หมอหนุ่มเลื่อนให้
“คุณหมอมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันเหรอคะ”
“อันที่จริงเป็นคุณย่าของผมที่อยากคุยกับคุณครับ ท่านบอกว่าท่านพร้อมจะเชื่อทุกอย่างที่เป็นตัวคุณ”
“คุณหมอเล่าเรื่องฉันให้คุณย่าคุณหมอฟังเหรอคะ”
“ครับ เพราะเรื่องของคุณมันเหมือนกับเรื่องที่คุณย่าของผมชอบเล่าให้ฟังตอนเด็กๆ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้ขออนุญาตคุณก่อน”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แล้วคุณย่าคุณหมออยู่ไหนเหรอคะ”
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ทั้งสองหันไปมองยังหน้าประตู
“คุณย่าน่าจะมาแล้ว ผมจะให้คุณมนตราคุยกับคุณน่าแค่สองคนนะครับ”
“ค่ะ”
หมอหนุ่มลุกขึ้นเดินไปยังประตู หลังจากเขาออกจากห้องไป หญิงชรารูปร่างผอมสูงเจ้าของเรือนผมสีดอกเลาที่รวบมวยต่ำเรียบร้อยก็เดินเข้ามาด้านใน
มนตรามัจฉารียลุกยืนสวัสดีผู้ใหญ่ที่เข้ามาใหม่ตามมารยาท “สวัสดีค่ะคุณย่า” เอ่ยจบเธอก็เงยหน้ามองหญิงชราด้วยความรู้สึกคุ้นเคยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รอยยิ้มอ่อนที่แสดงออกถึงความใจดีของหญิงชราทำให้มนตรามัจฉารู้สึกอบอุ่นหัวใจไม่น้อย
“นั่งเถอะจ้ะ”
มนตรามัจฉานั่งลงพร้อมกับหญิงชราที่นั่งลงฝั่งตรงข้าม ดวงตาคู่สวยของหญิงสาวจ้องมองไปยังหญิงชราไม่วางตา เพราะความรู้สึกของเธอมันบอกว่ารู้สึกคุ้นเคยกับคนตรงหน้าพิกล ทว่าก็จำไม่ได้ว่าเคยพบเคยเจอกันที่ไหน
“ฉันชื่อเด่นจันทร์นะ จะเรียกฉันว่าคุณย่าก็ได้”
“คุณย่ามีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันเหรอคะ”
“ฉันได้ยินว่าหนูเชื่อว่าตัวเองเป็นเงือกใช่ไหม”
“ค่ะ แต่คุณย่าจะเชื่อไหมคะว่าตอนนี้ความทรงจำทุกอย่างของฉันกลับมาแล้ว ทั้งของฉันเองจริงๆ กับของคุณชมพูที่เป็นเจ้าของร่างกายนี้ด้วยค่ะ”
“ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะไม่เชื่อนี่จ๊ะ แล้วเรื่องมันเป็นยังไงพอจะเล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม”
“ที่ที่ฉันจากมาเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่ เหล่าสรรพสัตว์ทุกตนสามารถสื่อสารกันได้”
“ท่านพ่อกับท่านแม่ของเจ้านามว่าสินธุธารากับบุหลันมัจฉาใช่หรือเปล่า”
“ทำไมคุณย่าถึงรู้คะ” สาวเจ้าตัวชาวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า หรือที่เธอคุ้นเคยกับคนตรงหน้าเป็นเพราะว่าหญิงชราที่นั่งอยู่ตรงข้ามเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันกับเธอ
“เหล่าเงือกสมุทรมีชีวิตกันยืนยาวนานนับไม่ได้ ฉันเองก็เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตของท้องทะเลกว้างใหญ่ที่ขึ้นมาใช้ชีวิตเฉกเช่นมนุษย์เหมือนกัน”
“คุณย่า... เป็นเงือกเหรอคะ?”
เด่นจันทร์เริ่มมีรอยยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ เป็นคำตอบให้คนที่ถาม
“เรื่องนี้ไม่มีใครรู้นอกจากสามีของฉัน และตอนนี้หลานชายฉันก็รู้แล้วเหมือนกัน”
“แสดงว่าคุณหมอก็มีสายเลือดของเงือกอย่างนั้นเหรอคะ”
“ไม่หรอกจ้ะ พ่อของตาภพเป็นลูกบุญธรรมของฉันน่ะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ แล้วตอนนี้สรรพสัตว์ในท้องทะเลบนโลกใบนี้พูดได้ไหมคะ”
“โลกมิติแห่งนี้ต่างจากโลกของเรามากมายนัก หนูคงรู้ได้จากความทรงจำของเจ้าของร่างนี้แล้วใช่ไหม”
“ค่ะ แล้วคุณย่ามาอยู่บนโลกนี้ได้ยังไงคะ”
“ย่าเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าย่ามาโผล่ในโลกนี้ได้อย่างไร แต่ย่าคิดว่าการที่หัวใจสมุทรได้หายไปท้องทะเลก็ทำให้ทุกอย่างแปรปรวนจนไม่อาจคาดคะเนเรื่องราวอะไรได้”
“นั่นสินะคะ ฉันก็เคยได้ยินท่านพ่อพูดอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ฉันสื่อสารกับนางไม้ได้ ท่านสาลิกาบอกฉันว่าให้ฉันเร่งสร้างบุญเพราะบุญจะทำให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ”
“ฉันเองก็เชื่อแบบนั้น”
“แล้วคุณย่าอยากกลับไปเมืองที่จากมาไหมคะ”
“ฉันอยู่ที่นี่มาหลายสิบปีจนร่างกายแทบจะกลายเป็นมนุษย์เต็มตัว ทั้งยังมีลูกหลานที่รักมากมายอยู่ที่นี่ ฉันคงอยู่ที่นี่ไปจนตาย ต่อไปนี้ถ้าหนูมีอะไรอยากให้ฉันช่วยก็บอกได้เลยนะ”
“ขอบคุณคุณย่ามากเลยนะคะ ฉันรู้สึกอุ่นใจขึ้นมามากเลยที่รู้ว่ามีเผ่าพันธุ์เดียวกันอยู่ที่แห่งนี้ด้วย”
“หนูอยู่ที่แห่งนี้ แม้นจะมาเพียงดวงจิต แต่ว่าฉันก็อยากให้หนูปิดทุกอย่างเป็นความลับให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะมนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์ที่จิตใจยากแท้หยั่งถึง”
“หนูเข้าใจแล้วค่ะ”
“เอาล่ะ เรามาทานอาหารกันเถอะ หนูลองนี่สิ ฉันว่าหนูน่าจะชอบ” เด่นจันทร์ยื่นจานสาหร่ายสีเขียวเข้มตรงหน้าของหญิงสาว
“ขอบคุณค่ะ” มนตรามัจฉาใช้ตะเกียบคีบสิ่งที่อยู่ในจานเข้าปาก เธอเคี้ยวด้วยสีหน้าฉงนไม่กี่วินาทีแววตาก็เริ่มมีประกายของความสุข “หืม...” มันเป็นรสชาติที่เธอคุ้นเคย นี่แหละอาหารที่เธออยากรับประทาน
“ถ้าไม่อิ่มฉันจะให้คนเอามาให้เพิ่มนะ หรือถ้าหนูอยากทานอาหารที่นี่ก็มาได้ตลอดเลย ร้านนี้เป็นร้านของครอบครัวฉันเอง”
“คุณคะ”วินาทีที่ผู้หญิงคนนั้นหันหน้ากลับมามองเธอ ทำเอามนตรามัจฉาตัวชาวาบ เพราะคนตรงหน้ามีรูปร่างหน้าตาไม่ได้ต่างจากเธอแม้แต่น้อย วินาทีนั้นมนตรามัจฉารู้ได้ทันทีว่าตรงหน้าคือร่างกายของเธอในขณะที่มีขาทั้งสองนั่นเอง“นั่นตัวของฉันนี่” ชมชีวันเห็นตัวเองก็ยืนอ้าปากค้างไม่ต่างจากมนตรามัจฉา“นั่นร่างของฉันเหมือนกัน”“คุณคือมนตรามัจฉาใช่ไหม”“คุณคือคุณชมพูเหรอคะ”“ใช่ ฉันเอง ฉันกับคุณสลับร่างกันจริงๆ ด้วย เรามาหาวิธีสลับร่างคืนกันดีไหม” ชมชีวันรีบปรี่เข้ามายืนตรงหน้ามนตรามัจฉาด้วยความหวัง คิดว่าอาจจะถึงเวลาแล้วที่เธอและเงือกสาวจะได้กลับไปอยู่ในที่ที่ตัวเองจากมาเสียที“แต่ว่า ฉันต้องขอกลับไปลาท่านน้าก่อน แล้วเราค่อยมาสลับร่างกัน”“มันไม่ได้ง่ายเช่นนั้นหรอกหนา”ทั้งสองมองหาต้นเสียง ไม่นานนักเจ้าของเสียงที่เป็นชายสูงวัยร่างสูงใหญ่สวมโจงกระเบนสีขาวก็ปรากฎตัวขึ้น “คุณเป็นใคร แล้วมาที่นี่ได้ยังไง” ชมชีวันมองชายวัยกลางคนที่มีเรือนผมหยิกยาว ทั้งยังกระเซิงจนเหมือนไม่ได้เจอหวีมาหลายชาติ“ข้านามว่าตรีทศ ข้าเป็นผู้สร้างห้วงฝันนี้ขึ้นมาเอง ให้พวกเจ้าทั้งสองได้พบเจอกันอย่างใดเล่า”“ตรีทศ ครุฑที่ขโมยหัวใ
“ยังอยู่ดีค่ะ แต่ยังไม่ออกจาก ICU ฉันคิดว่าถ้าวิญญาณของคุณกลับเข้าร่างได้ก็น่าจะฟื้น ฉันคิดว่าพลังบุญที่ฉันทำให้คุณอาจจะช่วยคุณได้จริงๆ ดูสิคะตอนแรกที่ฉันทำบุญ ฉันคุยกับคุณได้บ่อยขึ้น หลังจากนั้นไม่นานคุณก็เริ่มรู้ตัวว่าเป็นวิญญาณ แล้วก็ค่อยๆ จำเรื่องราวของตัวเอง แถมตอนนี้ยังออกมาจากที่กักขังได้แล้วด้วย ถ้าฉันทำบุญให้คุณเพิ่มอีก ไม่นานคุณก็จะได้กลับเข้าร่างได้ก็ได้นะคะ”“ขอบคุณคุณมากๆ ที่ทำเพื่อผมขนาดนี้”“ฉันเต็มใจค่ะ ยิ่งรู้ว่าคุณเป็นลูกของท่านแม่ฉันก็ยิ่งอยากช่วย”“หมายความว่ายังไง” สีหน้าของอัคคีเต็มไปด้วยความฉงนหนัก“ก็...” ไม่ทันที่สาวเจ้าจะได้พูดจบร่างของอัคคีก็สลายหายไปต่อหน้าต่อตา“คุณอัคคี คุณอัคคีคะ” มนตรามัจฉารีบกวาดสายตามองไปยังรอบห้องแล้วก็ต้องถอนหายใจ เพราะไม่เห็นหรือแม้แต่ได้ยินเสียงของชายหนุ่มได้อีกต่อไป“หวังว่าคุณจะปลอดภัยนะคะคุณอัคคี แล้วฉันจะพยายามทำบุญให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้” เธอพึมพำก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงบนปลายเตียง แม้จะเสียใจที่ได้คุยกับชายหนุ่มได้น้อยไปหน่อย ทว่าอย่างน้อยตอนนี้เธอก็รู้แล้วว่าคนที่เธอกำลังช่วยคืออัคคีคนเดียวกับที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล เห็นทีคนเดี
“ฉันคงได้มาบ่อยแล้วล่ะค่ะ”“แม้จิตของหนูจะเป็นเงือก แต่ร่างกายของหนูเป็นมนุษย์ ยังไงก็จะทานแต่ผักผลไม้ไม่ได้ หากจะให้ร่างกายแข็งแรงก็ต้องทานโปรตีนเสริมเยอะๆ ด้วยนะลูก”“ฉันจะพยายามนะคะ”ทั้งสองใช้เวลาอยู่ในห้องรับประทานอาหารร่วมสองชั่วโมง มนตรามัจฉาทั้งพึงพอใจกับรสชาติอาหารของมที่นี่ อีกทั้งยังรู้สึกอุ่นใจเมื่อได้อยู่ใกล้และพูดคุยกับเด่นจันทร์จนไม่อยากจะกลับ ทว่าก็ไม่อยากรบกวนเวลาของหญิงชรามากนักเธอเลยต้องจำใจบอกลา“ขอบคุณคุณหมอมากๆ เลยนะคะที่ทำให้ฉันได้มารู้จักคุณย่า” สาวเจ้าหันหลังไปขอบคุณหมอหนุ่มที่อุตส่าห์เดินมาส่งเธอถึงที่ลานจอดรถ“ยินดีครับ หลังจากนี้คุณมนตราก็จะไม่ได้มาเป็นคนไข้ของผมแล้วล่ะสิ”“ไม่ได้เป็นคนไข้ แต่กลายมาเป็นลูกค้าประจำที่นี่แทนค่ะ แล้วต่อไปนี้คุณหมอก็เรียกฉันว่าชมพูนะคะ คนอื่นจะได้ไม่สงสัยอะไร”“เข้าใจแล้วครับ”“ฉันขอตัวก่อนนะคะ”มนตรามัจฉาขับรถกลับบ้านด้วยสีหน้าระรื่น อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้เป็นเงือกที่โดดเดี่ยวอยู่บนโลกใบนี้ ทว่าก็ยังสงสัยไม่น้อยว่าอำนาจของหัวใจสมุทรสามารถทำอะไรได้บ้าง หรือแท้จริงแล้วที่เธอต้องเข้ามาอยู่ในร่างของมนุษย์ก็เพราะอำนาจของหัวใจสมุทรเหม
มนตรามัจฉาขับรถมาที่ร้านอาหารไม่ไกลจากบ้านของเธอมากนัก หญิงสาวจอดรถเรียบร้อยก็มองไปยังหน้าร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นที่บรรยากาศค่อนข้างเป็นส่วนตัวหญิงสาวในชุดมินิเดรสสีขาวสวมทับด้วยเสือคลุมสีฟ้าเดินเข้ามาในร้านอาหารได้ไม่กี่ก้าว ธีรภพก็รอต้อนรับเธออยู่แล้ว เพราะที่นี่เป็นร้านอาหารครอบครัวของเขา “สวัสดีครับคุณมนตรา”“สวัสดีค่ะคุณหมอ นัดฉันมาที่นี่มีธุระเรื่องอะไรเหรอคะ”“มาคุยกันข้างในดีกว่าครับ”มนตรามัจฉาเดินตามธีรภพเข้าไปในห้องอาหารใหญ่บนชั้นสองของร้าน เมื่อเข้ามาถึงในห้องก็มีอาหารเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะแล้ว และส่วนมากก็เป็นพวกผักที่เธอชอบด้วย“เชิญนั่งก่อนครับ”“ค่ะ” หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้ที่หมอหนุ่มเลื่อนให้“คุณหมอมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันเหรอคะ”“อันที่จริงเป็นคุณย่าของผมที่อยากคุยกับคุณครับ ท่านบอกว่าท่านพร้อมจะเชื่อทุกอย่างที่เป็นตัวคุณ”“คุณหมอเล่าเรื่องฉันให้คุณย่าคุณหมอฟังเหรอคะ”“ครับ เพราะเรื่องของคุณมันเหมือนกับเรื่องที่คุณย่าของผมชอบเล่าให้ฟังตอนเด็กๆ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้ขออนุญาตคุณก่อน”“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แล้วคุณย่าคุณหมออยู่ไหนเหรอคะ”ก๊อก ก๊อก ก๊อก ทั้งสองหันไปมองยั
มนตรามัจฉาเงยหน้ามองไปยังต้นไม้ใหญ่อีกครั้ง “ลองซื้อตามที่ฉันบอกนะป้าน้อย ฉันเข้าบ้านก่อนนะคะ”“จ้ะๆ” หญิงวัยกลางคนมองตามหลังหญิงสาวที่กำลังเดินกลับเข้าไปในบ้านด้วยแววตาฉงน จากนั้นก็หันไปมองต้นไม้ใหญ่เช่นเดียวกับที่เห็นหญิงสาวมองเมื่อครู่ จากนั้นเธอก็เดินไปที่ร้านตัวเอง ทั้งยังชั่งใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อหวยตามที่ชมชีวันบอกดี เพราะทั้งชีวิตเธอไม่เคยคิดจะรวยทางลัด เชื่อเสมอว่าคนอย่างตัวเองไม่ทำงานจนเหงื่อออกก็จะไม่ได้เงินรถตู้คันหรูสีดำแล่นเข้ามาจอกที่หน้าบ้านหลังโตตั้งแต่เช้าตรู่ หลังรถจอดสนิทก็มีหญิงวัยกลางคนที่ยังสวยสะพรั่งประโคมแบรนด์เนมไปทั้งตัวเดินลงมาจากรถนินันท์ที่ยืนต้อนรับเพื่อนรักอยู่หน้าบ้านตั้งแต่คราแรก เห็นหน้าสโรชาได้ก็รีบเข้าไปโผกอดกัน ดีใจที่วันนี้จะได้มีคนให้ระบายเรื่องที่กำลังอึดอัดใจเสียที“เราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”“อิ่มจ๊ะ เดี๋ยวลากกระเป๋าตามฉันมาด้วยนะ” ก่อนจะเข้าไปในบ้าน สโรชาก็ชี้ไปยังกระเป๋าเดินทางข้างตัวให้แม่บ้านของเพื่อนถือเดินตามพวกเธอเข้าไป“ค่ะคุณโรส”“อะไรเหรอ” นินันท์มองไปยังกระเป๋าเดินทางสีดำใบใหญ่ด้วยแววตาฉงน เพราะน้อยครั้งนักที่เพื่อนเธอจะเอาของพวก
“วันนี้ฉันกลับก่อนก็ได้ค่ะ แต่จะมาใหม่นะคะ” พูดจบก็โผเข้าไปกอดนินันท์ จนคนที่ไม่ทันตั้งตัวรีบผลักเธอออกด้วยความตกใจ“นี่ ปล่อยฉันนะ”มนตรามัจฉาที่นอนกองอยู่กับพื้น เธอค่อยๆ ลุกยืนขึ้นจากนั้นก็ยกมือไหว้แม่สามีและหันหลังเดินออกไปนินันท์มองตามหลังลูกสะใภ้ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความฉงน แม้เธอจะตกใจกับอ้อมกอดเมื่อครู่ของชมชีวัน ทว่าตอนที่เธอผลักหญิงสาวลงไปกองกับพื้นกลับรู้สึกผิดไม่น้อย ทั้งยังแปลกใจที่ทำไมชมชีวันถึงได้มีพฤติกรรมอ่อนลงให้เธอได้ขนาดนี้“เธอดูแปลกไปนะคะคุณนันท์” อิ่มเดินเข้ามาหานินันท์หลังจากมองดูทั้งสองอยู่ห่างๆ ได้ครู่หนึ่ง“ฉันยังไม่เชื่อใจเด็กนั่นง่ายๆ หรอก” แม้อ้อมกอดเมื่อครู่จะทำให้ความรู้สึกที่เธอมีต่อชมชีวันดีขึ้น ทว่าเธอก็ยังไม่ค่อยเชื่อใจหญิงสาวที่เคยก้าวร้าวใส่เธอมาก่อนได้เต็มอก หลังจากนี้เธอจะคอยดูพฤติกรรมของลูกสะใภ้เธอเป็นพิเศษว่าที่ทำดีกับเธอแบบนี้เพราะต้องการอะไรกันแน่ มนตรามัจฉาขับรถกลับบ้านด้วยรอยยิ้มไปตลอดทาง แม้นินันท์จะยังไม่ยอมเปิดใจให้กับเธอ ทว่าก็ไม่ได้ใจร้ายถึงกระทั่งไม่คิดจะพูดคุยหรือรับของจากมือของเธอ ด้วยประสบการณ์การออดอ้อนผู้ใหญ่จากตอนที่เป็นเงื