เมื่ออุบัติเหตุในคืนฝนตกหนักนำพาให้เธอและเงือกสาวอีกม่านมิติได้สลับร่างกัน เป็นบ่อเกิดของเรื่องราวอันแสนวุ่นวายที่ยากจะจบสิ้น... เงือกสาวอย่างมนตรามัจฉาไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรเธอถึงได้มาอยู่ในร่างของมนุษย์สาวที่เป็นถึงครูสอนศิลปะ และไม่ใช่ศิลปะธรรมดา แต่เป็นศิลปะการต่อสู้ เธอไม่คุ้นชินกับการเป็นอยู่หรือการพูดคุยเช่นมนุษย์ปกติแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมารู้ว่าตัวเองมีสามีแล้ว ทว่าก็ยังดีที่ได้มีเพื่อนคู่คิดที่เป็นนางไม้ และ เจ้าที่ในบ้านของเธอ จึงไม่รู้สึกโดดเดี่ยวในโลกใบใหม่ที่ไม่คุ้นเคยนัก เธอต้องเร่งสร้างบุญกุศล เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เธอมีโอกาสได้กลับไปอยู่ในที่นี่ตนเองจากมา หลังจากเหตุการณ์รถเสียหลักจนเกิดอุบัติเหตุกับเธอและสามี ชมชีวันก็ตื่นขึ้นมาอยู่ในร่าวของเงือกสาวที่น่าจะอยู่กันคนละมิติกับโลกที่เธอเคยใช้ชีวิต เธอต้องทำใจเรียนรู้การมีชีวิต ณ แห่งนี้ไม่พอ ยังต้องถูกส่งตัวไปแต่งงานกับโอรสของครุฑ อุปสรรคที่เธอจะต้องเจอไม่เพียงแค่ต้องดิ้นรนเพื่อไม่ให้ตัวเองไม่ต้องตกไปเป็นเมียของครุฑแล้ว เธอยังต้องเผชิญกับสิ่งมีชีวิตหลายตนที่ตั้งแง่กับความแปลกประหลาดของเธออีก
View Moreณ โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในจังหวัดเชียงใหม่
“ถ้าน้องสาวเธอไม่ชวนลูกชายฉันไปเที่ยว ลูกชายฉันคงไม่เจ็บหนักแบบนี้หรอก” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ็ดดังทั่วห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง นินันท์ไม่ได้ห่วงว่าหญิงสาวที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงจะถูกรบกวนเพราะเสียงของเธอแม้แต่น้อย หากเป็นไปได้เธอก็อยากจะให้ลูกสะใภ้ที่เธอไม่ได้ต้องการตื่นมาฟังคำต่อว่าของเธอเหมือนกัน หากลูกชายของเธอไม่ตาต่ำไปเลือกผู้หญิงไม่มีสกุลมาเป็นภรรยาก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ รู้ทั้งรู้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝนแต่ก็ยังจะชวนลูกชายเธอออกไปเที่ยวให้ได้ ผลสุดท้ายก็พากันไปเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ลูกชายของเธอต้องนอนอยู่ในห้อง ICU เช่นตอนนี้
ชื่นชีวา เภสัชสาวเจ้าของใบหน้าหวานเต็มไปด้วยเสน่ห์เพราะมีลักยิ้มบุ๋มอยู่ที่แก้มทั้งสอง เธอยืนก้มหน้างุด แม้ปากอยากจะพูดสวนกลับแม่สามีของน้องสาวเสียเหลือเกินว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันเป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่เรื่องที่ใครอยากจะให้เกิด ทว่าหากพูดไปก็กลัวว่าคำพูดของเธอจะเป็นเหมือนน้ำมันไปราดกองไฟเสียเปล่าๆ
“มันไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้หรอกครับคุณแม่ บ่นไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกครับ ตอนนี้คุณชมพูต้องพักผ่อนมากๆ คุณแม่หยุดโวยวายแล้วกลับบ้านกับผมนะครับ” วายุรู้ว่าแม่ตนโมโหหนักเพราะห่วงพี่ชายของเขา ทว่าการหาคนผิดกับเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดมันดูไม่มีเหตุผลไปหน่อย
“แม่จะอยู่เฝ้าอาการพี่แกที่นี่”
“แต่ว่า...”
“ถ้าไม่อยากให้แม่โวยวายที่นี่ก็อย่ามาห้ามแม่ด้วยตายุ” หญิงวัยกลางคนมองค้อนขวับใส่คนทั้งสองที่มองมายังเธอ ก่อนจะเดินหน้าบึ้งตึงออกไปเฝ้าลูกชายคนโตที่หน้าห้อง ICU
“หวังว่าคุณจะไม่ถือสาแม่ผมนะครับ”
“ฉันเข้าใจค่ะ” เภสัชกรสาวยิ้มแห้งให้กับหมอหนุ่มรูปหล่อทายาทโรงพยาบาลเอกชนยักษ์ใหญ่ เธอเข้าใจแม่ของเขาดีทุกอย่าง เข้าใจตั้งแค่ครั้งแรกที่เจอกันว่าแม่ของเขาไม่ได้อยากได้น้องสาวของเธอไปเป็นสะใภ้แม้แต่น้อย เธอยังคงจำวันงานแต่งงานของชมชีวันและอัคคีในโรงแรมหรูวันนั้นได้เป็นอย่างดี ทุกอย่างดูจะเรียบร้อยสวยงาม จนกระทั่งนินันท์พาเพื่อนๆ เหล่าไฮโซมาถึงงาน จากนั้นก็พากันถามไถ่หัวนอนปลายเท้าน้องสาวของเธอเสมือนกำลังจะเอาเรื่องของน้องสาวเธอไปเขียนชีวประวัติ พอรู้ว่านามสกุลไม่ได้ดัง แล้วก็เป็นเพียงแค่ครูศิลปะ และมีมรดกตกทอดเป็นหอพักธรรมดาก็ถูกดูถูกด้วยสายตาตั้งแต่ต้นจนจบงาน
เธอไม่เข้าใจเลยว่าอะไรทำให้น้องสาวของเธอตัดสินใจแต่งงานกับอัคคีในเวลาที่รู้จักกันได้แค่ไม่กี่เดือน พอสอบถามก็บอกว่าเป็นรักแรกพบ จะว่าชมชีวันเห็นแก่ความรวยของอัคคีก็ไม่น่าจะใช่ เพราะครอบครัวของเธอถูกสอนให้เห็นแก่ศักดิ์ศรีเป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว ไม่ให้มองใครที่ฐานะหรือชาติตระกูล เพราะเชื่อว่าทุกคนมีความเป็นคนเท่ากัน
“คุณชบาทานอะไรหรือยังครับ”
“ยังเลยค่ะ ตั้งแต่รู้ข่าวชมพู ฉันก็ทานอะไรไม่ลง”
“เดี๋ยวผมโทรสั่งให้คนเอาอาหารมาให้ที่นี่ คุณจะเอาอะไรไหมครับ”
“นั่น...” ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนา ลำแสงสีขาวสว่างวาบก็ปรากฏขึ้นที่เตียงของชมชีวัน หมอหนุ่มและเภสัชกรสาวยกหลังมือต้านแสงสีขาวพร้อมกับหลี่ตาลงด้วยความตกใจ
“ชมพู” ชื่นชีวาเรียกชื่อน้องสาวที่กำลังขยับตัวหลังจากแสงสว่างนั้นหายไป เธอเดินเข้าไปประชิดเตียงของชมชีวัน มองน้องสาวที่เปลือกตากำลังขยุกขยิกด้วยสีหน้าที่เริ่มมีความหวัง
“ได้ยินพี่ไหมชมพู ชมพู...”
“ผมขอดูอาการเธอหน่อยครับ”
ชื่นชีวาถอยให้หมอหนุ่มเข้ามาดูอาการชมชีวัน หลังจากถอยหลังได้ไม่กี่ก้าวน้องสาวของเธอก็ลืมตาขึ้น วายุยื่นสเต็มโตสโคปฟังเสียงหัวใจของหญิงสาว ทว่าก็ยังไม่ทันที่จะได้วิเคราะห์อัตราการเต้นของหัวใจ ชมชีวันก็ปัดมือของเขาออก
“เจ้าจะทำอะไรข้า” เจ้าของใบหน้าหวานเรือนผมยาวสยายผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมทั้งจ้องมองคนทั้งสองตรงหน้าด้วยแววตาหวาดกลัว
“ชมพู” ชื่นชีวาขมวดคิ้วมุ่น อ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปากน้องสาว อุบัติเหตุครั้งนี้ไม่ได้ทำให้น้องของเธอกลายเป็นคนวิกลจริตเพราะช็อคจากเหตุการณ์ใช่ไหม
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
“เอ่อ... คุณหมอคะ ฉันว่าหมอต้องเอาน้องฉันไปตรวจอย่างละเอียดแล้วล่ะค่ะ”
หมอหนุ่มมีอาการหน้าเสียเมื่อได้ยินคำพูดคำจาของชมชีวันไม่ได้ต่างจากชื่นชีวาแม้แต่น้อย เมื่อรู้ว่าหญิงสาวน่าจะมีอะไรผิดปกติทางสมองเขาก็เลือกที่จะปรึกษากับหมอท่านอื่นและรีบพาชมชีวันเข้าเครื่องMRI
ระหว่างที่กำลังทำการตรวจหญิงสาวไม่ได้มีอาการขัดขืน ทว่ายังคงมีสายตาหวาดระแวงและยังคงพูดจาไม่รู้เรื่อง และยังจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร รวมถึงเธอยังเพ้ออยู่ตลอดเวลาว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง
ชมชีวันยังคงตามติดดูแลน้องสาวของเธออยู่ไม่ห่างโดยการใช้อภิสิทธิ์ในการเป็นบุคลากรของโรงพยาบาลแห่งนี้เข้านอกออกในตามติดหมอที่ดูแลน้องสาวของเธอทุกฝีก้าว เมื่อหมอตรวจร่างกายของชมชีวันเรียบร้อย ชื่นชีวาก็พาน้องสาวกลับมาที่ห้องพักฟื้นระหว่างที่รอผลตรวจ
“จำอะไรไม่ได้สักนิดเลยเหรอชมพู” เภสัชสาวมองน้องตัวเองด้วยสายตาเวทนา
“นามของข้าคือชมพูฤา” เจ้าของเรือนผมยาวดำขลับเงยหน้ามองคนเป็นพี่ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เพราะเธอจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง รู้เพียงว่าไม่เคยคุ้นกับที่แห่งนี้แม้แต้นิดเดียว
“เอ่อ...ใช่ พี่เป็นพี่สาวของชมพู ชื่อชบา แล้วก็มีน้องชายอีกคนชื่อวี ชมพูพอจะจำได้ไหม”
ชมชีวันส่ายหัวด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดี “ที่แห่งนี้มิใช่บ้านของข้า ข้าจักมีพี่มีน้องได้อย่างไร เข้าไม่เข้าใจว่าทำไมข้าถึงได้จำเรื่องราวอะไรไม่ได้”
“เพราะก่อนหน้านี้ชมพูกับคุณอัคไปเที่ยวแล้วขับรถไปชนต้นไม้ก็เลยบาดเจ็บกันทั้งคู่ ชมพูอาจจะตกใจมากเลยช็อค ตอนนี้ก็เลยยังจำอะไรไม่ได้”
“คุณอัคคือใครกันฤา”
“สามีของชมพูไง ชมพูเพิ่งแต่งงานกับเขาไม่นานมานี้”
“สามี คือ...”
สายตาฉงนหนักที่น้องสาวเธอส่งมานั้นทำให้ชื่นชีวารู้ทันทีว่าเธอต้องอธิบายคำว่าสามี “คู่ชีวิตไงชมพู”
“สวามีใช่ฤาไม่”
“ถ้าจะเอาภาษาแบบนั้นก็ใช่” ชื่นชีวาพยักหน้าน้อยๆ พร้อมยิ้มแหย ดูท่าแล้วอาการของน้องสาวเธอจะหนักมากกว่าที่เธอคิด ไม่รู้ว่าจะใช้ศัพท์เหมือนละครจักรๆ วงศ์ๆ ไปอีกนานเท่าไรเลย
“ลูกข้า” พันพิภพรู้เรื่องบุตรีของตนถูกอสูรเปรตงูจับตัวไปก็ถึงกับลมจับ ดีที่เวราฬประคองเอาไว่ได้“ท่านพาท่านพันพิภพไปพักก่อนเถิด ทางนี้มิต้องห่วง ข้าจักหาวิธีช่วยสุมารีเทวีให้เร็วที่สุด”“ขอรับ”ปักษิณสิงขรยืนถอนหายใจเงียบๆ เขารู้ว่าพันพิภพเหนื่อยเครียดกินไม่ได้นอนไม่หลับกับบ้านเมืองตนนานแล้ว ยิ่งต้องมาเจอเรื่องสะเทือนใจเรื่องนี้อีก“ข้าจักไปสื่อสารกับเหล่าสัตว์น้ำว่าตอนนี้อสรนั่นพาท่านสุมารีไปที่ใด”“ข้าไปกับเจ้าด้วย” ชมชีวันเห็นด้วยกับความคิดสามน“มิได้หนา หากเจ้าไปข้าจักไปด้วย”“ท่านพี่อยู่ใต้น้ำได้ฤาเจ้าคะ”“เพียงชั่วพักชั่วครู่เท่านั้น”“แล้วจักไปทำไมเจ้าคะ ข้ากับสามนไปกันลำพังดีกว่าเจ้าค่ะ ได้ข่าวแล้วจักรับมาบอกเจ้าค่ะ”“แต่ข้าห่วงเจ้า กลัวเจ้าถูกจับไป”“เอาอย่างงี้ เกล็ดของเงือก คล้องคอเอาไว้จักได้อยู่ใต้น้ำได้นาน” อสูรนิลดำรีบล้วงเอาเกล็ดเงือกทั้งสองออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตัวเอง เห็นทีเขาจะได้ใช้งานจริงก็ครั้งนี้ชมชีวันยิ้มออกเพราะเห็นว่ามีวิธีที่ปักษิณสิงขรจะไปกับเธอได้แล้ว “ใช่...มีประโยชน์สมกับที่ข้าเจ็บตัวจริงๆ”“ข้าจักรออยู่ที่นี่ขอรับ แลจักจัดหาเหล่าองครักษ์เฝ้ายามให้แน่
อสูรนิลดำฟื้นตัวตื่นมาในเวลาโพล้เพล้ฟ้าใกล้มืด เมื่อรู้ว่าตนจะพลาดพิธีลอยโคมจึงรีบลากสังขารมาหาสุมารียังหลังตำหนักของสิงโตสาว เมื่อมาถึงก็เห็นพานบายศรีตั้งอยู่สองพาน จึงแปลกใจไม่น้อยว่าสุมารีเทวีใช้บายศรีทำอะไร“บายศรีนี้เจ้าทำเอาไว้เพื่อสิ่งใดฤา”“ข้าทำเพื่อขอพรพระแม่คงคา มนตรามัจฉาก็ทำ นั่นของนาง” สิงโตสาวชี้ไปยังพานบายศรีของเงือกสาวขณะที่กำลังเตรียมหิ้วกรงหิ่งห้อย“ของเจ้างามกว่าของนางนัก”“ชมข้าเช่นนี้คิดว่าข้าจักอยากเป็นมิตรกับเจ้าฤา”“มิต้องเป็นมิตรก็ได้ แต่เป็นมากกว่ามิตรย่อมได้”“ปากเจ้าดีเช่นนี้มิใช่หายป่วยหายไข้ดีแล้วฤา”“เจ้าห่วงข้าด้วยฤา”“ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว ข้าจักไปลอยโคม”“ข้าไปด้วย”“เจ้ามีหิ่งห้อยฤา”อสูรหนุ่มควักหิ่งห้อยออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตน “นี่อย่างไร ท่านเวราฬให้ข้าเอาไว้ ต้องทำอย่างไรเล่า เจ้าสอนข้าได้ฤาไม่”“ยุ่งจริงๆ เลยเจ้าเนี่ย”“ก็ข้าทำมิเป็น”“ท่านเวราฬมิสอนฤา”“ข้าเห็นว่าท่านเวราฬรีบไปไหนก็มิรู้ได้ จึงมิได้ถาม”“ตามข้ามา” แล้วสิงโตสาวก็ต้องเดินหน้าหงึกหน้างอไปยังลานพิธี ด้วยจะปฏิเสธการช่วยเหลือก็ดูจะใจร้ายใจดำเกินไปเมื่อสิงโตสาวเดินนำหน้าอสูรหนุ่มมายั
พันพิภพรีบเข้ามายังตำหนักพักพิงของอสูรนิลดำ เพราะตอนนี้อสูรหนุ่มหมดสติเมื่อคราที่ใช้พลังเรียกป่ามาปกคลุมเขตแดนของเผ่าตนมากเกินไป“นิลดำเป็นเช่นไร” พันพิภพถามไถ่กับองครักษ์ที่นั่งเฝ้าอสูรหนุ่มที่นอนเป็นผักไม่ขยับเขยื้อน“อ่อนเพลียมากขอรับ หมอหลวงให้ยาบำรุงเอาไว้แล้ว แต่มิมีผลต่อร่างกายของนิลดำขอรับ” เวราฬรายงานตามปัจจุบันที่เห็น หากเป็นชาวเมืองป่านนี้ได้ตอบสนองต่อยาของหมอหลวง ทว่าผ่านมาหลายเวลาแต่อสูรหนุ่มก็ยังไม่มีท่าทีที่จะตื่นขึ้นมา“ผลไม้ที่ลูกข้าเอามาจากป่าม่านทิพย์อยู่ที่ตำหนักข้า ข้ายังกินมิหมด เจ้าลองเอามาใส่ในยาแลหากนิลดำตื่นขึ้นมาก็ปอกให้กิน ข้าว่าจักช่วยได้”“ขอรับ”“ตอนนี้ป่าม่านทิพย์ปกคลุมทั่วเขตแดนแล้วฤาไม่”“ยังขอรับ แต่เหลือเพียงรอบแม่น้ำเท่านั้นขอรับ”“อย่างนั้นฤา”“หากป่ายังล้อมมิหมด ข้าเกรงว่า...” เวราฬเอ่ยด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เพราะเขาได้รับเรื่องที่น่ากังวลมาสักพักแล้ว“มีเรื่องอันใดที่ข้าต้องรู้เจ้าจงบอกมาเถิด”“เปรตงูขอรับ”“นาคที่ถูกเนรเทศฤา” พันพิภพหน้าเสียเมื่อได้ยินชื่ออสูรเปรตงู“ขอรับ ข้าได้ยินองครักษ์บางตนเกริ่นว่าเหมือนจักเห็น แต่ไม่แน่ใจขอรับว่าใช่ฤาไ
“เปล่าเจ้าค่ะ แล้วหิ่งห้อยตัวใหญ่แค่ไหนเจ้าคะ” เห็นทีจะต้องเปลี่ยนเรื่อง เพราะเธอไม่อยากจะอธิบายในสิ่งที่เธอกำลังคิด เดี๋ยวจะถูกตราหน้าว่ากร้านโลก เพียงแค่เป็นผู้ที่แปลกในสายตาผู้อื่นแค่นี้ก็พอแล้ว“อุ้มได้เต็มสองมือ”“โห แสดงว่าดวงไฟต้องใหญ่มากใช่ฤาไม่เจ้าคะ”“ใช่ แลงานลอยโคมต้องใช้ใยไหมคลุมตัวเจ้าหิ่งห้อยก่อนจักปล่อยขึ้นไป”“ข้าอยากเห็นเหลือเกินเจ้าค่ะ”“รู้ฤาไม่ว่าหากเราปล่อยเจ้าหิ่งห้อยแลพวกมันบินไปคู่กัน ทั้งสองผู้นั้นจักเป็นคู่กันตลอดไป”“จริงฤาเจ้าคะ”“ข้าตื่นเต้นกันวันพรุ่งเหมือนกัน หากหิ่งห้อยของข้าลอยไปพร้อมกับเจ้า นั่นก็เท่ากับว่าข้ากับเจ้าจักอยู่ด้วยกันตลอดไป” ครุฑหนุ่มเอ่ยด้วยความสุขใจจนล้นออกมาที่ใบหน้า“ท่านพี่อยากให้ข้าอยู่ที่นี่ตอลดไปฤาเจ้าคะ”“ใช่”“มิคิดว่ามนตรามัจฉาอยากกลับบ้านตน ฤาข้าอยากพบเจอพี่น้องข้าบ้างฤาเจ้าคะ”“ไม่ ข้าขอเห็นแก่ตัว”“ท่านพี่นี่ก็คลั่งรักมิเบานะเจ้าคะ”“คลั่งรัก ข้ามิเคยได้ยินคำนี้”“ก็มิเคยมีผู้ใดในที่นี้พูดนี่เจ้าคะ”“ให้ข้าเดาความหมาย สีของความรักใช่ฤาไม่”ชมชีวันนึกอยู่ครู่หนึ่งกับคำพูดของปักษิณสิงขร และแล้วก็ยิ้มออก ไม่วายครุฑหนุ่มคงจะนึก
สุมารีเทวีและอสูรนิลดำอยู่ในป่าม่านทิพย์กันไม่นานมากนักก็ออกมาพร้อมผลไม้ชูกำลังเต็มตะกร้า ทั้งคู่เดินแจกผลไม้ที่ตำหนักของปักษิณสิงขรเรียบร้อยก็ตรงมายังตำหนักของบุหงาราตรี ด้วยได้ยินว่าผีเสื้อสาวก็อ่อนกำลังลงเพราะใช้พลังในการทำไหมเย็นให้กับมนตรามัจฉาอสูรนิลดำที่ถือตะกร้าเดินนำหน้าสุมารีเทวี มาถึงหน้าตำหนักก็เห็นรณจักรปักษานั่งอยู่ก่อนแล้ว “เหตุใดท่านมาอยู่ที่นี่” แม้จะพอรู้ว่าทำไมองครักษ์ของครุฑหนุ่มอยู่ที่นี่ ทว่าก็อยากจะลองเชิงว่าอีกฝ่ายจะตอบอย่างไร“ข้าก็มาดูแลบุหงาราตรีอย่างไรเล่า พวกเจ้ามีอันใดฤา”“ข้าเอาผลไม้มาให้บุหงาราตรี” สุมารีเทวีแบ่งผลไม้ยื่นให้กับรณจักรปักษา ก่อนจะมองซ้ายมองขวาหาเจ้าของตำหนักที่พัก“บุหงาราตรีอยู่ไหนล่ะเจ้าคะ”“กำลังพักผ่อน นางยังมิหายอ่อนเพลีย”“ท่านดูแลนางดีเสียจริง หลังจากงานอภิเษกแล้ว ท่านจักทำหน้าที่เป็นองครักษ์ให้กับท่านปักษิณสิงขรฤาไม่”อสูรหนุ่มขบเม้มริมฝีปาก ไม่คิดว่าสิงโตสาวจะเอ่ยถามรณจักรปักษาตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทั้งคำถามนั้นยังทำเอาองครักษ์หนุ่มหน้าเหวอ ท่าทางจะไม่คิดว่ามีผู้ใดรู้เรื่องนี้“หลังงานอภิเษก ทำไมพวกท่ารู้ว่าข้าจักอภิเษกกับบุหงาราตรี
“เจ้าก็มิได้ไปตอนนี้มิใช่ฤา ถึงวันที่เจ้าต้องจากก็ค่อยว่ากัน แลที่เจ้าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะอยากจักบอกข้าว่ามิสามารถทำหน้าที่พระชายาให้ข้าได้ใช่ฤาไม่”“พูดตามตรง คือ... ถ้าหากข้ารักท่านสักนิดคงจักทำได้เจ้าค่ะ” เอ่ยจบก็ยิ้มแหย ว่าไปก็สงสารปักษิณสิงขรอยู่เหมือนกันที่นั่งทำหน้าเหมือนหมาหงอยเมื่อรู้ว่าเธอไม่ได้มีใจให้“ถ้าข้าจักบอกให้เจ้ารักข้าตอบได้ฤาไม่”“อย่างนี้ก็ได้ฤาเจ้าคะ”“ความรู้สึกมันเปลี่ยนได้มิใช่ฤา หากข้าดีกับเจ้ามากๆ เจ้าจักรักข้าฤาไม่”ชมชีวันได้แต่นั่งเงียบไม่กล้าสบตาครุฑหนุ่มที่เอ่ยความในใจอย่างตรงไปตรงมา“เจ้ามิต้องตอบข้าก็ได้ วันหน้าที่เจ้าอยากตอบเจ้าค่อยมาตอบกับข้า”“เจ้าค่ะ ขอคุณท่านพี่นะเจ้าคะที่มิบังคับข้า”“ข้าก็ต้องขอบใจเจ้าที่เล่าความจริงให้ข้าฟัง หากอยู่ที่นี่แล้วอึดอัดใจเรื่องใดจงมาบอกแก่ข้า ข้าจักเป็นที่พึ่งให้เจ้าได้ทุกเรื่อง”“ขอบใจเจ้าค่ะ มีอีกเรื่องที่ข้าอยากบอกท่านพี่”“เรื่องใด” เป็นอีกครั้งที่ปักษิณสิงขรรับฟังชายาตนอย่างตั้งใจ เพราะไม่รู้ว่ามีเรื่องเหนือสิ่งที่เขารู้ได้เรื่องอะไรอีกปักษิณสิงขรอุ้มชายาตนมายังหอดูดาวของเมือง จากนั้นจึงชี้ไปยังอสูรนิลดำท
Comments