เมื่ออุบัติเหตุในคืนฝนตกหนักนำพาให้เธอและเงือกสาวอีกม่านมิติได้สลับร่างกัน เป็นบ่อเกิดของเรื่องราวอันแสนวุ่นวายที่ยากจะจบสิ้น... เงือกสาวอย่างมนตรามัจฉาไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรเธอถึงได้มาอยู่ในร่างของมนุษย์สาวที่เป็นถึงครูสอนศิลปะ และไม่ใช่ศิลปะธรรมดา แต่เป็นศิลปะการต่อสู้ เธอไม่คุ้นชินกับการเป็นอยู่หรือการพูดคุยเช่นมนุษย์ปกติแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมารู้ว่าตัวเองมีสามีแล้ว ทว่าก็ยังดีที่ได้มีเพื่อนคู่คิดที่เป็นนางไม้ และ เจ้าที่ในบ้านของเธอ จึงไม่รู้สึกโดดเดี่ยวในโลกใบใหม่ที่ไม่คุ้นเคยนัก เธอต้องเร่งสร้างบุญกุศล เพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่จะทำให้เธอมีโอกาสได้กลับไปอยู่ในที่นี่ตนเองจากมา หลังจากเหตุการณ์รถเสียหลักจนเกิดอุบัติเหตุกับเธอและสามี ชมชีวันก็ตื่นขึ้นมาอยู่ในร่าวของเงือกสาวที่น่าจะอยู่กันคนละมิติกับโลกที่เธอเคยใช้ชีวิต เธอต้องทำใจเรียนรู้การมีชีวิต ณ แห่งนี้ไม่พอ ยังต้องถูกส่งตัวไปแต่งงานกับโอรสของครุฑ อุปสรรคที่เธอจะต้องเจอไม่เพียงแค่ต้องดิ้นรนเพื่อไม่ให้ตัวเองไม่ต้องตกไปเป็นเมียของครุฑแล้ว เธอยังต้องเผชิญกับสิ่งมีชีวิตหลายตนที่ตั้งแง่กับความแปลกประหลาดของเธออีก
view moreณ โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในจังหวัดเชียงใหม่
“ถ้าน้องสาวเธอไม่ชวนลูกชายฉันไปเที่ยว ลูกชายฉันคงไม่เจ็บหนักแบบนี้หรอก” เสียงของหญิงวัยกลางคนเอ็ดดังทั่วห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง นินันท์ไม่ได้ห่วงว่าหญิงสาวที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงจะถูกรบกวนเพราะเสียงของเธอแม้แต่น้อย หากเป็นไปได้เธอก็อยากจะให้ลูกสะใภ้ที่เธอไม่ได้ต้องการตื่นมาฟังคำต่อว่าของเธอเหมือนกัน หากลูกชายของเธอไม่ตาต่ำไปเลือกผู้หญิงไม่มีสกุลมาเป็นภรรยาก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัวแบบนี้ รู้ทั้งรู้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงหน้าฝนแต่ก็ยังจะชวนลูกชายเธอออกไปเที่ยวให้ได้ ผลสุดท้ายก็พากันไปเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ลูกชายของเธอต้องนอนอยู่ในห้อง ICU เช่นตอนนี้
ชื่นชีวา เภสัชสาวเจ้าของใบหน้าหวานเต็มไปด้วยเสน่ห์เพราะมีลักยิ้มบุ๋มอยู่ที่แก้มทั้งสอง เธอยืนก้มหน้างุด แม้ปากอยากจะพูดสวนกลับแม่สามีของน้องสาวเสียเหลือเกินว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันเป็นอุบัติเหตุ ไม่ใช่เรื่องที่ใครอยากจะให้เกิด ทว่าหากพูดไปก็กลัวว่าคำพูดของเธอจะเป็นเหมือนน้ำมันไปราดกองไฟเสียเปล่าๆ
“มันไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้หรอกครับคุณแม่ บ่นไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอกครับ ตอนนี้คุณชมพูต้องพักผ่อนมากๆ คุณแม่หยุดโวยวายแล้วกลับบ้านกับผมนะครับ” วายุรู้ว่าแม่ตนโมโหหนักเพราะห่วงพี่ชายของเขา ทว่าการหาคนผิดกับเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดมันดูไม่มีเหตุผลไปหน่อย
“แม่จะอยู่เฝ้าอาการพี่แกที่นี่”
“แต่ว่า...”
“ถ้าไม่อยากให้แม่โวยวายที่นี่ก็อย่ามาห้ามแม่ด้วยตายุ” หญิงวัยกลางคนมองค้อนขวับใส่คนทั้งสองที่มองมายังเธอ ก่อนจะเดินหน้าบึ้งตึงออกไปเฝ้าลูกชายคนโตที่หน้าห้อง ICU
“หวังว่าคุณจะไม่ถือสาแม่ผมนะครับ”
“ฉันเข้าใจค่ะ” เภสัชกรสาวยิ้มแห้งให้กับหมอหนุ่มรูปหล่อทายาทโรงพยาบาลเอกชนยักษ์ใหญ่ เธอเข้าใจแม่ของเขาดีทุกอย่าง เข้าใจตั้งแค่ครั้งแรกที่เจอกันว่าแม่ของเขาไม่ได้อยากได้น้องสาวของเธอไปเป็นสะใภ้แม้แต่น้อย เธอยังคงจำวันงานแต่งงานของชมชีวันและอัคคีในโรงแรมหรูวันนั้นได้เป็นอย่างดี ทุกอย่างดูจะเรียบร้อยสวยงาม จนกระทั่งนินันท์พาเพื่อนๆ เหล่าไฮโซมาถึงงาน จากนั้นก็พากันถามไถ่หัวนอนปลายเท้าน้องสาวของเธอเสมือนกำลังจะเอาเรื่องของน้องสาวเธอไปเขียนชีวประวัติ พอรู้ว่านามสกุลไม่ได้ดัง แล้วก็เป็นเพียงแค่ครูศิลปะ และมีมรดกตกทอดเป็นหอพักธรรมดาก็ถูกดูถูกด้วยสายตาตั้งแต่ต้นจนจบงาน
เธอไม่เข้าใจเลยว่าอะไรทำให้น้องสาวของเธอตัดสินใจแต่งงานกับอัคคีในเวลาที่รู้จักกันได้แค่ไม่กี่เดือน พอสอบถามก็บอกว่าเป็นรักแรกพบ จะว่าชมชีวันเห็นแก่ความรวยของอัคคีก็ไม่น่าจะใช่ เพราะครอบครัวของเธอถูกสอนให้เห็นแก่ศักดิ์ศรีเป็นที่หนึ่งอยู่แล้ว ไม่ให้มองใครที่ฐานะหรือชาติตระกูล เพราะเชื่อว่าทุกคนมีความเป็นคนเท่ากัน
“คุณชบาทานอะไรหรือยังครับ”
“ยังเลยค่ะ ตั้งแต่รู้ข่าวชมพู ฉันก็ทานอะไรไม่ลง”
“เดี๋ยวผมโทรสั่งให้คนเอาอาหารมาให้ที่นี่ คุณจะเอาอะไรไหมครับ”
“นั่น...” ในขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนา ลำแสงสีขาวสว่างวาบก็ปรากฏขึ้นที่เตียงของชมชีวัน หมอหนุ่มและเภสัชกรสาวยกหลังมือต้านแสงสีขาวพร้อมกับหลี่ตาลงด้วยความตกใจ
“ชมพู” ชื่นชีวาเรียกชื่อน้องสาวที่กำลังขยับตัวหลังจากแสงสว่างนั้นหายไป เธอเดินเข้าไปประชิดเตียงของชมชีวัน มองน้องสาวที่เปลือกตากำลังขยุกขยิกด้วยสีหน้าที่เริ่มมีความหวัง
“ได้ยินพี่ไหมชมพู ชมพู...”
“ผมขอดูอาการเธอหน่อยครับ”
ชื่นชีวาถอยให้หมอหนุ่มเข้ามาดูอาการชมชีวัน หลังจากถอยหลังได้ไม่กี่ก้าวน้องสาวของเธอก็ลืมตาขึ้น วายุยื่นสเต็มโตสโคปฟังเสียงหัวใจของหญิงสาว ทว่าก็ยังไม่ทันที่จะได้วิเคราะห์อัตราการเต้นของหัวใจ ชมชีวันก็ปัดมือของเขาออก
“เจ้าจะทำอะไรข้า” เจ้าของใบหน้าหวานเรือนผมยาวสยายผุดลุกขึ้นนั่งพร้อมทั้งจ้องมองคนทั้งสองตรงหน้าด้วยแววตาหวาดกลัว
“ชมพู” ชื่นชีวาขมวดคิ้วมุ่น อ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำพูดที่ออกมาจากปากน้องสาว อุบัติเหตุครั้งนี้ไม่ได้ทำให้น้องของเธอกลายเป็นคนวิกลจริตเพราะช็อคจากเหตุการณ์ใช่ไหม
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
“เอ่อ... คุณหมอคะ ฉันว่าหมอต้องเอาน้องฉันไปตรวจอย่างละเอียดแล้วล่ะค่ะ”
หมอหนุ่มมีอาการหน้าเสียเมื่อได้ยินคำพูดคำจาของชมชีวันไม่ได้ต่างจากชื่นชีวาแม้แต่น้อย เมื่อรู้ว่าหญิงสาวน่าจะมีอะไรผิดปกติทางสมองเขาก็เลือกที่จะปรึกษากับหมอท่านอื่นและรีบพาชมชีวันเข้าเครื่องMRI
ระหว่างที่กำลังทำการตรวจหญิงสาวไม่ได้มีอาการขัดขืน ทว่ายังคงมีสายตาหวาดระแวงและยังคงพูดจาไม่รู้เรื่อง และยังจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร รวมถึงเธอยังเพ้ออยู่ตลอดเวลาว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง
ชมชีวันยังคงตามติดดูแลน้องสาวของเธออยู่ไม่ห่างโดยการใช้อภิสิทธิ์ในการเป็นบุคลากรของโรงพยาบาลแห่งนี้เข้านอกออกในตามติดหมอที่ดูแลน้องสาวของเธอทุกฝีก้าว เมื่อหมอตรวจร่างกายของชมชีวันเรียบร้อย ชื่นชีวาก็พาน้องสาวกลับมาที่ห้องพักฟื้นระหว่างที่รอผลตรวจ
“จำอะไรไม่ได้สักนิดเลยเหรอชมพู” เภสัชสาวมองน้องตัวเองด้วยสายตาเวทนา
“นามของข้าคือชมพูฤา” เจ้าของเรือนผมยาวดำขลับเงยหน้ามองคนเป็นพี่ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เพราะเธอจำไม่ได้แม้กระทั่งชื่อของตัวเอง รู้เพียงว่าไม่เคยคุ้นกับที่แห่งนี้แม้แต้นิดเดียว
“เอ่อ...ใช่ พี่เป็นพี่สาวของชมพู ชื่อชบา แล้วก็มีน้องชายอีกคนชื่อวี ชมพูพอจะจำได้ไหม”
ชมชีวันส่ายหัวด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดี “ที่แห่งนี้มิใช่บ้านของข้า ข้าจักมีพี่มีน้องได้อย่างไร เข้าไม่เข้าใจว่าทำไมข้าถึงได้จำเรื่องราวอะไรไม่ได้”
“เพราะก่อนหน้านี้ชมพูกับคุณอัคไปเที่ยวแล้วขับรถไปชนต้นไม้ก็เลยบาดเจ็บกันทั้งคู่ ชมพูอาจจะตกใจมากเลยช็อค ตอนนี้ก็เลยยังจำอะไรไม่ได้”
“คุณอัคคือใครกันฤา”
“สามีของชมพูไง ชมพูเพิ่งแต่งงานกับเขาไม่นานมานี้”
“สามี คือ...”
สายตาฉงนหนักที่น้องสาวเธอส่งมานั้นทำให้ชื่นชีวารู้ทันทีว่าเธอต้องอธิบายคำว่าสามี “คู่ชีวิตไงชมพู”
“สวามีใช่ฤาไม่”
“ถ้าจะเอาภาษาแบบนั้นก็ใช่” ชื่นชีวาพยักหน้าน้อยๆ พร้อมยิ้มแหย ดูท่าแล้วอาการของน้องสาวเธอจะหนักมากกว่าที่เธอคิด ไม่รู้ว่าจะใช้ศัพท์เหมือนละครจักรๆ วงศ์ๆ ไปอีกนานเท่าไรเลย
“มิใช่เพลาที่เจ้าจักพูดจาไร้สาระ” อชินีพาราบีบมือของมนตรามัจฉาเอาไว้แน่นเมื่อเห็นลูกสะใภ้ของเธอเริ่มจับจ้องไปยังปักษิณสิงขรและเริ่มพูดชื่อของใครที่ไม่รู้จักขึ้นมา“เงียบก่อนเถิดหนา” ชลามัจฉาจำต้องปรามหลานสาวเพราะตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในความเงียบ และหลายตนกำลังจับจ้องคู่บ่าวสาวกันเป็นตาเดียวชมชีวันก้มหน้างุดและขอโทษผู้อาวุโสวทั้งสองด้วยสายตา ทว่าเธอก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมปักษิณสิงขรจึงได้รูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายอัคคีนัก เธอเข้าใจได้ง่ายว่าเขาไม่ใช่อัคคี เพราะจำได้ว่ามนตรามัจฉาบอกว่าตอนนี้อัคคีฟื้นแล้วในโลกของเธอ แต่นั่นก็ยังเป็นปริศนาที่เธอหาคำตอบไม่ได้อยู่ดีว่าทำว่าที่สวามีของเธอถึงได้หน้าตาเหมือนกันกับอัคคีขนาดนี้ หรือชีวิตของเธอหนีไม่พ้นอัคคีจริงๆ“จำได้ใช่ไหมว่าพิธีต่อไปเป็นอย่างไร” ชลามัจฉาอยากถามกับหลานสาวให้แน่ใจอีกรอบ เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่ามนตรามัจฉาเริ่มไม่มีสมาธิ“จะ...เจ้าค่ะ” ชมชีวันตอบเสียงอ่อน ถึงเวลาแล้วสินะที่เธอจะต้องยืนขาแข็งเพื่อมอบน้ำว่านมงคลให้กับแขกเหรื่อแต่ละเผ่าพันธุ์ที่มาในงาน เท่าที่มองด้วยตาเปล่าตอนนี้เสมือนเธอกำลังมองผู้คนที่มาในงานคอนเสิร์ตอย่างไงอย่างงั้น กว่
ณ ตำหนักใหญ่ในวันสำคัญของเผ่าพันธุ์นกยักษ์ เหล่าสรรพสัตว์ผู้ปกครองเผ่าจากหลายเมืองมาเยือนพื้นที่แห่งนี้เพื่อเป็นสักขีพยานในวันอภิเษกสมรสของปักษิณสิงขรและมนตรามัจฉา ณ ท้องพระโรงของตำหนักที่ประดับประดาไปด้วยพืชพรรณหลากสีสันสวยงามพาสะดุดตา ทั้งยังมีอาหารหวานคาวรองรับแขกเหรื่ออยู่หลายจุด อีกทั้งยังมีเหล่าบรรดาผีเสื้อสวยงามคอยร่ายรำบ้างก็ขึ้นบินแสดงความสวยงามเพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากผู้ที่เดินทางมาและให้ความจรรโลงใจไปพร้อมกันชมชีวันสวมอาภรณ์ในงานพิธีเรียบร้อย เหล่านางรับใช้ก็ขนเครื่องทองมาประดับประดาที่คอและแขนทั้งสอง“ของพวกนี้ข้าต้องสวมใส่ด้วยฤา” ชมชีวันยกมือลูบสร้อยคอเส้นหนาที่มีลวดลายกนก ทั้งมองจ้องกำไลข้อมือวงใหญ่ที่สลักเป็นเสมือนลายขนนกรอบวง“ของพวกนี้เป็นขององค์ราชินีที่ประธานให้ท่านเจ้าค่ะ ทุกอย่างล้วนเป็นสัญลักษณ์ของเจ้าเมืององค์ต่อไป” บุหงาราตรีไขข้อกระจ่างให้กับเจ้าสาว‘เจ้าเมืององค์ต่อไป’ เมื่อคำพวกนี้เข้ามาในโสตประสาท เจ้าสาวแสนสวยในวันนี้ก็เริ่มสีหน้าเจื่อนลง เพราะนั่นเท่ากับว่าเธอต้องเคร่งครัดในกฎเกณฑ์กว่าผู้ใด ยิ่งตอกย้ำหนักเข้าไปอีกว่าอิสระที่เธอชอบนั้นจะไม่ได้มันมาง
“นางคงจักพึงใจท่านปักษิณมากใช่ฤาไม่”“ใช่แล้ว” มีนามัจฉาพยักหน้าหงึกๆ“ท่าทางมัจฉารัมภากับนางมิน่าเป็นสหายกันได้”“ทั้งสองตนจากบ้านจากเมืองมาที่นี่พร้อมกัน แลในฐานะเดียวกันจึงเป็นสหายกัน คงเลือกคบมิได้ แต่ใครต่างก็มองออกว่าทั้งสองนิสัยใจคอมิเหมือนกัน สุมารีหยิ่งทระนง ส่วนมัจฉารัมภาเรียบร้อยอ่อนหวาน”“เจ้าคิดว่าหากท่านปักษิณมองเห็นแล้วจักพึงใจในนางทั้งสองฤาไม่”“ข้าคิดว่าหากท่านพี่ปักษิณคิดอยากให้นางทั้งสองมาปรนนิบัติ คงเรียกให้รับใช้นานแล้ว ท่านพี่มิต้องคิดอันใดมาก ยังไงเสียท่านพี่ก็ต้องเป็นชายาเอกเพียงตนเดียวเท่านั้น”“ได้ยินเช่นนี้ข้าก็สบายใจ ข้ายอมรับว่าแม้จักมิอยากเป็นชายาผู้ใด แต่ในเมื่อต้องเป็นก็มิอยากเป็นรอง”“ท่านพี่สบายใจได้ หากท่านทำให้ท่านพี่ปักษิณมองเห็น มิมีทางที่ท่านพี่ปักษิณจักให้ใครแทนที่ท่านแน่ เชื่อข้าเถิด”ชมชีวันพยักหน้าน้อยๆ ในขณะที่สีหน้ากำลังระรื่นเมื่อนึกถึงวันข้างหน้า “อ่อ... ข้าอยากรู้ว่าพวกเราไปที่ถ้ำ
ปักษิณสิงขรกำลังไล่ฝ่ามือสำรวจอาภรณ์ที่ทางเรือนไหมส่งมาให้ แม้นจะมองไม่เห็นแต่ก็พอจะรู้ว่าไหมที่ใช้ทอผ้าให้เป็นอาภรณ์สวมใส่ในงานพิธีอภิเษก ผู้ถักต้องเป็นผู้ที่มีความละเมียดละไมมาก“อาภรณ์นี้ละเอียดนัก ฝีมือถักทอเป็นของผู้ใดฤา”“บุหงาราตรี” รณจักรปักษามองอาภรณ์นั้นด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมเช่นกัน“นางรับใช้ที่ท่านว่างามนักใช่ฤาไม่” ปักษิณสิงขรมีรอยยิ้มมุมปาก แม้นเขาจะเป็นผู้ที่พูดน้อยและดูไม่ค่อยใส่ใจในเรื่องของผู้อื่น ทว่าเขาก็จำได้ดีว่ารณจักรปักษาเคยเอ่ยชมบุหงาราตรีด้วยน้ำเสียงที่ดูหลงไหลอย่างไม่เคยเป็นเมื่อนานมาแล้ว“ใช่”“ท่านถูกสร้างโดยองค์อิศวร หากท่านพึงใจนางใดคงมิใช่เรื่องยากที่ท่านจักขอประธาน”รณจักรปักษาเงียบไปครู่หนึ่งเมื่อครุฑหนุ่มเอ่ยจบ เขาพอจะรู้ว่าที่ปักษิณสิงขรเอ่ยออกมาเช่นนี้คงรู้ว่าเขาพึงใจในตัวของบุหงาราตรี ทว่าแม้นเขาจะกำเนิดโดยเทพชั้นสูงแล้วอยากได้อะไรแล้วจะได้มาง่ายๆ“ข้ามิอยากบังคับจิตใจของใคร แลข้ามิสามารถละจากหน้าที่ได้”“เว้นเสียแต่ว่าข้าขอให้ท่านละจากหน้าที่”“ย้อนกลับไปคำเดิมที่ข้ามิชอบฝืนจิตใจใคร” รณจักรปักษารู้ว่าปักษิณสิงขรเอ่ยออกมาเช่นนั้นเพราะควา
ณ ตำหนักเล็กของสุมารีเทวี บุตรีของเผ่าสิงห์สุระ สิงโตที่ปกป้องอาณาเขตของศิลาชีวิต สิงโตสาวมีรูปลักษณ์สวยสง่า ดวงตาคมกลมโต นัยน์ตาสีอำพัน อกเป็นอกเอวเป็นเอว มีความมั่นใจในตนเองสูง สิงโตสาวในอาภรณ์พันอกอกสีแดงสดสีเดียวกับซิ่นผืนงามที่กำลังสวมใส่ เรือนผมยาวถูกปล่อยสยายละไปกับสายลมขณะที่กำลังเดินมาต้อนรับแขกที่ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นมัจฉารัมภา บุตรีของท่านพญาปลาแห่งเมือง ธารธารี ที่ถูกส่งตัวมาเมืองนี้เพื่อเป็นสนมให้กับปักษิณสิงขรเหมือนกัน“มาหาข้ามีธุระอันใดฤา” เห็นหน้ามัจฉารัมภาได้เธอก็รีบเอ่ยถามเจ้าหญิงปลาน้อยหน้าหวานในอาภรณ์สีฟ้าอ่อนที่ยืนรออยู่ในทันที“ท่านได้ข่าวของมนตรามัจฉาแล้วใช่ฤาไม่”“หึ่...แล้วนางก็ฟื้นจนได้ ข้าล่ะภาวนาไม่อยากให้นางตื่นขึ้นมาตลอดกาลเลย” สุมารีเทวีตอบด้วยสีหน้าและแววตาที่ไม่พอใจนัก“เป็นเช่นนั้นท่านปักษิณก็มิอาจมองเห็นน่ะสิ” มัจฉารัมภาคิดว่าสุมารีเทวีจะดีใจเสียอีกที่ไม่นานนี้ปักษิณสิงขรจะได้มองเห็นโลกภายนอกแล้ว“หึ่...แล้วทำไมจักต้องเป็นนางด้วยที่ทำให้ท่านปักษิณมองเห็น ข้ามิเข้าใจ”“หากท่านปักษิณมองเห็น ท่านปักษิณอาจพึงใจในรูปลักษณ์ของพวกเรา แล้วให้เราได้รับใช้ในฐา
ตั้งแต่วันที่มนตรามัจฉาหลับไหลไม่ยอมตื่น องค์ราชาและราชินีต่างร้อนใจไม่น้อย หลังจากท่านไวยเวทย์หัวหน้าหมอหลวงเข้ามาดูอาการของเงือกสาวและหาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมจึงหลับไม่ยอมตื่น องค์นครินท์คีรีและอชินีพาราต่างเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากหมอหลวงอยู่หลายเผ่าพันธ์เพื่อให้มาช่วยเหลือมนตรามัจฉาก่อนจะถึงวันงานพิธีอภิเษกทว่าหมอหลวงตนไหนก็ไม่อาจทำให้เงือกสาวฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ จวบจนวันนี้ที่งานพิธีอภิเษกใกล้เข้ามาทุกที องค์ราชาและราชินีจึงรีบเรียกหมอหลวงประชุมกันที่ตำหนักใหญ่ และได้ข้อสรุปว่าหากมนตรามัจฉาไม่ตอบสนองต่อไสยเวทหรือยาสมุนไพรตัวใด คงจะต้องเลื่อนงานพิธีอภิเษกไปก่อนมีนามัจฉาที่เฝ้าญาติผู้พี่ตั้งแต่วันที่มนตรามัจฉาไม่ได้สติ เมื่อเห็นแม่ตนกลับมาก็รีบถามข่าวคราวการประชุมของเหล่าสรรพสัตว์ชั้นผู้ใหญ่กับหมอหลวงหลายเผ่าพันธุ์“เป็นเช่นไรบ้างท่านแม่ ท่านลุงกับท่านป้าว่าอย่างไร”“หากมนตรามัจฉามิตื่นลืมตามาในวันพรุ่งนี้ ทุกท่านลงความเห็นกันว่าจักเลื่อนพิธีอภิเสกสมรสไปอย่างมิมีกำหนด”มีนามัจฉาได้ยินเช่นนั้นก็ยืนเงียบ จะว่าเธอดีใจที่ญาติผู้พี่ไม่ต้องเข้าพิธีแต่งงานในเร็ววันก็ใช่ ทว่าอีกใจก็อยากให้
Mga Comments