“ที่บอกว่าจำอะไรไม่ได้นี่เรื่องอะไรบ้างครับ” ปกป้องเริ่มขมวดคิ้วมุ่น
“ก็...ทุกเรื่องเลยค่ะ ไม่รู้แม้กระทั่งชื่อตัวเอง แล้วก็ชอบพูดจาแปลกๆ เลยต้องสอนการใช้ชีวิตใหม่หมดเลยค่ะ”
“โห...แล้วหมอว่ายังไงครับ”
“หมอตรวจเช็กร่างกายแล้วทุกอย่างออกมาปกติค่ะ แต่ที่จำอะไรไม่ได้หมอให้เหตุผลว่าอาจจะช็อคจากเหตุการณ์ หลังจากนี้ไม่นานคงดีขึ้น”
“แล้วตอนนี้ชมพูอยู่ไหนครับ”
“อยู่ในบ้านค่ะ เราไปคุยกันต่อในบ้านเถอะค่ะ”
“ครับ”
ชื่นชีวาเดินนำชายหนุ่มตรงไปยังบ้านของเธอ สีหน้าของเภสัชสาวเต็มไปด้วยความกังวล เพราะไม่รู้ว่าหลังจากปกป้องเจอกับชมชีวัน น้องสาวของเธอจะพูดอะไรเหลือเชื่ออย่างเช่นที่พูดคุยกับเธอหรือเปล่า ภาวนาในใจเอาไว้ก่อนเลยว่าอย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น
“ชมพู พี่ป้องมาหา”
มนตรามัจฉาหันมองไปยังเสียงของชื่นชีวา เมื่อเห็นว่ามีคนแปลกหน้าตามพี่ของเธอเข้ามาในห้องนั่งเล่นก็รีบปิดโทรทัศน์แล้วลุกยืนต้อนรับคนมาใหม่เช่นที่พี่สาวเคยสอน
“พี่ป้อง?” สาวเจ้ามองไปยังผู้ชายตัวสูงใหญ่ใบหน้าคมเข้มด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม จนคนมาใหม่รู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวต้องจำเขาไม่ได้แน่นอน
“เจอผู้ใหญ่ต้องทำยังไง” ชื่นชีวาท้วงคนที่เอาแต่ยืนนิ่งงัน
“สวัสดีค่ะ”
“ครับ ชมพูจำได้ไหมว่าพี่เป็นใคร”
“พี่ไม่รู้เหรอคะว่าพี่เป็นใคร” มนตรามัจฉายิ้มแหย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมาตั้งคำถามกับเธอแบบนี้ทำไม หรือว่า เขาจะจำตัวเองไม่ได้เหมือนกับเธอ
ชื่นชีวาขบเม้มริมฝีปากแน่น เห็นทีเธอจะต้องรีบอธิบายให้น้องสาวได้เข้าใจว่าปกป้องเป็นใคร “เอ่อ...พี่ป้องเป็นเจ้าของโรงเรียนสอนศิลปะที่ชมพูทำงานอยู่ไง”
“วันนี้พี่มาเยี่ยม พี่เอามังคุดกับทุเรียนที่สวนมาฝากเยอะเลย” ชายหนุ่มชูของที่ถืออยู่ในมือก่อนจะวางลงที่โต๊ะกลางโซฟา
“ขอบคุณค่ะ” มนตรามัจฉายกมือไหว้ปกป้องอีกครั้ง
“เชิญนั่งค่ะพี่ป้อง เดี๋ยวฉันไปเอาน้ำมาให้นะคะ” ชื่นชีวาหยิบของที่ปกป้องเอามาฝากแล้วรีบเดินเข้าไปในครัว
ให้หลังชื่นชีวา ปกป้องก็นั่งลงตรงข้ามกับหญิงสาวที่ยังคงมองหน้าของเขาไม่วางตา “ชมพูจำได้ไหมว่าตอนที่อยู่โรงเรียน ชมพูสอนอะไรเด็กๆ บ้าง”
“พี่ชบาบอกว่าฉันเป็นครูสอนศิลปะค่ะ วีก็เคยเอาสมุดวาดรูป ดินสอ แล้วก็สีมาให้ฉันดู แต่ฉันจำอะไรไม่ได้เลย”
“อืม... พี่จะพูดยังไงดีล่ะ ชมพูไม่ได้เป็นแค่ครูสอนศิลปะวาดรูป แต่ชมพูสอนศิลปะการต่อสู้ด้วย”
“อะไรนะคะ” สิ่งที่ปกป้องพูดเมื่อครู่ชื่นชีวาได้ยินเต็มสองหู เธอรีบวางแก้วน้ำตรงหน้าของรุ่นพี่จากนั้นก็จ้องหน้าของเขาด้วยสายตาคาดคั้นคำตอบ
“ในเมื่อชมพูเป็นแบบนี้พี่คงต้องพูดความจริงกับชบาแล้วล่ะ”
“ความจริงอะไรเหรอคะ” เภสัชสาวเริ่มคิ้วชนกัน เธออยากจะรู้ใจจะขาดว่าก่อนหน้านี้น้องสาวของเธอมีเรื่องอะไรปิดบังเอาไว้
มนตรามัจฉานั่งจ้องหน้าปกป้องตาไม่กระพริบ เธอเองก็อยากรู้เรื่องราวจากปากของปกป้องไม่ได้ต่างจากชื่นชีวา
“โรงเรียนพี่ไม่ได้สอนแค่ศิลปะวาดเขียนเท่านั้น แต่สอนศิลปะการต่อสู้ด้วย แล้วชมพูก็เป็นครูสอนต่อสู้แบบมวยไทยฝีมือดีที่สุดด้วย แต่ชมพูให้พี่เก็บความลับนี้ไว้เพราะรู้ว่าชบาอาจจะเป็นห่วง”
“แสดงว่าก่อนหน้าที่ชมพูจะไปเป็นครูสอนมวยไทยชมพูก็ต้องไปเรียนฝึกฝนการต่อสู้ ด้วยใช่ไหมคะ” ชื่นชีวานั่งหลับตาข่มอารมณ์ไม่ให้โมโห เธอรู้ว่าทั้งน้องสาวและน้องชายชอบศิลปะการต่อสู้ เพราะทั้งคู่เคยชวนกันหนีไปต่อยมวยหาเงินหลังจากที่พ่อกับแม่เพิ่งเสีย ทว่าน้องสาวของเธอก็ไม่วายหนีจากเรื่องต่อยตีจนได้ ดีนะที่ยังไปเป็นครูสอน หากหนีไปต่อยมวยเช่นเคยเธอคงได้ปรี๊ดแตกตอนนี้แน่
“ครับ”
“น้องคนนี้นี่มันจริงๆ เลย” ชื่นชีวาหันมาส่ายหัวน้อยๆ ให้กับคนข้างๆ ที่นั่งมองเธอตาแป๋ว อยากจะบ่นมากว่านี้แต่เธอก็บ่นไม่ลง เพราะรู้ว่าชมชีวันยังจำอะไรไม่ได้
“แล้วก็มีอีกเรื่องที่พี่ต้องบอกชบา เรื่องที่ชมพูไม่ได้เป็นภรรยาจริงๆ ของคุณอัคคี”
“คะ?” คนพี่ถึงกับอ้าปากค้าง
“ก่อนหน้านี้คุณอัคคีไม่อยากหมั้นหมายกับลูกสาวของเพื่อนแม่เขา เขาเลยมาจ้างชมพูให้ไปเป็นภรรยาและเป็นบอดี้การ์ดไปในตัวด้วย ข้อตกลงนี้กับเงินก้อนโต ชมพูก็เลยตกลง”
“ที่ชมพูบอกว่าถูกหวยก็ไม่จริงสินะคะ”
“ครับ ที่พี่ต้องบอกเพราะไม่รู้ว่าชมพูจะจำความจริงข้อนี้ได้ตอนไหน แต่ทุกอย่างต้องเป็นความลับเข้าใจไหมครับ ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูแม่คุณอัคคี ชมพูจะถูกปรับยี่สิบล้านตามสัญญา”
ชื่นชีวายกมือทั้งสองกุมขมับ “ฟังแบบนี้แล้วรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันทีเลยค่ะ”
“ฉันทำผิดมากเหรอคะ” มือเรียวยกลูบหลังคนเป็นพี่เมื่อรับรู้ได้ว่าชื่นชีวากำลังเครียดหนัก
“ช่างมันเถอะ ตอนนี้มันก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว รู้ใช่ไหมว่าต้องเก็บเรื่องที่ชมพูไม่ได้เป็นภรรยาคุณอัคคีเป็นความลับ ห้ามบอกใคร”
“ห้ามบอก เข้าใจค่ะ อ่อ... เมื่อคืนฉันได้ยินเสียงของผู้ชาย เขาบอกว่าชื่ออัคคี ฉันสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นคุณอัคคี”
“หมายถึงเสียงคนพูดน่ะเหรอชมพู”
ตอนนี้ไม่เพียงแค่ชื่นชีวาที่มีสีหน้าเคร่งเครียด แต่เป็นปกป้องที่เริ่มขมวดคิ้วมุ่นเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ชมชีวันพูด
“ใช่ เขาบอกว่าอยากให้ช่วย เขาอยากกลับบ้านแต่ว่าจำทางกลับไม่ได้ ฉันได้ยินแค่เสียงของเขาแต่ไม่เห็นตัว แล้วนางไม้ก็บอกว่าถ้าฉันทำบุญเยอะๆ ก็จะช่วยเขาได้ พี่ชบารู้วิธีการทำบุญใช่ไหม พาฉันไปทำสิ” คนที่เอ่ยเรื่องลี้ลับออกมาหน้าตาเฉย ไม่รู้เลยว่าเธอกำลังทำให้คนทั้งสองมองว่าเธอกำลังจิตไม่ปกติ
ชื่นชีวาได้แต่มองหน้าน้องสาวเงียบๆ เพราะเธอก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกันในตอนนี้
“เป็นแบบนี้ตลอดเลยเหรอชบา” ปกป้องเรียกให้สาวเจ้าที่เอาแต่นั่งยิ่งหลุดจากภวังค์
“ค่ะ” ชื่นชีวาหันมาพยักหน้าน้อยๆ ให้รุ่นพี่ เรื่องที่เธอไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้นแล้วสินะ ไม่รู้ว่าปกป้องจะมองน้องของเธอเป็นบ้าหรือเปล่า
ปกป้องได้รับคำตอบเช่นนั้นเขาก็นั่งนิ่งไปชั่วขณะ หากชมชีวันยังไม่หายดีมีหวังเขาได้เสียลูกศิษย์ในโรงเรียนไปหลายคนแน่ ทว่ามันก็เป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเกิด ที่ทำได้ตอนนี้ก็คงต้องทำใจรอวันที่ชมชีวันจะกลับมาหายดี
“ตั้งแต่ข้ามาอยู่บ้านเมืองของเขาก็ถูกแกล้งสารพัด ยิ่งตอนนี้มีเหตุให้เขาทำร้ายข้าอย่างถูกต้องคงสาแก่ใจเขามาก”“คราแรกข้าก็ว่าท่านเพลิงพันจักรร้ายที่แกล้งท่านหญิง แต่ข้าก็มองเห็นว่าตอนที่ท่านเพลิงพันจักรพาท่านหญิงกลับมา ท่านเพลิงพันจักรดูกระวนกระวายใจแลเป็นห่วงท่านเหมือนกันหนาเจ้าคะ ข้าเองก็มิรู้ได้ว่าท่านเพลิงพันจักคิดสาแก่ใจที่เห็นท่านเจ็บฤาไม่ แต่การแสดงออกมิเห็นเจ้าค่ะ” บุหงาราตรีเอ่ยไปตามความรู้สึกของตนเอง เรื่องอัญญาภานารีจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งอัญญาภานารียังคงเงียบ ถึงบุหงาราตรีจะเอ่ยแบบนั้นแต่เธอก็ยังไม่หายโกรธผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสวามีอยู่ดี หากเมื่อวานเธอไม่รอดออกมาจากภูผาม่านจะเป็นอย่างไร ที่เขามาทำดีกับเธอก็คงไม่พ้นกลัวว่าความผิดจะถึงหูแม่ตนเองแล้วจะถูกตำหนิ ไม่ผิดไปจากที่เธอคิดแน่“สมุนไพรนี้ได้ผลชะงัด ใบหน้าที่มีรอยแผลตื้นหายแทบจะเป็นปลิดทิ้งแล้วหนาเจ้าคะ” บุหงาราตรีเห็นใบหน้าของอัญญาภานารีกลับมาสวยสดดังเดิมก็ยิ้มอย่างพึงพอใจหลังจากเฝ้ารักษากันมาร่วมสองสามวัน“เห็นท่าข้าคงต้องพกติดตัวเสียแล้ว ด้วยมิรู้ว่าจักถูกสวามีข้ากลั่นแกล้งเมื่อใด”“ยังมิหายเคืองโกรธท่านเพล
เมื่อได้รับความอบอุ่นจากทั้งกองฟืน ทั้งไหมร้อนและอ้อมกอดของเพลิงพันจักรรวมไปถึงได้ยาสมุนไพรไปเมื่อกลางดึก เช้านี้อัญญาภานารีจึงพอจะรู้สึกตัวและฟื้นคืนสติมาได้ ทว่าความเจ็บปวดนั้นก็ยังมีอยู่เนืองๆดวงตาคู่สวยค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น เมื่อเห็นว่าตนนั้นอยู่ในอ้อมอกของสวามี อีกทั้งความเจ็บปวดในกายนั้นยังทำให้เธอได้รื้นฟื้นความจำว่าเมื่อวานนี้ไปเจอกับเรื่องอะไรมา“ตื่นแล้วฤา เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บปวดมากฤาไม่” เพลิงพันจักรค่อยๆ คลายอ้อมกอดเมื่อรู้ว่าอัญญาภานารีได้รู้สึกตัวตื่นขึ้น“ข้าทุเลาความปวดลงมากแล้วเจ้าค่ะ ข้าจำได้ว่าท่านตามข้าเข้าไปที่ยอดเขาโน้น” นกยักษ์สาวจับจ้องรอคำตอบจากสวามีตนตาไม่กระพริบ“ข้า...” เพลิงพันจักรขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะค่อยๆ ประคองชายาตนให้นั่งเช่นตน“เจ้าดื่มยานี่ก่อนเถิด” เมื่อไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดถึงเรื่องเมื่อวานอย่างไรก็หันไปรินยาต้มใส่ถ้วยแก้วให้นกยักษ์สาวได้ดื่มเสียก่อนอัญญาภานารีรับถ้วยยาจากสวามีตนขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด เป็นวินาทีเดียวกันกับที่บุหงาราตรีเข้ามาพอดี“ท่านอัญญาภานารี เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”“ข้าค่อยยังชั่วแล้ว แต่ยังรู้สึกปวดแผลอยู่บ้าง”“
เพลิงพันจักรปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปพักใหญ่เขาจึงกลับเข้าไปดูอาการของอัญญาภานารีในถ้ำเพราะทนความกระวนกระวายใจไม่ไหว เมื่อย่างก้าวเข้ามาถึงข้างในได้ก็ต้องหลบสายตาของบุหงาราตรี ด้วยไม่อยากรู้สึกว่ากำลังถูกคาดโทษผีเสื้อสาวอมยิ้มมุมปากเล็กน้อย ด้วยพอจะเดาท่าทางของเสืออาวุโสออกว่าตอนนี้ท่าจะลดทิฐิและรู้สึกผิดกับเรื่องที่ทำลงไปได้แล้ว “ท่านหญิงเก็บปีกได้แล้วเจ้าค่ะ แต่ความเจ็บปวดนั้นยังอยู่ ทั้งดูท่าจะทวีคูณมากขึ้นในค่ำคืนนี้ด้วยเจ้าค่ะ ข้าคงต้องเฝ้าท่านหญิงทั้งคืน”“ข้าดูแลนางเอง นางเจ็บตัวเพราะข้าแลนางเป็นชายาข้า หน้าที่ดูแลนางสมควรเป็นข้าจักต้องทำ ขอบใจเจ้าที่คอยดูแลนาง เพลานี้แล้วเจ้าไปพักเถิด ข้าให้ลำปันจัดเตรียมอาหารเอาไว้ที่ถ้ำของพวกเจ้าแล้ว”“เจ้าค่ะ วันพรุ่งข้าจักมาดูท่านหญิงแต่เช้าหนาเจ้าคะ สมุนไพรที่ต้องทาแผลท่านหญิงอยู่ตรงนี้หนาเจ้าคะ” บุหงาราตรีวางถ้วยสมุนไพรไว้ข้างแท่นบรรทมก่อนจะเดินออกไป ที่ผีเสื้อสาวยอมออกไปง่ายๆ ก็เพราะเห็นแล้วว่าเพลิงพันจักรอยากรับผิดชอบกับสิ่งที่ตนได้ทำจริงๆเพลิงพันจักรนั่งมองอัญญาภานารีที่นอนหลับไปไม่ได้สติอยู่บนแท่นบรรทมเงียบๆ สายตาของเขามองภาพนั้นด้วยคว
อัญญาภานารีบินโฉบไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนแทบจะหมดเรี่ยวแรง ทว่าไม่กี่อึดใจที่คิดจะโฉบลงพื้นไปนั่งพักก็มีแสงบางอย่างกระทบมายังดวงตาของเธอ นกยักษ์สาวเพ่งสายตาไปยังจดเริ่มต้นของแสงที่กระทบสายตา วินาทีนั้นความเหนื่อยได้หายไปเป็นปลิดทิ้งเพราะบ่อน้ำแร่ได้อยู่ตรงหน้าของเธอแล้วอัญญาภานารีรีบโฉบลงไปยังบ่อน้ำที่มีควันกรุ่นออกมาตลอดเวลา เธอไม่ได้กลัวความร้อนของบ่อน้ำแร่แม้แต่น้อย เมื่อเข้าใกล้บ่อได้ก็รีบใช้ขวดแก้วที่เตรียมมาตักน้ำแร่ในบ่อทันที เมื่อได้นำแร่จนพอใจแล้วก็รีบปิดฝาขวดแล้วเก็บเข้าไปยังย่ามหนังที่เธอได้เตรียมมาด้วยจัดแจงเก็บขวดน้ำแร่เรียบร้อยแล้วอัญญาภานารีกก็มองไปยังท้องฟ้าอีกครา คิ้วเรียวสวยเริ่มขมวดมุ่นกะทันหันเพราะตอนนี้ม่านหมอกได้ปกคลุมน่านฟ้าแทบทุกอณู“เหตุใดเป็นเช่นนี้” นกยักษ์สาวเห็นท่าไม่ดีจึงเริ่มสยายปีกบินขึ้นท้องฟ้า อัญญาภานารีพยายามบินให้สูงขึ้นเหนือหมอกเพื่อที่จะได้มองเห็นยอดเขาที่เป็นที่พักของตน ทว่าไม่ว่าจะบินสูงแค่ไหนก็ไม่สามารถพ้นม่านหมอกได้เสียทีเมื่อพยายามบินให้ไวขึ้น จู่ๆ ปีกของเธอก็เหมือนมีอะไรบางอย่างเกี่ยวรั้งสร้างความเจ็บปวดจนกรีดร้องเสียงหลง “อ๊าย...”เสียง
“ท่านจักไปเช้านี้ฤา” เพลิงพันจักรลืมตาตื่นขึ้นมาในวันใหม่ก็เห็นอัญญาภานารีเตรียมสำรับอาหารให้กับเขาเรียบร้อย ให้เดานกยักษ์สาวคงรีบไปหาน้ำแร่ให้เขาเป็นแน่“เจ้าค่ะ ข้าจักรีบไปรีบกลับ ท่านต้องกินอาหารในสำรับให้หมดหนาเจ้าคะ”“อืม เจ้ารีบไปเถิด” เพลิงพันจักรพยักหน้าทั้งอมยิ้มมุมปากน้อยๆ เขามองตามหลังนกยักษ์สาวด้วยสายตามีเลศนัย ให้หลังอัญญาภานารี เสืออาวุโสก็ลุกขึ้นยืนไปยกสำรับขึ้นมากินอาหารด้วยท่าทางอารมณ์ดีเป็นพิเศษอัญญาภานารีออกไปยืนที่ริมหน้าผาสูง เธอยืนดูราดราวลู่ทางการเดินทางครู่หนึ่ง เมื่อมั่นใจในตำแหน่งของเป้าหมายที่จะบินไปยังยอดเขานั้น อัญญาภานารีก็เริ่มสยายปีกแล้วบินขึ้นท้องฟ้าไปในทันทีปีกสีขาวสยายลู่กับลมโฉบไปมาอยู่ครู่ใหญ่ จากท้องฟ้าที่เปิดโล่งก็ค่อยๆ กลับกลายเป็นส่ามีม่านหมอกมาบังสายตาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อผ่านม่านหมอกนั้นไปได้นกยักษ์สาวก็บินอยู่กับที่ เธอมองจ้องภาพเบื้องล่างด้วยสีหน้าฉงน เพราะตอนนี้ภาพนั้นช่างแตกต่างจากภาพที่เธอเห็นเมื่อครู่มากพอสมควร จากยอดเขาที่เปิดโล่ง กลับกลายเป็นมีต้นไม้ขึ้นหนาบดบังวิสัยทัศน์“แล้วเช่นนี้จักเห็นบ่อน้ำแร่ได้อย่างไร” อัญญาภานารีเริ่มแบ่งพื้
เพลิงพันจักรตื่นขึ้นมา อามันก็ให้เขาได้รับยาขับพิษอีกรอบ จากนั้นรณจักรปักษาก็พยุงร่างอันไร้เรี่ยวแรงไปยังธารน้ำ เมื่อเท้าของเพลิงพันจักรได้จุ่มลงไปในสายน้ำเย็น เขาก็เริ่มอาเจียนออกมาเป็นเลือดอีกระลอกใหญ่“ขับเลือดออกมามากมายเพียงนี้เชียวฤาเจ้าคะ” บุหงาราตรีเห็นภาพเช่นนั้นก็ยกมือทาบอก ตอนนี้เพลิงพันจักรไม่เหลือคราบขององค์ราชาผู้แข็งแกร่งแม้แต่น้อย“ใช่ ข้าเองก็สงสารแลรู้สึกผิดเหลือเกินที่ทำให้สวามีข้าป่วยเช่นนี้” อัญญาภานารีนั่งถอนหายใจสีหน้าห่อเหี่ยว เพราะอย่างน้อยต้องเห็นภาพนี้อีกหนึ่งวัน“อย่าเอาแต่โทษตนเองเลยเจ้าค่ะ ท่านทำไปเพราะความมิรู้ แลตอนนี้ท่านเองก็ดูแลท่านเพลิงพันจักรได้ดีแล้วหนาเจ้าคะ”สองวันมานี้บุงหาราตรีและรณจักรปักษาได้ช่วยอัญญาภานารีดูแลเพลิงพันจักร การช่วยเหลือของทั้งสองนั้นทำให้อัญญาภานารีเกรงใจเหลือเกิน ด้วยเหตุทั้งหมดเกิดจากฝีมือของเธอ ทว่าผู้ที่ต้องมาอดหลับอดนอนดูแลสวามีของเธอกลับต้องเป็นรณจักรปักษา เมื่อผ่านยาแก้พิษถ้วยสุดท้ายไปได้ อัญญาภานารีก็อยากให้ทั้งสองได้พัก เพียงแค่อาการตัวร้อนตอนกลางวันและหนาวจนปวดกระดูกตอนกลางคืนของเพลิงพันจักร เธอสามารถดูแลสวามีของตนด