LOGIN“พี่ว่าให้หมอดูอาการชมพูอีกรอบก็ดีนะ เรื่องที่ชมพูเป็นแบบนี้พี่จะไม่บอกใคร มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกได้เลย”
“ขอบคุณมากเลยนะคะ ขอบคุณที่เข้าใจพวกเรา”
ปกป้องพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วแตะบ่าชื่นชีวาเพื่อให้กำลังใจ
“งั้นพี่ไม่รบกวนแล้ว วันหลังจะมาเยี่ยมใหม่”
“ค่ะ”
สองสาวพี่น้องพากันเดินออกมาส่งชายหนุ่มที่หน้าบ้านจนปกป้องเดินไปถึงลานจอดรถ จากนั้นชื่นชีวาจึงรีบจูงมือน้องสาวเข้าไปนั่งคุยกันที่ห้องนั่งเล่นตามเดิม
“สิ่งที่ชมพูพูดเมื่อกี้ คราวหลังห้ามพูดกับคนอื่นแบบนั้นอีกเข้าใจไหม”
“เรื่องอะไรคะ”
“ก็เรื่องที่คุยกับนางไม้ แล้วก็เรื่องที่ได้ยินเสียงแปลกๆ ดีนะที่เป็นพี่ป้องมาฟัง ถ้าเป็นคนอื่นเขาจะว่าชมพูบ้าน่ะสิ”
“ทำไมคนอื่นต้องเข้าใจแบบนั้น ก็ในเมื่อที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริง”
“คนหลายคนไม่เชื่อเรื่องอะไรที่มองไม่เห็นหรอกนะชมพู”
“ก็ได้ ฉันจะไม่พูดแบบนี้กับคนอื่น แต่พี่ชบาพาฉันไปทำบุญได้ไหม”
“ได้ พี่พาไปได้ แต่เป็นพรุ่งนี้นะ”
“ค่ะ” เมื่อคนเป็นพี่รับปากสาวเจ้าจึงยิ้มออกได้ จากนั้นเธอก็กดรีโมทเปิดโทรทัศน์ดูภาพน่าตื่นตาตื่นใจของเธอต่อ ไม่รู้หรอกว่าทำบุญบนโลกนี้เขาทำกันยังไง ทว่าเธอก็สบายใจไปหนึ่งเปราะที่ชื่นชีวารับปากว่าจะพาไป
ชื่นชีวานั่งมองน้องสาวด้วยสายตาอ่อนใจ เธอออกไปจากห้องนั่งเล่นเพื่อต่อสายหาวายุ เพราะรอให้ถึงวันที่หมอนักตรวจน้องของเธอไม่ไหว อาการทางร่างกายไม่ได้มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่อาการทางสุขภาพจิตท่าจะเข้าขั้นวิกฤต
“ทำไมต้องไปที่โรงพยาบาลอีกคะ” มนตรามัจฉาไม่ได้อยากไปโรงพยาบาล ทว่าหลังจากชื่นชีวาออกไปจากห้องนั่งเล่นไม่นานนักจู่ๆ ก็เข้ามาจูงมือเธอให้ไปแต่งตัวใหม่ แล้วพาเธอขับรถออกมาจากบ้านในเวลาที่ท้องฟ้าใกล้มืดเต็มที
“ไปหาหมอวายุไง แล้วชมพูก็จะได้ไปเยี่ยมคุณอัคคีด้วย ไม่รู้ป่านนี้คุณนินันท์จะต่อว่าชมพูว่าอะไรบ้าง”
“แต่ฉันไม่อยากเจอคุณนินันท์เลย” มนตรามัจฉาส่ายหัวน้อยๆ เธอมองไปยังพี่สาวที่กำลังขับรถด้วยสายตาเป็นกังวล แม้จะจำได้ว่านางไม้สอนให้เธอต้องดูแลสามีและครับครัวสามีตามหน้าที่ของภรรยา ทว่าเธอก็ยังจำเหตุการณ์ตอนที่นินันท์ต่อว่าพูดจาร้ายๆ ใส่เธอได้เป็นอย่างดี
“เฮ้อ...พี่ก็ไม่ได้อยากเจอ แต่เลี่ยงยังไงสักวันนึงก็ต้องเจอเธออยู่ดี อีกอย่างชมพูเองก็มีสถานะเป็นภรรยาคุณอัคคี จะไม่ไปดูสามีเลยมันก็จะดูไม่ดีนะ”
“นางไม้บอกว่าฉันต้องทำหน้าที่ภรรยาให้ดี แล้วก็ต้องดูแลครอบครัวของสามี เพราะนั่นจะเป็นพลังบุญที่ทำให้ฉันกลับไปที่ที่จากมาได้ ฉันจะยอมฝืนใจตัวเองก็ได้”
“เฮ้อ...จะเชื่ออย่างนั้นก็ได้” ชื่นชีวาคิดถูกแล้วที่รีบโทรนัดกับหมอวายุและหมอธีรภพ จิตแพทย์หนุ่มเพื่อนของหมอวายุ แล้วก็ช่างเป็นที่น่าโชคดีที่ทั้งสองคนว่างที่จะดูอาการของน้องสาวเธอในค่ำนี้พอดี หากพึ่งวิทยาศาสตร์ไม่หายคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องไสยศาสตร์อย่างเธอคงต้องไปหาบนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนสักที่แล้ว
ชื่นชีวาจอดรถเรียบร้อยเธอก็พาน้องสาวเข้าไปในลิฟท์ของบุคลากรโรงพยาบาลตรงไปยังชั้นที่หมอวายุทำงานอยู่ทันที เมื่อลิฟท์เปิดออกสองสาวก็เผชิญหน้ากับนินันท์ มนตรามัจฉาเห็นสายตาของแม่สามีที่มองมาก็ต้องรีบก้มหน้า สายตาพิฆาตนั้นน่ากลัวจนเธอรู้สึกขนลุกไปหมด
“นึกว่าจะไม่โผล่หน้ามาซะแล้ว” ในวันที่รู้ว่าลูกชายเธอเกิดอุบัติเหตุตอนไปเที่ยวเธอก็โกรธชมชีวันมากพอตัวอยู่แล้ว ยิ่งวันที่หญิงสาวออกจากโรงพยาบาลแล้วไม่คิดจะมาดูอาการอัคคีแม้แต่น้อย ความโกรธของนินันท์ก็ยิ่งเท่าทวี
ชื่นชีวาดึงมือน้องสาวออกมาจากลิฟท์จากนั้นก็ยกมือไหว้ผู้ใหญ่ตรงหน้า
“สวัสดีค่ะคุณนันท์”
“สวัสดีค่ะ” มนตรามัจฉายกมือไหว้นินันท์ตามพี่สาว แต่เธอก็ยังไม่ค่อยกล้าจะสบตาอีกฝ่ายอยู่ดี
หญิงวัยกลางคนรับไหว้สองสาวด้วยท่าทางที่ไม่เต็มใจมากนัก ทว่าก็ต้องทำตามมารยาท “ตาอัคไม่ได้อยู่ชั้นนี้ พวกเธอมาทำอะไรที่นี่”
“ฉันนัดหมอวายุเอาไว้ค่ะ พอดีว่าชมพูไม่ค่อยสบายนิดหน่อยค่ะ”
“ตายุไม่เห็นบอกฉันว่าพวกเธอจะมา แต่ถ้ารู้ตัวว่าไม่สบายก็ไม่ต้องเสนอหน้าไปเยี่ยมตาอัค เดี๋ยวจะเอาเชื้อไปติดลูกฉันอีก”
“ค่ะ แต่ยังไงฉันจะหาโอกาสมาดูแลคุณอัคตามหน้าที่ของภรรยานะคะ” มนตรามัจฉาอ้อมแอ้มออกมาให้นินันท์ได้เข้าใจว่าเธอไม่ได้ตั้งใจทอดทิ้งอัคคี แม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้เป็นสามีของชมชีวันจริงๆ ก็เถอะ
“หึ่...” นินันท์สบถออกมาอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะเดินผ่านหน้าสองสาวเข้าลิฟท์ไป เธอไม่เคยชอบลูกสะใภ้คนนี้แม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้ก็ชอบทำตัวก้าวร้าวไม่เกรงใจผู้ใหญ่ เมื่อครู่ที่จงใจพูดว่าตัวเองเป็นภรรยาของลูกชายเธอก็คงไม่พ้นจะตอกย้ำสถานะของตัวเองเพื่อกวนอารมณ์ของเธอเล่นเป็นแน่
“ไปเถอะ”
“ค่ะ” มนตรามัจฉาเดินตามชื่นชีวาหน้าละห้อย ทว่าสองสาวยังไม่ทันได้เดินถึงไหน หมอหนุ่มก็รีบเดินหน้าตาตื่นมาหา
“เมื่อกี้ไม่ได้สวนกับคุณแม่ใช่ไหมครับ”
“เรียบร้อยค่ะ ฉันบอกว่าชมพูไม่สบายนิดหน่อยก็เลยพามาหาคุณหมอ”
“ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันใช่ไหมครับ” เห็นสีหน้าของชมชีวันหมอหนุ่มเริ่มโทษตัวเองที่น่าจะยกหูโทรศัพท์บอกทั้งสองสาวก่อนว่าแม่ของเขาเข้ามาหา
“ก็คุยกันปกติอย่างที่เคยคุยค่ะ คุณหมอเข้าใจใช่ไหมคะ” ชื่นชีวายิ้มอ่อน คิดถูกแล้วที่เลือกจะเอาน้องสาวมาอยู่ที่บ้านตัวเองในขณะที่อัคคียังนอนเป็นผักอยู่ใน ICU ไม่เช่นนั้นเรื่องราวคงจะวุ่นวายกว่านี้หลายเท่า
“ครับ เราไปห้องตรวจกันดีกว่าครับ หมอภพรออยู่แล้ว”
“ค่ะ”
“พวกท่านจักรักข้าเหมือนลูกแท้ๆ จริงฤา”“เหตุใดจักมิจริงกันเล่า” เพลิงพันจักรรวบตัวพสุนทราขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมอก“ใช่แล้ว ข้านั้นก็เติบโตมากับท่านพ่อท่านแม่บุญธรรม แลพวกท่านนั้นรักแลหวังดีกับข้ามิได้ต่างจากพ่อแม่แท้ๆ แลเหตุใดพวกข้าจักรักเจ้าจริงๆ มิได้เล่า”“เจ้าอยู่ที่นี่เถิดหนาอย่าหนีไปไหน ย่าเจ้า ตัวข้า แลแม่เจ้านั้นจักดูแลเจ้าเป็นอย่างดี”“ข้า ข้าจักอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่...ข้ามีท่านแม่เพียงตนเดียว” พสุนทราเอ่ยจบก็ก้มหน้างุดซุกไปที่อกกว้างของผู้เป็นพ่ออัญญาภานารีหน้าเจื่อนเช่นเดียวกับเพลิงพันจักรเมื่อได้ยินพญานาคตัวน้อยเอ่ยออกมาแบบนั้น“ข้าเข้าใจเจ้าหนาพสุนทรา เจ้ายังมิต้องยอมรับข้าตอนนี้ก็ได้ แต่ข้าก็จักดูแลเจ้าให้ดีที่สุด ข้าสัญญา”เพลิงพันจักรอมยิ้มให้กับอัญญาภานารี คราแรกคิดว่าชายาตนนั้นจะเสียใจกับคำพูดของพสุนทราเสียอีก โล่งใจที่ชายาตนนั้นมีเมตตาต่อพสุนทราที่กำลังไร้เดียงสา“จักมิหนีไปอีกใช่ฤาไม่เจ้าคะ” อัญญาภานารีเอ่ยถามเพลิงพันจักรหลังจากส่งพสุนทราให้สิงหลพาไปนอนแล้ว“ข้าคิดว่ามิหนีไปแล้วล่ะ แลเจ้าจักทำอย่างไรให้พสุนทรายอมรับเจ้าให้เป็นแม่”“ข้ามิคิดจักแทนที่แม่ของพสุนทราดอกเ
“หากข้ามิหนีมาเรื่องเช่นนี้คงมิเกิด หากข้ารอฟังตอนที่ท่านฟื้น ท่านพี่แลอิรวดีคงมิต้องจากไป” อัญญาภานารียังคงร้องห่มร้องให้อยู่ในอ้อมอกของเพลิงพันจักร แม้นจะออกจากท้องพระโรงมาพักที่ตำหนักของตน ทว่าความรู้สึกตกใจและภาพความสูญเสียที่เกิดขึ้นก็ยังติดตาของเธอไม่หายที่เสียใจไปกว่านั้นก็เพราะรับรู้ว่าอย่างไรบูรพกันต์ก็ต้องถูกประหาร เพราะคิดจะฆ่าเธอและเขาก็เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของอิรวดี“เจ้าอย่าโทษตนเองเลยหนา เป็นข้าเองที่มิบอกเรื่องของอิรวดีแลพสุนทรากับเจ้า แลหากมิใช่แผนร้ายของบูรพกันต์ฤา เจ้าจึงได้เสียใจจนหนีไป”“ข้าเสียใจเหลือเกิน ข้าเสียใจเหลือเกินเจ้าค่ะ” เสียใจไปกับการสูญเสียแค่นั้นไม่พอ ตอนนี้สิ่งที่ห่วงที่สุดคือพสุนทรา พญานาคตัวน้อยจะรู้สึกเช่นไรหากได้รู้ว่าเสียผู้เป็นแม่แล้ว ไม่ว่าเพลิงพันจักรจะเอ่ยถึงสาเหตุของเรื่องว่าไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่อย่างไรเธอก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เหตุการณ์เลวร้ายขึ้น“ข้ามิคิดว่าเรื่องการกลั่นแกล้งใส่ความกันจักเป็นบ่อเกิดของเรื่องร้ายแรงเพียงนี้เลยขอรับ” รณจักรปักษาคิดว่าจะไม่พูดเรื่องราวเลวร้ายขึ้นมาอีกแล้ว ทว่าความหดหู่หัวใจก็มีมากเกินเสีนจนอดระบายออก
“ท่านเพลิงพันจักร” ปักษิณสิงขรรีบดึงให้เพลิงพันจักรนั่งลง หากปล่อยให้มีเรื่องมีราวกันการไต่สวนอาจจะไม่จบ และเขาก็เชื่อไม่มีผู้ใดเชื่อคำของบูรพกันต์อยู่แล้ว ดีเสียอีกที่ครุฑหนุ่มนั่นเผยสันดานที่แท้จริงออกมา ผู้อื่นจะได้เลิกเคารพเสียที“มิจริงหนาท่านแม่ ข้ามิเคยถูกท่านพี่ล่วงเกิน” อัญญาภานารีคิดว่าจะนั่งฟังอยู่เงียบๆ ทว่าเธอก็อดส่งเสียงท้วงไม่ได้ ถึงจะถูกบูรพกันต์จับไปขังอยู่หลายเพลา ทว่าเขาก็ไม่ได้ทำล่วงเกินอันใดกับเธออย่างที่กล่าวออกมา“หากอยากจักเอาชนะข้าด้วยวิธีอื่นข้ามิว่า แต่อย่าหยามเกียรติชายาของข้าโดยการพูดพล่อยๆ” เพลิงพันจักรรู้ทันบูรพกันต์ หรือแม้แต่เรื่องที่ครุฑหนุ่มพูดจะเป็นความจริงเขาก็ไม่สนใจอยู่แล้ว“ทำไม เจ้ายอมรับความจริงมิได้ฤา” บูรพกันต์ยังคงตีสีหน้ายียวนขณะหันไปพูดกับเพลิงพันจักรเพียะ ศีตกาลที่ทนเห็นพฤติกรรมไม่สะทกสะท้านของหลานชายไม่ได้ เธอจึงต้องเดินเข้าไปสั่งสอนบูรพกันต์ให้ได้สติโดยการยกมือฟาดไปที่แก้มสากจนบูรพกันต์หน้าหัน“ทำไมเป็นเช่นนี้หนาหลานข้า หากเจ้าพูดสิ่งใดข้าย่อมเอนเอียงไปทางเจ้าเสียหมดหนาบูรพกันต์ แต่เรื่องที่เจ้าเอ่ยว่าหยามเกียรติของอัญญาภานารีข้าว่ามั
“หากเป็นเช่นนั้น ถ้าเราไปถามก็คงจักมิบอก ทางเดียวที่ข้าคิดได้ตอนนี้ก็คือการติดตามบูรพกันต์อยู่ห่างๆ” ปักษิณสิงขรเห็นว่ามันน่าจะเป็นวิธีเดียวที่ทำให้ได้เจอกับอัญญาภานารีได้เร็วที่สุด“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แลทำอย่างไรพวกเราจึงจักอยู่ที่นี่ได้ต่อ หากเป็นเรื่องตามหาอัญญาภานารีก็มิเจอนางแล้ว”“หากบูรพกันต์รู้ว่าอัญญาภานารีอยู่ที่ใดคงมิปล่อยให้ห่างแน่ ป่านนี้ต้องกระวนกระวายเพราะถูกขังอยู่ในตำหนัก มิแน่คืนนี้เขาอาจจักกำลังหาทางออกไปจากตำหนักอีกก็เป็นได้”“เช่นนั้นเราต้องทำให้บูรพกันต์ได้ถูกปล่อยตัวในคืนนี้ ข้าเห็นว่าเป็นหน้าที่ของท่าน”“อย่างไรฤา” ปักษิณสิงขรยังไม่ค่อยเข้าใจที่เพลิงพันจักรพูดเท่าไรนักวิเวก องครักษ์ผู้ที่สนิทกับบูรพกันต์รีบเดินเข้ามาขวางหน้าเมื่อเห็นปักษิณสิงขรและรณจักรปักษากำลังตรงเข้ามายังตำหนักของบูรพกันต์“ท่านปักษิณสิงขรมาที่นี่ด้วยเหตุอันใดขอรับ”“ข้าอยากคุยกับท่านบูรพกันต์”“ตอนนี้ท่านทศยันต์สั่งห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปหาท่านบูรพกันต์ขอรับ”“ข้าเป็นผู้ใดเจ้าลืมไปแล้วฤา หากข้ามิขออนุญาตท่านพ่อของข้าแลข้าจักมาที่นี่ได้ฤา ถอยออกไปหากมิอยากถูกขังลืม”“ข้าให้เข้าไปมิได้ขอรับ”“
“ท่านพี่ที่แสนสุขุมแลให้เกียรติผู้อื่นบัดนี้อยู่ที่ใดเจ้าคะ”“ข้าก็ให้เกียรติเฉพาะผู้ที่ข้าอยากให้เกียรติ เจ้าอยู่ที่นี่ให้สบายเถิด” บูรพกันต์วางถาดอาหารแลน้ำไว้ได้เขาก็หมุนแหวนครุฑของตนเพื่อเปิดประตูมิติ หลังจากที่ครุฑหนุ่มหายไป ประตูและหน้าต่างที่เคยเปิดก็ปิดสนิทก็มีกำแพงแก้วเข้ามาปิดกั้นไม่ให้นกยักษ์สาวนั้นหนีไปไหนได้“เหตุใดเป็นเยี่ยงนี้ไปได้” อัญญาภานารีน้ำเสียงสั่นเครือ พลางคิดย้อนเวลา เธอไม่น่าใช้แขวนครุฑกลับไปยังตำหนักของบูรพกันต์ตั้งแต่คราแรกเลย แล้วตอนนี้แหวนนั้นเขาก็เอาคืนไปแล้ว แล้วเมื่อไรเขาจะมาปลดปล่อยเธอออกไปจากที่นี่กันทางด้านเพลิงพันจักร เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงสวรรค์ชั้นกลางก็รีบลากอิรวดีไปเข้าเฝ้าองค์ราชาพญาทศยันต์และองค์ราชินีศีตกาลโดยมีปักษิณสิงขรและรณจักรปักษาตามหลังติดๆ ทั้งสี่ได้พยายามเล่าเรื่องที่มันเกิดขึ้นให้กับองค์ราชาและราชินีพญาครุฑทั้งสองอย่างละเอียดครู่ใหญ่เรื่องราวอันน่าปวดหัวนั้นสร้างความหนักใจให้กับพญาทศยันต์และศีตกาลไม่น้อย เพราะบูรพกันต์นั้นถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท อีกทั้งพวกเขาทั้งสองก็ไม่ทราบได้จริงๆ ว่าอัญญาภานีหนีมาที่นี่หรือไม่“เรื่องทั้งห
“ข้าจักเป็นลมเสียให้ได้ ใยเจ้ามิคิดบอกเรื่องนี้กับแม่บ้าง” อังกาบแทบจะล้มพับในขณะที่กำลังนั่ง ดีที่โสภิณนั้นช่วยประคองเอาไว้“ข้ากลัวว่าท่านแม่จักมิอยากให้ข้ารับบุตรผู้อื่นเป็นบุตรของตนขอรับ แลตอนนี้ข้านั้นรักพสุนทราเหมือนลูกจริงๆ ข้าเองก็หาเพลาจักบอกท่านแม่กับอัญญาภานารีเช่นกัน แต่ก็มีเรื่องของเมืองศิคาลเข้ามาก่อนขอรับ”“แล้วพวกเจ้าจักทำอย่างไร ตอนนี้อัญญาภานารีหนีไปไหนมิรู้ได้ อีกทั้งพสุนทราจักต้องรับรู้เรื่องท่านพ่อกับท่านแม่ของตนเช่นไรหากเจ้าจักพรากแม่พรากลูกเช่นนี้”“เรื่องอัญญาภานารีข้าจักตามหาน้องข้าเอง ท่านก็สะสางเรื่องตรงนี้ให้จบเถิดท่านเพลิงพันจักร” ปักษิณสิงขรเอ่ยจบก็ยืนส่ายหัวน้อยๆ กับเรื่องอันน่าปวดหัวที่เกิดจากความรักแบบผิดๆ ของอิรวดีและบูรพกันต์ แม้นจะไม่มีใครบอกเขาว่าบูรพกันต์รู้สึกอย่างไรกับอัญญาภานารี แต่เขานั้นมองออกตั้งแต่งานอภิเษกของอัญญาภานารีและเพลิงพันจักรแล้ว“ข้าจักตามหาอัญญาภานารีด้วย แลหลังจากนั้นข้าจักไปสะสางกับบูรพกันต์ด้วยตัวเอง” เอ่ยกับปักษิณสิงขรจบก็หันมาจ้องหน้าอิรวดี “แลเจ้าก็ต้องไปเป็นพยานให้ข้าว่าบูรพกันต์นั้นคิดชั่วแค่ไหนกับท่านพญาทศยันต์”อิรวดีไ







