LOGINมื้อเช้านี้อาหารบนโต๊ะเต็มไปด้วยผัก ไม่ว่าจะเป็นผัดผักรวม ผักต้ม สลัดผัก มีเมนูที่เป็นเนื้อก็คือหมูพะโล้ กับข้าวต้มกุ้ง มนตรามัจฉาดูจะเจริญอาหารกว่ามื้อเย็นเมื่อวานเป็นที่สุด เพราะเธออร่อยกับผักต้มถาดใหญ่จิ้มกับเกลือ สองพี่น้องที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้แต่ตักข้าวต้มเข้าปากกันช้าๆ พลางมองไปยังคนอีกฝั่งที่กำลังอร่อยกับผักต้มจิ้มเกลือไม่วางตา
“อร่อยนะ ลองสิ” มนตรามัจฉาหยิบคะน้าฮ่องกงต้มจิ้มเกลือเล็กน้อยแล้ววางไปยังถ้วยข้าวต้มของชื่นชีวาและโชติรวี เพราะจำได้ว่าเวลารับประทานอาหารต้องตักอาหารให้กันเป็นมารยาท
“ผักต้มจิ้มเกลือเนี่ยนะ” โชติรวีขมวดคิ้วมุ่นเมื่อมองไปยังผักที่พี่สาวคนรองหยิบมาวางในถ้วยของตัวเอง
“กินๆ ไปเถอะ” ชื่นชีวาถลึงตาใส่น้องชาย ไม่อยากให้โชติรวีพูดอะไรออกมาที่ทำให้ชมชีวันรู้สึกว่าตัวเองแปลก เธออยากจะให้น้องสาวแสดงพฤติกรรมทุกอย่างออกมาโดยไม่คิดจะห้ามอะไร เพราะเธออยากจะเก็บรายละเอียดพฤติกรรมของชมชีวันเพื่อปรึกษากับหมออีกที
“เมื่อคืนชมพูไปทำอะไรที่ต้นไม้ใหญ่หน้าหอเหรอ” ชื่นชีวาเปรยถามกับคนที่ก้มหน้าก้มตามรับประทานผักต้มด้วยสีหน้าอารมณ์ดี
“ไปคุยกับนางไม้ ท่านชื่อสาลิกา พี่ชบาเคยเจอไหม แต่ท่านบอกฉันว่าท่านไม่ค่อยให้ผู้คนได้พบเห็น แล้วท่านก็ให้ฉันเอาชุดของท่านมาใส่ได้ด้วย พี่ชบาอยากใส่ไหม ฉันจะไปขอท่านให้”
“ไม่เอาหรอก พี่ไม่ชอบใส่ชุดไทยน่ะ แล้วมันก็ไม่ใช่ชุดที่คนอื่นเขาใส่กันปกติ ชุดไทยจะเอาไว้ให้พวกนางรำหรือไม่ก็เจ้าสาวที่กำลังจะแต่งงาน”
“ทำไมคนอื่นไม่ชอบใส่ ฉันว่าชุดไทยสวยมาก”
“ก็ เอ่อ... ช่างเถอะ เอาเป็นว่าคนส่วนมากไม่ใส่ชุดไทยถ้าไม่ได้มีงานสำคัญ”
“ตอนนี้ฉันรู้แล้วนะว่าชื่อของฉันคือ มนตรามัจฉา ฉันเป็นธิดาของเงือก ถึงฉันจะจำอะไรเกี่ยวกับตอนที่เป็นเงือกไม่ได้ แต่ก็เข้าใจแล้วว่าที่ฉันไม่ค่อยเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้เพราะฉันเป็นเงือกอยู่ในมหาสมุทร”
ชื่นชีวาและโชติรวีวางช้อนพร้อมกันเพราะรู้สึกกลืนอะไรไม่ลงคอ จากนั้นทั้งสองก็หันมามองหน้ากันเงียบๆ แค่บอกว่าคุยกับนางไม้ได้ก็ว่าแปลกมากๆ แล้ว เรื่องที่บอกว่าตัวเองคือธิดาของเงือกได้ พวกเขาทั้งสองคิดว่ามันไม่ปกติและคนที่จะช่วยให้ชมชีวันหายจากอาการนี้น่าจะต้องพึ่งจิตแพทย์แล้ว
“โอเค แต่ในเมื่อมนตรามัจฉาอยู่ในร่างของชมพู ก็ต้องเข้าใจว่าตัวเองชื่อชมพู โอเคไหม” ชื่นชีวาพยายามทำใจดีเข้าสู้ แม้ตอนนี้หน้าของเธอจะถอดสีไปแล้วก็ตาม
“โอเคแปลว่าตกลง ฉันเข้าใจค่ะ” มนตรามัจฉาพยักหน้าน้อยๆ ให้ชื่นชีวาก่อนจะก้มหน้าก้มตารับประทานผักต้มจิ้มเกลืออย่างไม่มีท่าทีที่จะอิ่ม
จบมื้ออาหารเรียบร้อยโชติรวีและชื่นชีวาก็เก็บถ้วยชามเข้ามาล้างในครัว ปล่อยให้ชมชีวันนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น
“พี่รีบพาพี่ชมพูไปหาหมอเลย ผมไม่กล้านอนบ้านเดียวกับพี่ชมพูแล้วนะ”
“รู้แล้วน่ะ”
“ไม่รู้แหละ ถ้าพี่ชมพูยังไม่หายผมจะไปนอนที่ออฟฟิศ”
“แล้วแต่แกเลย แต่พี่หยุดได้แค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น อาทิตย์หน้าแกต้องดูแลชมพู”
“อ้าว ทำไมเป็นผมล่ะ”
“ก็พี่ลางานได้แค่อาทิตย์เดียว หรือว่าแกจะให้พี่ลาออกแล้วให้แกเลี้ยงล่ะเอาไหม”
“โห่...อะไรกันครับเนี่ย” สีหน้าชายหนุ่มห่อเหี่ยวกะทันหัน ก่อนหน้านี้ไม่ได้ติดใจที่จะดูแลพี่สาวคนรองแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อรู้ว่าชมชีวันติดต่อพูดคุยกับนางไม้ได้ก็ไม่กล้าจะอยู่ใกล้พี่สาวของเขาอีก ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนพี่สาวคนรองของเขาจะอาการดีขึ้นเลย
ชื่นชีวาเข้ามาทำหน้าที่แจกใบแจ้งหนี้ค่าเช่าห้องให้ลูกหอแทนชมชีวัน สีหน้าของเธอยังคงเต็มไปด้วยความเป็นกังวล เพราะครุ่นคิดเรื่องอาการของน้องสาวไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าทำไมคนที่แก่นแก้วไม่เกรงกลัวหน้าไหนอย่างชมชีวันจะกลายเป็นคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แถมยังเอาเรื่องลี้ลับขึ้นมาพูด คราแรกว่าจะรอให้ถึงวันนัดตรวจร่างกายถึงจะพาชมชีวันไปโรงพยาบาล ทว่าเห็นทีคงรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหวแล้ว
สาวเจ้าทำหน้าที่เสร็จเรียบร้อยก็ลงมาที่สำนักงานของหอพัก เธอเดินไปหยุดอยู่ที่หน้ารูปบานใหญ่ของพ่อกับแม่ ดวงตาคู่สวยมองภาพนั้นตาละห้อย หากตอนนี้พ่อกับแม่ของเธอยังอยู่คงดี แม้ท่านทั้งสองจะช่วยแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ทว่าอ้อมกอดอบอุ่นของพวกเขาคงทำให้หัวใจของเธอแข็งแรงขึ้นกว่านี้เยอะ
เป็นพี่คนโตมันไม่ได้ง่ายเลยสำหรับเธอ “แม่คะพ่อคะ ชบาจะทำยังไงต่อดีคะ”
พูดจบก็ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ที่เคยได้นอนหนุนตักคนเป็นแม่ยามเหนื่อยจากการเรียนและการทำงาน หลังจากที่พ่อแม่เสียไป เธอก็ต้องกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัวในวัยที่ยังไม่ถึงยี่สิบห้าปี ในตอนที่น้องทั้งสองคนยังเรียนไม่จบ เธอทั้งทำงานไปด้วย ดูแลหอพัก และดูแลน้องทั้งสองที่ดูจะแก่นแก้วกันทั้งหญิงทั้งชาย กว่าจะมาถึงวันนี้มันไม่ง่ายเลย คิดว่าน้องทั้งสองเรียนจบจะไม่มีเรื่องอะไรให้เธอต้องหนักใจแล้วเสียอีก ทว่าปัญหาที่เธอจะต้องปวดหัวมีมาไม่เว้นระยะเลยจริงๆ
“เฮ้อ...” ชื่นชีวาพ่นลมหายใจก่อนจะลุกขึ้นฮึดสู้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะรู้ตัวว่าตอนนี้เธอจะอ่อนแอนานไม่ได้
หญิงสาวเดินออกมาจากสำนักงาน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นรถSUVสีดำคันหรูที่คุ้นตา และคนที่เพิ่งลงรถมาไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือปกป้องหนุ่มหล่อเข้มสูงโปร่งกำยำแบบชายไทย เป็นรุ่นพี่ของเธอและเป็นเจ้าของโรงเรียนสอนศิลปะที่ชมชีวันทำงานด้วย เมื่อเห็นว่าเขากำลังหอบของพะลุงพะลังลงมาจากรถก็รีบเดินเข้าไปทักทาย
“พี่ป้องสวัสดีค่ะ ฉันช่วยค่ะ” เธอเข้าไปช่วยชายหนุ่มถือถุงผลไม้
“ขอบคุณครับ พี่เพิ่งกลับมาเชียงใหม่ ได้ข่าวว่าชมพูกับคุณอัคเกิดอุบัติเหตุเลยมาเยี่ยมครับ แล้วชมพูเป็นอะไรมากรึเปล่า”
“เอ่อ... ตัวของชมพูไม่ได้เป็นอะไรมากค่ะ แค่อาจจะช็อกจนความจำเสื่อมนิดหน่อย แต่คุณอัคสามีชมพูหนักอยู่ค่ะ ตอนนี้ยังไม่พ้นขีดอันตราย”
“ชมพูคงเสียใจแย่สินะครับ”
“ชมพูจำอะไรไม่ได้ค่ะพี่ป้อง ก็เลยไม่ได้เสียใจ” สาวเจ้ายิ้มแหย ทำให้อีกฝ่ายรับรู้อารมณ์ของเธอจากทางสีหน้าได้เป็นอย่างดี
“พวกท่านจักรักข้าเหมือนลูกแท้ๆ จริงฤา”“เหตุใดจักมิจริงกันเล่า” เพลิงพันจักรรวบตัวพสุนทราขึ้นมาอุ้มเอาไว้ในอ้อมอก“ใช่แล้ว ข้านั้นก็เติบโตมากับท่านพ่อท่านแม่บุญธรรม แลพวกท่านนั้นรักแลหวังดีกับข้ามิได้ต่างจากพ่อแม่แท้ๆ แลเหตุใดพวกข้าจักรักเจ้าจริงๆ มิได้เล่า”“เจ้าอยู่ที่นี่เถิดหนาอย่าหนีไปไหน ย่าเจ้า ตัวข้า แลแม่เจ้านั้นจักดูแลเจ้าเป็นอย่างดี”“ข้า ข้าจักอยู่ที่นี่ก็ได้ แต่...ข้ามีท่านแม่เพียงตนเดียว” พสุนทราเอ่ยจบก็ก้มหน้างุดซุกไปที่อกกว้างของผู้เป็นพ่ออัญญาภานารีหน้าเจื่อนเช่นเดียวกับเพลิงพันจักรเมื่อได้ยินพญานาคตัวน้อยเอ่ยออกมาแบบนั้น“ข้าเข้าใจเจ้าหนาพสุนทรา เจ้ายังมิต้องยอมรับข้าตอนนี้ก็ได้ แต่ข้าก็จักดูแลเจ้าให้ดีที่สุด ข้าสัญญา”เพลิงพันจักรอมยิ้มให้กับอัญญาภานารี คราแรกคิดว่าชายาตนนั้นจะเสียใจกับคำพูดของพสุนทราเสียอีก โล่งใจที่ชายาตนนั้นมีเมตตาต่อพสุนทราที่กำลังไร้เดียงสา“จักมิหนีไปอีกใช่ฤาไม่เจ้าคะ” อัญญาภานารีเอ่ยถามเพลิงพันจักรหลังจากส่งพสุนทราให้สิงหลพาไปนอนแล้ว“ข้าคิดว่ามิหนีไปแล้วล่ะ แลเจ้าจักทำอย่างไรให้พสุนทรายอมรับเจ้าให้เป็นแม่”“ข้ามิคิดจักแทนที่แม่ของพสุนทราดอกเ
“หากข้ามิหนีมาเรื่องเช่นนี้คงมิเกิด หากข้ารอฟังตอนที่ท่านฟื้น ท่านพี่แลอิรวดีคงมิต้องจากไป” อัญญาภานารียังคงร้องห่มร้องให้อยู่ในอ้อมอกของเพลิงพันจักร แม้นจะออกจากท้องพระโรงมาพักที่ตำหนักของตน ทว่าความรู้สึกตกใจและภาพความสูญเสียที่เกิดขึ้นก็ยังติดตาของเธอไม่หายที่เสียใจไปกว่านั้นก็เพราะรับรู้ว่าอย่างไรบูรพกันต์ก็ต้องถูกประหาร เพราะคิดจะฆ่าเธอและเขาก็เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของอิรวดี“เจ้าอย่าโทษตนเองเลยหนา เป็นข้าเองที่มิบอกเรื่องของอิรวดีแลพสุนทรากับเจ้า แลหากมิใช่แผนร้ายของบูรพกันต์ฤา เจ้าจึงได้เสียใจจนหนีไป”“ข้าเสียใจเหลือเกิน ข้าเสียใจเหลือเกินเจ้าค่ะ” เสียใจไปกับการสูญเสียแค่นั้นไม่พอ ตอนนี้สิ่งที่ห่วงที่สุดคือพสุนทรา พญานาคตัวน้อยจะรู้สึกเช่นไรหากได้รู้ว่าเสียผู้เป็นแม่แล้ว ไม่ว่าเพลิงพันจักรจะเอ่ยถึงสาเหตุของเรื่องว่าไม่ใช่ความผิดของเธอ แต่อย่างไรเธอก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เหตุการณ์เลวร้ายขึ้น“ข้ามิคิดว่าเรื่องการกลั่นแกล้งใส่ความกันจักเป็นบ่อเกิดของเรื่องร้ายแรงเพียงนี้เลยขอรับ” รณจักรปักษาคิดว่าจะไม่พูดเรื่องราวเลวร้ายขึ้นมาอีกแล้ว ทว่าความหดหู่หัวใจก็มีมากเกินเสีนจนอดระบายออก
“ท่านเพลิงพันจักร” ปักษิณสิงขรรีบดึงให้เพลิงพันจักรนั่งลง หากปล่อยให้มีเรื่องมีราวกันการไต่สวนอาจจะไม่จบ และเขาก็เชื่อไม่มีผู้ใดเชื่อคำของบูรพกันต์อยู่แล้ว ดีเสียอีกที่ครุฑหนุ่มนั่นเผยสันดานที่แท้จริงออกมา ผู้อื่นจะได้เลิกเคารพเสียที“มิจริงหนาท่านแม่ ข้ามิเคยถูกท่านพี่ล่วงเกิน” อัญญาภานารีคิดว่าจะนั่งฟังอยู่เงียบๆ ทว่าเธอก็อดส่งเสียงท้วงไม่ได้ ถึงจะถูกบูรพกันต์จับไปขังอยู่หลายเพลา ทว่าเขาก็ไม่ได้ทำล่วงเกินอันใดกับเธออย่างที่กล่าวออกมา“หากอยากจักเอาชนะข้าด้วยวิธีอื่นข้ามิว่า แต่อย่าหยามเกียรติชายาของข้าโดยการพูดพล่อยๆ” เพลิงพันจักรรู้ทันบูรพกันต์ หรือแม้แต่เรื่องที่ครุฑหนุ่มพูดจะเป็นความจริงเขาก็ไม่สนใจอยู่แล้ว“ทำไม เจ้ายอมรับความจริงมิได้ฤา” บูรพกันต์ยังคงตีสีหน้ายียวนขณะหันไปพูดกับเพลิงพันจักรเพียะ ศีตกาลที่ทนเห็นพฤติกรรมไม่สะทกสะท้านของหลานชายไม่ได้ เธอจึงต้องเดินเข้าไปสั่งสอนบูรพกันต์ให้ได้สติโดยการยกมือฟาดไปที่แก้มสากจนบูรพกันต์หน้าหัน“ทำไมเป็นเช่นนี้หนาหลานข้า หากเจ้าพูดสิ่งใดข้าย่อมเอนเอียงไปทางเจ้าเสียหมดหนาบูรพกันต์ แต่เรื่องที่เจ้าเอ่ยว่าหยามเกียรติของอัญญาภานารีข้าว่ามั
“หากเป็นเช่นนั้น ถ้าเราไปถามก็คงจักมิบอก ทางเดียวที่ข้าคิดได้ตอนนี้ก็คือการติดตามบูรพกันต์อยู่ห่างๆ” ปักษิณสิงขรเห็นว่ามันน่าจะเป็นวิธีเดียวที่ทำให้ได้เจอกับอัญญาภานารีได้เร็วที่สุด“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น แลทำอย่างไรพวกเราจึงจักอยู่ที่นี่ได้ต่อ หากเป็นเรื่องตามหาอัญญาภานารีก็มิเจอนางแล้ว”“หากบูรพกันต์รู้ว่าอัญญาภานารีอยู่ที่ใดคงมิปล่อยให้ห่างแน่ ป่านนี้ต้องกระวนกระวายเพราะถูกขังอยู่ในตำหนัก มิแน่คืนนี้เขาอาจจักกำลังหาทางออกไปจากตำหนักอีกก็เป็นได้”“เช่นนั้นเราต้องทำให้บูรพกันต์ได้ถูกปล่อยตัวในคืนนี้ ข้าเห็นว่าเป็นหน้าที่ของท่าน”“อย่างไรฤา” ปักษิณสิงขรยังไม่ค่อยเข้าใจที่เพลิงพันจักรพูดเท่าไรนักวิเวก องครักษ์ผู้ที่สนิทกับบูรพกันต์รีบเดินเข้ามาขวางหน้าเมื่อเห็นปักษิณสิงขรและรณจักรปักษากำลังตรงเข้ามายังตำหนักของบูรพกันต์“ท่านปักษิณสิงขรมาที่นี่ด้วยเหตุอันใดขอรับ”“ข้าอยากคุยกับท่านบูรพกันต์”“ตอนนี้ท่านทศยันต์สั่งห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปหาท่านบูรพกันต์ขอรับ”“ข้าเป็นผู้ใดเจ้าลืมไปแล้วฤา หากข้ามิขออนุญาตท่านพ่อของข้าแลข้าจักมาที่นี่ได้ฤา ถอยออกไปหากมิอยากถูกขังลืม”“ข้าให้เข้าไปมิได้ขอรับ”“
“ท่านพี่ที่แสนสุขุมแลให้เกียรติผู้อื่นบัดนี้อยู่ที่ใดเจ้าคะ”“ข้าก็ให้เกียรติเฉพาะผู้ที่ข้าอยากให้เกียรติ เจ้าอยู่ที่นี่ให้สบายเถิด” บูรพกันต์วางถาดอาหารแลน้ำไว้ได้เขาก็หมุนแหวนครุฑของตนเพื่อเปิดประตูมิติ หลังจากที่ครุฑหนุ่มหายไป ประตูและหน้าต่างที่เคยเปิดก็ปิดสนิทก็มีกำแพงแก้วเข้ามาปิดกั้นไม่ให้นกยักษ์สาวนั้นหนีไปไหนได้“เหตุใดเป็นเยี่ยงนี้ไปได้” อัญญาภานารีน้ำเสียงสั่นเครือ พลางคิดย้อนเวลา เธอไม่น่าใช้แขวนครุฑกลับไปยังตำหนักของบูรพกันต์ตั้งแต่คราแรกเลย แล้วตอนนี้แหวนนั้นเขาก็เอาคืนไปแล้ว แล้วเมื่อไรเขาจะมาปลดปล่อยเธอออกไปจากที่นี่กันทางด้านเพลิงพันจักร เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงสวรรค์ชั้นกลางก็รีบลากอิรวดีไปเข้าเฝ้าองค์ราชาพญาทศยันต์และองค์ราชินีศีตกาลโดยมีปักษิณสิงขรและรณจักรปักษาตามหลังติดๆ ทั้งสี่ได้พยายามเล่าเรื่องที่มันเกิดขึ้นให้กับองค์ราชาและราชินีพญาครุฑทั้งสองอย่างละเอียดครู่ใหญ่เรื่องราวอันน่าปวดหัวนั้นสร้างความหนักใจให้กับพญาทศยันต์และศีตกาลไม่น้อย เพราะบูรพกันต์นั้นถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท อีกทั้งพวกเขาทั้งสองก็ไม่ทราบได้จริงๆ ว่าอัญญาภานีหนีมาที่นี่หรือไม่“เรื่องทั้งห
“ข้าจักเป็นลมเสียให้ได้ ใยเจ้ามิคิดบอกเรื่องนี้กับแม่บ้าง” อังกาบแทบจะล้มพับในขณะที่กำลังนั่ง ดีที่โสภิณนั้นช่วยประคองเอาไว้“ข้ากลัวว่าท่านแม่จักมิอยากให้ข้ารับบุตรผู้อื่นเป็นบุตรของตนขอรับ แลตอนนี้ข้านั้นรักพสุนทราเหมือนลูกจริงๆ ข้าเองก็หาเพลาจักบอกท่านแม่กับอัญญาภานารีเช่นกัน แต่ก็มีเรื่องของเมืองศิคาลเข้ามาก่อนขอรับ”“แล้วพวกเจ้าจักทำอย่างไร ตอนนี้อัญญาภานารีหนีไปไหนมิรู้ได้ อีกทั้งพสุนทราจักต้องรับรู้เรื่องท่านพ่อกับท่านแม่ของตนเช่นไรหากเจ้าจักพรากแม่พรากลูกเช่นนี้”“เรื่องอัญญาภานารีข้าจักตามหาน้องข้าเอง ท่านก็สะสางเรื่องตรงนี้ให้จบเถิดท่านเพลิงพันจักร” ปักษิณสิงขรเอ่ยจบก็ยืนส่ายหัวน้อยๆ กับเรื่องอันน่าปวดหัวที่เกิดจากความรักแบบผิดๆ ของอิรวดีและบูรพกันต์ แม้นจะไม่มีใครบอกเขาว่าบูรพกันต์รู้สึกอย่างไรกับอัญญาภานารี แต่เขานั้นมองออกตั้งแต่งานอภิเษกของอัญญาภานารีและเพลิงพันจักรแล้ว“ข้าจักตามหาอัญญาภานารีด้วย แลหลังจากนั้นข้าจักไปสะสางกับบูรพกันต์ด้วยตัวเอง” เอ่ยกับปักษิณสิงขรจบก็หันมาจ้องหน้าอิรวดี “แลเจ้าก็ต้องไปเป็นพยานให้ข้าว่าบูรพกันต์นั้นคิดชั่วแค่ไหนกับท่านพญาทศยันต์”อิรวดีไ







