ก่อนที่อันนาจะลงจากรถ ผมได้จับมือของเธอให้หงายขึ้น แล้ววางวิทยุสื่อสารลงไปบนมือเรียวบางของเธอ
วิทยุสื่อสารที่ใช้งานด้วยการใช้ความถี่ ที่ผมเป็นคนคิดฟังชั่น และดัดแปลงมันขึ้นมา เพื่อให้เธอเอาไว้ใช้ติดต่อกับผมได้ แค่เพียงคนเดียวเท่านั้น
“เอาวิทยุสื่อสารนี่ไว้ใช้งาน สำหรับติดต่อกันระหว่างฉันกับเธอ”
ผมบอกพร้อมกับดึงโทรศัพท์ จากมืออีกข้างของอันนามาเมมเบอร์ของผมไว้ แล้วกดโทรเข้าไปในเครื่องของผม เพื่อเมมเบอร์ของเธอเอาไว้ด้วยเช่นเดียวกัน จากนั้นผมจึงอธิบายวิธีการใช้งาน ของวิทยุสื่อสารเครื่องนี้ให้เธอฟัง
“วิทยุเครื่องนี้ฉันเป็นคนบิวท์มันขึ้นมาเอง และล๊อคช่องเอาไว้ใช้แค่เพียงช่องเดียว ไม่มีใครสามารถจูนคลื่นความถี่มาตรงกับช่องนี้ได้ ”
อันนาเหลือบตามองวิทยุสื่อสารด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ก็ยอมรับสิ่งนั้นไว้ ก่อนจะรีบเปิดประตูลงไป ด้วยกลัวว่าอาจมีใครมาเห็นเข้า แต่ผมก็ยังรั้งเธอเอาไว้
“ เดี๋ยวสิ...อันนา”
ผมรวบตัวเธอเข้ามาแนบชิดอีกครั้ง เพื่อจูบริมฝีปากบางสีเชอร์รี่ ที่เผยอขึ้นรับกับริมฝีปากของผม อย่างไม่ยอมให้เธอได้พักหายใจ
และสิ่งที่เธอทำได้นั่นก็คือ กำมือขึ้นมาทุบหน้าอกของผมหนักๆ เมื่อผมไม่ยอมปล่อยเธอได้สักที
พอลงจากรถได้เจ้าตัวก็หันมาค้อนใส่ ก่อนเดินเข้าบ้านไปอย่างเงียบๆ และเมื่อเห็นเธอเข้าบ้านไปเรียบร้อยแล้วนั่นละ ผมถึงได้เลี้ยวหัวรถเพื่อกลับบ้าน ของตัวเองด้วยเช่นเดียวกัน
{End part Tongkao}
{Unna part}
01.10 น.
ฉันล้มตัวลงนอนตอนตีหนึ่งกว่าๆ และได้แต่ถามตัวเองกลับไปกลับมา ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน มันคือเรื่องจริงใช่มั้ย?
ฉันถูกตองเก้าลากออกมาจากผับ แล้วถูกบังคับขืนใจ อีกทั้งยังละเมิดสิทธิทางร่างกาย ด้วยการเสียจูบแรกของตัวเองให้เขาไปโดยไม่คาดฝัน ถึงฉันจะยอมรับความผิดแทนคนเป็นพี่ชาย ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันต้องยอมตกเป็นเบี้ยล่าง หรือไม่ก็เป็นนางบำเรอบ้าบออะไรนั่น หากตองเก้าต้องการแบบนั้น ฉันก็จะยอมปล่อยให้เขาฆ่าฉัน ให้ตายไปเลยน่าจะดีกว่า
ถ้าไม่ใช่เพราะพี่อุลตร้า เคยไปแย่งแฟนของนายนั่น ฉันคงไม่ตกอยู่ในสภาพ ที่กลืนไม่เข้าและคายไม่ได้ ในแบบที่กำลังเป็นอยู่นี่
ยอมรับว่ากลัวเขามาก แต่ริมฝีปากนุ่มๆ ที่กดไล้ไปทั่วทั้งใบหน้า กลับพาให้ฉันเคลิบเคลิ้มตามเขาไปโดยไม่รู้ตัว
ลมหายใจหอมๆ ของตองเก้า ทำเอาหัวใจฉันเต้นรัว จนกลัวมันจะลืมไปเลย ว่าเคยเต้นอยู่ในจังหวะไหนกันแน่
ติ๊ดดด...
เสียงกดคีย์ลากยาวจากวิทยุสื่อสาร ที่ตองเก้าให้ฉันไว้ดังขึ้น ทั้งๆ ที่เพิ่งจะแยกจากกันมาได้ไม่นานเท่าไหร่ แต่อีกฝ่ายก็ยังตามมากวนใจฉันไม่เลิกลา
ไอ้คนไม่มีมารยาท!
( มรกต 013 จาก มรกต 301 ว.2 เปลี่ยน )
นั่นไง? คำว่าเกรงใจคงไม่มีอยู่ในสันดาน!
ฉันนอนมองวิทยุสื่อสารที่วางไว้ใกล้ๆ ตัวแต่ทว่าไม่ยอมกดรับ เพราะต้องการให้ตองเก้าคิดว่า ฉันน่าจะหลับไปแล้วนั่นแหละ
013 คือรหัสขึ้นวิทยุประจำตัวของฉัน ส่วน 301 นั้นมันเป็นรหัสขึ้นวิทยุ ประจำตัวของตองเก้านั่นเอง
( มรกต 013 จาก มรกต 301 ว.2 เปลี่ยน )
ตองเก้าเรียกรหัสของฉันอีกครั้ง แต่ฉันก็ยังไม่ยอมกดรับเขาได้สักที
( อันนา...ฉันรู้ว่าเธอยังไม่หลับ หากเธอยังไม่ยอมยกวิทยุขึ้นมากดคีย์รับ รู้มั้ยว่าพรุ่งนี้เธอจะต้องได้พบกับอะไรบ้าง…)
น้ำเสียงห้วนตึงของคนที่อยู่อีกฝั่ง ฟังดูก็รู้ว่าเจ้าตัวเขากำลังรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่ได้ดั่งใจ...
แล้วฉันต้องสนใจเขาด้วยงั้นเหรอ?
เออดิ...ฉันรีบคว้าวิทยุขึ้นมากดคีย์รับ...ก่อนเอ่ยถามเขากลับไปเสียงเรียบ
“ ฉันง่วง นายมีอะไรก็รีบพูดมาเลยสิ?”
( ก็แค่จะกู๊ดไนท์...Kiss.)
“.......”
“ถึงแม้เธอจะปากจัด...แต่น้ำลายของเธอกลับหวานชะมัดเลย...”
“.......”
(ขอบใจนะ ที่ให้ฉันเป็นจูบแรกของเธอ...)
“........”
“ ไปตายซะ!!ไอ้ฝรั่งขี้นก ”
ฉันด่ากลับไปเสียงดังลั่น แต่นั่นเขาคงไม่ได้ยิน เพราะฉันไม่ได้กดคีย์ตอนที่พูดออกไป
ฉันรีบเอามือปิดปาก เพราะไม่อยากให้เสียงเล็ดรอดออกไปนอกห้อง ก่อนลูบไปทั่วใบหน้าของตัวเองที่มันกำลังร้อนผ่าว ไปกับคำพูดของตองเก้าซะอย่างงั้น
ฉันรีบปิดวิทยุสื่อสารของตองเก้า ก่อนเอาวิทยุของตัวเองมาเปิดเบาๆ เพื่อรอฟังรายงานจากทางศูนย์ของมูลนิธิ
ชีวิตของฉันเริ่มวุ่นวาย ตั้งแต่ได้พบกับนายนั่น อีกทั้งยังต้องแอบคบกันโดยที่ไม่ให้พี่ชายของฉันรู้
พอฟังดูมันก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ อีกทั้งยังน่าอดสูใจ แต่ก็ไม่สามารถ จะทำอะไรได้มากไปกว่านั้นอีกแล้ว
[ตองเก้า...จากต้นไทรวอสองเปลี่ยน]ผมได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเองดังมาแต่ไกล แต่เป็นความรู้สึกที่คลับคล้ายกับกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น...แล้วผมก็พยายามฝืนที่จะลืมตา[ไอ้เก้า!...มึงมัวทำห่าอะไรอยู่วะ...ทำไมมึงถึงไม่พาน้องมันมาสักที..กูกับหลินนั่งรอพวกมึงมาชั่วโมงกว่าๆ อีกสิบห้านาทีถ้ามึงยังไม่มา หลินบอกว่าจะไปหาอันนาที่เต๊นแล้วนะเว้ย]เสียงของไอ้ต้น! ที่เป็นคนเรียกชื่อผมดังออกมาจากวิทยุสื่อสาร นั่นจึงทำให้ผมรีบหันไปคว้ามันมากดคีย์รับ"เออโทษทีว่ะ...อากาศกำลังดีมันเลยทำให้กูเผลอหลับไปพร้อมกับอันนา"[ มึงคิดว่ากูไม่รู้เลยงั้นสิ...ไอ้สันดาน ]"เออตามนั้น...ในเมื่อมึงรู้แล้วจะถามกูทำไม...บอกหลินด้วยว่าไม่ต้องมาเพราะกูกับอันนากำลังจะไป"ผมรีบตัดบทสนทนา ก่อนหันมองอันนาที่ลืมตาตื่นขึ้นมาพอดี"ไอ้ต้นมันเรียกวิทยุตามเราสองคนน่ะ" ผมบอกเจ้าของใบหน้าน่ารัก ก่อนก้มลงไปจุ๊บริมฝีปากของเธอทีหนึ่ง ซึ่งมันยังไม่น่าจะพอเพราะเมื่อผมผละออกมา อันนาก็รั้งต้นคอของผมให้ลงไปจูบกับเธออีกครั้งก่อนจะผละออก"ต่อกันไหม?...ฉันจะได้วิทยุบอกไอ้ต้นมันว่า ให้พาหลินไปเดินเที่ยวที่งานดนตรีกันก่อนไม่ต้องรอ""ขืนต่ออีกที ฉันคงได
วันสิ้นปี ณ.ที่เขาใหญ่{Unna part}เนื่องจากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับเราสองคนมากมาย จึงเป็นเหตุที่ทำให้การจัดกิจกรรม ของชมรมวิศวะไฟฟ้าคราวนั้นต้องถูกยกเลิกกลางคัน และหลังจากที่ทุกคนปรับความเข้าใจกันได้ ตองเก้าจึงจัดทริปเค้าดาวน์ที่เขาใหญ่เพราะเจ้าตัวเขาต้องการเอาใจฉันนั่นเองอยากรู้ใช่ไหมละ ว่าทำไมฉันถึงเลือกเค้าท์ดาวน์ข้ามปี ณ.ที่เขาใหญ่แห่งนี้..นั่นเป็นเพราะที่นี่มีงานลานดนตรีที่ถูกจัดขึ้นทุกปี แต่ฉันไม่เคยมีโอกาสได้มาสัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้เลยสักครั้งซึ่งในบริเวณงานดังกล่าว จะมีพื้นที่ประมาณราวหนึ่งตารางกิโลเมตรเห็นจะได้ บริเวณด้านในจะประกอบไปด้วยเวทีต่าง ๆ ที่เอาไว้สำหรับให้นักร้องทั้งหลายขึ้นไปเล่นคอนเสิร์ตให้คนที่ตั้งใจมาในงานนี้ได้ฟัง ซึ่งแต่ละเวทีก็ยังแยกประเภทของดนตรีแต่ละแนวอย่างเช่น Jazz Pop Rock หรือลูกทุ่ง กระทั่งรำวงย้อนยุค รวมไปถึงการระเล่นต่างๆ อย่างมากมายที่นี่จึงเป็นเสมือนจุดศูนย์กลางให้คนที่มีดนตรีในหัวใจได้มารวมตัวกัน เพราะมีเหล่าบรรดาศิลปินในดวงใจหลากหลาย ที่เราจะได้เห็นพวกเขามารวมตัวกันที่นี่นั่นเองและจุดที่เราเข้าพักก็จะอยู่ใกล้กับสถานที่ที่จัดงานลานดนตรี ซึ่งฉ
"ไม่ให้กลับ!...โอ๊ย!"ตองเก้าร้องเสียงดัง พลางทำหน้าแหยเพราะคงเจ็บแผลจากการเคลื่อนไหว ด้วยการใช้กำลังแขนของตัวเองมากเกินไป"ฉันบอกนายแล้วเห็นมั้ยว่าอย่าขยับ!..." ว่าแล้วฉันก็ค่อยๆ ประคองร่างใหญ่ให้นอนลงไปที่เดิม"ฉันไม่กลับแล้วก็ได้... ฉันขอโทษความจริงฉันไม่น่ายั่วให้นายโกรธเลย...เจ็บมากมั้ย?""เจ็บมาก..." เจ้าตัวพูดว่าเจ็บแถมยังเบะปาก จนฉันอยากจะขำพรืดออกมาเมื่อเห็นหน้าตาของเขา"สามวันที่เราไม่ได้เห็นหน้ากัน ทำฉันคิดถึงเธอมาก...จูบหน้าผากฉันหน่อยได้ไหม?"ตองเก้ากำลังอ้อนฉันด้วยการใช้คำพูดหวานๆ และมันก็ทำให้ฉันใจอ่อนกับเขาอีกตามเคย"แค่หน้าผากเองเหรอ?" ฉันถามขณะโน้มหน้าลงจูบหน้าผากตามที่เขาร้องขอ จากนั้นจึงถามเขาต่อว่า"พอไหม?" แต่ฉันไม่ได้รอคำตอบอะไร เพราะฉันค่อยๆ จูบไล่จากหน้าผากลงมาจนถึงริมฝีปากของเขา แต่จูบแค่เพียงเบาๆ"เอาอีก..."เห็นไหมละ...ว่าพอเจ้าตัวได้คืบก็จะเอาศอก ฉันจึงได้บอกเขาออกไปว่า..."พอก่อนนะ เพราะตอนนี้ฉันมีเรื่องที่จะถามนาย.." ฉันว่าพลางหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม"เรื่องอะไร?"“แหวนของนะโม อยู่กับแม่นายใช่ไหม ฉันอยากขอเอาไปคืนให้เขา”“อยู่ที่เอวา เอวาอาสาว่าจะเ
ฉันหยุดยืนอยู่หน้าห้องพิเศษของตองเก้าพลางสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนหันไปมองหน้าของนะโมเพื่อขอกำลังใจนะโมพยักหน้าให้พร้อมกับยกมือขึ้นเคาะประตูห้องเชิงต้องการขออนุญาตคนที่อยู่ด้านใน แต่ฉันยังไม่ทันได้เปิดประตูเข้าไป เมื่อคนที่อยู่ด้านในกลับเป็นฝ่ายเปิดออกให้เอง“อันนา!...อันนามาแล้วค่ะแม่”เอวาร้องลั่นราวกับดีใจนักหนาเมื่อเห็นว่าเป็นฉัน ก่อนหันไปบอกคนเป็นมารดาที่นั่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับบิดาของเธอเรายกมือขึ้นไหว้พวกท่านพร้อมกัน และเมื่อเห็นว่าท่านรับไหว้ฉันกับนะโมจึงเดินตามหลังเอวาไปนั่งด้วยกันที่โซฟา แต่ทว่า..อยู่คนละฝั่ง และฉันเป็นคนที่ได้นั่งอยู่ตรงกลางทุกคนในครอบครัวของตองเก้ารู้เรื่องราวของนะโมทุกอย่าง โดยผ่านการบอกเล่าจากฉันเมื่อสามวันที่ผ่านมา"เราใช่ไหมที่มีชื่อว่านะโม?..."แม่ของเอวาเลื่อนสายมาที่นะโมตอนถาม เพราะเมื่อสามวันก่อนตอนที่พวกเราอยู่โรงพยาบาล พวกท่านยังไม่ทันได้สังเกตใคร นอกฉันกับคนเป็นลูกชายของท่านเท่านั้น"ครับ.." นะโมตอบกลับสั้นๆ พอได้ยินอย่างนั้นท่านจึงได้พูดกับเขาในประโยคต่อไปอีกว่า"ครอบครัวของเราขอขอบใจเธอมากนะ ที่ได้ช่วยชีวิตลูกชายของเราไว้ แล้วยังพาเขามา
เวลาแต่ละนาทีที่ผ่านไปทำให้ฉันรู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน จากชั่วโมงหนึ่งกลายเป็นสองสามสี่ และในชั่วโมงที่ห้านั่นเองที่ฉันได้เห็นร่างของหมอใหญ่เปิดประตูออกมา แล้วบอกกับพวกเราทุกคนว่า“คนเจ็บพ้นขีดอันตรายแล้วครับ”ทุกคนเฮโลลั่นโรงพยาบาลประสานเสียงกัน จนถูกคุณหมอดุเข้าให้นั่นแหละถึงได้พากันเบาเสียงลงฉันเห็นคนเป็นพี่ชายพลอยดีใจร่วมไปกับคนอื่นๆ ด้วยเหมือนกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนของทั้งสองคน มันยังคงไม่จืดจางฉันคิดว่าอย่างนั้นพี่อุนเดินมาโอบไหล่ฉันเชิงให้กำลังใจ ขณะเดียวกันก็ดึงฉันเข้าไปกอด ก่อนจะผละออกมาพูดว่า“แกกลับไปอาบน้ำก่อนดีกว่า ดูเสื้อผ้าของแกมีแต่เลือดอยู่เต็มไปหมด หมอบอกว่าไอ้เก้ามันพ้นขีดอันตรายแล้ว เราแค่รอให้มันฟื้นหมอถึงจะอนุญาตให้เราเข้าเยี่ยมมันได้"หลังจากที่พี่ชายบอกฉัน หลินซีก็เข้ามาพูดในทำนองเดียวกัน“ฉันก็คิดแบบพี่อุลนะ แกกลับไปอาบน้ำพักผ่อนก่อนเถอะ มอมแมมเป็นลูกหมาเลย”ฉันรับฟัง แต่ยังไม่ขยับไปไหน เนื่องจากฉันกำลังสอดส่ายสายตาเพื่อมองหาใครบางคน“หลิน... นะโมละเขาไปไหน แกเห็นเขาไหม?” ฉันเอ่ยถามเอากับเพื่อนสนิทเพราะคิดว่ามันน่าจะรู้ดี“นะโมกลับไปเอารถที่ห้าง
เราสองคนช่วยกันพยุงตองเก้าให้นอนราบไปกับพื้นรถทางด้านหลัง และนะโมยังจับดูชีพจรของตองเก้าอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยที่เราสองคนแทบไม่ได้พูดอะไรกันเลยนะโมเปิดกระเป๋าร่วมยาแล้วล้วงเอาผ้าก๊อต มาปิดปากแผลให้ตองเก้าที่ด้านหน้า จากนั้นเราจึงช่วยกันพลิกร่างหนาเพื่อทำแผลให้เขาที่ด้านหลังเจ้าตัวทำหน้าแหยทุกครั้งนั่นแหละแต่ทว่ากลับไม่มีเสียงร้อง ผิดกับฉันที่มีน้ำตาไหลนองออกมา โดยไม่มีทีท่าว่ามันจะหยุดไหลได้สักทีเมื่อปฐมพยายาบาลเบื้องต้นให้คนเจ็บเสร็จสรรพ ฉันจึงแจ้งทางศูนย์กลับไปว่า เราได้นำตองเก้าขึ้นรถกู้ชีพของเขาไปส่งโรงพยาบาลให้เอง โดยสั่งการให้ศูนย์ช่วยประสานกับทางโรงพยาบาลว่าให้เตรียมทุกอย่างไว้รอพอได้ยินเสียงฉัน พี่อุลจึงขึ้นความถี่เรียกขาน ทั้งอย่างนั้นเวลานี้ฉันไม่มีกะจิตกะใจจะพูดอะไรกับใครทั้งนั้น อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่างมันฉันไม่แคร์ เพราะฉันสนแค่คนที่อยู่ในอ้อมแขนของฉันในตอนนี้เท่านั้นเองนะโมให้ฉันเอาผ้าสะอาดที่มีในกระเป๋า กดทับบาดแผลของตองเก้าเอาไว้อีกชั้น เพื่อกันไม่ให้เลือดไหลออกมามาก จากนั้นเขาจึงใช้ผ้าด้ายดิบผืนใหญ่ที่มีไว้สำหรับห่อคนตาย แต่มันยังไม่ผ่านไช้งาน มาห่มให้ตองเก้าเพราะเราไ