พอ.เอาความโกรธแค้นพี่ชายนอ.ทั้งหมดที่เคยทำไว้กับเขา มาลงกับคนเป็นน้องสาว นั่นก็คือนอ.ด้วยการหลอกบังคับให้นอ.เป็นแฟนหลอกให้รัก และจับนอ.จ้ำจี้จนได้นอ.ตามที่ได้วางแผนเอาไว้ แต่กลับหลงรักนอ.เข้าให้ เมื่อนอ.รู้ความจริงว่าพอ.มาหลอกจึงบอกเลิกและให้พอ.ออกไปจากชีวิต พอ.เลยโบ้หนักมากเพราะง้อยังไงนอ.ก็ไม่ยอมเข้าใจ แถมยังเอาผช.คนใหม่มาเย้ยอีกนี่สิมันยิ่งเจ็บกว่า สปอย นอ.แอบได้ยินพี่ชายทะเลาะกับพอ.เกี่ยวกับเรื่องของตัวเองจึงรู้ความจริงทั้งหมดว่าพอ.แค่มาหลอก นอ.จึงบอกเลิกกับพอ.ท้นที "เมื่อสาแก่ใจของนายแล้ว ต่อไปก็อย่ามายุ่งกับฉันอีก ในเมื่อทุกอย่างที่นายทำลงไป มันก็แค่ระบายความไค.ร่กับผู้หญิงไร้ค่.าที่น่าขย ะแข ยง นายแสดงได้เหมือนจริงจนฉันเชื่อสนิทใจ ฉันจะทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่ และตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ฉันและนาย...เรา...ขาดกัน!...ล่าก่อน...ตองเก้า ” “อันนา!...”
Lihat lebih banyak{Unna part}
ปัง!...ปัง!..ปัง!
“ อันนา!..อันนาตื่นสิวะ ”
เสียงเคาะประตูห้องที่ดังขึ้นติดๆ กันหลายครั้ง อีกทั้งยังมีเสียงตะโกนเรียกชื่อฉันถี่ๆ ดังตามมาอีกรัวๆ นั่นบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยห่ามๆ ของเจ้าตัวเขาได้ และมันก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกเสียจากพี่ชายตัวดีของฉัน...ที่มีชื่อว่า อุลตร้า
“ อันนา!..”
“ มีอะไรกับฉันเหรอพี่อุล ” ฉันถามพี่ชายกลับไปด้วยน้ำเสียงติดจะงัวเงีย
เพราะรู้สึกเสียอารมณ์ผสมกับความหงุดหงิด ฉันจึงขยุ้มผ้าห่มขึ้นมาปิดหูทั้งสองข้าง อย่างที่ไม่ต้องการจะรับรู้อะไรทั้งนั้น
จะไม่ให้หงุดหงิดได้อย่างไรกัน ในเมื่อฉันเพิ่งจะล้มตัวลงนอน ไปได้แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น แล้วยังกล้ามาทุบประตูห้องของฉันจนแทบพัง
“ แกไม่ได้ฟังรายงานวิทยุจากศูนย์หรือไงฮะ ว่าตรงสี่แยกไฟแดงถนนราชภัฐเกิดอุบัติเหตุน่ะ ศูนย์ได้รายงานเข้ามาว่ามีรถเก๋งชนกับเสาไฟฟ้าที่อยู่ข้างทาง และตอนนี้เขากำลังต้องการเครื่องตัดถ่าง เพราะมีคนติดอยู่ภายในแล้วออกมาไม่ได้ แกรีบตื่นขึ้นมาช่วยพี่ยกมันใส่รถของเราทีเถอะ”
เมื่อได้ฟังดังนั้น ฉันจึงรีบพาตัวเองลงมาจากที่นอน ก่อนจะคว้าชุดหมีกู้ภัยมาสวมใส่ทับเสื้อตัวใน ขณะตะโกนบอกพี่ชายเสียงดังพอกันกลับไปว่า
“ ฉันตื่นแล้ว แต่พี่รอฉันเดี๋ยวนะ ”
ฉันเหลือบตามองนาฬิกาที่ข้างหัวนอน ซึ่งมันได้บ่งบอกเอาไว้ว่าตอนนี้คือเวลาตีสองกว่าๆ และฉันก็เพิ่งจะกลับมาจากงานเลี้ยงฉลอง รับน้องปีหนึ่งของคณะแพทย์ ที่ตัวเองพึ่งจะสอบเข้ามาได้ไม่นานเท่าไหร่ ถึงนอนหลับลึกจนไม่รู้สึกตัวได้ขนาดนี้ อีกทั้งยังไม่ได้ยินเสียงรายงาน ที่ดังมาจากวิทยุสื่อสาร จากทางศูนย์ของมูลนิธิ ที่ฉัน พ่อ และพี่ชายได้สังกัดอยู่
ครอบครัวของเราชอบช่วยเหลือผู้อื่น ด้วยการเป็นจิตอาสากู้ภัย อยู่ในสังกัดมูลนิธิ เพชรมรกต
ฉันยังอยู่ในช่วงฝึกงาน จึงมีรหัสขึ้นวิทยุประจำตัวว่า มรกต 013 ส่วนคนเป็นพี่ชายมีรหัสเรียกขานว่ามรกต 316
ฉันเป็นอาสาฝึกหัดที่ยังไม่ผ่านการทดสอบ ดังนั้นรหัสของฉันจึงมีศูนย์นำหน้า
ด้วยความที่ไฝ่ฝันเอาไว้ว่าฉันอยากจะเป็นหมอ ฉันจึงขอพ่อและแม่เข้ามาฝึกใจ กับการที่จะได้เห็นคนเจ็บและคนตายในหลายๆ รูปแบบ
เครื่องตัดถ่างคืออุปกรณ์ที่ใช้ในการตัดถ่าง เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ขณะที่ยังติดอยู่ภายใน และไม่สามารถจะออกมาได้ด้วยต้วเอง ประโยชน์ที่ใช้งานของมัน ก็คือชื่อที่มีความหมายตรงตัวเลยนั่นแหละ
“ อันนา แกช่วยพี่ออกแรงยกให้มันมากกว่านี้หน่อยสิวะ ”
“ ฉันเป็นผู้หญิงนะพี่ แล้วทีลูกข่ายคนอื่นๆ ทำไมถึงไม่มาช่วยกันบ้าง หายหัวกันไปไหนหมด”
ฉันอดเถียงพี่ชายกลับไปไม่ได้ เพราะเครื่องตัดถ่างมันมีขนาดใหญ่และค่อนข้างหนักมาก ฉันเองก็อยากช่วยคนเหมือนกันนั่นแหละ แต่แรงของฉันมันก็มีอยู่แค่นี้ ไม่ได้ออมแรงเหมือนกับที่กำลัง ถูกเขากล่าวหาออกมานั่นเลยสักหน่อย
“เออๆ ถ้าแกรู้ว่าแรงน้อย ก็ไม่ต้องพูดมากได้มั้ยวะ? เขาไปงานเปิดมูลนิธิเพชรน้ำหนึ่งกันนะสิ..เราอยู่ เราก็ทำเท่าที่เราทำได้ อย่ามัวแต่บ่นเป็นยายแก่ได้มั้ยวะ เสียเวลาว่ะ”
พี่อุลต้าว่าฉันบ่นแต่ตัวเองก็ไม่เบาเท่าไหร่ ซึ่งความจริงมันก็น่าจะแบ่งกันไปงาน เพราะเวลาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ทีไร คนก็มักจะมีไม่พอที่จะเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งยังดึงเวลาให้ช้าเข้าไปอีก
เมื่อช่วยกันยกเครื่องตัดถ่างขึ้นมาได้ พี่ชายของฉันมันก็เหยียบรถจนแทบจะหมดไมล์
“ จะรีบไปตายหรือไงฮะ? พี่จะต้องให้ฉันคอยบอก จนปากฉีกไปเลยใช่มั้ย? ”
ฉันว่าพร้อมกับเหล่ตามองเลขไมล์ที่ขึ้นไปถึงร้อยยี่สิบ และมันยังคงกระดิกต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะสุดความเร็วของรถที่มี
“ แกเป็นแม่ฉันหรือไงฮะ? ฉันก็จะรีบไปช่วยคนเจ็บน่ะสิ ” ปากพูด ตาค้อน แต่เท้าไม่ได้เบาคันเร่งลงเลยสักนิด
“ คิดบ้างสิพี่อุล ว่าตัวเราก็ต้องปลอดภัยเอาไว้ก่อน ประเมินความเสี่ยงน่ะเป็นไหม ขับรถเร็วขนาดนี้ถ้าเกิดอุบัติเหตุเอง อาจจะมีคนสมน้ำหน้าเอาได้ โดยเฉพาะคนที่พี่ไม่ชอบขี้หน้าเขาไง เอาความเร็วที่เราสามารถบังคับรถได้ ก็น่าจะพอแล้วนะพี่ อุจจาระ ”
ที่ฉันจงใจเน้นชื่อของพี่ชายในตอนท้าย...เพราะอะไรนะเหรอ?...
เพราะความจริงชื่อของพี่ชาย ที่พ่อกับแม่อุตส่าห์ตั้งให้มีชื่อว่า อุลตร้า แต่ในกลุ่มเพื่อนสนิทของพี่ชาย ต่างก็พร้อมใจกันเรียกว่า ไอ้ อุนจิ ซึ่งมันแปลว่าขี้ญี่ปุ่น ที่มีความหมายตรงตัวเลยนั่นแหละ
“ อันนา!ถ้าแกไม่ใช่น้องฉันนะ..ฮื่มมม ”
พี่อุลตร้าว่าฉัน ก่อนจะเบาคันเร่งลงมาอยู่ในระดับปกติ จากนั้นจึงหันมาถลึงตาใส่ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรฉันได้
“ฉันเตือนพี่เพราะความหวังดีหรอกน่า...ไม่อยากให้ใครมาหัวเราะเยาะเราทีหลัง แม้เขาจะถึงก่อน แต่ยังไงก็ต้องรอเราอยู่ดี เพราะเครื่องตัดถ่างมันอยู่ที่เรานี่ ”
เครื่องตัดถ่างของจุด อยู่ที่บ้านของฉันเอง เพราะสะดวกในการดูแลรักษา และง่ายต่อการเอาออกเหตุในแต่ละครั้ง
หวอ!ๆ
ต๊อด!ๆ
เสียงเปิดไฟไซเรนขอทาง จากรถกู้ภัยคันหนึ่งลากยาวมาแต่ไกล พร้อมกับเสียงบีบแตรไล่เชิงส่งสัญญาณขอทาง ให้รถของพี่ชายของฉันหลบเขา
ฟิ้ววววว!....
และรถคันดังกล่าวที่วิ่งผ่านไป ด้วยความไวปานแสงนั่น มันก็คือรถกู้ภัยของนาย ตองเก้า
"ขับรถไวยังกับจะรีบไปตายที่ไหน! แต่ฉันว่าไอ้คนแบบนี้ มันท่าจะตายยากเนอะพี่..ว่ามั้ย?"
ฉันกร่นด่าก่อนเลื่อนสายตามองเลขไมล์ ที่มันกำลังไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ตามแรงอารมณ์ของพี่ชายตัวดี
“ พี่อุล!...หยุดเร่งความเร็วเดี๋ยวนี้นะ! ”
ฉันตวาดใส่ พลางจับมือพี่ชายที่กุมพวงมาลัยรถนั่นยึดไว้ แล้วถลึงตาใส่เชิงเตือนพี่ชายด้วยสีหน้าจริงจัง ทั้งอย่างนั้นพี่อุลต้ราก็ยังเถียงฉันกลับมา อย่างไม่คิดจะยอมกัน
“ แกไม่เห็นหรือไงว่าไอ้เก้า มันกำลังบีบแตรเย้ยหยันเรา ป่านนี้ไอ้ฝรั่งขี้นกนั่นมันคงกำลังคิดว่าเราช้าเหมือนเต่าอยู่แน่ๆ ”
“ แต่เราอย่าไปใส่ใจ แล้วเอาเรื่องช่วยคนเจ็บหรือคนตายมาต่อรอง และเอามาปนกับเรื่องส่วนตัวของเราสิ ในเมื่อเราต้องการช่วยเหลือคนไม่ใช่หรือไง? ”
ฉันให้เหตุผลซึ่งทำให้พี่อุลตร้าพยักหน้ารับอย่างจำใจ และได้ลดระดับความเร็ว ให้กลับมาอยู่ในระดับปกติอีกครั้ง นั่นก็รวมไปถึงอารมณ์ของเจ้าตัวเขาด้วยนั่นแหละ
ตองเก้า เป็นลูกชายเพียงคนเดียวของครอบครัว เขาถึงได้เอาแต่ใจตัวเองมาตั้งแต่เด็ก
ที่พี่อุลตร้าเรียกเขาว่าฝรั่งขี้นก เพราะว่าพ่อของตองเก้าเป็นลูกครึ่ง ซึ่งเรื่องนี้คนเป็นพี่ชาย ได้เล่าให้ฉันฟังแค่เพียงคร่าวๆ
ดังนั้นตองเก้าจึงมีหน้าตา กระเดียดไปทางลูกครึ่งลูกเสี้ยวทั่วไป ใบหน้าหล่อเหลาคมคายแต่ทว่าร้ายกาจ แบบที่ไม่ขาดอะไรเลยสักอย่าง กระทั่งรูปร่างของเขาก็ยังสูงโปร่งและผิวขาว เพราะอย่างนี้นี่เล่าพี่ชายของฉัน ถึงได้ไม่ชอบขี้หน้า หรือว่าอาจอิจฉานายนั่น อันนี้ฉันก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน
{End part Unna}
[ตองเก้า...จากต้นไทรวอสองเปลี่ยน]ผมได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเองดังมาแต่ไกล แต่เป็นความรู้สึกที่คลับคล้ายกับกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น...แล้วผมก็พยายามฝืนที่จะลืมตา[ไอ้เก้า!...มึงมัวทำห่าอะไรอยู่วะ...ทำไมมึงถึงไม่พาน้องมันมาสักที..กูกับหลินนั่งรอพวกมึงมาชั่วโมงกว่าๆ อีกสิบห้านาทีถ้ามึงยังไม่มา หลินบอกว่าจะไปหาอันนาที่เต๊นแล้วนะเว้ย]เสียงของไอ้ต้น! ที่เป็นคนเรียกชื่อผมดังออกมาจากวิทยุสื่อสาร นั่นจึงทำให้ผมรีบหันไปคว้ามันมากดคีย์รับ"เออโทษทีว่ะ...อากาศกำลังดีมันเลยทำให้กูเผลอหลับไปพร้อมกับอันนา"[ มึงคิดว่ากูไม่รู้เลยงั้นสิ...ไอ้สันดาน ]"เออตามนั้น...ในเมื่อมึงรู้แล้วจะถามกูทำไม...บอกหลินด้วยว่าไม่ต้องมาเพราะกูกับอันนากำลังจะไป"ผมรีบตัดบทสนทนา ก่อนหันมองอันนาที่ลืมตาตื่นขึ้นมาพอดี"ไอ้ต้นมันเรียกวิทยุตามเราสองคนน่ะ" ผมบอกเจ้าของใบหน้าน่ารัก ก่อนก้มลงไปจุ๊บริมฝีปากของเธอทีหนึ่ง ซึ่งมันยังไม่น่าจะพอเพราะเมื่อผมผละออกมา อันนาก็รั้งต้นคอของผมให้ลงไปจูบกับเธออีกครั้งก่อนจะผละออก"ต่อกันไหม?...ฉันจะได้วิทยุบอกไอ้ต้นมันว่า ให้พาหลินไปเดินเที่ยวที่งานดนตรีกันก่อนไม่ต้องรอ""ขืนต่ออีกที ฉันคงได
วันสิ้นปี ณ.ที่เขาใหญ่{Unna part}เนื่องจากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับเราสองคนมากมาย จึงเป็นเหตุที่ทำให้การจัดกิจกรรม ของชมรมวิศวะไฟฟ้าคราวนั้นต้องถูกยกเลิกกลางคัน และหลังจากที่ทุกคนปรับความเข้าใจกันได้ ตองเก้าจึงจัดทริปเค้าดาวน์ที่เขาใหญ่เพราะเจ้าตัวเขาต้องการเอาใจฉันนั่นเองอยากรู้ใช่ไหมละ ว่าทำไมฉันถึงเลือกเค้าท์ดาวน์ข้ามปี ณ.ที่เขาใหญ่แห่งนี้..นั่นเป็นเพราะที่นี่มีงานลานดนตรีที่ถูกจัดขึ้นทุกปี แต่ฉันไม่เคยมีโอกาสได้มาสัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้เลยสักครั้งซึ่งในบริเวณงานดังกล่าว จะมีพื้นที่ประมาณราวหนึ่งตารางกิโลเมตรเห็นจะได้ บริเวณด้านในจะประกอบไปด้วยเวทีต่าง ๆ ที่เอาไว้สำหรับให้นักร้องทั้งหลายขึ้นไปเล่นคอนเสิร์ตให้คนที่ตั้งใจมาในงานนี้ได้ฟัง ซึ่งแต่ละเวทีก็ยังแยกประเภทของดนตรีแต่ละแนวอย่างเช่น Jazz Pop Rock หรือลูกทุ่ง กระทั่งรำวงย้อนยุค รวมไปถึงการระเล่นต่างๆ อย่างมากมายที่นี่จึงเป็นเสมือนจุดศูนย์กลางให้คนที่มีดนตรีในหัวใจได้มารวมตัวกัน เพราะมีเหล่าบรรดาศิลปินในดวงใจหลากหลาย ที่เราจะได้เห็นพวกเขามารวมตัวกันที่นี่นั่นเองและจุดที่เราเข้าพักก็จะอยู่ใกล้กับสถานที่ที่จัดงานลานดนตรี ซึ่งฉ
"ไม่ให้กลับ!...โอ๊ย!"ตองเก้าร้องเสียงดัง พลางทำหน้าแหยเพราะคงเจ็บแผลจากการเคลื่อนไหว ด้วยการใช้กำลังแขนของตัวเองมากเกินไป"ฉันบอกนายแล้วเห็นมั้ยว่าอย่าขยับ!..." ว่าแล้วฉันก็ค่อยๆ ประคองร่างใหญ่ให้นอนลงไปที่เดิม"ฉันไม่กลับแล้วก็ได้... ฉันขอโทษความจริงฉันไม่น่ายั่วให้นายโกรธเลย...เจ็บมากมั้ย?""เจ็บมาก..." เจ้าตัวพูดว่าเจ็บแถมยังเบะปาก จนฉันอยากจะขำพรืดออกมาเมื่อเห็นหน้าตาของเขา"สามวันที่เราไม่ได้เห็นหน้ากัน ทำฉันคิดถึงเธอมาก...จูบหน้าผากฉันหน่อยได้ไหม?"ตองเก้ากำลังอ้อนฉันด้วยการใช้คำพูดหวานๆ และมันก็ทำให้ฉันใจอ่อนกับเขาอีกตามเคย"แค่หน้าผากเองเหรอ?" ฉันถามขณะโน้มหน้าลงจูบหน้าผากตามที่เขาร้องขอ จากนั้นจึงถามเขาต่อว่า"พอไหม?" แต่ฉันไม่ได้รอคำตอบอะไร เพราะฉันค่อยๆ จูบไล่จากหน้าผากลงมาจนถึงริมฝีปากของเขา แต่จูบแค่เพียงเบาๆ"เอาอีก..."เห็นไหมละ...ว่าพอเจ้าตัวได้คืบก็จะเอาศอก ฉันจึงได้บอกเขาออกไปว่า..."พอก่อนนะ เพราะตอนนี้ฉันมีเรื่องที่จะถามนาย.." ฉันว่าพลางหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม"เรื่องอะไร?"“แหวนของนะโม อยู่กับแม่นายใช่ไหม ฉันอยากขอเอาไปคืนให้เขา”“อยู่ที่เอวา เอวาอาสาว่าจะเ
ฉันหยุดยืนอยู่หน้าห้องพิเศษของตองเก้าพลางสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนหันไปมองหน้าของนะโมเพื่อขอกำลังใจนะโมพยักหน้าให้พร้อมกับยกมือขึ้นเคาะประตูห้องเชิงต้องการขออนุญาตคนที่อยู่ด้านใน แต่ฉันยังไม่ทันได้เปิดประตูเข้าไป เมื่อคนที่อยู่ด้านในกลับเป็นฝ่ายเปิดออกให้เอง“อันนา!...อันนามาแล้วค่ะแม่”เอวาร้องลั่นราวกับดีใจนักหนาเมื่อเห็นว่าเป็นฉัน ก่อนหันไปบอกคนเป็นมารดาที่นั่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับบิดาของเธอเรายกมือขึ้นไหว้พวกท่านพร้อมกัน และเมื่อเห็นว่าท่านรับไหว้ฉันกับนะโมจึงเดินตามหลังเอวาไปนั่งด้วยกันที่โซฟา แต่ทว่า..อยู่คนละฝั่ง และฉันเป็นคนที่ได้นั่งอยู่ตรงกลางทุกคนในครอบครัวของตองเก้ารู้เรื่องราวของนะโมทุกอย่าง โดยผ่านการบอกเล่าจากฉันเมื่อสามวันที่ผ่านมา"เราใช่ไหมที่มีชื่อว่านะโม?..."แม่ของเอวาเลื่อนสายมาที่นะโมตอนถาม เพราะเมื่อสามวันก่อนตอนที่พวกเราอยู่โรงพยาบาล พวกท่านยังไม่ทันได้สังเกตใคร นอกฉันกับคนเป็นลูกชายของท่านเท่านั้น"ครับ.." นะโมตอบกลับสั้นๆ พอได้ยินอย่างนั้นท่านจึงได้พูดกับเขาในประโยคต่อไปอีกว่า"ครอบครัวของเราขอขอบใจเธอมากนะ ที่ได้ช่วยชีวิตลูกชายของเราไว้ แล้วยังพาเขามา
เวลาแต่ละนาทีที่ผ่านไปทำให้ฉันรู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน จากชั่วโมงหนึ่งกลายเป็นสองสามสี่ และในชั่วโมงที่ห้านั่นเองที่ฉันได้เห็นร่างของหมอใหญ่เปิดประตูออกมา แล้วบอกกับพวกเราทุกคนว่า“คนเจ็บพ้นขีดอันตรายแล้วครับ”ทุกคนเฮโลลั่นโรงพยาบาลประสานเสียงกัน จนถูกคุณหมอดุเข้าให้นั่นแหละถึงได้พากันเบาเสียงลงฉันเห็นคนเป็นพี่ชายพลอยดีใจร่วมไปกับคนอื่นๆ ด้วยเหมือนกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนของทั้งสองคน มันยังคงไม่จืดจางฉันคิดว่าอย่างนั้นพี่อุนเดินมาโอบไหล่ฉันเชิงให้กำลังใจ ขณะเดียวกันก็ดึงฉันเข้าไปกอด ก่อนจะผละออกมาพูดว่า“แกกลับไปอาบน้ำก่อนดีกว่า ดูเสื้อผ้าของแกมีแต่เลือดอยู่เต็มไปหมด หมอบอกว่าไอ้เก้ามันพ้นขีดอันตรายแล้ว เราแค่รอให้มันฟื้นหมอถึงจะอนุญาตให้เราเข้าเยี่ยมมันได้"หลังจากที่พี่ชายบอกฉัน หลินซีก็เข้ามาพูดในทำนองเดียวกัน“ฉันก็คิดแบบพี่อุลนะ แกกลับไปอาบน้ำพักผ่อนก่อนเถอะ มอมแมมเป็นลูกหมาเลย”ฉันรับฟัง แต่ยังไม่ขยับไปไหน เนื่องจากฉันกำลังสอดส่ายสายตาเพื่อมองหาใครบางคน“หลิน... นะโมละเขาไปไหน แกเห็นเขาไหม?” ฉันเอ่ยถามเอากับเพื่อนสนิทเพราะคิดว่ามันน่าจะรู้ดี“นะโมกลับไปเอารถที่ห้าง
เราสองคนช่วยกันพยุงตองเก้าให้นอนราบไปกับพื้นรถทางด้านหลัง และนะโมยังจับดูชีพจรของตองเก้าอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยที่เราสองคนแทบไม่ได้พูดอะไรกันเลยนะโมเปิดกระเป๋าร่วมยาแล้วล้วงเอาผ้าก๊อต มาปิดปากแผลให้ตองเก้าที่ด้านหน้า จากนั้นเราจึงช่วยกันพลิกร่างหนาเพื่อทำแผลให้เขาที่ด้านหลังเจ้าตัวทำหน้าแหยทุกครั้งนั่นแหละแต่ทว่ากลับไม่มีเสียงร้อง ผิดกับฉันที่มีน้ำตาไหลนองออกมา โดยไม่มีทีท่าว่ามันจะหยุดไหลได้สักทีเมื่อปฐมพยายาบาลเบื้องต้นให้คนเจ็บเสร็จสรรพ ฉันจึงแจ้งทางศูนย์กลับไปว่า เราได้นำตองเก้าขึ้นรถกู้ชีพของเขาไปส่งโรงพยาบาลให้เอง โดยสั่งการให้ศูนย์ช่วยประสานกับทางโรงพยาบาลว่าให้เตรียมทุกอย่างไว้รอพอได้ยินเสียงฉัน พี่อุลจึงขึ้นความถี่เรียกขาน ทั้งอย่างนั้นเวลานี้ฉันไม่มีกะจิตกะใจจะพูดอะไรกับใครทั้งนั้น อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่างมันฉันไม่แคร์ เพราะฉันสนแค่คนที่อยู่ในอ้อมแขนของฉันในตอนนี้เท่านั้นเองนะโมให้ฉันเอาผ้าสะอาดที่มีในกระเป๋า กดทับบาดแผลของตองเก้าเอาไว้อีกชั้น เพื่อกันไม่ให้เลือดไหลออกมามาก จากนั้นเขาจึงใช้ผ้าด้ายดิบผืนใหญ่ที่มีไว้สำหรับห่อคนตาย แต่มันยังไม่ผ่านไช้งาน มาห่มให้ตองเก้าเพราะเราไ
Komen