ลูกข่ายบางคนที่มาถึงก่อนหน้านั้น ต่างก็ช่วยกันยกเครื่องตัดถ่าง ลงมาตั้งไว้พร้อมกับประกอบให้เสร็จสรรพตามที่ได้รับอบรมกันมา ส่วนฉันก็คว้าหมวกแก๊ปมาสวมทับผม ที่ขมวดเป็นปมเอาไว้บนหัวของตัวเอง เพื่อกันไม่ให้มันตกลงมาเกะกะ ขณะกำลังปฎิบัติหน้าที่นั่นแหละ
และสิ่งที่ขาดไม่ได้ตอนออกเหตุ ในเวลากลางคืนนั่นก็คือ ไฟฉายที่ใช้สำหรับส่องสว่าง เพื่อเอาไว้ส่งสัญญาณ เชิงบอกสัญลักษณ์ให้รถทุกคันได้รู้ว่า ทางข้างหน้ากำลังมีอุบัติเหตุ และสามารถสังเกตได้จากแสงไฟ
ส่วนชุดที่ใส่ของแต่ละคนควรจะมีแถบสีสะท้อนแสง ให้เห็นเด่นชัดได้ในเวลากลางคืน เพราะทำให้รถคันอื่นมองเห็น ว่าเรากำลังยืนอยู่ตรงไหน
ฉันเดินไปดูตรงจุดเกิดเหตุ พร้อมกับสังเกตุสภาพของรถยนต์ คันที่ชนเข้ากับเสาไฟฟ้า แล้วก็ได้เห็นว่าด้านหน้าของรถดังกล่าว ยุบเข้าไปจนถึงที่นั่งของคนขับ เขาได้รับบาดเจ็บเพราะถูกหนีบเข้ามาจากคอนโซลด้านหน้าของรถ เลือดสีแดงสดจากหน้าผาก ได้ไหลหยดลงมาใส่เสื้อสีขาว จนแทบไม่เหลือพื้นที่ของสีเดิม
เจ้าของรถร้องโอดโอยอย่างน่าสงสาร เพราะเขากำลังทรมานจากอาการที่กำลังเป็นอยู่ จากที่ฉันดูเขาด้วยสายตา อาจประเมินได้ว่า ส่วนขาบริเวณหน้าแข้งของเขาน่าจะหัก หรือบางทีอาจจะหนักกว่านั้น ซึ่งฉันเองก็ยังไม่แน่ใจและไม่สามารถจะคาดเดาอะไรได้ เพราะฉันยังใหม่กับประสบการณ์เหล่านี้อยู่มาก ถึงแม้อยากจะช่วยเขามากแค่ไหนก็ตาม
เวลาผ่านไปร่วมสามสิบนาที ก็ยังไม่สามารถช่วยเหลือคนขับ ที่ได้รับบาดเจ็บออกมาได้ ฉันจึงตัดสินใจเดินออกมาจากจุดนั้น เพื่อทำหน้าที่อื่นเช่นการยืนโบกรถ ด้วยการใช้กระบองไฟเพื่อส่งสัญญาณ
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉันจึงเดินกลับไปที่รถกู้ภัยของพี่ชาย
“เดินหาเศษตังค์หรือไง? ”
น้ำเสียงห้วนดังแถมยังกระด้าง ทำให้ฉันยืนชะงักค้าง พลางเงยหน้าขึ้นสบตากับคนตัวสูงกว่าในระยะใกล้ และก็รู้ว่า เจ้าของคำถามที่ไม่มีหางเสียงนี้คือใคร?...
‘ตองเก้า’
เจ้าของใบหน้าหล่อเหลา และเขาก็คือคู่ปรับของพี่ชายฉันนั่นเอง
ฉันหรี่ตามองเจ้าของใบหน้าหล่อร้าย เชิงกวนกลับไปให้อย่างถือดี ขณะตอบเขาด้วยคำพูด ที่มีความหมายไม่ต่างกัน
“ เดินหาเศษสวะ อ้อ..เจอแล้ว!....ยืนอยู่ตรงหน้าฉันนี่ไง ”
ดวงตาของตองเก้าวาวโรจน์ เหมือนโกรธฉันมากเลยนั่นแหละ แต่คิดเหรอว่าทำอย่างนั้นแล้วจะทำให้ฉันกลัว ทั้งที่ตัวฉันก็เล็กกว่าเขามาก
“ เธอว่าฉันเป็นเศษสวะ อยากลองดีกับฉันนักหรือไงฮะ! ”
นั่นไง...ความร้ายกาจของผู้ชายคนนี้ คงจะมีเกินร้อยนั่นแหละ แต่ฉันก็ไม่น้อยหน้าเขาเลยสักนิด
“ อ้อ..ชอบขู่ผู้หญิง...เก่งกับหมา กล้ากับเด็ก..นายคิดว่าฉันกลัวรึไง ”
ฉันเชิดหน้าพร้อมกับขึงตาใส่เขาอย่างไม่คิดจะยอมกัน นั่นทำให้ตองเก้าเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม แกมเยาะหยัน เขาต้องเห็นฉันเป็นตัวตลกแหงๆ
“ ฮึ...ตัวเล็กยังกะลูกหมา แค่ผลักก็ล้มไม่เป็นท่า อย่ามาทำปากดี ”
“ นิ้!ไอ้..”
“ อ๊ะๆๆ อย่าด่าฉันนะ” เขาชิงแทรกขัดจังหวะ ขณะชี้หน้าฉันก่อนจะพูดต่อ “ ไม่งั้นฉันจะจูบเธอโชว์ตรงนี้...เก่งนักก็ท้าสิ? ”
“......”
ใครจะกล้าไปท้าคนบ้าๆ อย่างเขาละ...
ดูจากสีหน้าและแววตา บวกกับท่าทางเอาจริงเอาจังของตองเก้า ทำให้ฉันต้องก้าวถอยหลัง พลางกำหมัดของตัวเองไว้แน่น ด้วยความคับแค้นใจ ที่ทำอะไรตองเก้าไม่ได้ เพราะเขาตัวใหญ่กว่า ซึ่งเรียกได้ว่ากระดูกคนละเบอร์ และอย่าเผลอไปมีเรื่องกับคนอย่างเขา เพราะเราอาจเจ็บตัวเอาง่ายๆ
พุทธหายใจเข้า โธหายใจออก นึกถึงคำพูดของพ่อที่เคยบอกและสอนฉันเอาไว้ว่า
“เวลาโกรธใคร ให้เรานับหนึ่งถึงร้อยนะลูก พอถึงร้อยเราก็หายโกรธเขาพอดี”
เอาเข้าจริงแล้ว เราจะมีเวลาให้นับได้ไหมละ!?
“ ไอ้เก้า!...มึงคิดจะทำอะไรน้องสาวกู!”
จู่ๆ พี่อุลตร้าก็ดึงฉันออกมาจากตรงหน้า ในจังหวะเดียวกัน ก็เอ่ยถามกลับไปด้วยน้ำเสียงห้วนดัง และตั้งท่าจะเข้าไปเอาเรื่องกับอีกคน จนฉันต้องจับยึดแขนพี่ชายเอาไว้แน่นๆ
“ พี่อุล! ใจเย็นก่อนพี่ อย่ามีเรื่องกันที่นี่นะ!”
ฉันรีบเตือนสติคนเป็นพี่ชาย เพราะสายตาของใครหลายคน กำลังมองมาที่เราอย่างสนใจ เราทุกคนต่างก็มาเพื่อช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือดร้อน และไม่ควรมีเรื่องกันตอนนี้ ซึ่งตองเก้าก็น่าจะรู้ดี
“ นึกว่าใคร...ไอ้ของเสียนี่เอง น้องมึงน่ารักดีว่ะ ระวังให้ดีแล้วกันนะ เพราะกูจะเอาคืน ”
ตองเก้ากล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะเหยียดยิ้มร้ายกาจ แล้วมองพี่ชายฉันด้วยสายตาคาดโทษ ราวกับกำลังโกรธกันมากมาย ก่อนหมุนตัวเดินกลับไปที่กลุ่มของเขา
ฉันรู้ว่าพี่อุนโกรธจัด เพราะเห็นเขากัดฟันตัวเอง จนเป็นสันนูนขึ้นตอนพูดกับตองเก้า แต่ก็พยายามระงับอารมณ์เอาไว้ ฉันมีความรู้สึกว่าระหว่างพี่ชายกับนายตองเก้า จะต้องมีอะไรกันที่ฉันไม่เคยรู้ เพราะอยู่ๆ ตองเก้าก็พูดทิ้งทายออกมาว่า จะเอาคืน....
แล้วพี่ชายของฉันก็ดูหน้าตื่นๆ ชอบกล!
ของอะไรกัน?...ที่คนเป็นพี่ชายฉันได้ไปเอาของเขามาน่ะ...แล้วของที่ว่านั่น ตองเก้าจะเอาคืนจากพี่ชายของฉันได้ยังไง?
เมื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บออกมา และพาขึ้นรถของโรงพยาบาล เพื่อให้จัดการกับคนเจ็บต่อไป ก็ถึงเวลาที่ทุกคนจะต้องแยกย้าย และพากันกลับบ้านใครบ้านมัน
ฉันเห็นพี่อุลตร้านั่งเงียบมาตลอดทาง เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ถึงอยากจะรู้แต่ฉันกลับไม่อยากถาม เพราะความง่วงที่มีมากกว่า
“...อันนา ”
เสียงเรียกชื่อฉันของคนป็นพี่ชาย ทำให้ฉันชะงักเท้าที่กำลังก้าวเข้าประตูห้อง ก่อนหมุนตัวหันมามองแล้วถามกลับไปสั้นๆ ว่า
“มีไร?”
“ ...ถ้าไอ้เก้ามันมาเกาะแกะกับแกอีก แกรับปากกับพี่ได้ไหมว่าจะไม่ไปยุ่งกับมัน? ”
สีหน้าที่ดูกังวลใจของพี่ชาย ทำให้ฉันจำเป็นต้องพยักหน้ารับกลับไป เพราะรู้สึกไม่ชอบขี้หน้าของตองเก้าเข้าไปแล้วนั่นแหละ
“ พี่แค่อยากเตือนแกเอาไว้ ว่าไอ้เก้ามันจ้าชู้ และไม่เคยรักผู้หญิงคนไหนจริงจังเลยสักคน แกจะต้องอยู่ให้ห่างจากมันเอาไว้นะรู้ไหม? ”
ก็พูดแบบนี้ทุกที ที่เห็นน้องสาวมีผู้ชายเข้ามาใกล้ และไม่เคยส่องกระจกมองตัวเองบ้างเลยว่า ที่พูดออกมานั่นมันคือนิสัยของพี่อุลชัดๆ
“แต่เขาหล่อมากเลยนะ แล้วเวลาที่เขามองสบตาฉันที ใจงี้แทบละลาย”
ฉันแกล้งยั่วพี่ชายเล่น แต่เมื่อเห็นเขาทำหน้าตาตื่นตกใจ ฉันจึงพูดความจริงออกไปว่า
“ แหม...คนที่จะมาเป็นแฟนฉันได้ เขาจะต้องเป็นถึงเดือนคณะ หรือไม่ก็ระดับเดือนมหาลัย แล้วผู้ชายคนนั้น จะต้องผ่านการสแกนด้วยสายตาของพี่ชาย เพราะผีก็ย่อมเห็นผีอยู่แล้วใช่มั้ยละ ฮ่าๆ ”
ฉันหัวเราะร่าอย่างชอบใจ ที่สามารถแกล้งพี่ชายกลับไปได้ จากนั้นจึงเดินเข้าห้อง และทำทีเป็นไม่สนใจ ในคำพูดของพี่ชายตัวดี...
“ เฮ้ย!อันนา! พี่จริงจังนะเว้ย แกทำเป็นเรื่องตลกไปได้ เรื่องอื่นพี่ไม่ว่า แต่เรื่องนี้พี่ขอนะ...”
ฉันส่ายหน้าขำๆ...เมื่อได้ยินเสียงของพี่ชาย ตะโกนไล่หลังย้ำฉันมาอีกครั้ง...
[ตองเก้า...จากต้นไทรวอสองเปลี่ยน]ผมได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเองดังมาแต่ไกล แต่เป็นความรู้สึกที่คลับคล้ายกับกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่น...แล้วผมก็พยายามฝืนที่จะลืมตา[ไอ้เก้า!...มึงมัวทำห่าอะไรอยู่วะ...ทำไมมึงถึงไม่พาน้องมันมาสักที..กูกับหลินนั่งรอพวกมึงมาชั่วโมงกว่าๆ อีกสิบห้านาทีถ้ามึงยังไม่มา หลินบอกว่าจะไปหาอันนาที่เต๊นแล้วนะเว้ย]เสียงของไอ้ต้น! ที่เป็นคนเรียกชื่อผมดังออกมาจากวิทยุสื่อสาร นั่นจึงทำให้ผมรีบหันไปคว้ามันมากดคีย์รับ"เออโทษทีว่ะ...อากาศกำลังดีมันเลยทำให้กูเผลอหลับไปพร้อมกับอันนา"[ มึงคิดว่ากูไม่รู้เลยงั้นสิ...ไอ้สันดาน ]"เออตามนั้น...ในเมื่อมึงรู้แล้วจะถามกูทำไม...บอกหลินด้วยว่าไม่ต้องมาเพราะกูกับอันนากำลังจะไป"ผมรีบตัดบทสนทนา ก่อนหันมองอันนาที่ลืมตาตื่นขึ้นมาพอดี"ไอ้ต้นมันเรียกวิทยุตามเราสองคนน่ะ" ผมบอกเจ้าของใบหน้าน่ารัก ก่อนก้มลงไปจุ๊บริมฝีปากของเธอทีหนึ่ง ซึ่งมันยังไม่น่าจะพอเพราะเมื่อผมผละออกมา อันนาก็รั้งต้นคอของผมให้ลงไปจูบกับเธออีกครั้งก่อนจะผละออก"ต่อกันไหม?...ฉันจะได้วิทยุบอกไอ้ต้นมันว่า ให้พาหลินไปเดินเที่ยวที่งานดนตรีกันก่อนไม่ต้องรอ""ขืนต่ออีกที ฉันคงได
วันสิ้นปี ณ.ที่เขาใหญ่{Unna part}เนื่องจากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นกับเราสองคนมากมาย จึงเป็นเหตุที่ทำให้การจัดกิจกรรม ของชมรมวิศวะไฟฟ้าคราวนั้นต้องถูกยกเลิกกลางคัน และหลังจากที่ทุกคนปรับความเข้าใจกันได้ ตองเก้าจึงจัดทริปเค้าดาวน์ที่เขาใหญ่เพราะเจ้าตัวเขาต้องการเอาใจฉันนั่นเองอยากรู้ใช่ไหมละ ว่าทำไมฉันถึงเลือกเค้าท์ดาวน์ข้ามปี ณ.ที่เขาใหญ่แห่งนี้..นั่นเป็นเพราะที่นี่มีงานลานดนตรีที่ถูกจัดขึ้นทุกปี แต่ฉันไม่เคยมีโอกาสได้มาสัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้เลยสักครั้งซึ่งในบริเวณงานดังกล่าว จะมีพื้นที่ประมาณราวหนึ่งตารางกิโลเมตรเห็นจะได้ บริเวณด้านในจะประกอบไปด้วยเวทีต่าง ๆ ที่เอาไว้สำหรับให้นักร้องทั้งหลายขึ้นไปเล่นคอนเสิร์ตให้คนที่ตั้งใจมาในงานนี้ได้ฟัง ซึ่งแต่ละเวทีก็ยังแยกประเภทของดนตรีแต่ละแนวอย่างเช่น Jazz Pop Rock หรือลูกทุ่ง กระทั่งรำวงย้อนยุค รวมไปถึงการระเล่นต่างๆ อย่างมากมายที่นี่จึงเป็นเสมือนจุดศูนย์กลางให้คนที่มีดนตรีในหัวใจได้มารวมตัวกัน เพราะมีเหล่าบรรดาศิลปินในดวงใจหลากหลาย ที่เราจะได้เห็นพวกเขามารวมตัวกันที่นี่นั่นเองและจุดที่เราเข้าพักก็จะอยู่ใกล้กับสถานที่ที่จัดงานลานดนตรี ซึ่งฉ
"ไม่ให้กลับ!...โอ๊ย!"ตองเก้าร้องเสียงดัง พลางทำหน้าแหยเพราะคงเจ็บแผลจากการเคลื่อนไหว ด้วยการใช้กำลังแขนของตัวเองมากเกินไป"ฉันบอกนายแล้วเห็นมั้ยว่าอย่าขยับ!..." ว่าแล้วฉันก็ค่อยๆ ประคองร่างใหญ่ให้นอนลงไปที่เดิม"ฉันไม่กลับแล้วก็ได้... ฉันขอโทษความจริงฉันไม่น่ายั่วให้นายโกรธเลย...เจ็บมากมั้ย?""เจ็บมาก..." เจ้าตัวพูดว่าเจ็บแถมยังเบะปาก จนฉันอยากจะขำพรืดออกมาเมื่อเห็นหน้าตาของเขา"สามวันที่เราไม่ได้เห็นหน้ากัน ทำฉันคิดถึงเธอมาก...จูบหน้าผากฉันหน่อยได้ไหม?"ตองเก้ากำลังอ้อนฉันด้วยการใช้คำพูดหวานๆ และมันก็ทำให้ฉันใจอ่อนกับเขาอีกตามเคย"แค่หน้าผากเองเหรอ?" ฉันถามขณะโน้มหน้าลงจูบหน้าผากตามที่เขาร้องขอ จากนั้นจึงถามเขาต่อว่า"พอไหม?" แต่ฉันไม่ได้รอคำตอบอะไร เพราะฉันค่อยๆ จูบไล่จากหน้าผากลงมาจนถึงริมฝีปากของเขา แต่จูบแค่เพียงเบาๆ"เอาอีก..."เห็นไหมละ...ว่าพอเจ้าตัวได้คืบก็จะเอาศอก ฉันจึงได้บอกเขาออกไปว่า..."พอก่อนนะ เพราะตอนนี้ฉันมีเรื่องที่จะถามนาย.." ฉันว่าพลางหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม"เรื่องอะไร?"“แหวนของนะโม อยู่กับแม่นายใช่ไหม ฉันอยากขอเอาไปคืนให้เขา”“อยู่ที่เอวา เอวาอาสาว่าจะเ
ฉันหยุดยืนอยู่หน้าห้องพิเศษของตองเก้าพลางสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ก่อนหันไปมองหน้าของนะโมเพื่อขอกำลังใจนะโมพยักหน้าให้พร้อมกับยกมือขึ้นเคาะประตูห้องเชิงต้องการขออนุญาตคนที่อยู่ด้านใน แต่ฉันยังไม่ทันได้เปิดประตูเข้าไป เมื่อคนที่อยู่ด้านในกลับเป็นฝ่ายเปิดออกให้เอง“อันนา!...อันนามาแล้วค่ะแม่”เอวาร้องลั่นราวกับดีใจนักหนาเมื่อเห็นว่าเป็นฉัน ก่อนหันไปบอกคนเป็นมารดาที่นั่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับบิดาของเธอเรายกมือขึ้นไหว้พวกท่านพร้อมกัน และเมื่อเห็นว่าท่านรับไหว้ฉันกับนะโมจึงเดินตามหลังเอวาไปนั่งด้วยกันที่โซฟา แต่ทว่า..อยู่คนละฝั่ง และฉันเป็นคนที่ได้นั่งอยู่ตรงกลางทุกคนในครอบครัวของตองเก้ารู้เรื่องราวของนะโมทุกอย่าง โดยผ่านการบอกเล่าจากฉันเมื่อสามวันที่ผ่านมา"เราใช่ไหมที่มีชื่อว่านะโม?..."แม่ของเอวาเลื่อนสายมาที่นะโมตอนถาม เพราะเมื่อสามวันก่อนตอนที่พวกเราอยู่โรงพยาบาล พวกท่านยังไม่ทันได้สังเกตใคร นอกฉันกับคนเป็นลูกชายของท่านเท่านั้น"ครับ.." นะโมตอบกลับสั้นๆ พอได้ยินอย่างนั้นท่านจึงได้พูดกับเขาในประโยคต่อไปอีกว่า"ครอบครัวของเราขอขอบใจเธอมากนะ ที่ได้ช่วยชีวิตลูกชายของเราไว้ แล้วยังพาเขามา
เวลาแต่ละนาทีที่ผ่านไปทำให้ฉันรู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน จากชั่วโมงหนึ่งกลายเป็นสองสามสี่ และในชั่วโมงที่ห้านั่นเองที่ฉันได้เห็นร่างของหมอใหญ่เปิดประตูออกมา แล้วบอกกับพวกเราทุกคนว่า“คนเจ็บพ้นขีดอันตรายแล้วครับ”ทุกคนเฮโลลั่นโรงพยาบาลประสานเสียงกัน จนถูกคุณหมอดุเข้าให้นั่นแหละถึงได้พากันเบาเสียงลงฉันเห็นคนเป็นพี่ชายพลอยดีใจร่วมไปกับคนอื่นๆ ด้วยเหมือนกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนของทั้งสองคน มันยังคงไม่จืดจางฉันคิดว่าอย่างนั้นพี่อุนเดินมาโอบไหล่ฉันเชิงให้กำลังใจ ขณะเดียวกันก็ดึงฉันเข้าไปกอด ก่อนจะผละออกมาพูดว่า“แกกลับไปอาบน้ำก่อนดีกว่า ดูเสื้อผ้าของแกมีแต่เลือดอยู่เต็มไปหมด หมอบอกว่าไอ้เก้ามันพ้นขีดอันตรายแล้ว เราแค่รอให้มันฟื้นหมอถึงจะอนุญาตให้เราเข้าเยี่ยมมันได้"หลังจากที่พี่ชายบอกฉัน หลินซีก็เข้ามาพูดในทำนองเดียวกัน“ฉันก็คิดแบบพี่อุลนะ แกกลับไปอาบน้ำพักผ่อนก่อนเถอะ มอมแมมเป็นลูกหมาเลย”ฉันรับฟัง แต่ยังไม่ขยับไปไหน เนื่องจากฉันกำลังสอดส่ายสายตาเพื่อมองหาใครบางคน“หลิน... นะโมละเขาไปไหน แกเห็นเขาไหม?” ฉันเอ่ยถามเอากับเพื่อนสนิทเพราะคิดว่ามันน่าจะรู้ดี“นะโมกลับไปเอารถที่ห้าง
เราสองคนช่วยกันพยุงตองเก้าให้นอนราบไปกับพื้นรถทางด้านหลัง และนะโมยังจับดูชีพจรของตองเก้าอย่างตั้งอกตั้งใจ โดยที่เราสองคนแทบไม่ได้พูดอะไรกันเลยนะโมเปิดกระเป๋าร่วมยาแล้วล้วงเอาผ้าก๊อต มาปิดปากแผลให้ตองเก้าที่ด้านหน้า จากนั้นเราจึงช่วยกันพลิกร่างหนาเพื่อทำแผลให้เขาที่ด้านหลังเจ้าตัวทำหน้าแหยทุกครั้งนั่นแหละแต่ทว่ากลับไม่มีเสียงร้อง ผิดกับฉันที่มีน้ำตาไหลนองออกมา โดยไม่มีทีท่าว่ามันจะหยุดไหลได้สักทีเมื่อปฐมพยายาบาลเบื้องต้นให้คนเจ็บเสร็จสรรพ ฉันจึงแจ้งทางศูนย์กลับไปว่า เราได้นำตองเก้าขึ้นรถกู้ชีพของเขาไปส่งโรงพยาบาลให้เอง โดยสั่งการให้ศูนย์ช่วยประสานกับทางโรงพยาบาลว่าให้เตรียมทุกอย่างไว้รอพอได้ยินเสียงฉัน พี่อุลจึงขึ้นความถี่เรียกขาน ทั้งอย่างนั้นเวลานี้ฉันไม่มีกะจิตกะใจจะพูดอะไรกับใครทั้งนั้น อะไรจะเกิดขึ้นก็ช่างมันฉันไม่แคร์ เพราะฉันสนแค่คนที่อยู่ในอ้อมแขนของฉันในตอนนี้เท่านั้นเองนะโมให้ฉันเอาผ้าสะอาดที่มีในกระเป๋า กดทับบาดแผลของตองเก้าเอาไว้อีกชั้น เพื่อกันไม่ให้เลือดไหลออกมามาก จากนั้นเขาจึงใช้ผ้าด้ายดิบผืนใหญ่ที่มีไว้สำหรับห่อคนตาย แต่มันยังไม่ผ่านไช้งาน มาห่มให้ตองเก้าเพราะเราไ