บ้านหลังใหญ่ด้านในสุดของโครงการหมู่บ้านจัดสรรที่มีพื้นที่มากถึง 1 ใน 3 ของโครงการ รถตู้สีดำคันใหญ่วิ่งเข้ามาจอดภายรั้วหน้าบันไดทางขึ้นตัวบ้าน โดยมีชายเลยวัยกลางคนยืนรอพร้อมกับบรรดาแม่บ้านที่รออย่างใจจดใจจ่อ
"มากันแล้วค่ะ" ละมัยหลานสาวหัวหน้าแม่บ้านพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น ทันทีที่รถวิ่งเข้าประตูใหญ่มา
"จะน่ารักเหมือนในรูปมั้ยนะ" ป้าไพรหัวหน้าแม่บ้านว่ายิ้ม ๆ เพราะคุณหญิงว่านโฆษณานักหนาว่าหนูของขวัญน่ารัก ช่างพูด แต่ภาษาไทยน้องไม่ค่อยชัดนัก ต้องช่วยกันสอนแล้วจะมาอยู่ด้วยที่นี่ช่วงก่อนเปิดเทอมพวกเธอเลยตื่นเต้นกันใหญ่
"น่ารักสิ ป้าเค้าหลงจะตายนี่ถึงขั้นบินไปรับเองเชียว" ท่านภูษิตว่ายิ้ม ๆ มองตามรถคันใหญ่ที่กำลังวิ่งเข้ามาภายในบ้าน
และทันทีที่รถจอดประตูทั้ง 2 ด้านเปิดออกพร้อมกันก็ปรากฎร่างเล็ก ๆ บาง ๆ นั่งยิ้มอยู่ข้างในรถคันหรู
"Hello baby." คนเป็นลุงทักขึ้นมาก่อนทำให้เด็กสาวยิ้มจนตาหยีแล้วเอ่ยตอบ "hi."
"น้องขวัญ ภาษาไทยค่ะลูก" คนเป็นป้ากระซิบข้างหูยิ้ม ๆ เพราะขณะที่นั่งมาในรถเธอพยายามสอนหลานให้ใช้ภาษาไทยที่บ้านเพราะคนในบ้านส่วนใหญ่ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ มันจะเป็นอุปสรรคเวลาสื่อสารกันและให้เหตุผลว่าเป็นคนไทยภาษาไทยต้องชัดนะคะ
"อุ่ย! สวัสดีค่ะคุณลุง" เสียงใส ๆ เอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือไหว้แล้วจับประตูรถเตรียมก้าวลง ท่านภูษิตรีบเดินเข้ามายื่นมือให้หลานตัวเล็กจับพยุงลงรถแล้วเอื้อมจับมือคุณหญิงว่านลงมาจากรถ
เด็กสาวร่างเพรียวบางในชุดเสื้อแขนยาวคอเต่าสีขาวกระโปรงยีนส์สีดำเสมอเข่า ตากลมโตรับกับขนตางอนยาวธรรมชาติของเธอ ปากนิด จมูกหน่อยบวกกับผิวขาวใสจนเห็นเส้นเลือดฝอยที่แก้มจาง ๆ ยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรส่งให้ทุกคนที่ยืนพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้อย่างนอบน้อม จนเหล่าแม่บ้านและคนดูแลสวนตกใจรับไหว้กันแทบไม่ทัน "สวัสดีค่ะ น้องของขวัญนะคะ" เสียงหวาน ๆ เอ่ยแนะนำตัวพร้อมกับยิ้มให้อย่างน่ารักจนผู้ใหญ่ต่างเอ็นดู
"เข้าบ้านกันก่อนเถอะลูก คุณปู่รอน้องขวัญอยู่ในบ้านนะคะ" คุณลุงษิตของหลานสาวเอ่ยชวนพร้อมกับลูบหัวหลานสาวอย่างเอ็นดู
"คุณปู่..." เด็กน้อยว่าอย่างตื่นเต้นเธอดีใจที่จะเจอคุณปู่ของเธอมากที่สุด เพราะคุณปู่ใจดีกับเธอเสมอและเป็นคุณปู่นี่แหละที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธออยากมาเมืองไทยสักครั้ง คุณปู่เล่าเรื่องประเทศไทยให้เธอฟังทุกครั้งที่ไปหา แล้วดูเหมือนคุณปู่จะมีเวลาให้เธอมากกว่าแด๊ดกับมี้ที่อยู่กับเธอทุกวัน แต่ก็ทำงานแทบจะตลอดเวลาแล้วให้เธออยู่กับพี่เลี้ยงต่างชาติมาตั้งแต่จำความได้เลยทำให้ภาษาไทยของเธอกระท่อนกระแท่นเหมือนทุกวันนี้
"สวัสดีของขวัญของปู่" ชายสูงวัยที่นั่งอยู่บนโซฟายาวในห้องนั่งเล่นเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นร่างบาง ๆ คุ้นตาเดินเข้ามากับลูกชายและลูกสะใภ้ทำให้คนที่นั่งร่วมห้องอยู่ก่อนขมวดคิ้วเข้าหากัน
"คุณปู่สวัสดีค่ะ" เด็กสาวยกมือไหว้อย่างน่ารักแล้ววิ่งเข้าหาอ้อมแขนอบอุ่นของชายสูงวัยพร้อมกับหอมแก้มอย่างแสนคิดถึง
"ยินดีต้อนรับสู่ประเทศไทยนะลูก เดินทางเหนื่อยมั้ย" คุณปู่ถามอย่างอบอุ่นพร้อมกับยกมือลูบผมเปียของเด็กสาวเบา ๆ
"น้องขวัญไม่เหนื่อยค่ะ" เงยหน้าขึ้นตอบพร้อมกับส่งยิ้มน่ารักให้
"อ้าว! คุณศิลากลับบ้านได้ด้วยหรือลูก" คุณหญิงว่านอุทานอย่างตกใจเมื่อเห็นลูกชายนั่งอยู่ที่โซฟาเดี่ยวข้างคุณปู่เพราะปกติลูกชายจะไม่ค่อยเข้าบ้านเวลานี้เท่าไหร่นัก
"ก็... (เหลือบตามองคุณปู่นิดนึง) คุณปู่บอกว่าแม่จะกลับให้มากินข้าวด้วยกันครับ" ชายหนุ่มตอบแม่แต่ตายังมองหลานสาวคุณป้าพลางขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด
"อ๋อ... งั้นก็ดีเลย น้องขวัญลูกนี่พี่ศิลานะคะ หนูสวัสดีพี่เขาก่อนค่ะลูก" คุณป้าบอกหลานสาวยิ้ม ๆ
"สวัสดี ศิลา" เด็กสาวเอ่ยทักพร้อมกับยกมือไหว้แล้วมองหน้าตากลมแป๋วรอให้ชายหนุ่มทักตอบ... แต่ก็เงียบ >~<
"เค้าชื่อของขวัญ เค้าอายุ 13 ปี เกรด 7" เสียงเล็ก ๆ แนะนำตัวเองแล้วเงียบรอฟังเสียงตอบกลับ ...?
"คุณป้าคะ ศิลาพูดได้มั้ยคะ" หันมาถามป้างง ๆ
"พี่ศิลาพูดได้ลูก" คุณหญิงว่านตอบอย่างเอ็นดู
"อ่อ... โอเค" พยักหน้าเข้าใจแล้วหันกลับไปซบอกอุ่น ๆ ของคุณปู่แล้วกระชับรอบเอวแน่นขึ้น ขณะที่คุณปู่ยกมือลูบหัวให้อย่างอ่อนโยน
"ไพรเอ้ย... เตรียมตั้งโต๊ะเย็นเลย" ประมุขของบ้านตะโกนสั่งหัวหน้าแม่บ้านแล้วหันไปคุยเรื่องการเดินทางของป้าและหลานตลอดจนกำหนดเปิดเรียนของเจ้าตัวเล็กที่นั่งคุกเข่าหน้าโซฟากอดเอวคุณปู่อยู่
"คุณพ่อครับหลับแล้วนะนั่น" ท่านภูษิตบอกพ่อขำ ๆ ที่ตอนนี้คนไม่เหนื่อยหลับไปแล้วเรียบร้อย
"อ้าว... ข้าวเย็นยังไม่ได้กินเลย ยังไงล่ะทีนี้เจ้าตัวเล็กเอ๊ยแล้วบอกไม่เหนื่อย" คุณปู่ว่ายิ้ม ๆ อย่างเอ็นดู
"งั้นเดี๋ยวผมพาหลานไปนอนก่อนครับพ่อ" ท่านภูษิตว่าพลางขยับจะลุกขึ้นมาอุ้มหลานสาว
"ผมอุ้มให้ก็ได้" คนนั่งเงียบคุกเข่าลงข้างโซฟาแล้วช้อนร่างเล็ก ๆ ไว้ในอ้อมแขนอย่างเบามือก่อนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง "ไปห้องไหน"
"ห้องติดกับห้องเราน่ะลูก" คุณแม่เป็นคนตอบ ชายหนุ่มหมุนตัวอุ้มร่างเล็กนั้นออกไปทันที ละมัยจึงวิ่งตามเพื่อไปเปิดประตูห้องให้ชายหนุ่มแทบไม่ทัน
"หึ! นึกว่าจะปล่อยให้พ่อมันอุ้ม" คุณปู่มองตามหลังหลานชายว่ายิ้ม ๆ
"แล้วทำไมพ่อลูกชายเข้าบ้านได้ล่ะคะ วันนี้ไม่พาแม่แมรี่ไปถลุงทรัพย์หรือไง" คุณหญิงว่านถามถึงลูกชายพร้อมกับแขวะไปถึงคู่ควงคนล่าสุดของลูกที่ขยันขอนั่นนี่เหลือเกิน ขอแม้แต่ให้พาเข้าบ้านซึ่งเป็นสิ่งเธอห้ามเด็ดขาดเพราะคนที่จะเข้าบ้านนี้ได้ต้องเป็นลูกสะใภ้จริง ๆ ของบ้านเท่านั้น
"ก็ให้มันไปสิ พ่อจะตัดบัตรเครดิตมันทุกใบ ยึดรถมันทุกคัน" ประมุขของบ้านว่าขึ้น
"คอยดูต่อไปแล้วกันมันจะเป็นยังไง แล้วเจอหน้ากันกี่นาทีถึงได้เสนอตัวอุ้มน้องไปนั่น" คุณปู่พูดขึ้นขำ ๆ พร้อมกับยิ้มมุมปากอย่างพอใจกับการเจอกันอีกครั้งในรอบ 13 ปี ของคนทั้งคู่
"แล้วทางนั้นเป็นไงล่ะ" ท่านภูษิตเอ่ยถามภรรยาถึงน้องรักที่กำลังประสบปัญหาทางธุรกิจโดนพี่ชายต่างมารดาโกงหลายร้อยล้านจนคู่ค้าฟ้องล้มละลายและยังทำเอกสารปลอมขายทรัพย์สินไปหลายรายการแม้กระทั่งบ้านที่อาศัยอยู่ทุกวัน
"ว่านให้ทนายของเราช่วยจัดการอยู่ค่ะ แต่เรื่องที่คุณพ่อเสนอเนมไม่เอาค่ะคุณพ่อ เนมบอกว่าขอล้มแล้วตั้งต้นใหม่ดีกว่าไม่อยากเห็นแก่ตัวที่จะเอาลูกมาขายกินค่ะ เนมเขาเชื่อว่าถึงเขาจะไม่มีให้ลูกในอนาคต แต่น้องขวัญเธอจะสามารถสร้างมันขึ้นมาได้ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายของน้องขวัญ เนมเขาเก็บไว้ให้ทุกเดือนตั้งแต่เกิดเป็นชื่อของน้องขวัญเอง บัญชีนี้ไม่มีผลกระทบค่ะแล้วน่าจะพอใช้ไปจนกว่าจะจบปริญญาตรีแล้วกว่าน้องขวัญจะจบ เนมจะพยายามสร้างธุรกิจเล็ก ๆ ขึ้นมาใหม่ แต่ระหว่างนี้ต้องฝากเราดูแลน้องขวัญไปก่อนค่ะคุณพ่อ" ลูกสะใภ้เล่าให้ฟังหน้าเศร้าถึงการปฏิเสธข้อเสนอของน้องรักสามีที่คุณพ่อสามีเธอเสนอให้
"อืม... งั้นก็แล้วแต่วาสนาเถอะนะ เจ้าของขวัญของปู่ ปู่จะดูแลเจ้าเอง งั้นเอาอย่างนี้พ่อจะโอนหุ้นส่วนของพ่อแบ่งเป็น 2 ส่วนให้เจ้าศิลาครึ่งนึงน้องขวัญครึ่งนึง ส่วนสัญญาเดิมที่เคยสลักหลังกันไว้จะไม่เปลี่ยนแปลงจนกว่าศิลาหรือน้องขวัญจะมีครอบครัวไปเราจะทำตามสัญญานั้น ลูก ๆ จะว่ายังไง" คุณปู่ปรึกษาลูก ๆ เพราะท่านก็ห่วงเด็กสาวอยู่มากเหมือนกัน
"ก็แล้วแต่คุณพ่อเถอะครับผมไม่มีปัญหา เนมก็ถือว่าเป็นน้องรักของผมครอบครัวเราผูกพันกันมานาน ผมก็อยากช่วยมันเหมือนกันเดี๋ยวผมคิดว่าคงต้องไปหามันเร็ว ๆ นี้แหละ" ลูกชายตอบผู้เป็นพ่ออย่างจริงจัง
"หรือจะเอาอย่างนี้ดี พ่อจะคุยกับศิลาเอง" คุณปู่ปรึกษาอย่างตัดสินใจ
"ไม่ได้ค่ะคุณพ่อ เนมไม่ยอมค่ะ ว่านคุยแล้ว เนมไม่อยากให้เราบังคับศิลาค่ะทุกอย่างต้องอยู่ที่ใจไม่ใช่บังคับ เนมไม่อยากทำลายอนาคตศิลาเพื่อตัวเองค่ะแล้วอีกอย่างน้องขวัญก็เด็กมากถ้าผิดพลาดขึ้นมาลูกเราจะเจ็บกันทั้ง 2 ฝ่ายนะคะแล้วเราจะมองหน้ากันไม่ได้ค่ะคุณพ่อ"
"เฮ้อ..." คุณปู่ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
~~~~~~~~~~
หลังจากที่ทั้ง 2 ตกลงที่จะแต่งงานกันโดยความคิดของของขวัญนั้นอยากจัดงานเล็ก ๆ ในครอบครัวหลังจากที่เรียนจบ ป.โท (เน้นประหยัด) และจะมีลูกหลังจากนั้น แต่...ทางด้านท่านประธานศิลานั้นค้านหัวชนฝา หน้าชนกำแพงอย่างหนัก เพราะเขาต้องการจัดการงานใหญ่พร้อมกับงานเปิดตัวท่านประธานสาขาใหญ่ที่กรุงเทพในต้นปีหน้า (ซึ่งก็อีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี่แหละ) และมีลูกเลย ^o^"งั้นศิลาก็หาเมียใหม่ไปเลยค่ะ น้องขวัญไม่ได้รีบ" คนตัวเล็กกอดอกพูดขึ้นหน้าบึ้ง ๆ"แต่พี่รีบพี่แก่แล้วนะอย่าลืมสิ เดี๋ยวมีลูกไม่ทันใช้กันพอดี" คนเริ่มแก่ค้านทันที"31 เรียกว่าแก่แล้วคุณปู่เรียกว่าอะไรคะ" หญิงสาวเถียงอย่างไม่ยอม"เรียกว่ามีอายุครับ แต่ยังไงเราก็ต้องแต่งงานกันก่อน พี่ไม่ให้เปี๊ยกฉีดยาอีกแล้วนะ มันอันตรายเกิดมดลูกฝ่อไปนี่สูญพันธุ์ได้เลยนะ" คนอยากแต่งงานหาข้ออ้างร้อยแปดให้ผู้ใหญ่สงสาร"งั้นศิลาก็ป้องกันสิคะ น้องขวัญไม่ชอบกินยาแล้วยังไม่พร้อมมีลูกตอนนี้ค่ะ""โอเค งั้นพี่ป้องกันเองแต่เราต้องแต่งงานกันก่อน ไม่รอจบโท" คนเอาแต่ใจยังยืนยันความต้องการของตัวเอง"งั้นก็เ
"ทนทานขนาดนั้นเลย?" เสียงอู้อี้ถามคล้ายประชดดังเบา ๆ ที่ซอกคอ"ไม่ได้เรียกว่าทนทาน เขาเรียกว่าซื่อสัตย์ ก่อนมาจากไทยพี่มีเมียแล้ว" ชายหนุ่มเอ่ยยิ้ม ๆ แล้วก้มลงสบตากับคนตัวเล็กที่ดีดตัวออกห่างมองชายหนุ่มตาโตทันที"ฮะ!" *ซวยแล้วยัยของขวัญนรกกินกบาล นายทวารเขียนชื่อลงกระดูกหมาแน่ แอบกินผัวชาวบ้านจริง ๆ หรือวะเนี่ย ..>~<*"ครับ พี่มีเมียแล้ว อันนั้นเรื่องจริง" จบคำกำปั้นน้อย ๆ ทุบรัวลงที่อกแกร่งพร้อมกับน้ำตาเม็ดโต ๆ ไหลอาบแก้มเนียนของคนตัวเล็กทันที"คนบ้า... ทำไมทำแบบนี้ ทำไมถึงนอกใจภรรยาตัวเอง ออกไปจากบ้านน้องขวัญนะ ออกไปเลย" เสียงโวยวายปนสะอื้นพร้อมกับพยายามดิ้นลงจากตัก ชายหนุ่มกระชับแขนไว้แน่นขึ้นพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ มองหน้าคนขี้โวยวายอย่างใจเย็น *นั่นไง คิดเองเก่งจริง ๆ ยัยเปี๊ยกเอ๊ย! ...* ชายหนุ่มคิดในใจขำ ๆ"นี่ไงไม่ฟังให้จบ คิดเองเก่ง สรุปเก่งนะเราเนี่ย หื้ม ~" ว่าแล้วก้มลงจรดหน้าผากตัวเองกับหน้าผากมนแล้วส่ายเบา ๆ อย่างหยอกล้อ"ไม่ฟัง! ออก.." "เมียพี่ชื่อคิดถึงเสมอ" ชายหนุ่มเอ่ยสวนประโยคขับไล่ของคนตัวเล็ก "ตอนนั้นเธอเป็นเด็กอายุแค่ 13
ก๊อก! ก๊อก!เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้คนที่อยู่ในห้องถึงขั้นลนลานมองหาทางหนีทีไล่ขึ้นมาทันที ก๊อกแก๊ก! เสียงไขกุญแจด้านนอกทำให้คนในห้องยิ่งกลัว *หลบไหนได้วะเนี่ย...* คนตัวเล็กทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ตัดสินใจกระโดดขึ้นเตียงพร้อมกับดึงผ้าห่มคลุมจนมิดหัวแล้วหลับตาปี๋เหมือนกำลังหลับจริง ๆ แก่ก! กรึ่บ! เสียงเปิดประตูเข้ามาตามด้วยเสียงปิดประตูลงกลอนพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่พยายามลงเท้าให้เบาที่สุดเดินตรงมาที่เตียงเล็กของหญิงสาว ของขวัญหลับตาแน่นพร้อมกับกลั้นหายใจอย่างลุ้นระทึกจนเหงื่อเม็ดเล็กผุดซึมที่ไรผมและปลายจมูก ฝ่ามือชื้นด้วยเหงื่อทั้งที่อากาศในห้องค่อนข้างเย็นศิลาค่อย ๆ นั่งลงที่เตียงอย่างแผ่วเบาพร้อมกับดึงผ้าห่มผืนหนาออกจากหัวของคนที่กำลัง (ทำท่า) หลับ มือหนาลูบหัวทุยอย่างเบามือแล้วก้มจูบที่ไรผมชื้นเหงื่อเบา ๆ อย่างแสนคิดถึง"หึ! รู้นะว่าไม่หลับ" คนตัวโตก้มลงพูดชิดแก้มอย่างรู้ทันเมื่อเห็นขนตายาวงอนกระพริบถี่ ๆ เหมือนเด็กที่กำลังแกล้งหลับหนีความผิด"ลืมตามาคุยกันก่อน พี่รู้ว่าเปี๊ยกเป็นอะไร" ชายหนุ่มพยายามพูดอย่างใจเย็น "......""หนีทำไม ทำไมไม่ร
"เอ็ดเวิร์ด!" "ครับบอส" เอ็ดเวิร์ดเปิดประตูเข้ามาทันทีเหมือนรอเรียก"สั่งพักงาน 2 คนนี้ 2 เดือน โทษฐานที่เผยแพร่ข่าวเท็จในบริษัท ถ้ามีข่าวแบบนี้ออกไปอีกให้ไล่ออกไปเลย" เอ่ยสั่งเลขาเสียงห้วนแล้วหันมามอง 2 สาวที่นั่งก้มหน้าอยู่บนโซฟา "แต่ถ้าพวกคุณจะลาออกผมก็ไม่ขัด ผมจะไม่เขียนรายงานพฤติกรรมพวกคุณในใบเวิร์คละกัน...ออกไปได้" เอ่ยจบพร้อมสั่งแล้วหันมามองแผนกการตลาดระหว่างประเทศที่ยืนก้มหน้าเงียบอยู่ด้านหลังโซฟา"ผมจ้างพวกคุณมาทำอะไร"ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นเสียงห้วน พร้อมกับกัดปากล่างแน่นอย่างควบคุมอารมณ์ที่สุด"กูถามเอง มึงพักก่อน" มาร์คพูดด้วยภาษาไทยให้ได้ยินด้วยกันแค่ 2 คนพร้อมกับรั้งแขนเพื่อนให้นั่งลงที่เก้าอี้แล้วกดบ่าไว้เบา ๆ เมื่อเห็นสภาพเพื่อนที่ตอนนี้กำมือแน่นน้ำตาเริ่มคลอหน่วย และอาจควบคุมอารมณ์ไม่ได้เหมือนครั้งที่ชายหนุ่มพุ่งจะทำร้ายแมรี่เมื่อตอนที่ของขวัญหายไป ตอนนั้นรั้งกัน 3 คนแทบไม่ไหวเพราะศิลาเป็นคนตัวใหญ่ที่สุดในกลุ่มและออกกำลังกายเป็นประจำ แล้วตอนนี้เขาแค่คนเดียวย่อมทานกำลังศิลาไม่ได้แน่นอน"อือ... มึงจัดการไปเลยไม่งั้นกูจะยุบแผนกนี้ซะ" ชายหน
ห้องทำงานของท่านประธาน เคเอส กรุ๊ป สาขาอังกฤษศิลานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนเก้าอี้ใหญ่หลังโต๊ะทำงานตั้งแต่กลับมาจากทานข้าวกับแม่และเพื่อน ชายหนุ่มไม่เอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่ประโยคเดียวพร้อมทั้งสั่งยกเลิกประชุมแก้ไขงานภาคบ่ายและเลื่อนนัดลูกค้าทั้งหมดอย่างไม่มีกำหนด จนเพื่อนชายถึงกับอ้าปากเหวอเมื่อทราบถึงคำสั่งดังกล่าว แต่ก็เข้าใจดีถึงสภาพจิตใจเขาตอนนี้...~~~~~~~~มือหนาเปิดลิ้นชักโต๊ะกลางหยิบกล่องเหล็กใบเล็กเก่า ๆ ที่ผูกริบบิ้นเป็นโบสีชมพูออกมาเปิดพร้อมทั้งหยิบสร้อยเส้นเล็กที่เขาตั้งใจจะคืนให้เธอในวันนี้ขึ้นมาดูด้วยสายตาเศร้าหมอง น้ำตาเอ่อซึมที่หางตา จนต้องเก็บสร้อยเข้ากล่องแล้วเก็บลงไว้ที่เดิมก่อนลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องด้านหลังตู้โชว์ปิดลงกลอนและขังตัวเองอยู่ในนั้นเงียบ ๆ แล้วเอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปอันเล็กที่วางอยู่ข้างหัวเตียงมานั่งมองนิ้วเรียวเขี่ยตรงรูปก้อนผ้าขนหนูสีชมพูเบา ๆ พร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ด้วยสายตาอ่อนโยนปนเศร้าแบบที่ไม่เคยมองใครมาก่อน"ศิ กูรู้แล้วนะน้องไปไหน" เสียงมาร์คร้องบอกอยู่หน้าประตูทำให้ชายหนุ่มรีบแหงนหน้ากระพริบตา
ครืด....ครืด....เสียงมือถือของน้ำหวานดังขึ้นทำให้เธอจำเป็นต้องล้วงออกมาดูแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับเพื่อนอย่างปรึกษา ของขวัญเม้มปากส่ายหน้าเบา ๆ เพราะตอนนี้เธอไม่พร้อมรับรู้ข่าวสารอะไรทั้งสิ้น น้ำหวานตัดสินใจโยนมือถือเครื่องเล็กของตัวเองไว้ที่โซฟาแล้วหันหลังให้เตรียมจะเดินออกจากห้องอีกรอบครืด...ครืด...เสียงมือถือของของขวัญดังขึ้นจากกระเป๋าสะพายใบเล็กของเธอ ซึ่งทั้ง 2 มองหน้ากันของขวัญล้วงมือถือออกมาดูซึ่งคนที่โทรเข้ามาคือมาร์คเช่นกัน เธอจึงตัดสินใจกดปิดเสียงแล้วโยนไว้ข้างมือถือของเพื่อนแล้วมองหน้าเพื่อนพร้อมกับเช็ดน้ำตาของตัวเองอย่างตัดใจ "ปะ ไปกันเถอะ" ว่าจบก็จูงแขนกันลงลิฟต์ออกจากอพาร์ตเมนต์หาแท็กซี่ตรงไปสนามบินทันที"ทำไมไม่รับสายกันวะ" มาร์คพูดพึมพำมองหน้าจอมือถือของตัวเองอย่างหงุดหงิด"เป็นอะไรลูก น้องไม่รับสายหรือ" คุณหญิงสาวถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนลูกชาย"ครับแม่ สงสัยพากันกินข้าวแล้วปิดเสียงแน่ ๆ เลยครับ เดี๋ยวศิลามันมาถึงก็ค่อยไปรับน้องเลยละกันครับ" มาร์คว่าพร้อมกับกลับมานั่งรอเพื่อนที่โซฟาเดิม"ก็ดี แม่จะได้พูดเองเลย ร