ปูนปั้นเดินเข้ามาในบ้านแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างหมดแรง วันนี้เป็นอีกวันที่ร้านของเขาวุ่นวายมากไม่มีเวลาปลีกตัวออกมาดูหน้าร้านเลย จริงๆ ปูนปั้นไม่ได้มีหน้าที่ทำครัวหรอกแต่เพราะหลายวันมานี้ที่ร้านโดนคอมเพลนมาเยอะเรื่องอาหารออกช้าและไม่ได้คุณภาพ เขาเลยต้องเขาไปตรวจสอบและช่วยหยิบจับอะไรนิดหน่อยเพื่อให้อาหารออกเสิร์ฟได้ตลอด
จะให้เขาโทษพนักงานครัวที่ทำช้าก็ไม่ได้เพราะพนักงานชุดนี้นอกจทกเชฟกุ๊กไก่แล้วก็ล้วนแต่เป็นพนักงานใหม่ทั้งหมด เลยอาจจะทำให้พวกเขายังไม่คุ้นชินกับเมนูและอุปกรณ์ของที่นี่อยู่บ้าง "แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ คงต้องวางแผนใหม่แล้ว" ปูนปั้นพูดแล้วหลับตาลงช้าๆ เขารู้สึกเหนื่อยและท้อมากๆ ที่ต้องมารับผิดชอบควบคุมดูแลร้านนี้ในวัยเพียง 23 ปีแถมยังไม่มีคนมาคอยให้คำปรึกษาเขาอีกทำให้เขาต้องลงมือทำจริงพร้อมกับเรียนรู้ทุกอย่างไปพร้อมกัน พอมันเกิดข้อผิดพลาดเขาก็แทบจะแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าไม่ได้เลย ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ 4 เดือนก่อน "สรุปแล้วพี่สาวผมเป็นอะไรครับหมอ" ปูนปั้นถามออกไปด้วยความตื่นตระหนก "ทางเราพบว่ามีความผิดปกติจริงๆ คนไข้มีอาการเจ็บแน่นที่หน้าอก รู้สึกเหนื่อยง่ายอ่อนเพลีย ปวดร้าวบริเวณกราม แขนและลำคออยู่บ่อยครั้งแถมก่อนหน้านี้ก็เคยเป็นลมหมดสติไป 2 ครั้งโดยไม่มีสาเหตุ หลังจากตรวจอย่างระเอียดแล้วพวกเราได้ข้อสรุปมาว่าคนไข้น่าจะเป็นโรค Heart Disease หรือที่ โรคหัวใจ" ตี๊ดดดดดดด---- หลังจากได้ยินคำว่าโรคหัวใจหูของปูนปั้นก็แทบไม่ได้ยินอะไรจากหมออีกเลย ตอนนี้ชีวิตของเขาเหลือเอมม่าเป็นญาติคนเดียวแล้วดังนั้นเขาจึงเครียดมากที่รู้ว่าพี่สาวของเขากำลังป่วยอยู่ หลังจากพูดคุยกับหมอเสร็จปูนปั้นก็เดินกลับมาที่ห้องพักผู้ป่วย VIP แล้วเข้าไปนั่งอยู่ข้างๆ เตียงของเอมม่า เขาจับมือของเอมม่าขึ้นมาแนบที่แก้มของตัวเองพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของเธอ "ทำไมพี่ไม่บอกผมล่ะ" ปูนปั้นพูดออกมาด้วยความเสียใจพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม "ถ้าพี่เป็นอะไรไปผมจะอยู่ยังไง...อึก...พี่ห้ามทิ้งผมไปเหมือนพ่อกับแม่นะ...ฮือ...ผมขอโทษ...ฮือ...ฮื้อ" ปูนปั้นพูดไปร้องไห้ไปจนตัวโยน เขาเสียใจที่เมื่อก่อนไม่ได้ใส่ใจเอมม่าเท่าที่ควรไม่งั้นป่านนี้เขาคงช่วยแบ่งเบาภาระอะไรเอมม่าได้บ้างแล้ว ส่วนเอมม่าเองหลังจากที่พ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเมื่อ 6 ปีก่อนเธอก็ทำหน้าที่ดูแลน้องชายและกิจการของที่บ้านมาโดยตลอด เธอไม่เคยเอาปัญหาจากงานมาเล่าให้น้องชายฟังเลยเพราะไม่อยากให้เขาต้องรู้สึกเครียดไปกับเธอด้วย ปูนปั้นเป็นเด็กรักอิสระไม่ได้สนใจจะรับช่วงต่อร้านจากเธออยู่แล้วเธอเลยไม่เคยบังคับให้เขามาช่วยงานที่ร้านเลยนอกจากเจ้าตัวจะมาเที่ยวเล่นเอง แต่เพราะเมื่อปีที่แล้วตัวเธอตรวจพบว่าเป็นโรคหัวใจก็เกิดอาการเครียดและวิตกกังวลอย่างมากจนทำให้สภาพจิตใจของเธอย่ำแย่ไปมากแต่เธอก็ไม่เคยแสดงอาการอะไรต่อหน้าปูนปั้นเลย  (เอมม่า วรรณรัตน์ โฮร่าห์) จนกระทั่งวันนี้หลังจากที่ปูนปั้นไปหาที่ร้านแล้วไม่เจอเธอเขาจึงรีบกลับมาที่บ้านทันทีเพราะปกติแล้วเอมม่าแทบไม่เคยหยุดงานเลยแต่พอรู้ว่าพี่สาวไม่ได้เข้ามาทำงานที่ร้านปูนปั้นก็รีบกลับบ้านมาทันทีเพื่อทานข้าวเย็นกับพี่สาวด้วยความดีใจ แต่พอมาถึงปูนปั้นก็แทบช็อคเพราะภาพที่เขาเห็นคือภาพของพี่สาวที่นอนหมดสติอยู่กลางบ้าน หลังจากตั้งสติได้ปูนปั้นก็รีบโทรเรียกรถพยาบาลทันที เช้าวันต่อมา "ดีขึ้นมากเลยนะครับคุณเอมม่า หมอว่าพรุ่งนี้ก็น่าจะกลับบ้านได้แล้วล่ะครับ" หมอพูด "จริงเหรอค่ะคุณหมอ" เอมม่าถามด้วยความดีใจ "จริงครับ" หมอตอบ "กลับได้จริงเหรอครับหมอ ตรวจดูให้ละเอียดอีกทีได้ไหมครับ" ปูนปั้นพูดด้วยความกังวล เขาอยากให้เอมม่าพักรักษาตัวต่ออีกหน่อยเพราะกลัวจะกลับไปเป็นแบบเดิมอีก "ปูน" เอมม่าเรียกดึงสติน้องชายแล้วส่ายหน้าเตือนเบาๆ เพื่อเตือนเขาไม่ให้เสียมารยาทกับคุณหมอ "ขอโทษครับ" ปูนปั้นหันไปพูดกับหมอด้วยน้ำเสียงค่อยๆ "ไม่เป็นไรครับ งั้นเดี๋ยวหมอขอตัวก่อนนะ" หมอพูด "ขอบคุณครับคุณหมอ" ขอบคุณค่ะคุณหมอ" หลังจากนั้นหมอกับพยาบาลก็เดินออกจากห้องไปเหลือเพียงปูนปั้นและเอมม่าสองคนเม่านั้น "ผมว่าพี่อยู่ดูอาการต่ออีกสักหน่อยเถอะ" ปูนปั้นพูด "คุณหมอบอกกลับได้ก็คงไม่เป็นไรมากหรอก" เอมม่าตอบ "ไม่เป็นไรได้ไงอ่ะพี่! เมื่อวานสภาพของพี่มันแย่มากเลยนะ" ปูนปั้นพูดออกมาเสียงดังจนเอมม่าตกใจ ปูนปั้นไม่ชอบเลยที่เอมม่าทำตัวดื้อแบบนี้ ที่เขาพูดมันก็ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากให้เอมม่ากลับบ้านซะหน่อยแต่เพราะเขาเป็นห่วงเอมม่ามากต่างหากและนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยที่ปูนปั้นขึ้นเสียงใส่เอมม่า "พี่ขอโทษ" พอเห็นว่าน้องชายกำลังหัวเสียเอมม่าเลยเลือกที่จะขอโทษน้องชายออกไปก่อนและแน่นอนพอเห็นแววตาที่เศร้าของเอมม่ามันก็ทำให้ปูนปั้นรู้สึกผิดและใจเย็นลงทันที เขาค่อยๆ นั่งลงที่เดิมแล้วหายใจเข้าของช้าๆ "พี่รู้ว่าปูนเป็นห่วงพี่นะและพี่ก็รู้ว่าตัวเองผิดที่ปิดบังปูน ตอนนั้นพี่แค่ไม่อยากเห็นปูนต้องมาเครียดไปพร้อมกับพี่...พี่ก็เลย" เอมม่ารู้สึกผิดจนอยากจะร้องไห้แต่เพราะไม่อยากให้ปูนปั้นเห็นว่าตอนเองเป็นพี่สาวที่อ่อนแอเกินไปเธอจึงเลือกที่จะกลั้นมันไว้แม้แววตาจะสั่นไหวมากก็ตาม "ผมขอโทษนะ ต่อไปผมจะไม่ทำตัววแบบนี้กับพี่อีกแล้ว" ปูนปั้นตอบ เอมม่ายิ้มออกมาแล้วยกมือขึ้นไปลูบหัวน้องชายด้วยความเอ็นดู "เด็กโง่เอ๊ย~พี่ไม่โกรธปูนหรอก" เอมม่าตอบ "หลังจากออกจากโรงพยาบาลผมอยากให้พี่พักรักษาตัวอยู่ที่บ้านสักระยะนึง ได้ไหม" ปูนปั้นพูด "นานแค่ไหนอ่ะ" เอมม่าถาม " 3 เดือน" ปูนปั้นตอบ เอมม่ามีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที เธอค่อยๆ เอามือออกจากหัวของน้องชายแล้วนิ่งไป "นะครับ" ปูนปั้นถามแล้วรอลุ้นคำตอบจากเอมม่าอย่างจดจ่อ "ไม่ได้" เอมม่าตอบ "ทำไมล่ะ พี่เป็นขนาดนี้แล้วอ่ะ พี่ห่วงตัวเองก่อนไม่ได้เหรอ" ปูนปั้นพูด "ร้านนั้นเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้พวกเรา พี่ไม่อาจทำใจทิ้งมันไปได้จริงๆ" เอมม่าตอบ "เราไม่ได้จะปิดมันจริงๆ สักหน่อยหนิพี่ เราแค่พักไปเองไว้รอพี่แข็งแรงดีแล้วเราค่อยเปิดมันอีกครั้งก็ได้ อาหารของเรารสชาติอร่อยผมไม่เชื่อหรอกว่าถ้าเรากลับมาเปิดใหม่อีกครั้งแล้วมันจะขายไม่ได้" ปูนปั้นพูด "เราทำธุรกิจนะปูน ถ้าเดี๋ยวทำเดี๋ยวเลิกธุรกิจของเรามันจะไปรอดได้ยังไง ทุกวันนี้มีร้านอาหารผุดขึ้นมาอย่างกับดอกเห็ดต่อ ปูนจะมั่นใจได้ไงว่าลูกค้าเขาจะอยู่กับปูนตลอดไปลูกค้าเขามีตัวเลือกนะปูน แล้วที่บอกว่ารสชาติอร่อยมันก็ไม่ได้มีแต่ร้านเราป่ะที่ทำอร่อยอ่ะ" เอมม่าตอบ "แต่ผมก็ไม่อยากให้พี่โหมร่างกายตัวเองแบบนี้อีกแล้วไง" ปูนปั้นพูด "พี่หยุดไม่ได้จริงๆ ปูนเข้าใจพี่เถอะนะ" เอมม่าตอบ "ได้ งั้นถ้าร้านมันปิดไม่ได้งั้นเดี๋ยวปูนจะไปดูแลแทนพี่เอง" ปูนปั้นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนเอมม่าต้องรีบเงยหน้าขึ้นมา "จะบ้าเหรอ ปูนไม่เคยเรียนรู้งานเลยแล้วจะทำไหวได้ไง" เอมม่าถาม "ก็ถ้าพี่ไม่ให้ปูนทำงั้นก็ปิดมันไปเลย อย่าลืมนะว่าร้านนี้มันก็มีชื่อปูนเหมือนกัน" ปูนปั้นตอบ ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ ปัจจุบัน "เฮ่อ~ตอนนั้นไม่น่าไปห้าวต่อหน้าพี่เลย" ปูนปั้นพูดแล้วค่อยๆ หลับไปทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย 08:00 ตอนนี้เป็นเวลาที่ครอบครัวของเทียนกำลังทานอาหารเช้าและพูดคุยกันอยู่ เทียนได้เล่าเรื่องที่ปู่ของเขาอยากให้เขาแต่งงานให้กับพ่อและแม่ฟังซึ่งท่านสองท่านก็เห็นด้วยเป็นอย่างมากเพราะเทียนก็อายุเยอะแล้ว "คุณหล่งครับ คุณหล่ง คุณหล่งครับ" เสียงของเจสันตะโกนลั่นบ้านถามหาผู้เป็นนาย "อะไร! เสียงดังเอะอะโวยวายอยู่ได้" หล่งต่อว่าเจสันที่เขาทำเสียบรรยากาศมื้อเช้าของครอบครัว "ขอโทษครับ" เจสันตอบด้วย สภาพของเขาตอนนี้มีแต่เสียงหอบหายใจและใบหน้าเปียกซกไปด้วยเหงื่อ "มีอะไร" คุณหล่งถาม "บ้านใหญ่ส่งข่าวมาว่า...." เจสันหยุดนิ่ง สีหน้าของเขาแปลกไปจนเทียนเองก็ยังสงสัยว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาลำบากใจที่จะพูดกัน "ว่าอะไร!" คุณหล่งถามด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ "คุณท่าน...เสียแล้วครับ" สิ้นคำพูดของเจสันช้อนในมือของเทียนก็ร่วงหล่นลงมาทันที ทุกคนในบ้านอุทานออกมาด้วยความตกใจแม้ ทุกอย่างมันกระทันหันมากเกินไปจนทุกคนช็อคไปหมด "เมื่อกี้แกว่าอะไร พูดใหม่สิ!" คุณหล่งลุกขึ้นไปกระชากคอเสื้อเจสันแล้วตะคอกใส่เขาด้วยความโมโหและเสียใจ "ตอนนี้คุณผู้หญิงกับคุณโฉมสั่งให้ลูกหลานทุกคนไปรวมตัวกันที่บ้านใหญ่ครับ" เจสันเลือกที่จะถ่ายทอดคำสั่งของคุณผู้หญิงบ้านใหญ่แทนที่จะตอบคำถามของคุณหล่งเพราะเขาเชื่อว่าถ้าพูดมันออกไปอีกครั้งก็เหมือนเป็นการย้ำให้เจ็บซะเปล่าๆ "คุณค่ะ" ดารินรีบเข้ามาประคองสามีไว้แล้วลูบหลังเบาๆ เพื่อให้เขาใจเย็นลง "พ่อครับ พวกเรารีบไปที่บ้านใหญ่กันเถอะครับ" เทียนพูด ตอนนี้ในใจของเขาเองก็รู้สึกแย่ไม่ต่างกันแต่ถ้าไม่ได้ฟังเรื่องนี้จากปากของบ้านใหญ่เขาจะไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด "ใช่ พวกเราต้องรีบ" คุณหล่งตอบแล้วหันไปหาเจสัน "รีบไปเตรียมรถแล้วไปบอกให้ไอ้เวกัสตามไปด้วย" คุณหล่งพูด "ครับ" เจสันตอบแล้วรีบวิ่งออกไปทันทีเทียนทิ้งตัวลงบนโซฟายกแขนขึันมาก่าวหน้าผากไว้ ้ขาหลับตาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ปูนปั้นที่เติมตามเข้ามาก็แยกไปในครัวเทน้ำเย็น ๆ ใส่แก้วมาให้เขา"กินน้ำก่อนครับ" "ขอบใจนะ" เทียนรับน้ำมาดื่มจนหมดแก้วแล้วเงยหน้ามองปูนปั้นที่ยืนดูเขาอยู่ เขาเอาแก้ววางลงบนโต๊ะกระจกแล้วจับมือปูนปั้นพาเขาให้เข้ามานั่งลงบนตักของตัวเองก่อนจะกอดกอดแล้วเอียงหัวไปพิงที่หน้าอกของปูนปั้น ปูนปั้นเองก็ยกมือขึ้นมาลูกที่ต้นแขนของเทียนเป็นการให้กำลังใจ"เหนื่อยมากเลยใช่ไหมครับ""วันนี้พี่ทำให้คนมากมายต้องตาย พวกเขาเอาทั้งชีวิตของตัวเองมาแลกเพื่อพี่และคนในครอบครัว สำหรับพี่แล้วพวกเขาไม่ใช่แค่บอดี้การ์ดแต่พวกเขาเป็นเหมือนคนในครอบครัวของพี่จริง ๆ บางคนก็เคยเห็นพี่มาตั้งแต่เด็ก ๆ บางคนก็เคยเป็นคนใกล้ชิดสนิทสนมกับพี่ พอ...พอพี่ต้องมาเห็นพวกเขาตายไปต่อหน้าต่อตามันก็อดโทษตัวเองไม่ได้" เทียนเริ่มมีน้ำตาคลอออกมาแต่เขาก็พยายามอดทนฝืนเอาไว้เพราะไม่อยากให้ปูนปั้นมาเห็นมุมที่อ่อนแอของเขา"ลุงทำดีที่สุดแล้ว""ถ้าตอนนั้นพี่ไม่คิดวางแผนให้มันซับซ้อนแล้วจัดการพวกมันตรง ๆ ไปเลยตั้งแต่แรกวันนี้ครอบครัวพี่คงไม่โดนพวกมันเล่นกลับหนักขนาดนี้หรอก ถ
(ร้าน happy time) ธูป หมิงและปูนปั้นปลีกตัวออกมาคุยกันด้านหลังร้านเพราะปล่อยให้เอมม่าทำบัญชีอยู่ที่เคาน์เตอร์และกุ๊กไก่กับพนักงานคนอื่น ๆ เก็บร้านไปก่อน"แล้วนี่เราโอเคใช่ไหม" ธูปถามปูนปั้นด้วยความเป็นห่วง เขาเข้าใจว่าปูนปั้นคงตกใจมากเพราะตั้งแต่กลับมาจนถึงตอนนี้สีหน้าของปูนปั้นก็ยังไม่ดีขึ้นเลยแถมตัวก็ยังสั่นเล็กน้อย "ผม...ผมกลัวมากจริง ๆ เกิดมาผมไม่เคยเห็นปืนหรือคนยิงกันมาก่อน ตอนนั้นในหัวผมคิดแต่ว่าผมต้องตายแน่ ๆ แต่...อึก...""ใจเย็น ๆ พวกพี่เข้าใจ" หมิงเดินเข้ามาลูบที่หลังของปูนปั้นเพราะตอนนี้เขาแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่แล้ว"พวกพี่อย่าบอกเรื่องนี้กับพี่เอมม่านะ ผมไม่อยากให้พี่เขาเป็นห่วง""อืม ได้สิ" ธูปตอบ จนถึงตอนนี้ธูปก็เข้าใจแค่ว่าเทียนโดนโอมจับตัวไปเพราะเป็นสายให้กับเกรทและเขาก็ถูกจัดการไปแล้วโดยมีคนของเทียนและเทียนไปช่วยออกมาแต่ยังไม่รู้เลยว่าครอบครัวเพิ่งเกิดปัญหาครั้งใหญ่ พ่อโดนปองร้ายจนเกือบตาย คุณย่าโดนตามล่าจนต้องหนีไปซ่อน "แต่ว่าทำไมพี่เทียนถึงมาส่งปูนปั้นที่นี่แทนที่จะพากลับคอนโดไปปลอบขวัญล่ะ""ไม่รู้ครับ ลุงบอกต้องไปช่วยคนอื่นอีกเลยอยู่กับผมไม่ได้และคิดว่าที่นี่
เทียนวิ่งหน้าตั้งมาที่ห้องนอนของคุณปู่ในใจได้แต่ภาวนาว่าขอให้ทันเพราะถ้าเขาไปไม่ทันในใจคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ ๆ "วิสุทธิ์!" เทียนวิ่งเข้าไปประคองร่างของวิสุทธิ์ที่กำลังนอนหายใจรวยรินอยู่ขึ้นมา ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือดไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะยกมือขึ้นมา เจ๋งกับเจสันที่วิ่งตามขึ้นมาก็หยุดนิ่งทันทีเมื่อเห็นว่าเทียนขึ้นมาทำอะไร พวกเขาเดินเข้าไปนั่งล้อมอยู่ข้างกายของวิสุทธิ์"อดทนไว้นะรถโรงพยาบาลกำลังมาแล้ว" เทียนให้กำลังใจวิสุทธิ์พร้อมกำมือของเขาไว้แน่น"คุณเทียนครับ...อึก! คุณท่านรักคุณเทียนมากเลยนะครับ...ยะ อย่า...ทำ...ให้คุณท่าน...ผิดหวัง...อ่า...นะครับ" วิสุทธิ์พยายามเปล่งเสียงออกมาอย่างเต็มที่ ชีวิตนี้ของเขามีเพียงแค่สิริยากรมาตลอดไม่เคยคิดทรยศเลยแม้แต่เสี่ยววินาทีเดียวหลังจากปู่ของเทียนตายไปชีวิตของเขาก็มีอยู่เพื่อช่วยปกป้องเทียนตามคำสั่งเสียของเจ้านายเก่าเท่านั้น "ไม่เป็นไร ไม่ต้องพูดแล้วทำใจให้ดี ๆ รอรถพยาบาลมารับพวกเราจะไปหาหมอด้วยกัน พ่อผมยังรอพวกเราทุกคนอยู่ที่นั้น วิสุทธิ์ต้องใจเย็น ๆ นะยังมีพวกคุณย่าอีกถ้าวิสุทธิ์ไม่อยู่ใครจะดูแลพวกคุณย่าแทนปู่ล่ะ ใช่ไหม" เทียนเห็นสีหน้า
ทั้งสามคนวิ่งลงมาจนถึงชั้นถึงก่อนพายุจะทเจ๋งกับเทียนต้องหยุดวิ่งเพื่อหันมาดูเขา"อ๊าาาาา" ลูกน้องของเหรียญชี้ปืนมาทางทั้งสามคนแล้วเดินลงบันไดมา เทียนจ้องมองคนเหล่านั้นด้วยความโกรธจนหน้าสั่นน้ำตาแห่งความเครียดแค้นค่อย ๆ ไหลออกมา"ฮ่า ๆ ๆ" เหรียญเดินหัวเราะลงมาจากข้างบนตรงเข้ามาหาเทียนทำให้ทั้งพายุและเจ๋งต้องพยายามขยับตัวเข้ามากันเหรียญไว้"หลบไปไอ้ขี้ข้า" เหรียญใช้เท้าถีบแขนข้างที่ถูกยิงของพายุจนเขากระเด็นไปฟุบอีกฝั่ง"อ้าาาา! อืมมมมม" พายุพยายามกดแผลของตัวเองไว้ด้วยความเจ็บปวด"มึงจะเอาด้วยอีกคนใช่ไหม" เหรียญถามเจ๋งที่ยังคงยืนอ้าแขนกันเทียนเอาไว้"ผมจำเป็นต้องปกป้องคุณเทียน" "ต่อให้มึงต้องตายอ่ะเหรอ""ครับ" "ได้ดิ" เหรียญยกปืนขึ้นมาจ่อที่หน้าของเจ๋งแต่เมื่อเห็นท่าทางที่ไม่กลัวเลยของเจ๋งก็ยิ่งทำให้เขาได้ใจเลื่อนปืนขึ้นไปจนมันติดกับหน้าผากของเจ๋งเลย"อย่านะ!" เทียนพูดพร้อมกับผลักไหล่ของเจ๋งให้หลบไปแต่เจ๋งก็ฝืนเกรงตัวเองไว้เพื่อบังเทียนเหมือนเดิม"เจ๋ง!" เทียนไม่พอใจที่เจ๋งขืนเขา"ผมบอกคุณเทียนแล้วว่าพวกเราแค่สามคนทำอะไรเขาไม่ได้หรอกแต่คุณเทียนก็ไม่เชื่อผมเพราะงั้นถ้าวันนี้คุณเทียนมีโ
เทียนช้อนร่างของวิสุทธิ์ขึ้นมาซึ่งวิสุทธิ์เองก็รู้สึกเจ็บจนแทบเจียนตาย "อ๊าาา~" "พวกมันทำอะไรคุณ" เทียนถามด้วยความเป็นห่วงแต่วิสุทธิ์ไม่สามารถตอบออกมาเป็นคำได้เลย เทียนรู้สึกโกรธมากเขากัดฟันแน่นแล้วเงยหน้าไปมองเหรียญที่กำลังยิ้มให้เขาอยู่แล้วค่อย ๆ วางวิสุทธิ์ลงนอนที่เดิม"ดูท่าคุณเทียนจะโกรธพวกเราแล้วว่ะ ฮ่า ๆ ๆ" เหรียญหันไปพูดแล้วหัวเราะคิกคักกับลูกน้องของตัวเอง เหรียญลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปใกล้เหรียญเรื่อย ๆ"กูไม่เคยมีความแค้นกับมึงทำไมมึงต้องมาทำร้ายคนของกูด้วย วิสุทธิ์เขาอายุมากกว่าพ่อมึงอีกด้วยซ้ำ ไอ้เหี้ย!" เทียนพูด"มึงไม่เคยแต่ใช่ว่าตระกูลของมึงไม่เคยไง" เหรียญตอบ"ฮึ~ มึงคงหมายถึงตอนที่พ่อมึงหักหลังตระกูลกูจนปู่จับได้เลยลบชื่อพ่อมึงออกจากหุ้นส่วนบริษัทสินะ กูจำได้ดีตอนนั้นพวกมึงไม่มีสิริยากรหนุนหลังแล้วก็เลยทำให้ธุรกิจของครอบครัวมึงขาดความน่าเชื่อถือจนเกิดวิกฤตครั้งใหญ่ พ่อมึงเป็นหนี้รอบด้านแก้ไขปัญหาไม่ได้สุดท้ายก็คลานกลับมาหาตระกูลกูแต่ก็อย่าว่าแหละคนแบบนั้นใครจะอยากช่วยเหลือพอพ่อมึงมืดแปดด้านก็เลยลมควันตัวเองตาย เรื่องนี้ใช่ไหมที่มึงแค้นเข้ากระดูกจนถึงขั้นบุกมาทำลายครอบ
"พวกเราจะไปไหนกันอ่ะลุง" ปูนปั้นถาม เขากลัวมากจนต้องกอดเทียนเอาไว้ตลอดส่วนเทียนก็คอยลูบหลังเขาเบา ๆ เพื่อไม่ให้ปูนปั้นสติแตกไปมากกว่านี้"หนูไปอยู่ที่ร้านก่อนตอนนี้ที่นั่นน่าจะปลอดภัยที่สุด" เทียนตอบ"แต่ว่าคุณเกรทก็ส่งคนไปจับผมมาจากที่นั่นนะ" ปูนปั้นพูด"มีแค่เกรทกับโอมที่รู้จักหนูแต่ตอนนี้สองคนนั้นไม่อยู่แล้วดังนั้นที่นั้นจึงปลอดภัยที่สุดอีกอย่างธูปกับหมิงก็อยู่ด้วย เชื่อพี่เถอะนะ" เทียนพูด"ครับ" ปูนปั้นตอบเอี๊ยดดดดด! (เสียงเบรกรถ)เสียงเบรกรถดังมากจนเอมม่าตกใจจนต้องหันหน้าออกมาดูเพราะคิดว่าเกิดอุบัติเหตุที่หน้าร้านโชคดีที่ตอนนี้ในร้านไม่มีลูกค้าเลยไม่งั้นคงทำให้ลูกค้าตกใจขวัญกระเจิงเป็นแน่ หลังจากเห็นเทียนกับปูนปั้นลงมาจากรถท่าทางอาลัยอาวรณ์กันเอมม่าก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจว่าทั้งคู่เป็นอะไรไปเพราะเธอไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรกับทั้งสองคนไม่งั้นป่านนี้เธอคงไม่สามารถนั่งเฝ้าร้านได้อย่างสบายใจหรอก"แค่แยกกันไปทำงานต้องกอดอะไรกันขนาดนั้นอ่ะ ทำอย่างกับจะตายจากกันอย่างงั้นแหละ" เอมม่าพูดด้วยความสงสัยเพราะสีหน้าแววตาของทั้งคู่ดูเศร้าและหวาดกลัวมาก จากนั้นไม่นานเทียนก็กลับขึ้นรถแล้วก็ออกจากร