ปูนปั้นเดินเข้ามาในบ้านแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างหมดแรง วันนี้เป็นอีกวันที่ร้านของเขาวุ่นวายมากไม่มีเวลาปลีกตัวออกมาดูหน้าร้านเลย จริงๆ ปูนปั้นไม่ได้มีหน้าที่ทำครัวหรอกแต่เพราะหลายวันมานี้ที่ร้านโดนคอมเพลนมาเยอะเรื่องอาหารออกช้าและไม่ได้คุณภาพ เขาเลยต้องเขาไปตรวจสอบและช่วยหยิบจับอะไรนิดหน่อยเพื่อให้อาหารออกเสิร์ฟได้ตลอด
จะให้เขาโทษพนักงานครัวที่ทำช้าก็ไม่ได้เพราะพนักงานชุดนี้นอกจทกเชฟกุ๊กไก่แล้วก็ล้วนแต่เป็นพนักงานใหม่ทั้งหมด เลยอาจจะทำให้พวกเขายังไม่คุ้นชินกับเมนูและอุปกรณ์ของที่นี่อยู่บ้าง "แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ คงต้องวางแผนใหม่แล้ว" ปูนปั้นพูดแล้วหลับตาลงช้าๆ เขารู้สึกเหนื่อยและท้อมากๆ ที่ต้องมารับผิดชอบควบคุมดูแลร้านนี้ในวัยเพียง 23 ปีแถมยังไม่มีคนมาคอยให้คำปรึกษาเขาอีกทำให้เขาต้องลงมือทำจริงพร้อมกับเรียนรู้ทุกอย่างไปพร้อมกัน พอมันเกิดข้อผิดพลาดเขาก็แทบจะแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าไม่ได้เลย ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ 4 เดือนก่อน "สรุปแล้วพี่สาวผมเป็นอะไรครับหมอ" ปูนปั้นถามออกไปด้วยความตื่นตระหนก "ทางเราพบว่ามีความผิดปกติจริงๆ คนไข้มีอาการเจ็บแน่นที่หน้าอก รู้สึกเหนื่อยง่ายอ่อนเพลีย ปวดร้าวบริเวณกราม แขนและลำคออยู่บ่อยครั้งแถมก่อนหน้านี้ก็เคยเป็นลมหมดสติไป 2 ครั้งโดยไม่มีสาเหตุ หลังจากตรวจอย่างระเอียดแล้วพวกเราได้ข้อสรุปมาว่าคนไข้น่าจะเป็นโรค Heart Disease หรือที่ โรคหัวใจ" ตี๊ดดดดดดด---- หลังจากได้ยินคำว่าโรคหัวใจหูของปูนปั้นก็แทบไม่ได้ยินอะไรจากหมออีกเลย ตอนนี้ชีวิตของเขาเหลือเอมม่าเป็นญาติคนเดียวแล้วดังนั้นเขาจึงเครียดมากที่รู้ว่าพี่สาวของเขากำลังป่วยอยู่ หลังจากพูดคุยกับหมอเสร็จปูนปั้นก็เดินกลับมาที่ห้องพักผู้ป่วย VIP แล้วเข้าไปนั่งอยู่ข้างๆ เตียงของเอมม่า เขาจับมือของเอมม่าขึ้นมาแนบที่แก้มของตัวเองพร้อมกับจ้องมองใบหน้าของเธอ "ทำไมพี่ไม่บอกผมล่ะ" ปูนปั้นพูดออกมาด้วยความเสียใจพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม "ถ้าพี่เป็นอะไรไปผมจะอยู่ยังไง...อึก...พี่ห้ามทิ้งผมไปเหมือนพ่อกับแม่นะ...ฮือ...ผมขอโทษ...ฮือ...ฮื้อ" ปูนปั้นพูดไปร้องไห้ไปจนตัวโยน เขาเสียใจที่เมื่อก่อนไม่ได้ใส่ใจเอมม่าเท่าที่ควรไม่งั้นป่านนี้เขาคงช่วยแบ่งเบาภาระอะไรเอมม่าได้บ้างแล้ว ส่วนเอมม่าเองหลังจากที่พ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเมื่อ 6 ปีก่อนเธอก็ทำหน้าที่ดูแลน้องชายและกิจการของที่บ้านมาโดยตลอด เธอไม่เคยเอาปัญหาจากงานมาเล่าให้น้องชายฟังเลยเพราะไม่อยากให้เขาต้องรู้สึกเครียดไปกับเธอด้วย ปูนปั้นเป็นเด็กรักอิสระไม่ได้สนใจจะรับช่วงต่อร้านจากเธออยู่แล้วเธอเลยไม่เคยบังคับให้เขามาช่วยงานที่ร้านเลยนอกจากเจ้าตัวจะมาเที่ยวเล่นเอง แต่เพราะเมื่อปีที่แล้วตัวเธอตรวจพบว่าเป็นโรคหัวใจก็เกิดอาการเครียดและวิตกกังวลอย่างมากจนทำให้สภาพจิตใจของเธอย่ำแย่ไปมากแต่เธอก็ไม่เคยแสดงอาการอะไรต่อหน้าปูนปั้นเลย  (เอมม่า วรรณรัตน์ โฮร่าห์) จนกระทั่งวันนี้หลังจากที่ปูนปั้นไปหาที่ร้านแล้วไม่เจอเธอเขาจึงรีบกลับมาที่บ้านทันทีเพราะปกติแล้วเอมม่าแทบไม่เคยหยุดงานเลยแต่พอรู้ว่าพี่สาวไม่ได้เข้ามาทำงานที่ร้านปูนปั้นก็รีบกลับบ้านมาทันทีเพื่อทานข้าวเย็นกับพี่สาวด้วยความดีใจ แต่พอมาถึงปูนปั้นก็แทบช็อคเพราะภาพที่เขาเห็นคือภาพของพี่สาวที่นอนหมดสติอยู่กลางบ้าน หลังจากตั้งสติได้ปูนปั้นก็รีบโทรเรียกรถพยาบาลทันที เช้าวันต่อมา "ดีขึ้นมากเลยนะครับคุณเอมม่า หมอว่าพรุ่งนี้ก็น่าจะกลับบ้านได้แล้วล่ะครับ" หมอพูด "จริงเหรอค่ะคุณหมอ" เอมม่าถามด้วยความดีใจ "จริงครับ" หมอตอบ "กลับได้จริงเหรอครับหมอ ตรวจดูให้ละเอียดอีกทีได้ไหมครับ" ปูนปั้นพูดด้วยความกังวล เขาอยากให้เอมม่าพักรักษาตัวต่ออีกหน่อยเพราะกลัวจะกลับไปเป็นแบบเดิมอีก "ปูน" เอมม่าเรียกดึงสติน้องชายแล้วส่ายหน้าเตือนเบาๆ เพื่อเตือนเขาไม่ให้เสียมารยาทกับคุณหมอ "ขอโทษครับ" ปูนปั้นหันไปพูดกับหมอด้วยน้ำเสียงค่อยๆ "ไม่เป็นไรครับ งั้นเดี๋ยวหมอขอตัวก่อนนะ" หมอพูด "ขอบคุณครับคุณหมอ" ขอบคุณค่ะคุณหมอ" หลังจากนั้นหมอกับพยาบาลก็เดินออกจากห้องไปเหลือเพียงปูนปั้นและเอมม่าสองคนเม่านั้น "ผมว่าพี่อยู่ดูอาการต่ออีกสักหน่อยเถอะ" ปูนปั้นพูด "คุณหมอบอกกลับได้ก็คงไม่เป็นไรมากหรอก" เอมม่าตอบ "ไม่เป็นไรได้ไงอ่ะพี่! เมื่อวานสภาพของพี่มันแย่มากเลยนะ" ปูนปั้นพูดออกมาเสียงดังจนเอมม่าตกใจ ปูนปั้นไม่ชอบเลยที่เอมม่าทำตัวดื้อแบบนี้ ที่เขาพูดมันก็ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากให้เอมม่ากลับบ้านซะหน่อยแต่เพราะเขาเป็นห่วงเอมม่ามากต่างหากและนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยที่ปูนปั้นขึ้นเสียงใส่เอมม่า "พี่ขอโทษ" พอเห็นว่าน้องชายกำลังหัวเสียเอมม่าเลยเลือกที่จะขอโทษน้องชายออกไปก่อนและแน่นอนพอเห็นแววตาที่เศร้าของเอมม่ามันก็ทำให้ปูนปั้นรู้สึกผิดและใจเย็นลงทันที เขาค่อยๆ นั่งลงที่เดิมแล้วหายใจเข้าของช้าๆ "พี่รู้ว่าปูนเป็นห่วงพี่นะและพี่ก็รู้ว่าตัวเองผิดที่ปิดบังปูน ตอนนั้นพี่แค่ไม่อยากเห็นปูนต้องมาเครียดไปพร้อมกับพี่...พี่ก็เลย" เอมม่ารู้สึกผิดจนอยากจะร้องไห้แต่เพราะไม่อยากให้ปูนปั้นเห็นว่าตอนเองเป็นพี่สาวที่อ่อนแอเกินไปเธอจึงเลือกที่จะกลั้นมันไว้แม้แววตาจะสั่นไหวมากก็ตาม "ผมขอโทษนะ ต่อไปผมจะไม่ทำตัววแบบนี้กับพี่อีกแล้ว" ปูนปั้นตอบ เอมม่ายิ้มออกมาแล้วยกมือขึ้นไปลูบหัวน้องชายด้วยความเอ็นดู "เด็กโง่เอ๊ย~พี่ไม่โกรธปูนหรอก" เอมม่าตอบ "หลังจากออกจากโรงพยาบาลผมอยากให้พี่พักรักษาตัวอยู่ที่บ้านสักระยะนึง ได้ไหม" ปูนปั้นพูด "นานแค่ไหนอ่ะ" เอมม่าถาม " 3 เดือน" ปูนปั้นตอบ เอมม่ามีสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที เธอค่อยๆ เอามือออกจากหัวของน้องชายแล้วนิ่งไป "นะครับ" ปูนปั้นถามแล้วรอลุ้นคำตอบจากเอมม่าอย่างจดจ่อ "ไม่ได้" เอมม่าตอบ "ทำไมล่ะ พี่เป็นขนาดนี้แล้วอ่ะ พี่ห่วงตัวเองก่อนไม่ได้เหรอ" ปูนปั้นพูด "ร้านนั้นเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้พวกเรา พี่ไม่อาจทำใจทิ้งมันไปได้จริงๆ" เอมม่าตอบ "เราไม่ได้จะปิดมันจริงๆ สักหน่อยหนิพี่ เราแค่พักไปเองไว้รอพี่แข็งแรงดีแล้วเราค่อยเปิดมันอีกครั้งก็ได้ อาหารของเรารสชาติอร่อยผมไม่เชื่อหรอกว่าถ้าเรากลับมาเปิดใหม่อีกครั้งแล้วมันจะขายไม่ได้" ปูนปั้นพูด "เราทำธุรกิจนะปูน ถ้าเดี๋ยวทำเดี๋ยวเลิกธุรกิจของเรามันจะไปรอดได้ยังไง ทุกวันนี้มีร้านอาหารผุดขึ้นมาอย่างกับดอกเห็ดต่อ ปูนจะมั่นใจได้ไงว่าลูกค้าเขาจะอยู่กับปูนตลอดไปลูกค้าเขามีตัวเลือกนะปูน แล้วที่บอกว่ารสชาติอร่อยมันก็ไม่ได้มีแต่ร้านเราป่ะที่ทำอร่อยอ่ะ" เอมม่าตอบ "แต่ผมก็ไม่อยากให้พี่โหมร่างกายตัวเองแบบนี้อีกแล้วไง" ปูนปั้นพูด "พี่หยุดไม่ได้จริงๆ ปูนเข้าใจพี่เถอะนะ" เอมม่าตอบ "ได้ งั้นถ้าร้านมันปิดไม่ได้งั้นเดี๋ยวปูนจะไปดูแลแทนพี่เอง" ปูนปั้นพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังจนเอมม่าต้องรีบเงยหน้าขึ้นมา "จะบ้าเหรอ ปูนไม่เคยเรียนรู้งานเลยแล้วจะทำไหวได้ไง" เอมม่าถาม "ก็ถ้าพี่ไม่ให้ปูนทำงั้นก็ปิดมันไปเลย อย่าลืมนะว่าร้านนี้มันก็มีชื่อปูนเหมือนกัน" ปูนปั้นตอบ ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ ปัจจุบัน "เฮ่อ~ตอนนั้นไม่น่าไปห้าวต่อหน้าพี่เลย" ปูนปั้นพูดแล้วค่อยๆ หลับไปทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย 08:00 ตอนนี้เป็นเวลาที่ครอบครัวของเทียนกำลังทานอาหารเช้าและพูดคุยกันอยู่ เทียนได้เล่าเรื่องที่ปู่ของเขาอยากให้เขาแต่งงานให้กับพ่อและแม่ฟังซึ่งท่านสองท่านก็เห็นด้วยเป็นอย่างมากเพราะเทียนก็อายุเยอะแล้ว "คุณหล่งครับ คุณหล่ง คุณหล่งครับ" เสียงของเจสันตะโกนลั่นบ้านถามหาผู้เป็นนาย "อะไร! เสียงดังเอะอะโวยวายอยู่ได้" หล่งต่อว่าเจสันที่เขาทำเสียบรรยากาศมื้อเช้าของครอบครัว "ขอโทษครับ" เจสันตอบด้วย สภาพของเขาตอนนี้มีแต่เสียงหอบหายใจและใบหน้าเปียกซกไปด้วยเหงื่อ "มีอะไร" คุณหล่งถาม "บ้านใหญ่ส่งข่าวมาว่า...." เจสันหยุดนิ่ง สีหน้าของเขาแปลกไปจนเทียนเองก็ยังสงสัยว่ามีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาลำบากใจที่จะพูดกัน "ว่าอะไร!" คุณหล่งถามด้วยน้ำเสียงติดรำคาญ "คุณท่าน...เสียแล้วครับ" สิ้นคำพูดของเจสันช้อนในมือของเทียนก็ร่วงหล่นลงมาทันที ทุกคนในบ้านอุทานออกมาด้วยความตกใจแม้ ทุกอย่างมันกระทันหันมากเกินไปจนทุกคนช็อคไปหมด "เมื่อกี้แกว่าอะไร พูดใหม่สิ!" คุณหล่งลุกขึ้นไปกระชากคอเสื้อเจสันแล้วตะคอกใส่เขาด้วยความโมโหและเสียใจ "ตอนนี้คุณผู้หญิงกับคุณโฉมสั่งให้ลูกหลานทุกคนไปรวมตัวกันที่บ้านใหญ่ครับ" เจสันเลือกที่จะถ่ายทอดคำสั่งของคุณผู้หญิงบ้านใหญ่แทนที่จะตอบคำถามของคุณหล่งเพราะเขาเชื่อว่าถ้าพูดมันออกไปอีกครั้งก็เหมือนเป็นการย้ำให้เจ็บซะเปล่าๆ "คุณค่ะ" ดารินรีบเข้ามาประคองสามีไว้แล้วลูบหลังเบาๆ เพื่อให้เขาใจเย็นลง "พ่อครับ พวกเรารีบไปที่บ้านใหญ่กันเถอะครับ" เทียนพูด ตอนนี้ในใจของเขาเองก็รู้สึกแย่ไม่ต่างกันแต่ถ้าไม่ได้ฟังเรื่องนี้จากปากของบ้านใหญ่เขาจะไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด "ใช่ พวกเราต้องรีบ" คุณหล่งตอบแล้วหันไปหาเจสัน "รีบไปเตรียมรถแล้วไปบอกให้ไอ้เวกัสตามไปด้วย" คุณหล่งพูด "ครับ" เจสันตอบแล้วรีบวิ่งออกไปทันที17:45 น.ตืด ตืด ตืด (เสียงโทรศัพท์) ปูนปั้นใช้มือเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสายทั้งที่ยังไม่ลืมตา"ฮัลโหลลล~""ทำไมเสียงเป็นงั้นอ่ะนี่ยังไม่ตื่นอีกเหรอปูน คนอื่นเขามารวมตัวกันแล้วนะ" เอมม่าพูด"ตื่นแล้ว" "เสียงยังงัวเงียอยู่เลย เนี่ยพี่ให้ทางรีสอร์ทเขาจัดโต๊ะให้หน้าหาดแล้วกำลังจะตั้งเตาเลย รีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมากินด้วยกันนะ" "รู้แล้ววว เดี๋ยวตายไปนะ""เร็ว ๆ เข้าล่ะ ช้าหมดอดกินนะ" "คร้าบบบ" ปูนปั้นลุกจากเตียงทั้งที่ยังคงง่วงอยู่เพราะก่อนหน้านี้เขาทานยาแก้เมาเรือไป เขาเดินไปหยิบผ้าขนหนูและขอใช้เข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำจากนั้นก็ออกมาใส่เสื้อผ้าด้านนอก เขาหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสั้นสีขาวมาใส่จากนั้นก็ประทินผิวฉีดน้ำหอมนิดหน่อยก็พร้อมออกไปเจอกับทุกคนแล้ว บรรยากาศตอนเย็นเงียบสงบต่างจากตอนกลางวันมากและช่วงดีที่รีสอร์ทมีพื้นที่หน้าหาดเป็นของตัวเองมันเลยพื้นความเป็นส่วนตัวได้เป็นพิเศษ ปูนปั้นก้าวเท้าออกจากบ้านพักเสียงคลื่นทะเลซัดเข้าหาฝั่งดังแผ่ว ๆ ท่ามกลางความมืดมิดของยามค่ำคืน มีเพียงแสงจันทร์สลัว ๆ ที่ส่องนำทางให้เขาเดินไปตามหาดทรายขาวนุ่มเท้าในใจได้แต่คิดว่าถ้ามีเทียนอยู่ท
14 กุมภาพันธ์บรรยากาศการเดินทางไปเกาะราชาช่างเป็นภาพที่เต็มไปด้วยความสุขและเสียงหัวเราะของเหล่าพนักงานของร้าน Happy Time แม้ว่าวันนี้จะไม่ได้มาครบทุกคนเพราะบางคนอยากใช้เวลากับคนรักของตนแต่บรรยากาศยังคงเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วดังตลอดทาง บ้างก็พากันชี้นกชี้ไม้เอ่ยชมความงามของท้องทะเลไม่ขาดปาก ความใสของน้ำทะเลที่ไล่เฉดสีฟ้าครามและเขียวมรกตเหมาะกับการถ่ายรูปเก็บไว้มาก ๆ เมื่อมาถึงเกาะทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำกิจกรรมที่ตัวเองอยากทำแล้วนั่งรวมตัวกันอีกทีช่วงเย็นเพื่อไปทานอาหารด้วยกันส่วนปูนปั้นขอแยกกับไปนอนพักก่อนเพราะเขาบอกกับทุกคนว่ารู้สึกเมาเรือตอนแรกเอมม่าก็ว่าจะไปอยู่เป็นเพื่อแต่เขาก็ปฏิเสธเพราะไมาอยสกให้พี่สาวหมดสนุก ปูนพักเดินเข้ามาในห้องพักด้วยความรู้สึกเหงา เปิดโทรศัพท์ขึ้นมาเห็นรูปตัวเองกับเทียนที่ตั้งอยู่บนหน้าจอก็ยิ่งทำให้คิดถึงเข้าไปใหญ่ ตืด ตืด ตืด (เสียงโทรศัพท์เข้า)ปูนปั้นยิ้มออกมาทันทีที่เห็นว่าเทียนวิดีโอคอลมาหาเขา เขารีบกดรับด้วยความดีใจ ภาพขอเทียนที่อยู่ในชุดสูทสีดำ background ด้านหลังเป็นห้องสีขาวและชั้นเอกสารมากมาย
กุ๊กไก่และธูปเดินเที่ยวภายในงานอย่างตื่นเต้น พวกเขาพากันแวะซื้อของอร่อยกินนตลอด ผลัดกันป้อนไปมาจนตอนพุงกางกันไปแล้ว "ไม่เคยมาเลยอ่ะ ตอนแรกนึกว่าจะเงียบไม่คึกครื้นแบบในกรุงเทพแต่ที่ไหนได้คนเยอะแยะไปหมดเลย ของกินก็อร่อยมากด้วย" กุ๊กไก่มองไปรอบ ๆ งานด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม"ผมถึงได้บอกไงว่าพี่ควรออกจากกรุงเทพมาเที่ยวที่อื่นบ้าง จะได้รู้ว่าที่ประเทศไทยอ่ะไม่ได้มีดีแค่ในกรุงเทพนะ" "จ้า รู้แล้วจ้าพ่อคูณณณ~" สีหน้าติดรำคาญของกุ๊กไก่เป็นสิ่งที่ธูปได้เห็นเป็นประจำทุกวันแต่เขากลับไม่เคยรู้สึกไม่โอเคเลยกลับกันเขาดันรู้สึกชอบมันด้วยซ้ำเพราะมันทำให้กุ๊กไก่ดูน่ารักขึ้นมากต่างจากตอนทำงานที่เขามันจะชอบทำหน้าบึ้งตึงเหมือนไร้อารมณ์จนดูน่ากลัวอยู่ตลอดเวลา นี่ถ้าไม่ได้มาลองสัมผัสกับตัวเองเขาคงไม่มีทางเชื่อหรอกว่าคนอย่างกุ๊กไก่จะมีมุมน่ารัก ๆ แบบนี้ด้วยเหมือนกัน "เฮ้ย! เสื้อผ้าร้านนู้นสวยมากเลยอ่ะ ไปดูกันไหม" กุ๊กไก่ชี้ไปที่ร้านเสื้อม่อฮ่อม"เอาสิ" กุ๊กไก่เดินนำธูปไปที่ร้านเสื้อผ้า"สวัสดีเจ้า บะฮู้ว่าลูกค้าเป๋นตี้สนใจ๋ชุดไหนเจ้า" แม่ค้าสอบถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะมาก ๆ"อันนี้คือชุดม่อฮ่อมใช่ไหมครับ" กุ
มาถึงห้องพักทั้งคู่ก็รีบอาบน้ำชำระร่างกายแล้วขึ้นนอนบนเตียงพักผ่อนจากความเหนื่อยล้ากันอย่างจริงจัง รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็ดึกมาแล้ว ธูปค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาเพราะรู้สึกเหมือนมีคนกำลังทำอะไรกับร่างกายเขาอยู่และภาพตรงหน้าที่เขาเห็นก็คือกุ๊กไก่กำลังทายาและนวดขาให้เขา"พี่ทำอะไรอ่ะ" "ตื่นแล้วเหรอ""อืม""ฉันเห็นนายเดินมาตั้งไกลแถมยังแบกของหนัก ๆ อีกด้วยเลยคิดว่านายคงปวดร้าวไปทั้งตัว""พี่เองก็เดินมาไกลเท่ากับผมนั้นแหละ""แต่ฉันก็ยังสบายกว่านายเยอะ...ทายาเสร็จแล้วก็ไปล้างหน้าเถอะ ฉันสั่งข้าวเอาไว้ให้แล้วจะได้มากินพร้อมกัน" กุ๊กไก่ตอบแล้วก็ลุกออกไป ธูปสังเกตเห็นสีหน้าของกุ๊กไก่แปลกไปไม่ค่อยสดใสร่าเริงเลยรู้สึกเป็นห่วง"ไม่สบายหรือเปล่า" กุ๊กไก่ส่ายหัวตอบแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นรินน้ำใส่แก้ว ธูปไม่ถามอะไรมากเขาลุกไปล้างหน้าแล้วมานั่งที่โต๊ะเพื่อทานอาหารพร้อมกันกับกุ๊กไก่"อร่อยนะเนี่ย" ธูปพูดเสียงแจ๋วแต่กุ๊กไก่กลับไม่ตอบอะไรเลย เขาก้มหน้าก้มตาทานข้าวของตัวเองอย่างเงียบ ๆ จนธูปไม่สบายใจ เขาวางช้อนลงแล้วมองไปที่กุ๊กไป่ชัด ๆ"พี่เป็นอะไร""เปล่า""เปล่าแล้วทำไมไม่คุยกับผม""ฉันแค่เหนื่อยเฉย ๆ""งั
ธูปกับกุ๊กไก่นั่งกันอยู่คนละฝั่ง ซึ่งระหว่างที่นั่งรถมาด้วยกันกุ๊กไก่ยังคงทำหน้าบูดบึ้งไม่คุยกับธูปสักคำส่วนธูปก็เอาแต่จ้องเขาเหมือนอยากจะชวนคุยแต่ก็ไม่กล้า "เลิกจ้องฉันสักทีได้ป่ะ" กุ๊กไก่ทนไม่ไหวหันมาดุธูป "นี่พี่โกรธผมเหรอ" "ฉันไม่ได้โกรธ" "เห็นอยู่ว่าโกรธ" กุ๊กไก่ถอนหายใจแล้วกอดอกหันหน้าไปมองทางวิวทางด้านนอกแทน "ผมขอโทษ...ผมไม่ได้อยากให้เราทะเลาะกันจริง ๆ แต่ที่ผมพูดแบบนั้นก็เพราะว่า-" "เพราะว่านายเบื่อที่ฉันเรื่องมากและก็ขี้งกใช่ไหมล่ะ...ขอโทษนะที่ฉันทำให้ทริปของนายมันพังแบบเนี่ย" "ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ผมแค่อยากให้เราได้มาถึงที่พักไว ๆ จะได้พักผ่อนแล้วก็หาอะไรอร่อย ๆ กินกัน ตั้งแต่เช้าพวกเรายังไม่ได้กินอะไรกันเลยแถมตอนที่พวกเราเดินหารถมันก็ร้อนมาก ๆ ผมเห็นเหงื่อพี่แตกเต็มตัวไปหมดเกินพี่เป็นลมขึ้นมาผมคงรู้สึกผิดที่พาพี่มาลำบากแบบนี้" น้ำเสียงที่ฟังดูเสียใจของธูปทำให้กุ๊กไก่เย็นลงทันที เขาหันกลับมาหาธูปมองดูใบหน้าที่กำลังฉายแววเศร้าอยู่ "ช่างมันเถอะ ฉันเอง...ฉันเองก็เรื่องมากจริง ๆ นั่นแหละ" "ผมรู้นะว่าพี่ไม่ได้เรื่องมากหรอกแต่พี่แค่เกรงใจผม พี่กลัวว่าผมจะต้องจ
ปูนปั้นตื่นขึ้นมาหลังได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกที่ตัวเองตั้งไว้ก่อนนอนเพราะกลัวว่าจะลุกไม่ทันนัดของดาริน เขาเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาปิดเสียงกลัวมันจะดังรบกวนเทียน เขามองดูเทียนที่นอนถอดเสื้อแล้วก้มลงไปจุ๊บที่แก้มของเขาจากนั้นก็ลุกขึ้นเพื่อไปอาบน้ำเตรียมตัวแต่ยังไม่ทันได้ก้าวขอลงจากเตียงเทียนก็ดึงเขาลงมากอดไว้ในอกซะแล้ว"แกล้งหลับเหรอ" "เปล่าซะหน่อยแต่พอดีมีคนมาขโมยจุ๊บเลยตื่น""ตื่นแล้วก็ปล่อยผมต้องไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำบุญกับแม่อีก""ไปตั้ง 7 โมงค่อยอาบก็ได้หรอก""ไม่ได้เดี๋ยวไม่ทัน""ก็พี่อยากกอดหนูหนิหน่า" "พอเลย! จะมาอยากกอดอะไร" ปูนปั้นว่าแล้วเอามือไปจับที่เป้าของเทียน"เนี่ย! แข็งแต่เช้าเลยไม่ต้องมาอ้างว่าอยากกอดหรอก""เอ้า~ อ้างที่ไหนก็พี่อยากจริง ๆ""พอ ๆ ๆ ปล่อยเลยจะไปอาบน้ำ" ปูนปั้นว่าแล้วแกะมือของเทียนออกจากตัวเองจากนั้นก็ลุกขึ้นออกจากเตียง"นอนไปเลยแล้วก็เก็บกระเป๋าผมไปใส่รถด้วยหลังจากทำบุญเสร็จจะได้กลับคอนโดกัน""สั่งเป็นแม่เลยนะ รู้เปล่าทุกคนที่นี่ไม่มีใครกล้าออกคำสั่งพี่เลยนะ""ก็ลองดู! ถ้าผมกลับมาแล้วลุงยังไม่จัดการให้เสร็จวันนี้ก็เตรียมกลับไปส่งผมที่บ้านได้เลย""โห่~ ดุจ