LOGIN“เอ้อ…งั้นผมขอตัวเลยแล้วกันนะครับ” เจตต์เอามือลงก่อนบอกลาแก้เก้อ แต่ก็ยังไม่วายยิ้มเขินๆ ให้ก่อนเดินจูงมือลูกสาวออกไป
“ยิ้มอะไรนักหนาวะ มีความสุขกันมากรึไง หาอะไรมายัดปากดีไหมเนี่ย” เขาพาลด้วยความหงุดหงิด
“ชอบมันเหรอ” บรรยากาศภายในรถที่เงียบสงัด ถูกทำลายลงเพียงเพราะคำถามที่เขาโพล่งออกมา
“คะ?” การถามแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยของเขาทำให้เธอหันมาทำหน้างง
“หมาน่ะ ชอบมันเหรอ”
“อ้อ! หมายถึงหมา” ก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอต้องถอนหายใจเหมือนโล่งใจด้วย
“แล้วคิดว่าหมายถึงอะไร”
“เอ่อ…ก็หมานั่นแหละค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นความชอบรึเปล่า แต่เท่าที่จำความได้ บ้านฉันก็เลี้ยงหมามาตลอด ฉันก็เลยรู้สึกคุ้นเคยกับพวกมันง่าย อีกอย่างพวกมันก็น่ารัก ฉันก็เลยหลงมันได้ไม่ยาก ให้ตายสิ! ฉันตกเป็นทาสน้องหมาแล้วใช่ไหมเนี่ย” เธอยกมือกุมที่แก้มประหนึ่งว่าตกใจ
“ว่าแต่คุณถามทำไมคะ” เธอหันมาถามด้วยความสงสัย เมื่อเรื่องที่สนทนาไม่ใช่เรื่องงาน แต่กลายเป็นเรื่องหมา
“เปล่า ไม่มีอะไร” สิ้นเสียงเขาก็เงียบไม่พูดอะไรอีก
“เอ้า! แล้วก็เงียบไปเฉยๆ เนี่ยนะ อะไรของเขาวะ” เธอแอบหันไปบ่นพึมพำริมหน้าต่าง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่รถหยุดพอดี
“เอ้า! ไหนบอสบอกว่าเช้านี้มีนัด แล้วทำไมมาบริษัทล่ะคะ” เธอหันมาถามเขาด้วยความแปลกใจ
“ยกเลิกไปแล้ว” พูดจบเขาก็เดินลงจากรถทันที
“เอ้า! อะไรของเขาวะ” เธอสบถออกมาแบบงงๆ ไม่แน่ใจว่าเช้านี้ตัวเองเอ้าไปกี่ครั้งแล้ว แต่มันก็มีเหตุให้เอ้าจริงๆ นั่นแหละ ส่วนต้นเหตุน่ะเหรอ เดินลิ่วๆ เข้าไปด้านในโน่นแล้ว เดือดร้อนให้เธอต้องรีบจ้ำตามอีก
กระทั่งเจ้านายหนุ่มกับเลขาสาวเดินออกมาจากลิฟต์ก็พบดอกไม้สีแดงสดที่วางเด่นสะดุดตาอยู่บนโต๊ะ เธอไม่รอช้าที่จะหยิบการ์ดใบเล็กๆ ที่เสียบอยู่ขึ้นมาอ่าน
“ดอกไม้สวยๆ สำหรับคนสวยๆ อย่างคุณ เขตแดน” เธออ่านข้อความพร้อมกับชื่อในการ์ดเบาๆ แต่แล้วก็ต้องผงะด้วยความตกใจ เมื่อคนที่คิดว่าเดินเข้าห้องไปแล้ว จู่ๆ ก็พูดโพล่งออกมา
“ผมแพ้เกสรดอกไม้” ไม่ใช่แค่พูด แต่เขายังทำจมูกฟุดฟิด
“งั้นบอสก็เข้าไปในห้องสิคะ จะมายืนอยู่ทำไม”
“ผมก็แค่บอกให้คุณรู้ไว้ว่าคุณไม่ควรเอามันเข้ามาในพื้นที่ของผม เพราะมันอาจจะทำให้ผมไม่สบาย ฮัดเช้ย!” สิ้นเสียงเขาก็จามเสียงดัง
“ฉันเปล่าเอาเข้ามาบอสก็เห็น แต่ไม่เป็นไรค่ะ เพื่อบอสฉันจะจัดการเอามันออกไปจากตรงนี้เองค่ะ” เธอรับปากหนักแน่น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูลิฟต์ด้านหน้าเปิดออกพอดี
“เอ้า! น้ำมาหาพี่เหรอ” เธอหันไปทักน้ำรินพนักงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ เพื่อนร่วมแผนกสมัยที่เธอยังทำอยู่แผนกนั้น แต่เท่าที่สังเกตขณะที่อีกฝ่ายเดินมาหาเธอ สายตากลับเอาแต่จับจ้องไปที่เจ้านายของเธอ เห็นแบบนี้เธอเลยคิดอะไรดีๆ ขึ้นมาได้
“นี่จ๊ะน้ำ เจ้านายพี่ให้” เธอบอกพร้อมกับยื่นกุหลาบแดงช่อโตไปให้ ทำเอาคนถูกพาดพิงถึงกับหันขวับมามองตาเขียว ทำเอาเธอต้องรีบพูดต่อ
“ในฐานะที่น้ำขยันแล้วก็ตั้งใจสุดๆ รับไปสิจ๊ะ” น้ำรินรับไว้ด้วยรอยยิ้มเขินๆ ก่อนจะหันไปขอบคุณคนให้ที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับดอกไม้ช่อนี้เลย
“ขอบคุณค่ะท่านรอง” ทันทีที่น้ำรินถือช่อกุหลาบหันมาทางรองประธานหนุ่ม เขาก็จามออกมาเสียงดัง
“ฮัดเช้ย!” เห็นเจ้านายจามพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิด ศิศิราก็รีบเอาตัวเข้ามากันให้ ทำเอาเจ้านายหนุ่มถึงกับแอบยิ้ม เมื่อเธอไม่ใช่แค่กัน แต่ยังจับมือเขาไว้ ก็ไม่รู้ว่าเผลอหรืออะไร แต่ที่เธอทำประหนึ่งกำลังปกป้องเขา มันทำให้คนถูกปกป้องรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
“เอ้อ… ว่าแต่น้ำมาหาพี่ถึงนี่มีอะไรรึเปล่า” ศิศิราชวนเปลี่ยนเรื่อง พร้อมกับพยายามดันเจ้านายหนุ่มให้ถอยหลัง เพื่อกันไม่ให้เขาเข้าใกล้ดอกไม้มากเกินไป
“อ๋อ! น้ำจะมาเอาเอกสาร…เอ๊ะ! นี่ของพี่รึเปล่าคะพี่ศิ” พูดยังไม่ทันจบ น้ำรินก็ก้มลงไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมา ทำให้เธอต้องก้มมองตาม กระทั่งฝ่ายนั้นยื่นมาให้
“….” เห็นเธอชะงักนิ่งไปหลังได้อ่านข้อความในกระดาษแผ่นนั้น เขาที่ยืนอยู่ด้านหลังจึงอดไม่ได้ที่จะลอบอ่านด้วย
“นี่มัน…!” เขาจำต้องหยุดเอาไว้แค่นั้น ก่อนจะหันไปมองน้ำรินที่กำลังมองมาด้วยความสนใจเช่นกัน
“กลับไปทำงานได้แล้ว” เขาบอกเสียงห้วน ด้วยไม่อยากให้อีกฝ่ายมารับรู้เรื่องที่กำลังจะพูด ทำเอาคนถูกไล่กลายๆ ถึงกับสะดุ้งโหยง และรีบจากไปโดยไม่ต้องรอให้พูดซ้ำ ต่างกับศิศิราที่ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมพร้อมกับกระดาษแผ่นนั้นที่ยังอยู่ในมือ
“เข้าไปคุยกันข้างใน” เขาดึงกระดาษแผ่นนั้นมาไว้ในมือ แล้วจับจูงเธอให้เดินเข้าไปในห้องด้วยกัน
“นานเท่าไหร่แล้ว” หลังจากพาเธอมานั่งด้วยกันที่โซฟา เขาก็เปิดฉากถามทันที
“คะ?” เธอหันมาทำหน้างงๆ จริงๆ แทบไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าเขาพูดอะไร
“ผมถามว่าคุณได้ไอ้ข้อความบ้าๆ นั่นตั้งแต่เมื่อไหร่” ดูเหมือนเสียงดังๆ ของเขาจะเรียกสติเธอได้มากทีเดียว
“สัปดาห์ที่แล้วค่ะ”
“แล้วคุณก็ยังทำเฉย ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเนี่ยนะ” ใช่! เขากำลังโกรธแล้วก็โมโหเธอในเวลาเดียวกัน
“ก็ฉันคิดว่าน่าจะมีใครนึกสนุกอยากอำฉันเล่น” เธอบอกเสียงอ่อย
“ด้วยการส่งข้อความมาคุกคามคุณแบบนี้เนี่ยนะเล่น นี่มันเข้าข่ายโรคจิตชัดๆ ‘” เขาว่าพลางหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่านซ้ำ
“วันนี้คุณสวยมาก รู้ตัวไหมว่าผมเฝ้ามองคุณทุกวัน ขาขาวๆ ของคุณมันทำให้ผมมีอารมณ์ ผมอยากจูบ อยากสัมผัส อยากทำให้เราเป็นของกันและกัน อีกไม่นานคุณจะต้องเป็นของผม แบบนี้เนี่ยนะที่คุณคิดว่าอำกันเล่น คุณกำลังคิดอะไรอยู่ศิศิรา” เขาโกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“ก็ข้อความแรกๆ มันไม่ใช่แบบนี้นี่” เธอขึ้นเสียงด้วยความโมโหบ้าง
“แสดงว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้มีแค่ข้อความเดียว?” เขาพยายามระงับความโกรธกรุ่นด้วยการลดเสียงลง
“ก็…ค่ะ แรกๆ เขาก็แค่บอกชอบบอกรัก เหมือนผู้ชายเขียนจดหมายบอกรักผู้หญิงปกติทั่วไป ก็เพิ่งมีฉบับนี้แหละที่ไม่ปกติ” ท้ายประโยคเธอบอกเสียงอ่อย
“มันไม่ปกติตั้งแต่ที่คุณเห็นว่ามันเป็นเรื่องปกติแล้ว ให้ตายสิ! ถ้ามันเข้าใกล้คุณได้มากขนาดนี้ มันไม่หยุดแค่ส่งจดหมายแน่” เขาทำหน้าเครียด ในขณะที่เธอก็ออกอาการตื่นตระหนกจนเลิกลั่กไปหมด
“ฮือ…! อย่าพูดแบบนี้สิคะบอส คนยิ่งกลัวๆ อยู่ๆ”
“โอเค งั้นช่วงนี้ก็พยายามอย่าออกไปไหนมาไหนคนเดียว ผมว่าผมไปรับไปส่งคุณเลยน่าจะปลอดภัยกว่า” เขาเสนอตัวทันที
“แต่มันจะไม่เป็นการรบกวนบอสเกินไปเหรอคะ” เธออดเกรงใจไม่ได้ จะให้เจ้านายมาคอยรับส่งเธอที่เป็นแค่ลูกจ้าง แน่นอนว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่สมควร
“หรือคุณมีทางเลือกที่ดีกว่านี้ล่ะ” คนถูกถามส่ายหน้าทันที
“งั้นก็ตามนี้” เขาสรุปให้ก่อนหันไปลอบยิ้มอีกทาง รู้หรอกว่าสถานการณ์แบบนี้มันไม่สมควร แต่มันก็ยังอดยิ้มไม่ได้อยู่ดี
แล้วเรื่องนี้อย่าให้คนอื่นรู้เป็นอันขาด ผมไม่อยากให้ไอ้โรคจิตนั่นมันรู้ตัว ระหว่างที่เรากำลังควานหาตัวมัน”
“แล้วบอสจะทำยังไงคะ” เธอถามด้วยความอยากรู้
บทที่ 65“แต่ทุกคนอุตส่าห์มาเพื่อฉันนะคะ แล้วถ้าฉันกลับก่อน คนอื่นจะรู้สึกยังไง” เหตุผลของเธอทำคนอยากกอดเมียคอตกทันที ช่างเป็นภาพที่น่าสงสารเหลือเกิน “ไม่เป็นไรหรอกศิ แกไปเถอะ อย่าลืมสิว่าคนสละโสดไม่ได้มีแค่แกซะเมื่อไหร่ ไอ้วามันก็ยังอยู่ เดี๋ยวพวกฉันสนุกกันเองต่อได้ แกพาคุณภากรกลับไปนอนเหอะ ไม่ต้องห่วงทางนี้” ศิศิราหันไปมองหน้าพริมรตาด้วยความลังเล ก่อนจะหันไปมองคนอื่นๆ ด้วย แต่เมื่อทุกคนพากันพยักหน้าให้ แม่งานอย่างเธอจึงได้แต่ถอนหายใจ “โอเค! กลับก็กลับค่ะ งั้นฉันไปก่อนนะทุกคน เอ้อ! ยัยมัดแล้วแกล่ะจะกลับยังไง” ก่อนจะทันได้ออกไป เธอก็ไม่ลืมที่จะหันมาถามน้องสาวด้วยความเป็นห่วงด้วย “ไม่ต้องห่วงฉันหรอกน่า ฉันเอาตัวรอดได้ ห่วงตัวเองเถอะ จะได้นอนไหมคืนนี้น่ะ” มัดหมี่อดล้อเลียนพี่สาวไม่ได้ “เดี๋ยวเหอะยัยเด็กแก่แดด” ศิศิราคาดโทษน้องสาวพลางยิ้มเขินอายกับสายตาล้อเลียนของทุกคนที่กำลังมองมาที่เธอเป็นตาเดียว ทำให้เธอต้องรีบลากตัวต้นเหตุความอายครั้งนี้ออกไปจากห้องโดยเร็ว “หิวจัง!” ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง เขาก็พูดขึ้นลอยๆ “เอ้า! นี่ค
บทที่ 64“เฮ้ย! แปลกแฮะ ดื่มไปตั้งหลายแก้ว ทำไมไม่เมาวะ หรือว่า…แอลกอฮอล์มันจะทำปฏิกิริยาแต่เฉพาะเวลาอยู่กับผู้ชาย” ด้วยรูปการณ์ตอนนี้ มันทำให้เธอคิดเป็นอื่นไม่ได้ “บ่นอะไรของแกศิ แล้วปฏิกริยาอะไรของแก เมารึเปล่าเนี่ย” แวววิวาห์แสร้งล้อ “นั่นสิ ปกติถ้าดื่มเข้าไปขนาดนี้ ฉันต้องนอนสลบเหมือดไปแล้ว ไอ้พรีมแกใส่อะไรลงไปเหล้าเนี่ย ทำไมกินเท่าไหร่ก็ไม่เมาเลยล่ะ” คิดไปคิดมา ศิศิราจึงหันไปถามคนชง “อะไรของแก ฉันก็ใส่ปกติเหมือนที่เคยชงให้แกกินทุกทีนั่นแหละ” พริมรตาตอบพลางลอบมองนาฬิกา “นี่คือปกติที่พวกพี่กินกันเหรอ” มีนาอดถามไม่ได้ แล้วก็ได้คำตอบเป็นการพยักหน้าของทั้งสามคน “กินแบบนี้ กินทั้งคืนก็ไม่เมาหรอกค่ะ” มีนาเสริมอีก “ก็เพราะไม่อยากให้เมาไง พี่ก็เลยใส่ไปแค่แก้วละหยดสองหยด ที่เหลือก็โซดาล้วนๆ อะ! อย่างวันนี้ก็ดีหน่อยไม่ใช่โซดาแต่เป็นน้ำอัดลมแทน กินแล้วสติครบถ้วน ที่สำคัญ…ไม่เปลืองด้วย” คนขี้งกบอกด้วยความภาคภูมิใจ ในขณะที่อีกสองสาวถึงกับหันขวับมามองคนพูดเป็นตาเดียว “อา…ถึงว่าทำไมรู้สึกเหมือนปาร์ตี้น้ำอัดลม นี่ถ้ากินแ
บทที่ 63“ผมลานะครับคุณพ่อคุณแม่” เขาเองก็ไหว้ลาบ้าง แต่ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้ก้าวขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าบ้าน เสียงของครูศิรีก็ทำให้เท้าของเขาพลันหยุดชะงัก “ถึงจะมีบุญคุณที่ช่วยชีวิตลูกสาวฉัน แต่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะเอาเปรียบลูกสาวฉันได้ จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย อย่าให้ยัยมะขวิดต้องกลายเป็นขี้ปากชาวบ้าน” คนเป็นแม่พูดทิ้งท้าย ในขณะที่เขายังงงกับชื่อที่ได้ยิน “มะขวิด?” เขาหันมาถามเธอ “โอ๊ย! อย่าเพิ่งถามตอนนี้ได้ไหมเล่า หันไปตอบแม่ก่อน” แน่นอนมันเป็นคำถามที่กระดากเกินกว่าที่จะตอบ จึงใช้อีกเรื่องมาเป็นข้ออ้างเพื่อหลบเลี่ยง “เอ้อ! ผมจะให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอมะขวิด เอ๊ย! ศิศิราให้เร็วที่สุด คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ” เพราะชื่อมะขวิดที่ยังติดค้างอยู่ในใจเลยทำให้เผลอพูดออกมา แต่มันทำให้เจ้าของชื่อถึงกุมขมับทันที “อืม! ไปเถอะ ขับรถดีๆ ล่ะ” ครูศิรีทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็อดห่วงไม่ได้อยู่ โดยเฉพาะเมื่อรถเคลื่อนออกไป แล้วแม่ลูกสาวตัวดีก็โบกมือหยอยๆ ร่ำลา แล้วความอาลัยอาวรณ์ก็ทำให้คนเป็นแม่โบกมือตอบกลับไปอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบเอามือลงเมื่อถูกสามีล้อเลีย
บทที่ 62“เห็นคุณเจตต์เขาเล่าว่าพวกมันมีทั้งปืนทั้งมีด โชคดีนะที่แกรอดมาได้ ว่าแต่แผลที่คอแกเป็นไงบ้าง” พริมรตาถามด้วยความเป็นห่วง ไม่ได้รู้แผนการอะไรกับเพื่อนด้วย แต่มันก็เข้าทางเจ้าของแผนพอดิบพอดี เพราะมันทำให้คนเป็นแม่ทันได้สังเกตผ้าก๊อซที่ปิดอยู่ที่ต้นคอลูกสาว ซึ่งนั่นจะช่วยเสริมให้ท่านรู้ว่าสิ่งที่พวกเธอพูดมันคือเรื่องจริง “ไม่เป็นไรแล้ว ห่วงก็แต่เขา ไม่รู้เป็นไงบ้าง ยังเจ็บแผลรึเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าเมื่อวานเขาไม่เข้ามารับคมมีดแทน ไม่รู้เหมือนกันว่าป่านนี้ฉันจะเป็นยังไง พรีมฝากบอกให้เขาไปล้างแผลทุกวันด้วยนะ” ศิศิราทำหน้าเศร้าทันทีที่พูดถึงชายคนรัก ในขณะที่พริมรตาก็ได้แต่พยักหน้ารับ ตอนนั้นเองคนที่ยืนฟังนิ่งอยู่ห่างๆ ก็เดินเข้ามาแต่กลับไม่พูดอะไร จากนั้นก็ออกไปเงียบๆ ดังเดิม “เฮ้อ!” แวววิวาห์ถึงกับถอนหายใจออกมาแรงๆ รู้สึกเหมือนสิ่งที่พวกตนกำลังพยายามอยู่มันเสียเปล่า ไม่แคล้วแผนวันนี้ก็ต้องล้มเหลวอีกตามเคยหลังจากที่เพื่อนๆ ของเธอพากันกลับไป เธอก็ต้องกลับเข้าไปอยู่ในห้องอีกเช่นเคย เธอเหม่อมองไปนอกหน้าต่างอย่างเลื่อนลอย พลันสายตาก็สะดุดเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู
บทที่ 61“รักเหรอ? ถ้ามันรักแกจริง มันต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ไม่ใช่ย่ำยี่แกแบบนี้” คนเป็นแม่ขึ้นเสียงด้วยความเดือดดาล ตอนนี้แทบไม่รู้เลยว่าระหว่างความโกรธกับผิดหวัง อย่างไหนมีมากกว่ากัน “ไม่จริง! หนูต่างหากที่เป็นฝ่ายเข้าหาเขา หนูนี่แหละที่ย่ำยีเขา” สิ้นเสียงมือของคนเป็นแม่ก็ตวัดลงบนหน้าขาวๆ ของเธอ “เพียะ! ลูกไม่รักดี แกกล้าพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง ยังมีความละอายอยู่ไหม ฉันเคยสอนนักสอนหนาว่าให้แกทำตัวดีๆ รักนวลสงวนตัว แต่แกกลับลืมทุกอย่างที่ฉันพูด แกอยากให้ฉันอกแตกตายนักใช่ไหม” “ใจเย็นๆ กันทั้งสองคนนั่นแหละ มีอะไรก็ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากัน มะขวิดลูกเองก็ผิดที่ทำอะไรข้ามขั้นตอน ส่วนแม่ แม่เองก็ผิดที่ใจร้อนเกินไป ไหนๆ ตอนนี้เรื่องมันก็เลยเถิดมาจนถึงตอนนี้แล้ว เราควรปล่อยให้ลูกได้ลองผิดลองถูกด้วยตัวเองนะแม่นะ ลูกมันก็ไม่ได้อายุน้อยๆ แล้ว” คนเป็นพ่อที่อยู่ตรงกลางจำต้องเกลี้ยกล่อมให้สองฝ่ายมาบรรจบกัน แต่ภรรยาเขาก็ดื้อรั้นเกินไป “ปล่อยให้มันโดนหลอกแล้วมานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่าน่ะเหรอ ผู้ชายถ้ามันจริงจัง มันต้องมาทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ไม่ใช่ปล่อยให้เรื่อง
บทที่ 60“ทำไมพวกคุณต้องทำเหมือนกลัว พวกเขาเป็นใคร แล้วทำไมต้องกลัว” พ่อเลี้ยงพิมายที่ติดสอบห้อยตามพริมรตามาด้วยถามด้วยความสงสัย “ก็ถ้าคุณรู้จักแม่เพื่อนฉันดี คุณจะหายสงสัย นี่ช่วยคิดหน่อยสิ ว่าฉันควรทำไงไม่ให้พวกท่านรู้ว่ายัยศิไปอยู่ที่ไหนกับใคร โดยที่ฉันไม่ต้องโกหก” พริมรตาหันไปขอความช่วยเหลือพิมาย แต่อีกฝ่ายกลับตอบกลับมาสั้นๆ พลางยักไหล่ “ทำใจ” คำตอบของพิมายทำพริมรตาเม้มปากแน่น ก่อนจะต้องสะดุ้งเพราะเสียงของครูศิรี “ว่าไงพรีม มัด ตอนนี้มะขวิดอยู่ที่ไหน” สองสาวที่ถูกคาดคั้นหันมองหน้ากันด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน แต่ก่อนที่พวกเธอจะคิดหาคำตอบดีๆ ได้ ครูศิรีก็พูดแทรกขึ้นมาอีก “สองคนคงไม่คิดโกหกป้าหรอกใช่ไหม รู้นะว่าป้าไม่ได้โง่พอที่จะดูไม่ออก” คนถูกพูดดักทางพากันกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ตอนนี้คงต้องสุดแล้วแต่โชคชะตาของ ศิศิรา สิบนาทีต่อมา ตอนนี้ทั้งหมดนั่งกันอยู่บนรถของพ่อเลี้ยงพิมายอย่างไม่มีทางเลือก และจุดหมายปลายทางก็คือโรงพยาบาลที่ศิศิรากับภากรพากันไปทำแผลและตรวจร่างกาย “ให้มัดช่วยถือไหมจ๊ะป้า” มีนาอาสา ไม่ใช่เพราะมีน้ำใจ แ







