สามวันก่อนหน้า
เสียงนาฬิกาปลุกเจ้าเก่าดังขึ้นตรงเวลาเป๊ะเหมือนทุกวัน ฉันเอื้อมมือออกไปกดปิดเสียงมันด้วยความเคยชิน ก่อนจะนอนนิ่ง ๆ สูดหายใจลึกอยู่อีกสามนาทีเต็ม ๆ ราวกับต้องรวบรวมพลังจากทั้งจักรวาลก่อนจะเริ่มวันใหม่ “โอเค... เริ่มต้นวันธรรมดาอีกวัน” (ธรรมดาจริงเหรอ? ฉันอยากให้มันเปลี่ยนไปไหมนะ? แล้วเปลี่ยนไป... เพื่ออะไรล่ะ?) ฉันลุกจากเตียงอย่างเชื่องช้า พร้อมกับเสียงบ่นเบา ๆ ในใจ ลมเช้าพัดม่านระเบียงเข้ามาแตะแก้มเบา ๆ เหมือนจะปลอบว่า "วันนี้ก็ยังมีเธออยู่นะ" ขั้นตอนถัดไปก็เหมือนทุกวัน ล้างหน้า แปรงฟัน มัดผมหางม้าต่ำ แล้วหยิบแว่นตากรอบหนาที่เป็นเหมือนเกราะเล็ก ๆ ไว้รับมือกับโลกที่วุ่นวาย เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว กางเกงสแล็คสีกรม รองเท้าคัทชูสีดำ ทั้งชุดที่แม่ซื้อให้ในวันรับปริญญายังดูดีเหมือนเดิม นี่แหละ... ชีวิตของฉัน — ลินลี่ วัยเปล่งปล้่ง ที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย และเที่ยงตรงเหมือนนาฬิกาเรือนเก่า ตื่นเช้า ขึ้นรถเมล์ตอนเจ็ดโมงตรงเป๊ะ ถึงออฟฟิศแปดโมงทุกวันทำงานแบบตั้งใจจนเพื่อนร่วมงานพูดกันเล่น ๆ ว่าฉันเป็น "เครื่องจักรมีชีวิต" เลิกงานหกโมง กลับบ้าน ทานข้าว ดูซีรีส์เบา ๆ พอให้หัวใจได้พัก แล้วก็เข้านอนก่อนสี่ทุ่มตามแผนชีวิตที่วางไว้อย่างดี ชีวิตของฉัน... สะอาด เป็นระเบียบ และไม่มีอะไรเกินเลย แต่มันจะ... สะอาดเกินไป ไหมนะ? บางวัน ฉันรู้สึกเหมือนทุกอย่างถูกร่างพิมพ์เขียวไว้แล้ว ไม่มีช่องว่างให้หลุดนอกเส้น เหมือนถูกวางไว้ในกล่องใสที่เรียบร้อยมากจนไม่มีแม้แต่รอยร้าวให้ลมหายใจไหลเวียน ฉันเหมือนถูกล็อกอยู่ในกรงที่มองไม่เห็น กรงที่ฉันสร้างขึ้นเองหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ ความสัมพันธ์? ฉันทั้งซิงและโสดสนิท ไม่เคยมีแฟน ไม่เคยแม้แต่จูบแรก ฟังดูน่ารักดีในนิยาย แต่ในชีวิตจริงมันก็มีคำถามตามมาเหมือนกัน บางคืนที่ล้มตัวลงนอนและแสงจากหน้าจอเริ่มหรี่ลง ฉันก็นึกสงสัยอยู่ลึก ๆ ว่าแท้จริงแล้ว... ฉันเป็นเพียงแค่ "เด็กดีของพ่อแม่" ที่ใช้ชีวิตตามคู่มือที่ใครไม่รู้เขียนไว้ หรือฉันเองต่างหาก ที่ยังไม่กล้าเขียนบทใหม่ของตัวเองสักที (ถ้าฉันเลือกเองได้... ฉันจะยังเป็นแบบนี้ไหมนะ?) “สวัสดีตอนเช้า ลินลี่ หน้าตาสดใสเชียววันนี้” เสียงคุ้นเคยที่ฟังเมื่อไหร่ก็รู้สึกดี ลอยมาตามกลิ่นกาแฟหอมอ่อน ๆและนั่นก็คือ... คุณอุษา หัวหน้าของฉัน เธอยังคงนั่งที่มุมเดิมของออฟฟิศ โต๊ะใกล้หน้าต่างที่แสงแดดอ่อนสาดผ่านมูลี่บาง ๆ ใบหน้าของเธอประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่นที่ดูไม่เคยเปลี่ยน แม้จะผ่านเช้ามาหลายพันวันแล้วก็ตาม กาแฟในมือเธอเหมือนเป็นเครื่องหมายประจำตัว เข้มพอจะปลุกให้ตื่น แต่หอมละมุนเหมือนเธอไม่มีผิด คุณอุษา เป็นคนที่ฉันทั้งเกรงใจและไว้วางใจในเวลาเดียวกัน เธอไม่ได้เป็นแค่หัวหน้า... แต่เป็นเหมือน แสงแรกของวันใหม่ ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า “วันนี้ ก็คงไม่แย่เท่าไหร่หรอกนะ” … “ตอนพักเที่ยง แพรว เพื่อนสนิทที่แทบจะเป็นคนเดียวในชีวิตที่ไม่ใช่แม่ โทร.เข้ามาเสียงดังทะลุจอมือถือ “ลี่! แกไม่เบื่อชีวิตแบบนี้บ้างเหรอวะ?!” ฉันหัวเราะแห้ง ๆ “เบื่ออะไรอะ?” พลางจิ้มไข่ต้มในข้าวกล่องจากร้านสะดวกซื้อที่อยู่ทุกหัวมุม “ชีวิตแกไง! ไม่มีแฟน ไม่มีจูบแรก ไม่มีแม้แต่ผู้ชายจะขอเฟซ! แกจะเป็นแม่ชีเหรอ?!” คำพูดของแพรวรุนแรง แต่มันก็คือความจริงที่ฉันไม่อยากยอมรับ (จริง ๆ แล้ว...ฉันก็อยากรู้จักความรักนะ แต่กลัว...กลัวจะผิดหวัง กลัวจะเสียใจ กลัวจะทำพลาด) ฉันเรียนบัญชี จบเกียรตินิยม ได้งานทำเร็ว พ่อแม่ภูมิใจในตัวฉันมาก แต่บางคืนก่อนนอน ฉันนอนจ้องเพดานห้องว่างเปล่า และตั้งคำถามกับตัวเองว่า “สิ่งที่ฉันเป็นตอนนี้...มันคือสิ่งที่ฉันเลือกเองจริง ๆ หรือแค่ทำตามสิ่งที่ ‘คนดี’ ควรเป็น?” “ศุกร์นี้ไนท์คลับเปิดใหม่! ฉันจะลากแกไปเอง!” แพรวทิ้งประโยคเหมือนประกาศสงคราม “ไม่มีข้ออ้าง!” ฉันจะเถียงว่า “ติดงาน” หรือ “ง่วงมาก” ก็ไม่ทันพูดจบ [แพรว: ถ้าไม่ไป = ตัดเพื่อน = บล็อกทุกช่องทาง] เด้งขึ้นบนหน้าจอทันที ...เพื่อนฉันนี่แรงไม่เบาเลยจริง ๆ (จริง ๆ แล้ว...ถ้าฉันไป... ฉันจะเป็นตัวของตัวเองได้ไหมนะ? หรือฉันจะกลายเป็นใครสักคนที่ฉันไม่เคยรู้จักมาก่อน) บ่ายวันนั้น ฉันนั่งทำงบการเงินต่อในออฟฟิศเล็ก ๆ ที่เย็นจัดจนเหมือนฉันถูกแช่ในฟรีซของซุปเปอร์มาร์เก็ต โต๊ะข้าง ๆ คือก้อง เพื่อนร่วมงานหนุ่มที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนและสายตาที่อบอุ่นเสมอ “พิมพ์แรงไปหน่อยนะ ลินลี่” เขาพูดพร้อมส่งยิ้มให้ “อ๊ะ ขอโทษค่ะ!” ฉันสะดุ้ง แล้วดึงมือออกจากคีย์บอร์ดทันที ก้องยิ้มบาง ๆ แล้วหันกลับไปทำงานต่อ เขาดูเป็นคนดี ถ้าฉันจะลองเปิดใจคบใครสักคน ก้องน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ฉันไม่เคยรู้สึก ‘พิเศษ’ เวลาคุยกับเขาเลยสักครั้ง (ความรู้สึกที่ว่า ‘พิเศษ’ มันเป็นแบบไหนกันนะ? ทำไมฉันถึงไม่เคยได้สัมผัสมันสักที) … คืนนั้น ฉันยืนจ้องตัวเองในกระจก ใบหน้าจืดชืด ผมดำตรงราวกับผ้ากำมะหยี่ แว่นตาหนา ๆ เป็นเหมือนกำแพงโปร่งใส ที่ฉันเอาไว้กันโลกเอาไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้เกิน ถอดแว่นออก ฉันเห็นรอยคล้ำใต้ดวงตาที่ไม่รู้ว่ามาจากแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือความเหงาที่เกาะกินใจ บางที...ฉันก็แค่ต้องการใครสักคน ไม่ต้องหล่อ ไม่ต้องรวย แค่คนที่มองฉันแล้วไม่ใช่แค่ ‘เด็กดีของพ่อแม่’ “ฉันไม่อยากดีจนไม่มีใครกล้าเข้ามา... และไม่อยากน่าเบื่อจนถูกมองข้าม” (ฉันอยากให้ใครสักคนเห็น ‘ฉัน’ จริง ๆ ไม่ใช่แค่ฉันในเวอร์ชันที่คนอื่นอยากให้เป็น) … ทันใดนั้น ข้อความจากแพรวเด้งขึ้นมาอีกครั้ง [ศุกร์นี้ 3 ทุ่ม หน้าร้าน 669 club ถ้าไม่มา = ฉันจะลากแกไปเอง] ฉันจ้องหน้าจอโทรศัพท์นิ่ง ๆข้อความของแพรวยังค้างอยู่ตรงนั้น เหมือนคำท้าทายที่ฉันไม่เคยกล้ารับ แต่ตอนนี้…ใจฉันสั่นนิด ๆเหมือนโดนคลื่นเล็ก ๆ ซัดเข้ามา… ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะบางอย่างในตัวฉัน…มันเริ่มไม่เหมือนเดิม นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ฉันรู้สึกว่า…ฉันอยาก "เปลี่ยน" ไม่ใช่เพราะอยากมีแฟน ไม่ใช่เพราะอยากให้ใครมาชอบ และไม่ใช่เพื่อพิสูจน์อะไรกับโลก แต่เป็นเพราะ…ฉันแค่อยากรู้ ว่าฉันจะรู้สึกยังไง ถ้าได้เป็นตัวเองในแบบที่ไม่เคยลอง ในแบบที่ไม่ต้องขออนุญาตใคร... แม้แต่ตัวฉันเองในเวอร์ชันเดิมฉันกลับมาในโหมดที่ไม่มีเวลาจะหายใจ... หลังค่ำคืนอันแสนวาบหวามบนเรือยอชท์ลำหรู ห้วงเวลาที่ทั้งมหัศจรรย์และเกินจริง จนทำให้ฉันแทบลืมไปว่าโลกแห่งความเป็นจริงยังคงรออยู่ แสงแดดยามเช้ากระทบใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจก เผยให้เห็นร่องรอยของความอ่อนล้า... จากค่ำคืนที่เผาผลาญพลังงาน และเสียน้ำไปหลายยกแบบไม่มีเยื่อใยให้พักหายใจริมฝีปากยังเจือรอยแดงจากการบดขยี้ของชายหนุ่มและดวงตาคู่นี้... ยังไม่ทันลืมสายตาของเขาเมื่อคืนแต่ไม่ว่าจะหวามไหวแค่ไหน เสียงในใจก็เตือนชัด—วันนี้... ลินลี่ ต้องกลับเข้าสู่โหมดจริงจังอีกครั้ง หัวหน้าฉันเมล์มาตั้งแต่ไก่โห่ ว่าต้องไปถึง PWW Tower ให้ทันนัดสำคัญ พลางเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนัง 9 โมงตรง แม้จะยังอยากนอนทอดกายใต้ผ้าห่มหนานุ่มอีกสักนิด แต่คงไม่ใช่วันนี้ ในจังหวะเดียวกัน เสียง ติ้ง ดังขึ้นพร้อมไฟสว่างวาบบนหน้าจอ ฉันปรายตามองข้อความที่เพิ่งเด้งขึ้นมาแยม: "ฉันกับแพรวจะรีบตรงดิ่งไปหาเธอทันทีที่กลับจากพัทยาช่วงบ่าย พร้อมหิ้วส้มตำเจ้าประจำไปด้วยนะ คิดถึงยัยลี่สุดใจ มีเรื่องเมาท์มอยเพียบเลย!"และในช่วงวินาทีต่อจากนั้นเอง ไลน์จากพ่อกับแม่ก็ตามมาอีกข้อความหนึ่ง “อย่าล
ลินลี่ฉันและพายุ เรานั่งชิวริมบาร์ที่ร้านอาหารแห่งนี้กันได้สักพักแล้ว เสียงเพลงเบา ๆ คลอเคล้ากับกลิ่นลมเย็นในยามค่ำคืน แสงไฟจากสะพานสะท้อนระยิบระยับบนผิวน้ำเหมือนดาวพราวเต็มท้องฟ้าในคืนเงียบสงัดความเงียบปกคลุมช่วงเวลาสั้นๆปลายนิ้วหนาแตะลงบนข้อมือฉันเบา ๆสัมผัสนั้นอ่อนโยนเกินกว่าจะเรียกว่าเผลอ...แต่ก็ไม่ชัดเจนพอให้มั่นใจว่าเขาตั้งใจเขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ ใกล้จนฉันรู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ที่แนบผ่านข้างแก้มเสียงของเขาเบาจนแทบกลืนไปกับสายลมแต่มันก้องในใจของฉันอย่างชัดเจน “ไปล่องเรือเล่นกันไหม”แค่ประโยคเดียว... หัวใจฉันเหมือนหยุดเต้นไปชั่วเสี้ยววินาที ก่อนจะกลับมาเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกจากอก โลกทั้งใบเหมือนหยุดหมุนลงในช่วงเวลานั้นและฉันรู้แน่ชัด…ว่าฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยจริง ๆไม่เคยคาดคิดว่า จะมีคืนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกได้มากขนาดนี้ ทั้งที่อยู่ในกรุงเทพฯ มาหลายปี ผ่านค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความเงียบเหงานับไม่ถ้วนแต่น่าแปลกไม่มีคืนไหนเลยที่เป็นแบบนี้ไม่มีใครเคยดึงฉันออกจากวงจรเดิม ๆ ไม่มีใครเคยพาฉันออกไปเจออะไรที่ต่างจากที่เคยรู้จัก ไม่มีใคร...เคยมองฉันด้วยแววตาแบบนั้น แววตาที่ทำ
(มุมมองลินลี่)ผู้ชายจะมาหาฉันตอนเที่ยงคืน… จริงเหรอ?แค่คิดก็รู้สึกไม่ปกติแล้ว นี่มันไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในชีวิตฉัน เอาจริง ๆ คือ ไม่เคยเกิดขึ้นเลย ต่างหากฉันยืนอยู่หน้ากระจก มองเงาตัวเองด้วยหัวใจที่เต้นแรงจนแทบทะลุออกจากอก มือข้างหนึ่งสางผมไปมาอย่างลน ๆ พยายามจัดให้มันดูไม่ยุ่ง แต่ก็ไม่ถึงกับตั้งใจเกินไป แบบที่เขาจะคิดว่าเรา "เตรียมตัว" อะไรขนาดนั้นเสื้อยืดโอเวอร์ไซซ์ตัวเดิมกับกางเกงขาสั้นธรรมดา มันดูบ้าน ๆ จนน่าเอามือปิดหน้า แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านี้ ฉันไม่ใช่คนที่มีลุคเป๊ะพร้อมรับแขกตลอดเวลา แล้วเขาก็กำลังจะมาถึงภายในไม่กี่นาที จะให้วิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งหน้าก็คงไม่ทันฉันพยายามหายใจเข้าลึก ๆ สูดลมหายใจให้เต็มปอด แล้วปล่อยออกช้า ๆ ตามคำแนะนำที่เคยอ่านในบทความคลายเครียด แต่ก็ไม่ได้ช่วยเท่าไหร่ ใจยังเต้นแรงเหมือนเดิมแล้วก็มีคำถามวนเวียนอยู่ในหัวแบบไม่ยอมหยุด เขามาทำไม? มาตอนนี้เพื่ออะไร? จะพูดเรื่องอะไร? หรือแค่ผ่านมาเฉย ๆ แต่ทำไมต้อง "ตอนนี้"? ฉันควรต้องหอบเอกสารลงไปด้วยไหม? หรือว่าเขาจะพูดเรื่องงาน? หรือไม่ใช่เลย… เรื่องส่วนตัว? หัวฉันเริ่มตีกันเองไปหมด ขณ
พายุทันทีที่รถจอดสนิทหน้าคฤหาสน์ชานนวิวัฒน์ ผมก้าวลงด้วยสีหน้าไม่พอใจนัก ลมเย็นปะทะหน้า แต่ไม่ได้ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นแม้แต่น้อยผมเดินตรงไปยังห้องบาร์ด้านในสุดโดยไม่ลังเล เพราะผมรู้ดีว่าเขาอยู่ตรงไหนและอยู่กับใครในเวลานี้พ่อกำลังนั่งอยู่ในมุมโปรด จิบวิสกี้เงียบๆ ราวกับทุกอย่างในโลกนี้ไร้ความหมาย ไม่มีอะไรสำคัญพอจะทำให้เขาขยับตัวแม้แต่นิดเดียว“ว่าไง พายุ”เสียงทุ้มของพ่อเอ่ยขึ้นทันทีที่ผมก้าวเข้าไป ดวงตาคมจ้องตรงมา ไม่มีการหลบเลี่ยง เขาสะบัดมือเบาๆ ไล่หญิงสาวที่ยืนอยู่เงียบๆ ข้างเก้าอี้ออกไปเขายกแก้วขึ้นจิบอีกครั้ง เสียงน้ำแข็งกระทบแก้วเบาๆ เหมือนตั้งใจจะเติมความกดดันเข้าไปอีกนิด ก่อนเอ่ยประโยคถัดไป“ฉันได้ข่าวว่าไมเคิลตายแล้ว... เสียดายนะ เขาเป็นคนที่ฉันไว้ใจ”ผมนิ่ง ไม่ได้ตอบ ไม่ใช่เพราะเสียใจเรื่องไมเคิล แต่เพราะกำลังดูสีหน้าพ่อ เขาเฉยชาจนผิดปกติ เขาวางแก้วลงบนโต๊ะไม้แน่นๆ ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ“แล้วทำไมแกถึงต้องลงมาจัดการเรื่องนี้เอง?”ผมจ้องตาเขาตรงๆ ไม่แม้แต่จะกระพริบตาก่อนตอบไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“เพราะผมอยากพิสูจน์ว่าผมไม่ได้มีดีแค่ภาพเพลย์บอยไม่มีแก่นสาร”ผมหยุดหา
พายุผมก้าวออกจากห้องน้ำชายของห้องบอลรูมด้วยท่าทีเรียบเฉยแม้ข้างในใจมั่นจะระส่ำอยู่ไม่น้อยก็ตาม เงาของผมทอดลงบนพรมแดงหรูใต้เท้า แสงไฟระย้าเหนือศีรษะสะท้อนลงมาที่รองเท้าหนัง และ...เธอก็อยู่ตรงนั้นแล้ว ‘มาริสา’ เธอจ้องผมอยู่ก่อนแล้วด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เสียงเธอเบา แต่ตรงมาริสา: “พายุ ดูสีหน้าคุณไม่โอเคเลย ค่ะ” ใช่เธอมองผมออกแม้ว่าผมจะซ่อนมันไว้อยู่ก็ตาม ผมก็หลบสายตาเธอโดยอัตโนมัติ สูดลมหายใจเบาๆ ตอบไปอย่างลวกๆพายุ: “ไม่มีอะไร ครับ”มาริสา: “ฉันมาตามคุณไปร่วมสัมภาษณ์กับสื่อค่ะ”เธอยิ้ม รอยยิ้มที่ดูดีจนสื่อรัก แต่ผมรู้ดีว่าข้างในไม่ได้ยิ้มด้วย เสียงของเธอนุ่มนวล ตัดกับเนื้อหาที่แท้จริงที่ฟังดูไม่ต่างจากคำสั่งมาริสา: “นักข่าวจาก The DealWire อยากสัมภาษณ์คุณ เกี่ยวกับโปรเจกต์ใหญ่ที่กำลังจะรวมตัวของ ตระกูลเรา...ค่ะ”ผมพยักหน้าเล็กน้อยพอเป็นพิธี ไม่แสดงสีหน้า แล้วตอบไปเรียบ ๆ เหมือนเดิม“ครับ”จากนั้นผมก็ก้าวเท้ายาว ๆ ออกจากมุมเงียบ เข้าสู่พื้นที่สื่อมวลชน…แชะๆๆๆๆ...เสียงกล้องกระหน่ำเหมือนฝนไม่ลืมหูลืมตา คำถามปลิวมาทุกทิศ ผมตอบทุกคำ ตามสคริปต์ ตามที่ซ้อมไว้หน้ากระ
พายุทันทีที่ผมเหยียบเข้าสู่ชั้นบอลรูมของโรงแรมชื่อดังภายใต้ชื่อ De Lacour Vincent สัญลักษณ์แห่งอำนาจเก่าและความหรูหรา กลิ่นน้ำหอมราคาแพงจาง ๆ ผสมกับกลิ่นเมรัยชั้นดี ลอยมาตามอากาศเสียงเพลงแจ๊สไหลวนคล้ายละอองควัน มันไม่ใช่แค่ดนตรี แต่มันคือม่านบาง ๆ ที่คั่นโลกของคนธรรมดากับโลกที่กำลังจะกลืนผมเข้าไปแสงไฟสลัวขับให้คริสตัลระยิบระยับบนเพดานเปล่งประกาย แขกแวดวงธุรกิจและผู้คนในสังคมชั้นสูงต่างสวมรอยยิ้ม ที่เหมือนถูกแกะสลักด้วยมีดบาง ๆขณะบทสนทนาแต่ละคำคล้ายกลั่นกรองมาแล้วจากห้องประชุมลับของจิตใจทุกคนดูเหมือนรู้บทบาทของตนดี ต่างสวมชุดหรูหราราวกับอยู่ในแฟชั่นโชว์ระดับโลก พร้อมด้วยชื่อและตำแหน่งที่พ่วงท้ายมาด้วยน้ำหนักของอำนาจหรือมรดกผมหยุดยืนอยู่ครู่หนึ่ง สูดลมหายใจลึกอย่างแนบเนียนก่อนจะก้าวเข้าไปทักทายกลุ่มนักธุรกิจจากหลายบริษัทด้วยท่วงท่าเงียบขรึมแต่หนักแน่นสายตาของผมเรียบนิ่ง แต่เฉียบคมพอจะทำให้ใครบางคนรู้สึกถูกมองทะลุภายนอกผมอาจดูมั่นคง เยือกเย็น ราวกับสวมสูทของความมั่นใจแต่ในความเป็นจริง ใต้เงาเสื้อผ้าราคาแพงและรอยยิ้มนั้นผมซ่อนบางอย่างไว้อย่างแยบยลที่ใครยากจะหยั่งถึงพลัน…เสีย