สามวันก่อนหน้า
เสียงนาฬิกาปลุกเจ้าเก่าดังขึ้นตรงเวลาเป๊ะเหมือนทุกวัน ฉันเอื้อมมือออกไปกดปิดเสียงมันด้วยความเคยชิน ก่อนจะนอนนิ่ง ๆ สูดหายใจลึกอยู่อีกสามนาทีเต็ม ๆ ราวกับต้องรวบรวมพลังจากทั้งจักรวาลก่อนจะเริ่มวันใหม่ “โอเค... เริ่มต้นวันธรรมดาอีกวัน” (ธรรมดาจริงเหรอ? ฉันอยากให้มันเปลี่ยนไปไหมนะ? แล้วเปลี่ยนไป... เพื่ออะไรล่ะ?) ฉันลุกจากเตียงอย่างเชื่องช้า พร้อมกับเสียงบ่นเบา ๆ ในใจ ลมเช้าพัดม่านระเบียงเข้ามาแตะแก้มเบา ๆ เหมือนจะปลอบว่า "วันนี้ก็ยังมีเธออยู่นะ" ขั้นตอนถัดไปก็เหมือนทุกวัน ล้างหน้า แปรงฟัน มัดผมหางม้าต่ำ แล้วหยิบแว่นตากรอบหนาที่เป็นเหมือนเกราะเล็ก ๆ ไว้รับมือกับโลกที่วุ่นวาย เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว กางเกงสแล็คสีกรม รองเท้าคัทชูสีดำ ทั้งชุดที่แม่ซื้อให้ในวันรับปริญญายังดูดีเหมือนเดิม นี่แหละ... ชีวิตของฉัน — ลินลี่ วัยเปล่งปล้่ง ที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย และเที่ยงตรงเหมือนนาฬิกาเรือนเก่า ตื่นเช้า ขึ้นรถเมล์ตอนเจ็ดโมงตรงเป๊ะ ถึงออฟฟิศแปดโมงทุกวันทำงานแบบตั้งใจจนเพื่อนร่วมงานพูดกันเล่น ๆ ว่าฉันเป็น "เครื่องจักรมีชีวิต" เลิกงานหกโมง กลับบ้าน ทานข้าว ดูซีรีส์เบา ๆ พอให้หัวใจได้พัก แล้วก็เข้านอนก่อนสี่ทุ่มตามแผนชีวิตที่วางไว้อย่างดี ชีวิตของฉัน... สะอาด เป็นระเบียบ และไม่มีอะไรเกินเลย แต่มันจะ... สะอาดเกินไป ไหมนะ? บางวัน ฉันรู้สึกเหมือนทุกอย่างถูกร่างพิมพ์เขียวไว้แล้ว ไม่มีช่องว่างให้หลุดนอกเส้น เหมือนถูกวางไว้ในกล่องใสที่เรียบร้อยมากจนไม่มีแม้แต่รอยร้าวให้ลมหายใจไหลเวียน ฉันเหมือนถูกล็อกอยู่ในกรงที่มองไม่เห็น กรงที่ฉันสร้างขึ้นเองหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ ความสัมพันธ์? ฉันทั้งซิงและโสดสนิท ไม่เคยมีแฟน ไม่เคยแม้แต่จูบแรก ฟังดูน่ารักดีในนิยาย แต่ในชีวิตจริงมันก็มีคำถามตามมาเหมือนกัน บางคืนที่ล้มตัวลงนอนและแสงจากหน้าจอเริ่มหรี่ลง ฉันก็นึกสงสัยอยู่ลึก ๆ ว่าแท้จริงแล้ว... ฉันเป็นเพียงแค่ "เด็กดีของพ่อแม่" ที่ใช้ชีวิตตามคู่มือที่ใครไม่รู้เขียนไว้ หรือฉันเองต่างหาก ที่ยังไม่กล้าเขียนบทใหม่ของตัวเองสักที (ถ้าฉันเลือกเองได้... ฉันจะยังเป็นแบบนี้ไหมนะ?) “สวัสดีตอนเช้า ลินลี่ หน้าตาสดใสเชียววันนี้” เสียงคุ้นเคยที่ฟังเมื่อไหร่ก็รู้สึกดี ลอยมาตามกลิ่นกาแฟหอมอ่อน ๆและนั่นก็คือ... คุณอุษา หัวหน้าของฉัน เธอยังคงนั่งที่มุมเดิมของออฟฟิศ โต๊ะใกล้หน้าต่างที่แสงแดดอ่อนสาดผ่านมูลี่บาง ๆ ใบหน้าของเธอประดับด้วยรอยยิ้มอบอุ่นที่ดูไม่เคยเปลี่ยน แม้จะผ่านเช้ามาหลายพันวันแล้วก็ตาม กาแฟในมือเธอเหมือนเป็นเครื่องหมายประจำตัว เข้มพอจะปลุกให้ตื่น แต่หอมละมุนเหมือนเธอไม่มีผิด คุณอุษา เป็นคนที่ฉันทั้งเกรงใจและไว้วางใจในเวลาเดียวกัน เธอไม่ได้เป็นแค่หัวหน้า... แต่เป็นเหมือน แสงแรกของวันใหม่ ที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า “วันนี้ ก็คงไม่แย่เท่าไหร่หรอกนะ” … “ตอนพักเที่ยง แพรว เพื่อนสนิทที่แทบจะเป็นคนเดียวในชีวิตที่ไม่ใช่แม่ โทร.เข้ามาเสียงดังทะลุจอมือถือ “ลี่! แกไม่เบื่อชีวิตแบบนี้บ้างเหรอวะ?!” ฉันหัวเราะแห้ง ๆ “เบื่ออะไรอะ?” พลางจิ้มไข่ต้มในข้าวกล่องจากร้านสะดวกซื้อที่อยู่ทุกหัวมุม “ชีวิตแกไง! ไม่มีแฟน ไม่มีจูบแรก ไม่มีแม้แต่ผู้ชายจะขอเฟซ! แกจะเป็นแม่ชีเหรอ?!” คำพูดของแพรวรุนแรง แต่มันก็คือความจริงที่ฉันไม่อยากยอมรับ (จริง ๆ แล้ว...ฉันก็อยากรู้จักความรักนะ แต่กลัว...กลัวจะผิดหวัง กลัวจะเสียใจ กลัวจะทำพลาด) ฉันเรียนบัญชี จบเกียรตินิยม ได้งานทำเร็ว พ่อแม่ภูมิใจในตัวฉันมาก แต่บางคืนก่อนนอน ฉันนอนจ้องเพดานห้องว่างเปล่า และตั้งคำถามกับตัวเองว่า “สิ่งที่ฉันเป็นตอนนี้...มันคือสิ่งที่ฉันเลือกเองจริง ๆ หรือแค่ทำตามสิ่งที่ ‘คนดี’ ควรเป็น?” “ศุกร์นี้ไนท์คลับเปิดใหม่! ฉันจะลากแกไปเอง!” แพรวทิ้งประโยคเหมือนประกาศสงคราม “ไม่มีข้ออ้าง!” ฉันจะเถียงว่า “ติดงาน” หรือ “ง่วงมาก” ก็ไม่ทันพูดจบ [แพรว: ถ้าไม่ไป = ตัดเพื่อน = บล็อกทุกช่องทาง] เด้งขึ้นบนหน้าจอทันที ...เพื่อนฉันนี่แรงไม่เบาเลยจริง ๆ (จริง ๆ แล้ว...ถ้าฉันไป... ฉันจะเป็นตัวของตัวเองได้ไหมนะ? หรือฉันจะกลายเป็นใครสักคนที่ฉันไม่เคยรู้จักมาก่อน) บ่ายวันนั้น ฉันนั่งทำงบการเงินต่อในออฟฟิศเล็ก ๆ ที่เย็นจัดจนเหมือนฉันถูกแช่ในฟรีซของซุปเปอร์มาร์เก็ต โต๊ะข้าง ๆ คือก้อง เพื่อนร่วมงานหนุ่มที่มีรอยยิ้มอ่อนโยนและสายตาที่อบอุ่นเสมอ “พิมพ์แรงไปหน่อยนะ ลินลี่” เขาพูดพร้อมส่งยิ้มให้ “อ๊ะ ขอโทษค่ะ!” ฉันสะดุ้ง แล้วดึงมือออกจากคีย์บอร์ดทันที ก้องยิ้มบาง ๆ แล้วหันกลับไปทำงานต่อ เขาดูเป็นคนดี ถ้าฉันจะลองเปิดใจคบใครสักคน ก้องน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ฉันไม่เคยรู้สึก ‘พิเศษ’ เวลาคุยกับเขาเลยสักครั้ง (ความรู้สึกที่ว่า ‘พิเศษ’ มันเป็นแบบไหนกันนะ? ทำไมฉันถึงไม่เคยได้สัมผัสมันสักที) … คืนนั้น ฉันยืนจ้องตัวเองในกระจก ใบหน้าจืดชืด ผมดำตรงราวกับผ้ากำมะหยี่ แว่นตาหนา ๆ เป็นเหมือนกำแพงโปร่งใส ที่ฉันเอาไว้กันโลกเอาไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้เกิน ถอดแว่นออก ฉันเห็นรอยคล้ำใต้ดวงตาที่ไม่รู้ว่ามาจากแสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือความเหงาที่เกาะกินใจ บางที...ฉันก็แค่ต้องการใครสักคน ไม่ต้องหล่อ ไม่ต้องรวย แค่คนที่มองฉันแล้วไม่ใช่แค่ ‘เด็กดีของพ่อแม่’ “ฉันไม่อยากดีจนไม่มีใครกล้าเข้ามา... และไม่อยากน่าเบื่อจนถูกมองข้าม” (ฉันอยากให้ใครสักคนเห็น ‘ฉัน’ จริง ๆ ไม่ใช่แค่ฉันในเวอร์ชันที่คนอื่นอยากให้เป็น) … ทันใดนั้น ข้อความจากแพรวเด้งขึ้นมาอีกครั้ง [ศุกร์นี้ 3 ทุ่ม หน้าร้าน 669 club ถ้าไม่มา = ฉันจะลากแกไปเอง] ฉันจ้องหน้าจอโทรศัพท์นิ่ง ๆข้อความของแพรวยังค้างอยู่ตรงนั้น เหมือนคำท้าทายที่ฉันไม่เคยกล้ารับ แต่ตอนนี้…ใจฉันสั่นนิด ๆเหมือนโดนคลื่นเล็ก ๆ ซัดเข้ามา… ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะบางอย่างในตัวฉัน…มันเริ่มไม่เหมือนเดิม นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ที่ฉันรู้สึกว่า…ฉันอยาก "เปลี่ยน" ไม่ใช่เพราะอยากมีแฟน ไม่ใช่เพราะอยากให้ใครมาชอบ และไม่ใช่เพื่อพิสูจน์อะไรกับโลก แต่เป็นเพราะ…ฉันแค่อยากรู้ ว่าฉันจะรู้สึกยังไง ถ้าได้เป็นตัวเองในแบบที่ไม่เคยลอง ในแบบที่ไม่ต้องขออนุญาตใคร... แม้แต่ตัวฉันเองในเวอร์ชันเดิม“คุณพายุครับ เราต้องเลี้ยวเข้าทางสวนมะม่วงนี้นะครับ…จะมืดแล้วด้วย มันจะโอเคจริง ๆ เหรอครับ?”บอดี้การ์ดคนสนิทของผมเริ่มลังเล น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกังวล เพราะเส้นทางที่เรากำลังจะเข้าไปเป็นถนนดินลูกรัง ไร้แสงไฟ และทอดผ่านสวนมะม่วงเขียวครึ้ม“ขับไปตามเส้นทางที่วางไว้เถอะครับ” ผมตอบสั้น ๆอย่างไม่หวั่นไหว รถสปอร์ตคันเงาค่อย ๆ แล่นไปตามทางดิน ผ่านใบไม้ที่ปลิวตามแรงลมอ่อนยามค่ำ ผมลดกระจกลงเล็กน้อย สวนมะม่วงสองฝั่งเต็มไปด้วยผลสุกหอม กลิ่นละมุนและสีเขียวชอุ่มที่ไม่คุ้นตา เส้นขอบฟ้าเปล่งแสงสีแดงส้มเติมแต่งบรรยากาศให้ดึงดูดใจผมอย่างยิ่ง อาจเพราะมันเผยอีกด้านหนึ่ง… ด้านที่ผมไม่เคยสัมผัสข้าง ๆ เบาะ ผมวางช่อดอกไม้ พร้อมโน้ตใบหนึ่งที่เขียนคำว่า “ขอโทษ… จากใจผม” ซึ่งผมตั้งใจมอบให้หญิงสาวผู้ใสซื่อ เหมือนความหมายของชื่อเธอ ด้วยมือของผมเองรถเคลื่อนตัวช้า ๆ ลัดเลาะผ่านสวนผลไม้ของชาวบ้าน บอดี้การ์ดสลับสายตาระหว่างแผนที่กระดาษขนาดเล็กในมือกับถนนเบื้องหน้า… จนในที่สุด รถก็หยุดนิ่ง เขาหันมาช้า ๆ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงมั่นใจ “ถึงแล้วครับ คุณพายุ ”ผมก้าวลงจากรถ อย่างไม่ไหวเอน แสงอาทิตย์สีส้มกำลังลับขอบฟ้า
ตึก…ตึก…เสียงหัวใจของ เจ้าสัวชานน เต้นหนัก ทุกก้าวของรองเท้าหนังเงาวับกระแทกพื้นหินอ่อนก้องสะท้อนทั่วคฤหาสน์ ความโมโหพวยพุ่งไล่ไปตามเส้นเลือด เส้นขมับเต้นตุบ ๆ ดั่งภูเขาไฟที่จวนปะทุปัง! มือหนาผลักบานประตูห้องนอนจนไม้สั่นสะเทือนภายในกลับเงียบงันเตียงเรียบกริบไร้รอยยับ ระเบียงเปิดอ้า ลมพัดผ่านม่านสีครีมไหวเอื่อย ตัดกับหัวใจของเจ้าสัวที่กำลังลุกโชนเป็นไฟ ราวกับขุมเพลิงนรก ลางสังหรณ์คลืบคลานเข้ามาเหมือนเงาดำเกาะแน่น เจ้าสัวชานน รู้สึกได้ถึงความดันเลือดพุ่งสูงทุกวินาที สายตากวาดมองรอบห้องก่อนเหลือบไปเห็น บานตู้เสื้อผ้าที่เปิดแง้ม เท้าหนักขยับเข้าใกล้ หัวใจเต้นรัวระส่ำเหมือนลุ้นผลชี้ชะตาแกร๊ก …ข้างใน…เหลือเพียง ชุดทักซิโด้สีขาวที่ตัดเย็บอย่างประณีตเพื่องานในวันนี้โดยเฉพาะ แขวนอยู่กลางตู้เด่นชัดเหมือนตั้งใจจะเย้ยหยัน ใต้ไม้แขวนมีกระดาษโน้ตใบเล็ก ติดอยู่ด้วยหมุดเงิน บนกระดาษมีลายมือที่เขาจำได้แม่น “ผมขอเป็นเจ้าของหัวใจตัวเองนะครับ พ่อ”โลกทั้งใบดับวูบราวมีใครตัดกระแสไฟลงฉับพลัน เสียงทุกอย่างหายไปกลายเป็นความเงียบหนาหนักจนหูอื้อ หัวใจเต้นแรงจนเจ็บลามขึ้นขมับ ลมหายใจขาดห้วง สายตาพร่า
เช้าวันนี้ ฉันกับแม่ตื่นตั้งแต่ไก่โห่ ขูดมะพร้าว คั้นน้ำกะทิ เตรียมข้าวเหนียวมูนอย่างตั้งใจ ตัดมะม่วงสุกอย่างละเมียดละไม จนตอนนี้ ข้าวเหนียวมะม่วงในกล่องถูกจัดไว้อย่างสวยงาม แต่ละกล่องแต่งด้วยดอกกล้วยไม้สดสีม่วง วางเรียงเป็นแถวสะดุดตาฉันหยิบตะกร้าไม้หวายขึ้นมา แล้วเรียงกล่องทีละใบอย่างเบามือ เพราะรู้ดีว่าหากเผลอเอียงไปแม้เล็กน้อย ความตั้งใจทั้งหมดอาจเสียหายไปทันที“เสร็จหรือยังจ้ะ ลินลี่?”“เรียบร้อยแล้วค่ะ” ฉันตอบพลางเงยหน้าขึ้น ขณะวางกล่องสุดท้ายลงในตระกร้าวันนี้ ทั้งสองคนแต่งตัวเหมือนกำลังจะไปงานสำคัญระดับกรมทหาร พ่อมาในสูทเรียบกริบไร้ที่ติ ส่วนแม่ก็เลือกชุดผ้าไหมแขนกระบอกที่ดูอ่อนช้อยส่วนฉันสวมเดรสแขนกุดสีฟ้ายาวเกือบปิดข้อเท้า คลุมไหล่ด้วยผ้าเรียบสีอ่อน ทุกอย่างดูเป๊ะไปหมดราวกับภาพที่พ่อแม่ออกแบบไว้ล่วงหน้า…พ่อขับรถออกจากสวนมะม่วง ใช้เวลาไม่นานนัก…เราก็มาถึงบ้านของอเล็กซ์ บ้านไม้สักทรงไทยสีแดงทั้งหลังตั้งโดดเด่น อยู่บนที่ดินกว่าสิบไร่ เมื่อเลี้ยวรถผ่านประตูรั้วที่เปิดกว้าง เสียงเครื่องยนต์ดับลงพอดี ทั้งสามคนก็เดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ฉันรู้สึกตื่นเต้นทันทีที่ก้าวลงจ
ยิ่งห่างจากแสงสีและความวุ่นวาย มากเท่าไร ความโล่งใจยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้นนะ ลินลี่ เสียงหัวใจของฉันกระซิบแผ่วเบา ขณะกำมือถือเอาไว้ ก่อนจะกดปิดแล้วโยนมันลงกระเป๋าเหมือนสิ่งไร้ค่า เพราะทันทีที่ก้าวเข้าสู่พื้นที่ของครอบครัว ทุกสิ่งจากโลกภายนอกก็เหมือนไร้ความหมายไปทันทีรถเคลื่อนเข้าใกล้บ้านทีละนิด ความกดดันค่อย ๆ หลุดลอยไปทีละชั้น แสงอาทิตย์ยามอัสดงทอดผ่านสองข้างทาง สวนผลไม้ที่คุ้นตา กลิ่นมะม่วงสุกและความเขียวขจีพาฉันย้อนกลับไปสู่ความทรงจำในวัยเยาว์ฉันปีนต้นมะม่วง พลัดตกลงมา ร้องไห้เจ็บปวด พ่อแม่ต้องคอยปะคบปะหงมปลอบประโลม ความห่วงใยนั้นตีขึ้นมาอีกครั้งในใจ เพียงแค่คิด ความอบอุ่นก็แผ่ซ่านเข้ามาเติมเต็มหัวใจ ฉันเผลอยิ้มกว้างดวงตาเปล่งประกายสดใส ราวกับได้สัมผัสรักแท้ที่ไม่มีข้อแม้ ความรู้สึกนั้นค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามาโดยไม่รู้ตัว รถเคลื่อนผ่านสวนผลไม้ไปอย่างช้าๆ กระจกลงต่ำสุดลมกระทบใบหน้าฉันเบาๆ ฉันยื่นแขนออกไปให้มือสัมผัสใบไม้ไปที่ละใบ…ทีละใบไปเรื่อยๆในที่สุด… ก็มาถึง.. บ้านไม้สองชั้นตั้งตระหง่านท่ามกลางสวนมะม่วงเขียวชอุ่ม ร่มรื่นเสียงเรือที่แล่นผ่านคลองหลังบ้านดังแว่วมาเป็นระยะ ๆ เหม
ผ่านมาสองวันเต็มที่ฉันปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความเงียบในห้องแคบ ๆ … จนเวลาค่อย ๆ บรรเทาความอึดอัด ในใจให้จางลงทีละน้อยตอนนี้สายตาฉันหยุดนิ่งที่หน้าจอแท็บเล็ต ข่าวด่วนพาดหัวใหญ่ราวกับแถลงการณ์ทางการของผู้ทรงอำนาจ โดดเด่นจนกลบข่าวฉาวเมื่อวานไปหมดสิ้น“เจ้าสัวชานนท์วิวัฒน์ ประกาศยืนยันพิธีหมั้นของบุตรชายเพียงคนเดียว ‘พายุ’ กับ ‘มาริสา’ นางแบบชื่อดังและทายาทของตระกูลเดอลากูล อย่างเป็นทางการ วันอาทิตย์นี้ ที่โรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา”ตัวอักษรบนหน้าจอชัดเจนเหมือนกำลังตบหน้าฉันเต็มแรง ยิ่งตอกย้ำว่าเรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา…ก็แค่ความฝันสั้น ๆ ที่ไม่เคยมีอยู่จริง ฉันปิดแท็บเล็ตลงอย่างเด็ดขาด สูดลมหายใจเข้าลึก บังคับให้หัวใจที่สั่นไหวกลับมาเข้าที่ กดความเจ็บแน่นไว้ข้างใน แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นคง“พอแล้ว…ดราม่าทั้งหมด จบแค่นี้” เพราะโลกไม่ได้หยุดหมุนแค่วันนี้ ฉันยืดหลังตรง ตั้งใจจะเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า วันนี้คือวันที่ต้องกลับราชบุรี ตามสัญญากับครอบครัว แต่ยังไม่ทันได้ขยับ เสียงวิดีโอคอลจากมือถือก็ดังขึ้น นิ้วเรียวสไลด์รับแทบจะทันที ราวกับกลัวว่าถ้าช้าไปจะกลายเป็นความผิดซ้ำภาพบนหน้าจ
“ลินลี่… เธอจะแจ้งตำรวจไหม?” แพรวเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงขณะที่สายตาเธอจ้องมาที่ฉัน ตอนที่ปลายนิ้วกำลังเช็ดน้ำตาหยดสุดท้ายออกจากแก้ม“ไม่เป็นไรหรอก แพรว..แยม”เสียงฉันเบา ราวกับยังไม่มั่นใจในคำตอบของตัวเองด้วยซ้ำ“เธอ… แน่ใจนะ ลี่?” แยมเอ่ยซ้ำ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นฉันถอนหายใจลึก ๆ ก่อนตอบออกไปอย่างไม่ง่ายดาย “ฉัน..แน่ใจ”แพรวพยักหน้าช้าๆ แววตาเต็มไปด้วยความเข้าใจ ก่อนจะพูดตรงไปตรงมา“ฉันรีบมาเลยนะ ตอนเห็นภาพผู้หญิงใส่เดรสครีมนั้นแค่เสี้ยววินาที ฉันก็มั่นใจว่าเป็นแก แต่ฟังนะ ลี่…ฉันกับแยมไม่เคยคิดจะตำหนิแกหรอก อย่างน้อยสิ่งที่แกเลือกทำ มันก็คือการลองออกจากกรอบเดิม ถึงจะเจ็บ ถึงจะทิ้งรอยแผลไว้…แต่มันก็คือประสบการณ์ ที่ไม่มีใครแย่งไปจากแกได้”แยมขยับเข้ามาใกล้ ยกมือแตะไหล่ฉันเบาๆ “แต่แกน่าจะบอกพวกเรานะ ว่าแอบไปเดทกับพายุ อย่างน้อยฉันกับแพรวจะได้ดูอยู่ข้างหลังคอยกันไม่ให้ใครทำร้ายแก”ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาของแยมที่เต็มไปด้วยความจริงใจ ทั้งหนักแน่น ทั้งห่วงใย ก่อนที่คำพูดจะพรั่งพรูออกมา“ลินลี่…แกเดินเร็วเกินไปแล้วนะ ลองถอยกลับมาสักก้าวได้ไหม? สำคัญที่สุด…เป็นไปได้ออกมาจากตรงนั้นเถอะ ที่ผ