เฟิ่งหรั่นและเฟิ่งอี้นั่งที่โต๊ะด้านหลังลำดับถัดมาจากอัครมหาเสนาบดีเฟิ่งผู้เป็นบิดากับมารดาอย่างเฟิ่งฮูหยิน ข้างๆ นางนั้นคือที่นั่งของอวี๋ฟางหรง ธิดาเจ้ากรมอาญาซึ่งมีความสนิทสนมชิดเชื้อกับไทเฮาพอสมควร ทั้งบิดาของนางและบิดาของอวี๋ฟางหรงนั้น ต่างก็เป็นเสนาบดีตำแหน่งสูงทั้งคู่ หากพวกนางถูกจัดมานั่งเคียงข้างกันย่อมไม่แปลก
ใบหน้าอ่อนเยาว์ของอวี๋ฟางหรงมองเฟิ่งหรั่นด้วยสายตาเป็นมิตร นางคลี่ยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง เฟิ่งหรั่นยิ้มอ่อนๆ น้อมรับ พอดีกับสายตาของเฟิ่งอี้ที่มองมาอย่างจับสังเกต
“คุณหนูสกุลอวี๋ อวี๋ฟางหรงไม่ใช่หรือเจ้าคะพี่หญิง” เฟิ่งอี้กระซิบถามอย่างไม่ไว้ใจ สายตาของนางจดจ้องอวี๋ฟางหรงไม่วางตา
เฟิ่งหรั่นปรายหางตาปรามผู้เป็นน้องสาวเงียบๆ
“นางทักทายเรา มีไมตรีกับเรา เจ้าอยู่นิ่งๆ เถิด”
“เจ้าค่ะ...” เฟิ่งอี้ยอมสงบปากสงบคำเมื่อได้รับคำเตือนจากผู้เป็นพี่สาว นางรินชาให้ตนเองอย่างเงียบๆ สายตานั้นจับจ้องมองที่ลู่อ๋องซึ่งประทับอยู่ข้างๆ ซู่ไท่เฟยด้วยสายตายากจะคาดเดาความหมาย
“ข้าได้ยินกิตติศัพท์รูปโฉมอันงดงามของแม่นางเฟิ่งมานานแล้ว มิด
คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอท่านด้วยตนเอง หากไม่รังเกียจท่านจะดื่มสุรากับข้าสักจอกได้หรือไม่?” รอยยิ้มของอวี๋ฟางหรงทำให้เฟิ่งหรั่นปฏิเสธไมตรีไม่ลง
“ย่อมได้สิ” อวี๋ฟางหรงรินสุราใส่จอกของเฟิ่งหรั่นด้วยความยินดี ก่อนที่ทั้งสองจะยกจอกสุราเข้าปากพร้อมกัน การกระทำของพวกนางทั้งสองล้วนอยู่ในสายตาของลู่เฟยหลงและลู่อ๋อง
“เห็นอวี๋ฟางหรงและเฟิ่งหรั่นเข้ากันได้ดีเช่นนี้ จะเป็นเช่นใดหนอหากให้พวกนางทั้งสองมาเป็นสะใภ้ของราชวงศ์” เซียวฮองเฮาทรงเอ่ย คำกล่าวนี้ราวกับรู้พระทัยของไทเฮาว่าคิดสิ่งใด แต่ว่าทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความรู้สึกของคนสองคน การไปบังคับให้อภิเษกสมรสกันนั้นย่อมไม่เหมาะสม
เซียวฮองเฮาในฐานะสะใภ้ใหญ่ของราชวงศ์ทรงมองทุกอย่างอย่างแม่นยำ พวกนางทั้งสองต่างงดงามและเปี่ยมด้วยวาสนาบารมีทั้งคู่ น่าเสียดายนักหากคนหนึ่งจะต้องแต่งเป็นแค่ชายาอ๋องและอีกคนเป็นหงส์คู่บัลลังก์ ทั้งๆ ที่ความงดงามและความสามารถของพวกนางทั้งคู่ล้วนไม่ด้อยไปกว่ากันเลยสักนิด
“ฮองเฮานั้นล้วนคิดเหมือนแม่เสียจริง...” ไทเฮาทรงเอ่ย พระพักตร์งดงามหันไปทอดพระเนตรสตรีทั้งสองอย่างสนพระทัย หากแต่ความสนพระทัยนั้นอยู่ที่อวี๋ฟางหรงมากกว่า “โดยเฉพาะแม่นางอวี๋ จะดีเพียงใดหาก
ได้มาเป็นชายาของหลงเอ๋อร์”
จอกสุราของลู่เฟยหลงเกือบตกเพราะความตกใจ งานเลี้ยงฉลองนี้พระมารดาคงไม่ได้จัดขึ้นเพราะชัยชนะของเขาเพียงคนเดียว แต่อาจหมาย
ถึงการประกาศเรื่องว่าที่พระชายารัชทายาท หากเป็นเช่นนั้นเขาควรทำเช่นใดเพื่อรักษาเกียรติของอวี๋ฟางหรงและคว้าหัวใจของเฟิ่งหรั่นมาครอง
สายตาคมปลาบจับจ้องที่เฟิ่งหรั่นอย่างไม่วางตา ซู่ไท่เฟยที่สังเกตเห็นสีพระพักตร์วิตกของลู่เฟยหลง นางยกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ จึงกล่าวขึ้นมาว่า
“ไทเฮาทรงพระปรีชายิ่งนักเพคะ แม่นางอวี๋งดงามสมกับรัชทายาทนัก จะเป็นการดีหรือไม่เพคะ หากมอบสมรสพระราชทานให้กับพวกเขาทั้งสอง และให้เฟิ่งหรั่นสมรสกับลู่อ๋อง” ซู่ไท่เฟยเอ่ยเจตนาของตนเองอย่างไม่ปิดบัง หากดึงอำนาจสกุลเฟิ่งเข้ามา พระนางย่อมเป็นต่อหลายขุมนัก
“เรื่องการแต่งงานเป็นเรื่องการตัดสินใจของคนทั้งสอง กระหม่อมว่าซู่ไท่เฟยทรงอยู่เฉยๆ จะดีกว่าพะยะค่ะ” ลู่เฟยหลงตอบอย่างใจเย็น สายตาของเขาปราดมองลู่อ๋องที่ยิ้มอย่างพึงพอใจในตัวเฟิ่งหรั่น สตรีเพียงหนึ่งเดียวกลับกลายเป็นที่แย่งชิงของบุรุษทั้งสองคน นางจะรู้หรือไม่ว่าบุรุษทั้งสองอาจจะต้องมีปัญหากันเองเพราะนาง
ซู่ไท่เฟยเผยยิ้มที่เคลือบแคลงด้วยความนัยบางอย่าง “องค์รัชทายาทคงไม่ทราบ ว่าเมื่อไม่นานมานี้ ลู่อ๋องได้ทำการปักปิ่นให้กับแม่นางเฟิ่งหรั่นแล้ว นั่นหมายความว่าพวกเขาทั้งสองพึงพอใจในตัวกันและกัน มีสิ่ง
ใดที่ต้องถามอีกหรือเพคะ”
ไทเฮาทรงตรัสถามเฟิ่งหรั่น ซึ่งบัดนี้นางกลายเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดเสียแล้ว “จริงหรือ? เฟิ่งหรั่น เจ้าตอบข้ามาเถิด”
เฟิ่งหรั่นสะดุ้ง นางอุตส่าห์อยู่เงียบๆ ไม่ปริปากเอ่ยคำใด แต่สุดท้ายกลับต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ ทางด้านลู่อ๋องเองก็พึงพอใจไม่น้อย เขาพยายามมองหาปิ่นที่มอบให้นาง แต่ว่าตอนนี้ปิ่นนั้นไปอยู่กับเฟิ่งอี้ผู้เป็นน้องสาวของนางเสียแล้ว
เฟิ่งหรั่นย่อกายคำนับน้อยๆ ก่อนจะตอบไทเฮา “ทูลไทเฮา ทั้งหมดเป็นเรื่องจริงเพคะ”
นางไม่อาจโกหกได้ ปิ่นที่ลู่อ๋องปักผมให้นางในวันนั้นทุกคนย่อมเห็นประจักษ์ชัด แม้แต่ลู่เฟยหลงก็เช่นกัน
อวี๋ฟางหรงมองนางด้วยสายตาที่ซ่อนความหมายบางอย่าง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการทำเช่นนั้น ตามธรรมเนียมแล้วเจ้าจะต้องแต่งงาน” ซู่ไท่เฟยเอ่ย นางพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อจะดึงอำนาจสกุลเฟิ่งมาเป็นของตนเอง เฟิ่งหรั่นพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงตอบรับ
ลู่อ๋องได้ทีจึงลุกขึ้นเอ่ยแก้ไขสถานการณ์อันชวนอึดอัดสำหรับเฟิ่ง หรั่น “ทูลไทเฮา กระหม่อมกับเฟิ่งหรั่นสนิทสนมกันมานาน เราสองมีใจตรงกัน หากทรงพระเมตตาโปรดมอบสมรสพระราชทานให้พวกเราสองคนด้วยเถิด”
ความรู้สึกในใจของเฟิ่งหรั่นตีรวนกันไปหมด หากเป็นยามอื่นนางคงรู้สึกดีที่ลู่อ๋องรักและเมตตานางมากถึงเพียงนี้ แต่ยามนี้ความรู้สึกกลับไม่เป็น
เช่นนั้น นางรู้สึกเหมือนมีบางอย่างแปลกไป แปลกจนนางไม่อาจคาดเดาได้ ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นต่อจากนี้
เฟิ่งอี้มองลู่อ๋องและเฟิ่งหรั่นผู้เป็นพี่สาวด้วยสายตาแสดงประกาย
ความรู้สึกบางอย่าง ยากนักที่จะคาดเดาความคิดในใจของนางได้ ในยามนี้นางจ้องมองเฟิ่งหรั่นราวกับรอคำตอบจากอีกฝ่ายว่าจะตอบเช่นไร ในยามสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจเช่นนี้
ไทเฮาทรงมองเฟิ่งหรั่นสลับกับลู่อ๋อง หากนางถูกดึงเป็นชายาเอกของลู่อ๋อง ตำแหน่งพระชายารององค์รัชทายาทสำหรับนางคงหมดความหมาย พระนางหมายพระทัยอยากให้อวี๋ฟางหรงเป็นพระชายาเอกเป็นว่าที่ฮองเฮา ส่วนเฟิ่งหรั่นเป็นพระชายารองว่าที่หวงกุ้ยเฟยในอนาคต มันจะดีต่อลู่เฟยหลงไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ในยามนี้สตรีเพียงผู้เดียวกลับเป็นที่ต้องการของบุรุษทั้งสอง หากทั้งสองต้องมาแตกคอกันเพราะนางคงไม่ใช่เรื่องดีแน่
“เรื่องนี้เจ้าจะตัดสินใจอย่างไร” ไทเฮาทรงคาดคั้นคำตอบจากหญิงสาว นางยืนด้วยท่าทีสงบนิ่งเพียงผู้เดียวท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมองมา นางกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง พลันสายตาเห็นประกายไหววูบของลู่เฟยหลง สายตาคู่นั้นหมายความว่าอย่างไรกัน...
หากนางปฏิเสธ เรื่องที่ลู่อ๋องปักปิ่นให้นางก็คงเป็นที่ลือกระฉ่อนกันทั้งเมืองหลวง และคนที่เสียหายที่สุดคือนางและตระกูลเฟิ่ง แต่หากนางยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ ก็จะช่วยตระกูลเฟิ่งให้รอดพ้นจากคำครหา อีกทั้งอาจเสริมอำนาจของบิดานางให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ คิดทางใดก็ย่อมเป็นผลดีต่อนางทั้งนั้น อีกทั้งลู่อ๋องกับนางก็สนิทสนมกันมาเนิ่นนาน นางเองก็แอบพึง
พอใจเขาอยู่มิใช่น้อย หากนางได้แต่งงานกับเขาโดยเร็วอาจช่วยเสริมอำนาจ
หนุนหลังเขาก็ย่อมได้
ทุกคนต่างรอคำตอบของเฟิ่งหรั่นอย่างใจจดใจจ่อ นางถอนหายใจ
อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา “หม่อมฉัน...น้อมรับการสมรสครั้งนี้เพคะ”
ลู่เฟยหลงบีบจอกชาแน่นจนเกือบแตก แต่หากเขาสะกดอารมณ์เอาไว้ได้ทัน ฮ่องเต้ผู้เป็นพระเชษฐาและฮองเฮาผู้เป็นพระเชษฐภคินีย่อมเข้าพระทัยความรู้สึกของพระอนุชาผู้นี้ดีว่าคิดเช่นไรกับเฟิ่งหรั่น แต่ทว่าไทเฮานั้นคงไม่มีทางล้มเลิกความตั้งใจที่จะให้อวี๋ฟางหรงมาเป็นสะใภ้ง่ายๆ แน่ เพลานี้ทั้งสองพระองค์สงสารลู่เฟยหลงยิ่งนัก งานวันนี้คืองานเลี้ยงสังสรรค์แท้ๆ แต่กลับต้องมาพังทลายลงเพราะการกระทำของซู่ไท่เฟย
“เจ้าคิดดีแล้วหรือเฟิ่งหรั่น?” เซียวฮองเฮาเอ่ยถามอีกฝ่าย สีพระพักตร์นั้นจริงจังยิ่ง ยามเห็นสีหน้าวิตกของลู่เฟยหลงก็ยิ่งสงสารจับใจ
ผู้ถูกขนานนามก้มศีรษะน้อมรับ “เพคะ หม่อมฉันตัดสินใจดีแล้วเพคะ”
อวี๋ฟางหรงได้ฟังแล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่สุดท้ายนางกลับนึกสงสารเฟิ่งหรั่นนัก อีกฝ่ายเข้านอกออกในวังบ่อยกว่านาง อีกทั้งลู่เฟยหลงก็แสดงชัดเจนนักว่าหลงรักเฟิ่งหรั่นอย่างจริงใจ สุดท้ายนางจะกลายเป็นมือที่สามขัดขวางความรักของเขากับเฟิ่งหรั่นอย่างนั้นหรือ?
เฟิ่งอี้ได้แต่กำชายอาภรณ์ของตนเองเบาๆ การตัดสินใจของเฟิ่งหรั่นคราวนี้ทำให้นางไม่อาจสะกดอารมณ์ที่มีได้ พวกนางทั้งสองพี่น้องต่างมีความสนิทสนมกับลู่อ๋องมานาน แต่เหตุใดลู่อ๋องจึงไม่หันสายตามามองนางบ้าง เหตุใดต้องมองแต่พี่สาวของนาง เหตุใดกัน...นางไม่ดีอย่างไร ถึงมีแต่คน
มองข้ามนางตลอด
อวี๋ฟางหรงนึกอยากช่วยลู่เฟยหลงแต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เห็นทีหากมีโอกาสนางคงต้องทำอันใดสักอย่างเพื่อลู่เฟยหลงสักครั้ง
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา!
ทันทีที่งานเลี้ยงจบ เฟิ่งหรั่นก็รีบขอตัวกลับจวนก่อนทันที ส่วนบิดา
กับมารดานั้นอยู่สนทนากับไทเฮาต่อสักพัก วันนี้นางแทบไม่ยินดีกับการตอบรับสมรสแต่งงานกับลู่อ๋องเลยสักนิด ทั้งๆ ที่เขาเป็นบุรุษคนแรกที่นางรู้สึกดีด้วย อีกทั้งยังเป็นผู้มีพระคุณของนางในวัยเยาว์
รถม้าขับเคลื่อนมาจอดถึงหน้าจวน หญิงสาวก้าวขาลงมาเดินเข้าจวนพร้อมกับจิงเจียวสาวรับใช้คนสนิท สักพักเจ้าไห่เหลียน เสือขาวที่ตนเองเลี้ยงเอาไว้ก็โผล่ออกมาเข้ามาคลอเคลียนางอย่างออดอ้อน เฟิ่งหรั่นนั่งลงบนเก้าอี้ในศาลารับแสงจันทร์ นางมองเจ้าไห่เหลียนที่คลอเคลียนางด้วยความเอ็นดู
ครั้งหนึ่งไห่เหลียนเคยเป็นลูกเสือตัวน้อยจากงานล่าสัตว์ ในปีนั้นที่นางยังเด็กมากอายุเพียงแปดหนาวเท่านั้น บิดาพาเข้าร่วมการล่าสัตว์ นางจดจำได้อย่างดีว่าถูกเสือตัวหนึ่งทำร้ายจนสลบไป พอนางฟื้นขึ้นมาอีกทีกลับพบว่าเป็นลู่อ๋องที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของนางกับลู่อ๋อง และลูกเสือขาวนามว่าไห่เหลียนตัวนี้ก็เป็นบิดาที่อนุญาตให้นางนำมาเลี้ยงดูที่จวน
“เจ้าเข้าใจความรู้สึกข้าในยามนี้ด้วยหรือ?” นางเอ่ยถามไห่เหลียนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แม้เจ้าเสือโคร่งตัวยักษ์จะไม่เข้าใจคำพูดของนาง แต่ทว่ามันกลับมีท่าทีออดอ้อนคลอเคลียหนักอย่างยิ่ง นางลูบหัวของมันด้วยความเอ็นดู
นางคลี่ยิ้มบางๆ พลางมองจิงเจียว “เจ้าพาไห่เหลียนไปอาบน้ำเถิด หากท่านพ่อมาเจอมันในสภาพเปื้อนดินเช่นนี้ คงโดนตำหนิอีกแน่”
จิงเจียวลูบศีรษะเจ้าไห่เหลียนเพียงนิด เจ้าเสือโคร่งยักษ์สีขาวก็เชื่อ
อย่างว่าง่าย เป็นเพราะแบบนี้เองเฟิ่งหรั่นถึงได้เอ็นดูนัก ดูท่าทางสมรส
พระราชทานครั้งนี้นางคงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว
เฟิ่งอี้มาถึงจวนหลังเฟิ่งหรั่น แต่แววตาของนางนั้นปรากฏความรู้สึกชิงชังอย่างชัดเจน ทั้งๆ ที่เฟิ่งหรั่นก็มองออกว่านางนั้นรู้สึกอย่างไรกับลู่อ๋อง แต่การทำเช่นนี้มันคือการทรยศความรู้สึกของนางที่เป็นน้องสาวแท้ๆ แต่นางไม่อาจทำสิ่งใดได้ พระเสาวนีย์ของไทเฮาถือเป็นที่สิ้นสุด การที่ท่านพ่อและท่านแม่อยู่สนทนาต่ออีกสักพัก ก็คงกำหนดฤกษ์วันอภิเษกเป็นแน่
อีกทั้งอวี๋ฟางหรงนั่นคือผู้ใดกัน หากไม่มีอีกฝ่ายสักคนนางก็คงได้แต่งงานกับลู่อ๋อง และพี่สาวของนางคงได้แต่งงานกับลู่เฟยหลงเป็นแน่ แม้ลู่เฟยหลงจะเป็นถึงรัชทายาท แต่ก็มีข่าวลือหนาหูนักที่ว่าเขาเป็นบุรุษชอบตัดแขนเสื้อตนเอง5 นางไม่รู้ความจริงข้อนี้เป็นอย่างใด แต่หากเฟิ่งหรั่นได้แต่งงานกับเขาก็เท่ากับว่าชีวิตของนางจะไม่สามารถมีทายาทสืบทอดราชบัลลังก์ องค์ชายน้อยลู่เสวียนนั้นก็ยังเด็กเกินไป หากราชบัลลังก์ว่างเว้นผู้สืบทอด ก็จะมีเพียงลู่อ๋องเท่านั้นที่มีสิทธิ์
นางจะยอมให้เฟิ่งหรั่นได้ดิบได้ดีไม่ได้เด็ดขาด!
เฟิ่งหรั่นนั่งชมจันทร์ที่ศาลาสักครู่หนึ่ง นางหยิบดอกไห่ถังที่อวี๋ฟางหรงมอบให้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันในงานเลี้ยง ดอกไม้ชนิดนี้เต็มไปด้วยปริศนามากมายที่ยากจะคาดเดา ดอกไห่ถังนี้ซ่อนปริศนาไว้มากมายเหลือเกิน คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่อวี๋ฟางหรงให้กับนางแน่ ดอกไม้ที่เปรียบเหมือนของสำคัญชนิดนี้จะมอบให้ผู้อื่นได้อย่างไรกัน
ยิ่งคิดก็ยิ่งปริวิตก นางจะต้องค้นหาความลับของดอกไห่ถังนี้ให้ได้!
_______________________________
5ตัดแขนเสื้อตนเอง หมายถึง พวกรักร่วมเพศ (ชายรักชาย) มาจากสำนวนจีนที่ว่า "ต้วนซิ่วจือผี่” แปลว่า "พิศวาสจนตัดแขนเสื้อ” เรื่องมีอยู่ว่า ฮั่นอ้ายตี้ ฮ่องเต้สมัยนั้นทรงหลงใหลขันทีเทียมคนหนึ่ง (ไม่ได้ตอนเป็นขันทีจริง แต่ได้ติดตามรับใช้ใกล้ชิดอยู่ข้างกายฮ่องเต้ไม่ต่างจากขันที) ชื่อ "ตงเสียน” ถึงขนาดให้อำนาจ ตำแหน่งและจวนส่วนตัวอันหรูหรา และให้ติดตามเป็นเงาไม่ห่างกาย พระองค์เสด็จไปไหน ก็ต้องเห็นเขาอยู่ที่นั่น จนวันหนึ่ง ขณะที่ตงเสียนนอนหลับใหลโดยทับแขนเสื้อของพระองค์อยู่นั้น ฮ่องเต้จำต้องลุกจากที่บรรทม แต่ไม่กล้าปลุกคนรัก จึงยอมตัดแขนเสื้อตนเองเพื่อให้ตงเสียนได้นอนหลับสบายต่อไป การกระทำดังกล่าวจึงเป็นที่มาของคำว่า "ตัดแขนเสื้อ” ที่
หมายถึง ชายรักชาย นั่นเอง
กาลเวลาผ่านไปนานเกือบห้าปีเต็ม ในที่สุดฮองเฮาเฟิ่งหรั่นก็มีพระประสูติกาลพระโอรสน้อยออกมาอย่างปลอดภัย โดยทันทีที่โอรสน้อยถือกำเนิดมาลู่เฟยหลงก็สถาปนาเป็นองค์รัชทายาททันที โดยมีพระนามว่าลู่จื้อ ที่หมายถึงหยกแห่งความเฉลียวฉลาด นับว่าเป็นชื่อที่มีความหมายมงคลอย่างยิ่งบัดนี้องค์ชายน้อยในวัยชันษาเพียงห้าปีกว่ากำลังวิ่งเล่นกับชินอ๋องผู้เป็นพี่ชายอย่างมีความสุข เนื่องจากชินอ๋องหรือองค์ชายน้อยลู่เสวียนยังเยาว์วัยอยู่มาก ลู่เฟยหลงจึงนำเขามาเลี้ยงดูในวังตามหน้าที่ของเสด็จอา แม้ว่าเด็กน้อยจะสูญเสียทั้งอดีตฮ่องเต้และฮองเฮาผู้เป็นมารดาไป ทว่ากลับได้รับความรักอย่างเต็มเปี่ยมจากลู่เฟยหลงและเฟิ่งหรั่นไม่ต่างจากบิดามารดาที่มอบให้บุตรคนหนึ่งอีกทั้งนอกจากจะมีข่าวดีเรื่องที่นางมีประสูติกาลพระโอรสแล้วนั้น ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นข่าวดีไม่แพ้กันถึงสองเรื่อง นั้นคือการแต่งงานระหว่างไป๋ซูเหวินและหลินเอ๋อร์ ไป๋ซูเหวินที่กลายเป็นท่านอ๋องแห่งเมืองทัวปาคนใหม่ แม้งานราชกิจจะรัดตัวมาก แต่ทว่าทุกครั้งที่เขามาเยือนเมืองหลวงเป็นต้องแวะเวียนมาหาหลินเอ๋อร์ เกี้ยวพาราสีจนนางใจอ่อนยอมตกลง
ไม่กี่วันถัดมา วังหลวงบังเกิดข่าวดีขึ้นอีกครั้งการจัดพิธีบรมราชาภิเษกดำเนินไปใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว แต่ทว่าลู่เฟยหลงที่เตรียมตัวขึ้นเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่กลับต้องพบข่าวดีว่าตนเองนั้นกำลังจะกลายเป็นบิดาแล้ว เมื่อเฟิ่งหรั่นภรรยารักของเขานั้นตั้งครรภ์จากคำรายงานของหมอหลวง“จริงหรือ...ว่าที่ฮองเฮาตั้งครรภ์แล้วหรือ?” ลู่เฟยหลงดีใจจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เขาถามหมอหลวงด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นที่กำลังจะได้กลายเป็นบิดาในอีกไม่กี่วัน“พะยะค่ะ ขอแสดงความยินดีด้วยพะยะค่ะ” หมอหลวงและทุกคนต่างคุกเข่าประสานมือแสดงความยินดีกับว่าที่ฮ่องเต้ ซึ่งกำลังจะมีทายาทมังกรสืบราชบัลลังก์ในไม่ช้านี้ ลู่เฟยหลงไม่รอช้าจึงรีบเข้าไปในตำหนักบูรพาเพื่อสวมกอดภรรยารักทันที“ท่านพี่...” เฟิ่งหรั่นยิ้มดีใจเมื่อนางได้พบคนที่อยากพบมากที่สุดในเพลานี้ ตอนนี้นางเพิ่งทราบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ เพราะเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนนางกำลังเลือกเครื่องประดับมงคลใส่ในวันราชาภิเษกกับมารดา แต่สุดท้ายนางก็เป็นลมหมดสติไป หมอหลวงมาตรวจจึงได้รู้ว่านางนั้นกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ ได้ราว
คุกหลวงในยามจื่อต้อนรับช่วงเวลาแห่งวันใหม่มืดมนน่ากลัวยิ่งนัก แม้จะมีแสงไฟจากกระถางไฟรายรอบคุกหลวงก็ตาม เหล่าทหารยามผลัดเปลี่ยนเวรกันในช่วงยามนี้พอดี โดยมีซ่งหลานผลัดมาทำหน้าที่นี้แทนหัวหน้าองครักษ์หลวงที่แลกเปลี่ยนเวรกันไปก่อนหน้านี้เฟิ่งอี้นั่งขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องขัง นางนั่งกอดเข่าท่าทางสั่นระริกเหมือนกำลังหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่าง ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิงและเนื้อตัวที่มีแต่รอยช้ำของเล็บที่นางจิกเข้าผิวเนื้อ รอยแดงจำนวนมากบนแขนของนางเกิดจากตัวนางเองทั้งสิ้น ซ่งหลานได้แต่มองภาพนั้นอย่างเวทนาในใจ“ไม่! อย่าทำข้า...กรี๊ด!” จู่ๆ เฟิ่งอี้ก็กรีดร้องคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้งราวกับคนเสียสติ แขนของนางยกขึ้นมาราวกับปัดป้องบางอย่างที่กำลังจะคุกคาม“นางอาละวาดมาแบบนี้สักพักแล้วขอรับใต้เท้า...” ทหารผู้หนึ่งกล่าวรายงาน“คอยจับตาดูนางเอาไว้ให้ดีล่ะ” ซ่งหลานสั่งสั้นๆ แล้วเดินจากไปแววตาอันเลื่อนลอยของเฟิ่งอี้มองสรรพสิ่งรายรอบ นางรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดที่แตะจมูก ภายในใจของนางเกิดหวาดกลัวจับใจ&n
อัครมหาเสนาบดีเกาหยางกับเครือญาติถูกซ่งหลานจับตัวมาหมดทั้งจวน เกาหยางก่นด่าโวยวายตลอดทางที่ถูกจับกุมมา ท่ามกลางความปรีดาของชาวเมืองที่ตื่นขึ้นมาดูเหตุการณ์นี้ด้วยความแตกตื่น เพลานี้เกิดจลาจลภายในเมืองหลวงขึ้นมา แต่ประชาชนอย่างพวกตนได้รับผลกระทบไม่มากนัก นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง อีกทั้งเกาหยางกับคนสกุลเกาก็ถูกจับไปแล้ว เดาว่าอีกไม่นานคงมีพระบรมราชโองการจากโอรสสวรรค์พระองค์ใหม่ให้ประหารเจ็ดชั่วโคตรเป็นแน่ชาวบ้านที่เคยถูกเกาหยางกดขี่ บัดนี้ต่างพร้อมใจกันขว้างปาก้อนกรวดรายทางใส่ตลอด จนทั้งร่างของอัครมหาเสนาบดีเฒ่าเปื้อนไปด้วยโลหิตที่ไหลลงมาจากศีรษะที่แตก เกาหยางจนปัญญาที่จะขัดขืน เสนาบดีเฒ่าคาดการณ์ว่าตอนนี้ในวังหลวงคงเกิดจลาจลขึ้นแน่ แต่จะเป็นใครกันที่สั่งการ?ลู่เฟยหลงนั่งรออย่างใจเย็นที่ตำหนักบูรพาของเขา บัดนี้ลู่อวี้ ซู่ไท่เฟย เกากุ้ยเฟยต่างถูกพามาที่นี่กันหมด จากนั้นไม่นานทหารกลุ่มหนึ่งจึงพาร่างของเฟิ่งอี้ที่อิดโรยมาแล้วโยนร่างนางให้ทรุดลงกับพื้นต่อหน้าธารกำนัล ศัตรูคู่อาฆาตที่ทำร้ายเฟิ่งหรั่น!“ซ่งหลาน ไปเชิญพระชายาเรามาที่นี่&rdquo
นับวันอาการของเฟิ่งอี้ยิ่งหนักมากขึ้นทุกที เฟยเซียงแอบถ่ายปราณมารที่เกินขีดจำกัดเอาไว้ในกายนาง โดยที่นางนั้นไม่รู้ตัวเลยสักนิด ตอนนี้ภายในวังหลวงระส่ำระส่ายยิ่งนัก สถานการณ์ไม่สู้ดีเท่าที่ควร เหล่าบรรดาเสนาบดีน้อยใหญ่ต่างพยายามตั้งตนมาเป็นใหญ่แทนนางโดยอ้างเรื่องที่นางไม่ออกว่าราชการหลายวัน อีกทั้งซู่ไท่เฟยเองก็มีท่าทีคุกคามภายในราชสำนักมากขึ้นเรื่อยๆ“ฮองเฮา หม่อมฉันว่าเรียกหมอหลวงมาดูอาการเถิดเพคะ นับวันพระนางจะยิ่งทรงประชวรหนักมากขึ้นทุกที หากไม่...” นางกำนัลสาวกำลังจะกล่าวต่อ ทว่าเมื่อได้รับสายตาดุจากประมุขแห่งราชสำนักฝ่ายในต้องเงียบปากลง“อาการที่ข้าเป็นอยู่ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็รักษาไม่ได้ทั้งนั้น ตอนนี้ในวังหลวงเป็นอย่างไรบ้าง ซู่ไท่เฟยมีความเคลื่อนไหวหรือไม่” เฟิ่งอี้หวงแหนอำนาจที่ได้มาเกินกว่าจะห่วงตนเองในยามนี้ ยามนี้ซู่ไท่เฟยพยายามสร้างฐานอำนาจแทนนาง ส่วนตัวนางที่อุตส่าห์มานะสร้างฐานอำนาจของตนเองมานานขนาดนี้ นางจะไม่ยอมเสียอำนาจไปเด็ดขาด“จากคนของเราที่ไปสอดแนมในตำหนักคังเฉวียน เหล่าเสนาบดีกลุ่มหนึ่งรวมถึงเจ้ากรมพ
เฟิ่งเจาหรงออกมาสูดอากาศข้างนอก ตอนนี้นางไม่ได้ทำงานในเหลาสุรานั้นอีกต่อไป เพราะพระเมตตาของรัชทายาทลู่เฟยหลงทรงอนุญาตให้นางพักที่เรือนของเจ้าเมืองไป๋ซูเหวินสักระยะหนึ่ง หากทำศึกชนะเฟิ่งอี้ได้เมื่อใดนางก็จะมีอิสระ ได้ออกมาใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังกับมารดาของตนเองส่วนทางด้านลู่เฟยหลงนั้น ตอนนี้เขากับเฟิ่งหรั่นมีคำสั่งลับกับซ่งหลานและจางซินเฉิง โดยออกอุบายให้ซ่งหลานนำกองทัพทหารหนานจิงจำนวนหนึ่งเดินทางไปยังเมืองทัวปาเพื่อจับทัวปาอวี้มาสำเร็จโทษ ซึ่งการทำตามแผนเป็นไปด้วยดี เพราะหลังจากที่ทัวปาอวี้แน่ใจว่าลู่เฟยหลงตายแล้ว และเฟิ่งอี้ขึ้นเป็นฮองเฮาผู้สำเร็จราชการแทนสวามีของนาง เจ้าเมืองทัวปาก็เริ่มมีท่าทีกระด้างกระเดื่องหมายจะตั้งตนเองเป็นอิสระจากการปกครองของต้าเหลียว ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้ซ่งหลานวางแผนการคาดการณ์กำลังของศัตรูได้ที่วางกำลังทหารประจำประตูแต่ละทิศได้แม่นยำในเมื่อทัวปาอวี้สนใจแต่การก่อกบฏตั้งตนเองเป็นอิสระ ซ่งหลานจึงนำทหารจำนวนหนึ่งไปลอบสังหารคนของทัวปาอวี้ ส่วนอีกจำนวนหนึ่งลอบเข้าไปในตำหนักใหญ่ของเมืองทัวปาเพื่อจับทัวปาอวี้มาแบบเป็นๆแผนการ