เวลาผ่านไปเร็วจนน่าใจหาย เผลอแป๊บเดียวต้นหนาวก็อายุครบสิบเก้าปี และกำลังจะเรียนจบปีหนึ่งแล้ว แต่เมื่อไม่นานมานี้เธอกลับเพิ่งจะสังเกตเห็นความผิดปกติของตัวเอง
ความรู้สึกใจเต้นตึกตักเวลาที่ได้อยู่ใกล้กับใครคนหนึ่ง ทำให้ต้นหนาวกระวนกระวายไม่น้อย จนแม้กระทั่งอรดายังจับได้ว่าต้นหนาวแปลกไป
“เป็นอะไรเหรอลูก” อรดาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเมื่อเห็นต้นหนาวอยู่ไม่สุข เดี๋ยวก็ลุกขึ้นเดิน เดี๋ยวก็นั่งอยู่แบบนั้นไม่ไปไหน
“เปล่าค่ะแม่อร”
“แล้วทำไมเอาแต่เดินไปเดินมาล่ะ”
“หนาวกังวลเรื่องสอบปลายภาคครั้งนี้นิดหน่อยค่ะ” เธอเอาเรื่องสอบมาเป็นข้ออ้าง ทั้งที่ปกติแล้วเธอแทบไม่เคยกังวลเรื่องแบบนี้เลย
“งั้นเหรอ มีปัญหาตรงไหนมาถามพี่โคลด์ก็ได้นะ
“ใช่ มีปัญหาอะไรมาถามพี่ได้นะ” โคลด์ไม่ปฏิเสธหากต้องสอนสิ่งที่ตัวเองเคยเรียนมาให้กับต้นหนาว
“ขอบคุณค่ะ แต่ว่าหนาวขอพยายามด้วยตัวเองก่อนดีกว่าค่ะ”
“งั้นก็ตามใจจ้ะ” อรดาไม่เซ้าซี้พลางปอกผลไม้ที่เพิ่งไปซื้อมาจากตลาดใส่กล่องไว้ให้ต้นหนาวกินเวลาอ่านหนังสือ
ต้นหนาวปลีกตัวออกมาจากห้องนั่งเล่น เพราะกลัวว่าจะทำให้แม่อรกับโคลด์สงสัยเอาได้
“เป็นอะไรเนี่ย” หงุดหงิดกับตัวเองไม่น้อยที่ต้องมานั่งคิดและกังวลเรื่องอะไรแบบนี้ แต่หากว่าเธอดันหวั่นไหวกับคินน์ขึ้นมาจริงๆ คงไม่ดีแน่เลย
หญิงสาวคิดเองเออเองอยู่คนเดียวสักพักใหญ่ ก่อนที่จะได้ยินเสียงรถของควีนที่เพิ่งจะขับเข้ามาจอดหน้าบ้าน จึงรีบวิ่งออกไปรับทันที
“พี่ควีน”
“อะไรกัน มาอ้อนพี่แบบนี้มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ควีนจับผิดต้นหนาวได้ทันที
“นิดหน่อยค่ะ” น้ำเสียงอ่อนลงพลางสอดสายตาออดอ้อนใส่ควีน ก่อนที่จะเดินเข้ามาภายในบ้านพร้อมกัน
“มาแล้วเหรอ ทานผลไม้ก่อนสิ”
“ค่ะแม่ แต่ว่าควีนขอเวลาไปคุยกับยัยเด็กน้อยคนนี้ก่อนนะคะ”
“จ้ะ” อรดาพยักหน้าพลางคลี่ยิ้มอย่างสุขใจ เมื่อเห็นว่าต้นหนาวสนิทสนมกับควีนมากถึงขนาดนี้
ควีนจูงมือของต้นหนาวออกมาที่สวนหญ้าข้างบ้าน ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะกลางสวนที่มีร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ช่วยบดบังแสงแดดจ้า
“มีอะไร”
“คือว่า...”
“ทำไม ไปแอบชอบใครมาเหรอ” ควีนเอ่ยแซวเล่นๆ
“ก็... ประมาณนั้นค่ะ”
“หืม ใครกันนะ” สายตาของควีนที่จ้องมองมาทำให้ต้นหนาวเริ่มเลิ่กลั่กอยู่ไม่สุข จนต้องรีบปฏิเสธทันควัน
“หนาวบอกไม่ได้หรอกค่ะ แต่ว่าหนาวไม่อยากรู้สึกแบบนั้นกับเขาเลย อยู่ใกล้ก็ใจเต้นแรงตลอดเหมือนจะหลุดออกมาเลยค่ะ”
“แล้วทำไมถึงไม่อยากรู้สึกกับเขาแบบนั้นล่ะ”
“หนาวคิดว่ามันไม่เหมาะ”
“ไม่เหมาะ? อะไรทำให้หนาวคิดว่ามันไม่เหมาะล่ะ” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย ทำไมจู่ๆ ถึงได้พูดออกมาแบบนั้น
“หนาวบอกไม่ได้ค่ะ แต่ว่าหนาวไม่อยากคิดกับเขาแบบนั้น”
“ถ้างั้นหนาวจะตัดใจเหรอ”
“...” ต้นหนาวเงียบลงพลางครุ่นคิด ถ้าจะต้องตัดใจเธอก็ไม่อยากทำแบบนั้นสักหน่อย แต่ไม่อยากรู้สึกก็ต้องตัดใจไม่ใช่หรือไง
“แล้วเขาคิดยังไงกับหนาวล่ะ รู้หรือเปล่า”
“หนาวไม่รู้ค่ะ”
“ทำไมไม่ลองคุยกับเขาก่อนล่ะ ถ้าเขาชอบหนาว ก็น่าจะคบกันได้นี่”
“ไม่ได้หรอกค่ะ” ควีนแปลกใจไม่น้อยที่ต้นหนาวยังคงยืนกรานอย่างหนักแน่นว่าไม่สามารถคบหากับผู้ชายคนนั้นได้ จนเธอชักอยากรู้แล้วว่าคนคนนั้นเป็นใครกัน
“ถ้าเขาคบกับหนาว มันจะเป็นเรื่องที่ผิดขนาดนั้นเลยเหรอ”
“หนาวคิดว่ามันผิดค่ะ”
“งั้นก็แสดงว่าคนอื่นอาจจะมองว่ามันไม่ผิดใช่ไหม แต่หนาวรู้สึกว่ามันผิด”
“ค่ะ” ใบหน้าจิ้มลิ้มพยักหน้าหงึกๆ
ควีนเข้าใจทุกอย่างที่ต้นหนาวกำลังจะสื่อ และยังคงอยากรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครกัน ทำไมถึงได้ทำให้ต้นหนาวมีอาการแบบนี้
สถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ แม้แต่ควีนยังคิดหนักว่าควรจะช่วยต้นหนาวแก้ปัญหานี้ยังไง นอกเสียจากตัดใจ
“ทางเดียวคือตัดใจ ถ้าหนาวยอมแพ้และไม่อยากรู้สึกกับเขาไปมากกว่านี้” ควีนเสนอแนะขึ้น
“ค่ะ หนาวจะลองดู”
แม้จะไม่อยากทำแบบนั้น แต่ความรู้สึกตอนนี้มันเริ่มจะเกินเลยไปแล้ว หญิงสาวไม่อยากจะให้มันต้องเกินไปมากกว่านี้
“ถ้างั้นเข้าบ้านกันเถอะ”
“ค่ะ”
อรดาตั้งโต๊ะอาหารระหว่างรอลูกๆ และสามีมาทานข้าวด้วยกัน แต่น่าเสียดายที่ลูกชายคนโตอย่างคินน์ไม่ได้ถูกชวนมาด้วย
“คิดไปคิดมาก็สงสารตาคินน์” อรดาบ่นพึมพำ ก่อนที่จะหันไปมองหน้าสามีที่สมรู้ร่วมคิดกับควีนแกล้งคินน์กันแบบนั้น
“เอาหน่า เดี๋ยวไว้มีโอกาสเราค่อยออกไปหามันก็ได้”
“เพราะคุณนั่นแหละ ชวนเล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง” อรดาโบ้ยความผิดให้สามี วสันต์เถียงอะไรไม่ได้จึงได้แต่ยอมก้มหน้ารับกรรมตัวเอง ก่อนที่จะรีบทำตัวให้เป็นปกติเมื่อลูกๆ เดินเข้ามา
“มาๆ มาทานข้าวกัน”
อรดารีบเอ่ยเรียกลูกๆ ให้มาทานข้าวพร้อมกัน พลางมองต้นหนาวด้วยความห่วงใยหลังจากที่เห็นเด็กสาวคุยกับควีนที่สวนด้วยสีหน้าจริงจัง
“มีของโปรดของทุกคนเลยนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“แม่อรคะ วันเสาร์นี้หนาวขอไปเที่ยวกับเพื่อนหนึ่งวันนะคะ”
“ไปสิ เดี๋ยวแม่ให้บัตรเครดิตไปช้อปปิ้งด้วย”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ หนาวยังไม่ได้ใช้อันที่มีอยู่เลยค่ะ” ต้นหนาวรีบปฏิเสธทันที
อรดาคลี่ยิ้มพลางพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มทานอาหารและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แล้วจึงค่อยแยกย้ายกันกลับไปพักที่ห้องของตัวเอง
เช้าวันต่อมา ต้นหนาวรีบตื่นตั้งแต่หกโมงตรงและแต่งตัวไปมหาวิทยาลัย ผมยาวสลวยมัดรวบเป็นหางม้า ปล่อยปอยหวานเล็กน้อย และแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเบาๆ
“แม่อรคะ หนาวไปเรียนก่อนนะ”
จุ๊บ!
“เจอกันตอนเย็นนะ เดี๋ยวแม่ทำขนมไว้รอ” เสียงของอรดาเอ่ยตามหลังมา ก่อนที่ต้นหนาวจะหันไปยิ้มให้อีกหนึ่งครั้งจึงค่อยวิ่งขึ้นรถลุงมิ่งที่มาจอดรอตั้งแต่เจ็ดโมงตรง
การจราจรแน่นขนัดจนใช้เวลาในการเดินทางค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับระยะทาง แต่ต้นหนาวเผื่อเวลาไว้ค่อนข้างเยอะทำให้มาถึงมหาวิทยาลัยก่อนจะเริ่มเรียนคลาสแรกเกือบหนึ่งชั่วโมง
“ต้นหนาว” น้ำเสียงร่าเริงตะโกนเรียกชื่อของเธออย่างเช่นทุกวัน ร่างของมะเหมี่ยววิ่งตรงเข้ามากอดเธอราวกับไม่ได้เจอกันมานาน ทั้งที่ปกติแล้วก็เจอกันทุกวัน
“พอแล้วมะเหมี่ยว” เสียงร้องห้ามของต้นหนาว ทำให้หญิงสาวยอมหยุดการกระทำที่ดึงความสนใจของคนรอบข้างลงทันที
มะเหมี่ยวมักจะวิ่งเข้ามากอดต้นหนาวแบบนี้แทบทุกเช้า อีกทั้งยังมีพลังเหลือล้น พูดคุยตลอดทั้งวัน และตั้งใจทำงานเสมอ หากใครได้อยู่ใกล้ก็จะรู้สึกเหมือนได้รับพลังบวกจากมะเหมี่ยว
“วันนี้กล้าหาญกับสารินลานะ”
“อ้าว ทำไมไม่เห็นบอกกันเลยล่ะ”
“อันที่จริงสองคนนั้นก็ไม่ได้บอกหรอก แต่ฉันโทรไปจิกเองแหละ” มะเหมี่ยวมักจะโทรไปปลุกทั้งสองคนเป็นประจำเพราะมักจะตื่นสายจนมาเรียนไม่ทันหลายครั้ง
“โอเค ถ้างั้นเราอยู่กันสองคนก็ได้”
“แน่นอนสิ มีฉันแล้ว ต้นหนาวไม่ต้องกลัวนะ เดี๋ยวเพื่อนคนนี้จะปกป้องเธอเอง”
“ปกป้องฉันจากอะไรล่ะ” เธอไม่ได้มีศัตรูที่ไหนสักหน่อย จะให้มะเหมี่ยวมาปกป้องอะไรกัน
“ก็... จากคนที่มาจีบเธอมั้ง”
“มีใครมาจีบฉันด้วยหรือไง”
“มีสิ เธอสวยขนาดนี้เชียวนะ หนุ่มๆ ที่ไหนก็ชอบมอง” มะเหมี่ยวรู้ มะเหมี่ยวเห็นทุกๆ อย่าง ฉะนั้นมะเหมี่ยวจะไม่มีทางยอมให้ใครมาปาดหน้าแย่งเพื่อนสนิทของเธอไปโดยเด็ดขาด ใครจะจีบก็ต้องข้ามศพมะเหมี่ยวไปก่อน
“ไม่จริงหรอก” ต้นหนาวปฏิเสธ ก่อนจะรีบลากมะเหมี่ยวเข้าไปในห้องก่อนที่นักศึกษาคนอื่นๆ จะมา เพราะเช้านี้เป็นคลาสเรียนรวม นักศึกษาค่อนข้างเยอะกว่าปกติ
นั่งเรียนนานกว่าสองชั่วโมง สุดท้ายอาจารย์ก็ยอมปล่อยให้นักศึกษาทุกคนแยกย้ายกันไปโรงอาหารในเวลาเที่ยงตรง
“มะเหมี่ยวจะกลับเลยไหม”
“ไม่ล่ะ ไปเดินเล่นด้วยกันไหม”
“ได้สิ” เวลาที่กำลังฟุ้งซ่านแบบนี้ ต้นหนาวจึงอยากจะหาอะไรทำและหาเพื่อนคุยเพื่อให้เลิกนึกถึงคนคนนั้นสักที
ติ๊ง!
“อยู่ที่ไหน” ต้นหนาวก้มลงมองข้อความในโทรศัพท์ ก่อนจะรีบปิดหนีทันที
“ใครเหรอ”
“พี่ชายน่ะ”
“อ๋อ ถ้างั้นไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ” มะเหมี่ยวไม่พลาดเรื่องกินอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้เที่ยงกว่าแล้ว กว่าจะไปถึงก็คงจะบ่ายโมงพอดี
“ไปสิ” ต้นหนาวเลือกที่จะเมินเฉยต่อข้อความในโทรศัพท์ พลางปิดการแจ้งเตือนและเปิดโหมดห้ามรบกวนเอาไว้
คนที่เพิ่งจะเลิกงานกำลังหงุดหงิด เมื่อส่งข้อความไปนานเกือบวันแต่คนปลายทางกลับไม่มีท่าทีว่าจะตอบกลับมา ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วมาจนถึงตอนนี้ ทุกข้อความที่เขาส่งไป ไม่เคยถูกเปิดอ่านเลยสักครั้ง
“ต้นหนาว” คินน์อยู่ไม่สุขเมื่อต้องรอคอยข้อความตอบกลับจากคนตัวเล็กแบบนี้ ต้นหนาวไม่เคยเมินเฉยต่อข้อความของเขามาก่อน อีกทั้งโทรไปก็ไม่เคยรับเลยสักครั้ง
ชายหนุ่มหลับตาเล็กน้อย ก่อนจะเข้าอินสตาแกรมกดดูสตอรี่ที่ต้นหนาวเพิ่งลงเมื่อไม่กี่นาทีก่อน
“ไปเที่ยวกับเพื่อนงั้นเหรอ”
เขาส่องอินสตาแกรมของต้นหนาวมาตลอดหลายวัน แม้จะพยายามคิดว่าต้นหนาวไม่ว่างจึงไม่มีเวลาอ่านข้อความหรือตอบเขา
แต่ทุกการกระทำที่ต้นหนาวลง กลับไม่มีตรงไหนเลยที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังยุ่งอยู่กับการเรียนทั้งไปเที่ยว ไปดูหนัง และไปปิกนิคกันในช่วงวันหยุด
“ฉันจะไม่ใจดีกับเธอแล้วนะต้นหนาว” ไม่ว่าต้นหนาวจะตีตัวออกห่างจากเขาด้วยเหตุผลอะไร เขาจะต้องได้รู้จากปากของต้นหนาวด้วยตัวเองเท่านั้น!!!