บทที่ 2
บุคคลอันตราย
“อ้าวป่าน เป็นอะไรน่ะ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ”
ขาเล็กก้าวตึง ๆ เข้ามาในตัวร้านด้วยความกรุ่นโกรธและแรงโทสะที่อยู่เต็มอก แต่ก็ต้องชะงักเมื่อถูกเรียกรั้งจากผู้จัดการของร้าน น้อยครั้งนักที่จะเห็นหญิงสาวอยู่ในอิริยาบถแบบนี้
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะพี่เอ็ม ป่านขึ้นไปข้างบนก่อนนะ เมื่อกี้นี้แอบอู้งานอะ คุณเวย์บ่นแล้วมั้งเนี่ย” สายป่านเอ่ยก่อนจะเดินแยกไปยังชั้นบนซึ่งมีโต๊ะเจ้าของร้านที่เธอรับหน้าที่ดูแลอยู่ เนื่องจากเมื่อครู่นี้เธอใช้เวลาทำงานในการระงับความเดือดดาลของตัวเองไปไม่น้อยถึงจะเดินกลับเข้ามา
ขาเล็กก้าวฉับ ๆ อย่างทะมัดทะแมง ซึ่งจุดหมายก็คือโต๊ะเวย์คินที่กำลังนั่งดื่มสังสรรค์ ระดับสายตาปราดเห็นว่าตอนนี้ที่โต๊ะนั้นมีคนมานั่งเพิ่มหนึ่งคนจากเดิมที่มีเพียงสอง ถัดไปไม่ไกลก็มีชายชุดดำหยัดยืนอยู่
สายป่านหรี่สายตาเพื่อปรับให้มองเห็นบุคคลที่มาใหม่ให้ชัดเจน เธอมองไปยังชายชุดดำก็พบว่าท่าทางของเขาแทบไม่ต่างจากลูกน้องมาเฟียที่เคยเห็นในละคร ท่าทางเรียบนิ่ง ขึงขัง สายตากวาดมองพื้นที่รอบข้างราวกับสำรวจความเรียบร้อยและความปลอดภัย
แต่ทั้งหมดทั้งมวลกลับทำให้เธอเลิกคิดสนใจก่อนจะเดินตรงเข้าไปยังโต๊ะที่ตัวเองรับผิดชอบ มือเล็กจัดวางของในมือลงบนโต๊ะเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ จัดแจงบริการเครื่องดื่มให้กับทุกคนในโต๊ะเมื่อเห็นว่าแก้วทรงเตี้ยพร่องไปจนเกือบหมดแล้ว
ทว่าจังหวะที่เงยหน้าขึ้น สายตาของเธอดันปะทะกับความคมเข้มของคนคนหนึ่ง เขาจดจ้องมองเธอด้วยความเรียบนิ่ง ทว่ากลับรู้สึกถึงกระแสร้อน ๆ ที่แผ่ซ่านออกมาราวกับมันกำลังมอดไหม้จนอยู่ไม่สุข
สายป่านเบิกตากว้าง ขณะที่ร่างกายก็สะดุ้งโหยงรีบถอยหลังหนีออกมา เธอรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งจับตามอง และเพียงเชยใบหน้าขึ้นก็พบกับต้นตอว่าผู้ชายหน้าโหดที่นั่งใกล้กับเจ้าของร้านนั้นกำลังใช้สายตาขู่ฆ่าก็ไม่ปาน
“อะ...ไอ้เลว!”
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนในโต๊ะต่างก็หันมองเด็กเสิร์ฟสาวเป็นทิศทางเดียว
“อะไรเหรอป่าน”
“คุณเวย์ เขาลวนลามป่าน ไอ้เลวนี่ลวนลามป่านค่ะ!” สายป่านตั้งสติและรีบฟ้องออกไปดัง ๆ ซึ่งประโยคนั้นเรียกความสนใจจากคนโต๊ะอื่นให้หันมองมาที่จุดเธอได้เกือบทั้งหมด
“ฮะ! พี่ไตรเหรอ? ผู้ชายคนนี้เหรอ?”
“ใช่ค่ะ! คนนี้เลย” หญิงสาวพยักหน้ารับรัวเร็ว หากแต่สายตากลับกดมองด้วยความแข็งขืนดุดัน บ่งบอกว่าเธอไม่พอใจอย่างถึงที่สุด
“อ้อ...ไอ้รอยแดงที่แก้มก็โดนตบมาสินะไอ้ไตร” อีกคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเอ่ยขึ้นปนเสียงขำหลังจากที่นั่งเงียบมานาน
รอยแดงที่ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลาของไตรพัฒน์เด่นชัด พลันความจริงกระจ่างแบบนี้จึงเดาได้ไม่ยากว่ามันคงเกิดจากการถูกตบด้วยฝีมือของเด็กเสิร์ฟคนนี้เป็นแน่
“ไอ้ติน หุบปากมึง! ผู้หญิงธรรมดาแบบนั้นกูไม่แตะให้เสียเวลาหรอก!”
นอกจากจะไม่ได้รับคำขอโทษแล้ว เธอยังได้รับคำถากถางตอกหน้ากลับมาอีกด้วย
หญิงสาวกำมือสองข้างแน่น ร่างกายสั่นเทิ้มด้วยความโกรธจัด ไม่คาดคิดว่าเพื่อนของเวย์คินจะมีกิริยาต่ำทรามได้แบบนี้
“เฮ้ย ใจเย็นดิพี่ไตร เอ่อ...ใจเย็นก่อนนะป่าน มันต้องมีเรื่องเข้าใจผิดกันแน่ ๆ เลย”
“นายครับ! แย่แล้วครับ!” ทว่าก่อนที่จะมีการพูดคุยใด ๆ กลับมีเสียงของร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เอ่ยแทรกขึ้นมา
ชายชุดดำโน้มตัวและป้องปากกระซิบบางอย่าง หลังจากนั้นสีหน้าเดือดดาลและความร้อนใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ตามมาด้วยอาการผลุนผลันรีบวิ่งออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว
สายป่านหันมองไปตามร่างสูงของคนสองคนที่เดินเร่งรีบออกไป จากความโกรธก็เปลี่ยนเป็นความตกใจเพราะนอกจากท่าทางรีบร้อนนั้นแล้ว สายตาของเธอยังปะทะเข้ากับกระบอกปืนสีดำขลับพอดิบพอดี
คราวนี้เธอมั่นใจแล้วว่าผู้ชายคนนั้นนอกจากจะเป็นไอ้เลวที่ลวนลามเธอ เขายังเป็นบุคคลอันตรายที่ไม่ควรเข้าใกล้อีกด้วย!
“เอ่อ...ฉันขอโทษแทนพี่ไตรด้วยแล้วกันนะ น่าจะเมาแหละ ขอโทษจริง ๆ” เวย์คินเอ่ยทำลายความเงียบหลังจากที่คนรุ่นพี่รีบวิ่งออกไปพร้อมปืนพกร่วมกับลูกน้อง
“ไตรเหรอ...” เสียงเล็กทวนสิ่งที่ได้ยินซึ่งชื่อนั้นก็น่าจะหมายถึงชื่อของไอ้เลวคนนั้นนั่นแหละ
“ความจริงป่านเองก็ตบหน้าเขาสั่งสอนไปแล้วล่ะค่ะ ก็ถือว่า...”
ปัง!
ปัง!
ปัง!
“กรี๊ด!!!”
ไม่ทันที่จะเอ่ยจบประโยค เสียงปืนสามนัดก็แผดลั่นขึ้นตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของผู้คนภายในร้านที่ดังเป็นลำดับถัดมา
และเพียงเสี้ยววินาทีความโกลาหลวุ่นวายก็เกิดขึ้น คนในงานต่างวิ่งวุ่นหนีตายเจ้าละหวั่น เนื่องจากเสียงปืนเมื่อครู่นี้นั้นอยู่ใกล้เคียงอาณาบริเวณนี้มาก ระดับเสียงที่ได้ยินก็ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งบ่งบอกได้ว่ากระสุนปืนที่ลั่นไกนั้นดังกระหน่ำอยู่ใกล้กับร้านสังสรรค์เพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น
“ทุกคนอยู่ในความสงบ! ไอ้เอ็มมึงปิดประตูเดี๋ยวนี้เลย แล้วก็บอกให้ลูกค้าและพนักงานอยู่แต่ในร้านด้วย เร็ว!”
สิ้นคำสั่งตวาดกร้าวของเวย์คินก็ทำให้สติเริ่มกู่กลับ พร้อมกับการตระหนักได้ว่าตอนนี้เธออยู่ในฐานะพนักงานของร้านที่จะต้องดูแลและอำนวยความสะดวก
สายป่านรีบวิ่งลงไปยังด้านล่างเพื่อดูแลความเรียบร้อยเช่นเดียวกับผู้จัดการ ตอนนี้ประตูด้านหน้าและหลังปิดสนิททั้งหมดแล้ว นั่นจึงทำให้พอมั่นใจได้ว่าหากมีเหตุอันตรายใด ๆ ก็คงยากที่จะเกิดขึ้นในร้านแห่งนี้พอสมควร
“ป่านไปดูในครัวให้พี่ที ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง”
คำสั่งที่ได้รับทำให้สายป่านรีบวิ่งเข้าไปยังโซนครัวทันที เธอเห็นว่าตอนนี้ทุกคนที่อยู่ในนี้ต่างก็อยู่ในอาการหวาดหวั่น
“เกิดอะไรขึ้นน่ะป่าน เสียงปืนมาจากไหน ทำไมเสียงมันใกล้แบบนี้ เหมือนอยู่แถวหลังร้านเราเลยนะ”
“ป่านเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ว่าแต่พวกพี่โอเคนะคะ อยู่ในนี้กันครบทุกคนใช่ไหม” สายป่านส่ายหน้าเพราะไม่รู้ว่าจะให้คำตอบยังไง สายตาหวานสั่นไหวแต่ก็กวาดมองดูพนักงานในครัวเพื่อตรวจสอบจำนวน
“ครบทุกคน แต่พี่ว่าจะออกไปดูหลังร้านสักหน่อย พี่บอกให้น้องชายมาเจอกันที่หลังร้าน ไม่รู้ว่ามันจะเป็นอันตรายหรือเปล่า พี่ได้ยินเสียงปืนดังตั้งสามนัด” หนึ่งในพนักงานครัวเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ซึ่งนั่นก็ทำให้สายป่านอยู่ในอาการวิตกไม่ต่างกัน
หญิงสาวหันมองไปยังประตูด้านหลังร้านที่ปิดสนิทและลงกลอนเรียบร้อย เธอไม่ได้ยินเสียงปืนหรือเสียงแปลกประหลาดใด ๆ อีก แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เธอกล้ายืนยันว่าเหตุการณ์เลวร้ายจะจบสิ้นลงแล้ว
“พี่เจอย่าเพิ่งออกไปเลย รออยู่ในนี้ก่อนดีกว่าค่ะ ตอนนี้ตำรวจน่าจะลงพื้นที่แล้วล่ะ เสียงปืนดังขนาดนั้น ทุกคนเองก็อยู่ในนี้กันก่อนนะคะ รอฟังคำสั่งจากคุณเวย์หรือไม่ก็พี่เอ็มก่อนนะ” เอ่ยไปแบบนั้นแต่ขาสองข้างกลับก้าวตรงไปยังประตูหลังร้านพลางแนบใบหน้าชิดใกล้เพื่อหวังได้ยินเสียงภายนอกให้ได้มากที่สุด
ตอนนี้เธอก็ได้แต่หวังว่าเหตุการณ์ที่ไม่อยากให้เกิดจะจบสิ้นโดยเร็ว การยิงกันอย่างอุกอาจแบบนี้นับว่าท้าทายอำนาจยุติธรรมเกินไป
“คนยกพวกตีกันหรือเปล่านะ” เสียงเล็กบ่นพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ในขณะที่หูก็เงี่ยฟังผ่านประตูไม้ที่ถูกปิดกั้น
สิ่งที่ได้รับมีเพียงความเงียบงันเท่านั้น ความอยากรู้อยากเห็นทำให้สายป่านตัดสินใจเปิดประตูและชะโงกใบหน้าออกไป หวังกวาดมองบรรยากาศรอบนอกที่คนในครัวต่างบอกว่ามันเกิดขึ้นจากบริเวณด้านหลังร้านแห่งนี้
แต่ทว่า...
จังหวะที่เธอกำลังจะหมุนตัวกลับเข้าไปด้านใน หางตากลับเหลือบไปเห็นร่างสูงของผู้ชายที่เธอนิยามว่าเขาเป็นบุคคลอันตรายกำลังหลบซ่อนอยู่ใกล้ ๆ โดยในมือก็มีอาวุธปืนที่พร้อมลั่นไกได้ทุกเมื่อ
เธอพายามตั้งสติเพื่อไม่ให้กรีดร้อง หากแต่ระดับสายตาที่มองลอดผ่านไปไม่ไกล บริเวณด้านหลังของเขานั้นกลับเป็นร่างไร้วิญญาณที่นอนจมกองเลือดมากกว่าสามศพ!
“นะ...นี่มันอะไรกัน กรี๊ด!!!” สายป่านส่งเสียงกรี๊ดออกมาเมื่อเห็นคนนอนตายต่อหน้าต่อตา
หมับ!
“หุบปาก! อยากตายหรือไง!”
บทที่ 3คนโชคร้ายSAIPAN’S PART ;“หุบปาก! อยากตายหรือไง!”เสียงตะคอกตอกหน้าพร้อมกับมือใหญ่ที่ปิดทาบทับริมฝีปากทำให้ฉันรีบเก็บกลั้นเสียงกลืนกลับสู่ลำคอ“อึก...”“ถ้าเธอร้องไอ้พวกคนนั้นมันก็จะกลับมาฆ่าทั้งเธอและฉัน!”สิ้นประโยคร่างกายของฉันถูกกระชากรั้งให้อยู่ในอ้อมแขนของเขา และเพียงเสี้ยววินาทีก็ถูกนำพาให้วิ่งไปหลบซ่อนที่ตรอกซอยเล็ก ๆคนตัวใหญ่จับให้ฉันนั่งทรุดตัวลงกับพื้น ตามมาด้วยร่างกายใหญ่โตที่ทิ้งผ่อนลงมา เสียงหอบหายใจดังถี่กระชั้น ฉันจึงผินใบหน้าไปมองคนข้างกายถึงได้พบว่า บริเวณหน้าท้องฝั่งซ้ายของเขามีหยาดเลือดสีแดงสดที่ไหลหลั่งออกมา“คะ...คุณ คุณถูกยิงเหรอ!” ฉันเบิกตากว้างกับสิ่งที่เห็น แถมใบหน้าของเขาก็ซีดเซียวไร้สีเลือดเปลี่ยนไปถนัดตา“อึก...หุบปากอย่าส่งเสียง! ฉันรับรองว่าฉันจะไม่ทำให้เธอตายแน่นอน” เสียงเข้มเอ่ยบางเบาที่ฉันฟังแทบไม่ได้ศัพท์จนถึงขั้นต้องโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้รับรู้ดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เราพูดคุยกันมากไม่ได้ แต่บาดแผลและอาการบาดเจ็บของเขาก็สำคัญไม่แพ้กัน“ฮึก...นี่มันอะไรกัน ฉันจะโทรแจ้งตำรวจ ฉันจะ...” ฉันพยายามตั้งสติและหาหนทางหนีไปจากพื้นที่ตรงนี้ สิ่งแรก
บทที่ 4สายสืบพลั่ก!ตุ้บ!“อะ...โอ๊ย!” เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นเป็นอันดับแรกที่ถูกผลักลงพื้นด้วยแรงมหาศาลร่างกายของฉันถูกผลักให้เข้ามาในที่แห่งหนึ่งซึ่งฉันเองก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหน เพราะหลังจากที่ฉันถูกบังคับให้ขึ้นมาบนรถ รอบดวงตาก็ถูกปิดสนิทด้วยผ้าสีดำ ทั้งรอบข้างก็รู้สึกได้ทั้งการเดินทางว่ามีคนนั่งควบคุมซ้ายขวาอยู่ตลอดครั้นเมื่อถึงที่หมายฉันก็ถูกดึงรั้งและลากเข้ามาในที่ตรงนี้ แม้ว่าจะมองไม่เห็นแต่ก็รู้สึกได้ว่ามันคือห้องห้องหนึ่งที่น่าจะถูกปิดตายมานานกลิ่นสาบและอับชื้นตีคลุ้งเข้าจมูก รวมไปถึงพื้นห้องที่สัมผัสได้ว่ามันเป็นพื้นปูนเปลือยไม่ใช่กระเบื้องทว่าก่อนที่ได้จินตนาการไปมากกว่านี้ ผ้าที่บดบังการมองเห็นก็ถูกเปิดออก ก่อนที่แสงสลัวสีส้มอ่อน ๆ จะสาดส่องส่งผลให้ระดับสายตาพอมองเห็นว่าที่แห่งนี้คือห้องเล็ก ๆ ที่ไม่มีแม้แต่สิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์“อึก...พาฉันมาที่นี่ทำไม” คำถามโพล่งออกไปด้วยความสั่นระริก ในขณะที่ร่างกายก็พยายามถดหนีกระทั่งติดชิดกับกำแพง“ใครเป็นคนส่งเธอมา!”ไม่ได้รับคำตอบ แต่มันกลับเป็นเสียงตวาดกร้าวดุดันที่แผดลั่นออกมาประโยคนั้นยิ่งทำให้ร่างก
บทที่ 5บังเอิญการทำงานท้าทายสภาพร่างกายจบสิ้นลง เมื่อตอนที่เข็มนาฬิกาบ่งบอกว่าเข้าสู่ช่วงสายของวันแล้วฉันหอบพาร่างกายอันแสนหนักอึ้งให้ออกมาจากร้านสะดวกซื้อที่รับหน้าที่เป็นพนักงานพาร์ทไทม์ในช่วงกะเช้า ระหว่างทางเดินตามฟุตพาทตรงไปยังบ้านก็ใช้มือเล็ก ๆ คอยตบคอยบีบนวดตามบ่าไหล่ไปด้วย ส่วนมืออีกข้างที่ว่างก็กดจิ้มไปยังหน้าจอโทรศัพท์ เพื่อต่อสายโทรหาพี่สาวที่ตอนนี้หลงเหลือเป็นที่พึ่งในชีวิตเพียงคนเดียว“ฮัลโหลพี่ด้าย ฮัลโหลได้ยินป่านไหม” โทรหาพี่สาวได้ไม่นานก็เห็นว่าปลายสายกดรับ นั่นจึงทำให้ฉันรีบกรอกเสียงออกไปทันที[ได้ยิน แกโทรมามีอะไรหรือเปล่า]“ก็พี่ด้ายเล่นหายไปหลายวันแบบนี้ป่านก็ต้องโทรตามสิ นี่พี่อยู่ไหนเนี่ย รู้ไหมว่าป่านโทรหาหลายสายแต่พี่ไม่รับเลย แล้ววันนี้พี่จะกลับบ้านหรือเปล่า พี่ไม่ได้กลับบ้านหลายวันเลยนะ งานยังไม่เสร็จอีกเหรอ”คนที่กำลังสนทนาด้วยนั่นก็คือพี่สาวแท้ ๆ ของฉันที่ชื่อ ‘เส้นด้าย’ ที่ตอนนี้เดินทางไปทำงานเป็นไกด์ให้กับนักท่องเที่ยวที่ต่างจังหวัด หลังจากที่เราสองคนแยกย้ายกันไปทำตามหน้าที่ของตัวเองซึ่งก็คือการทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ จวบจนตอนนี้ก็เข้าวันที่สี่ได้แล้วมั้
บทที่ 6บังเอิญ…อีกแล้ว!?หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปงานเปิดตัวรถนำเข้าถูกจัดขึ้นที่ฮอลล์ของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง โดยมีแขกมาร่วมงานไม่ต่ำกว่าพันชีวิต เนื่องจากงานในวันนี้เป็นที่จับตามองของกลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนัก รวมไปถึงวงการข่าวมากมายที่ต่างก็ให้ความสนใจไม่ต่างจากวันรวมตัวคนดังระดับประเทศรถยนต์คันหรูราคาแปดหลักจอดเรียงรายอยู่ในพื้นที่ ซึ่งการจัดงานในวันนี้อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท Triumph Auto Service โดยผู้บริหารผู้รังสรรค์และเนรมิตทุกอย่างนั่นก็คือไตรพัฒน์ไตรพัฒน์เดินเข้ามาในงานพร้อมลูกน้องติดตามด้านหลังจำนวนสามคน หนึ่งในนั้นมีมารุตมือขวาคนสนิทที่คอยตรวจสอบความเรียบร้อยของงาน เช่นเดียวกับความปลอดภัยของผู้เป็นนายจวบจนภารกิจในวันนี้จะจบสิ้นไปได้ด้วยดีการรวมตัวผู้คนมากมายภายในงานแห่งนี้ย่อมมีความเสี่ยงกับผู้ทรงอิทธิพลอย่างไตรพัฒน์มาก นอกจากจะไม่สามารถควบคุมแขกร่วมงานได้แล้ว ความเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายก็มีมากกว่าปกติหลายเท่าตัว หากแต่งานที่ถูกจัดขึ้นย่อมก็เป็นกิจกรรมสำคัญที่ทำให้ไตรพัฒน์หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะออกจากที่มืดและกลายเป็นจุดล่อเป้ากับศัตรูที่หวังพรากชีวิต“ตอนนี้ทุกอย่างปกติดีครับ ผม
บทที่ 7กระสุนปริศนาSAIPAN’S PART ;เวร!เวรแล้วไงไอ้ป่าน!คำคำนี้เป็นคำเดียวที่กำลังวนเวียนอยู่ในหัวสมองของฉันตอนนี้เวร เวร แล้วก็เวร!ฉันกดใบหน้าให้หันตรงไปยังกล้องนับสิบที่กำลังจับภาพ แต่สติและจิตวิญญาณกลับว้าวุ่นจนแทบไม่รับอะไรเข้าสู่สมองได้อีกแล้วการปรากฏตัวของเขาคุณไตรทำให้ฉันตกใจจนแทบสลบ ทั้งการยืนประชิดจนต้นแขนชิดกับแผ่นหลังของฉัน ทั้งสายตาที่จดจ้องราวกับจะฆ่าแกงกันให้ตาย ไหนจะคำพูดทิ้งท้ายของเขาก่อนจะหันไปส่งยิ้มกรีดกรายให้กับกล้องนั้นอีกทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่ทำให้ฉันช็อกสติแตกจนไม่สามารถเรียกคืนได้อีกแล้ว“ยิ้มสิ ไม่เห็นเหรอว่ากล้องจับอยู่” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นอีกครั้งพลันทำให้ฉันสะดุ้งด้วยความตกใจพร้อมกับจังหวะการหันใบหน้าไปมองไม่รู้เลยว่าเขามาที่นี่ในสถานะอะไร แต่ถ้าจะให้เดินหนีหรือผลักไสก็คงต้องบอกตามตรงว่าใจไม่กล้าพอที่จะทำแบบนั้นแม้จะไม่รับรู้ตัวตน แต่ฉันก็รู้ว่าเขาโหดเหี้ยมและน่ากลัวเพียงใดจากเหตุการณ์ที่พบเจอ รวมถึงถูกลูกน้องของเขาจับตัวฉันเข้าไปเค้นถาม มันก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าเขาคงมีอิทธิพลไม่น้อยเลยทีเดียว“ขอบคุณมากเลยครับคุณไตร แหมเจ้าของงานเดินเข้ามาถ่ายร
บทที่ 8หน้าด้านสติอันน้อยนิดยังพอประคับประคองให้อยู่รอดจวบจนถึงที่หมายอันพิศวง รถยนต์คันหรูจอดที่หน้าตัวบ้านหลังใหญ่ก่อนที่ร่างกายของฉันจะถูกตวัดโอบอุ้มด้วยวงแขนแกร่งของคุณไตร ซึ่งฉันเองก็จับใจความได้ว่าเขากำลังพาฉันเข้ามาด้านในตัวบ้านหลังนั้น และวางฉันลงบนเตียงนุ่มภายในห้องห้องหนึ่ง“รออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว”เสียงเข้มเอ่ยบอกใกล้ ๆ ทำให้ฉันหันใบหน้าไปมองก็พบว่าคุณไตรได้ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงข้าง ๆ กัน ก่อนที่เขาจะบรรจงใช้สำลีปาดเช็ดบาดแผลที่ตอนนี้มีเลือดไหลหลั่ง“ที่นี่ที่ไหนคะ”“บ้านฉัน”“ฉันไม่รู้เรื่องกับคนที่ต้องการยิงคุณในวันนี้นะคะ ฉันมาทำงานจริง ๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นฉันก็ไม่ได้สร้างสถานการณ์ให้ตัวเองเจ็บตัวด้วย” ฉันข่มความเจ็บปวดเอาไว้และพยายามเอ่ยอธิบายความจริงออกไป แม้ว่าน้ำเสียงจะเบาบางจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ก็ตาม“นอนเฉย ๆ ไปเถอะ ทำแผลเสร็จค่อยว่ากัน”“เดี๋ยวสิ อ๊ะ!” ร่างกายที่หยัดขึ้นจากเตียงเป็นต้องชะงักก่อนที่ฉันจะทิ้งตัวนอนลงดังเดิม เนื่องด้วยความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นบริเวณบาดแผลถูกยิง“นอนลงไป จะลุกขึ้นมาทำไมวะ!”“ก็ฉัน...”ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!เสียงดังแทรกขึ้นก่อนที่
บทที่ 9อย่าได้เจอกันอีก“ฉันไม่ได้สร้างสถานการณ์เรื่องงานในวันนี้นะคะ”ทันทีที่เดินตามเขาเข้ามาในห้องฉันก็รีบพูดอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เป็นไป เนื่องจากรู้ดีว่าตอนนี้สถานะของตัวเองนั้นตกอยู่ในกำมือของเขาโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้“เธอเป็นอะไรกับไอ้ตุลย์”“หะ...ฮะ?” เสียงเข้มของเขาทำเอาฉันถึงกับหลุดเสียงในลำคอออกมาเบา ๆครั้นลองทบทวนถึงคำพูดของเขาซ้ำ ๆ ถึงได้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาถามนั้น คงจะหมายถึงความสัมพันธ์ของฉันและน้องชายของเขาเป็นแน่“ถามก็ตอบ”“อะ...เอ่อ คือเราเรียนมหา’ลัยเดียวกันค่ะ” ฉันให้คำตอบอ้อม ๆก็อย่างที่เคยบอกว่าฉันรู้จักตุลย์นั้นก็เพราะเขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัย แถมเพื่อนของตุลย์เองก็เคยตามจีบฉันอยู่สักพักเหมือนกัน แต่ด้วยไลฟ์สไตล์และความแตกต่าง ความสัมพันธ์กับเพื่อนของตุลย์จึงไม่ได้พัฒนาไปมากกว่านั้น“รู้จักมันได้ยังไง”“ก็เป็นเพื่อนที่มหา’ลัยไง แต่คนละคณะ รู้จักกันก็เพราะเพื่อนของน้องชายคุณเคยคุย ๆ กับฉัน แถมน้องชายคุณเองก็ไม่ธรรมดา พูดง่าย ๆ ก็เกือบทั้งมหา’ลัยรู้จักตุลย์กันหมดนั่นแหละ!”ความหงุดหงิดส่งผลให้ฉันพูดเรื่องราวทั้งหมดออกมา โดยน้ำเสียงที่ตอบกลับล้วนเต็มไปด
บทที่ 10วางยา (1)หลายวันผ่านไปการดีลสินค้าล็อตใหญ่เกิดขึ้นที่ดาร์กไนต์บาร์ตามความต้องการของไตรพัฒน์ ที่ตั้งใจอยากหาที่เจรจาบวกกับการดื่มสังสรรค์ ซึ่งสถานที่แรกที่เขานึกถึงก็คงไม่พ้นที่แห่งนี้เนื่องจากเป็นร้านของน้องชายคนสนิท และภายในร้านก็มีโซนที่ถูกจัดแบ่งให้ความเป็นส่วนตัวเจ้าของร้านจัดเตรียมสถานที่และเลือกปิดโซนร้านชั้นบนให้มาเฟียหนุ่มทั้งหมด รวมถึงพนักงานดูแลที่คิดว่าไว้ใจได้อย่างสายป่าน และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือผู้หญิงคอยบริการ เวย์คินรู้ว่าการเจรจาหากจะผ่านพ้นไปโดยง่ายนั้นก็ต้องมีของกำนัลมาแลกเปลี่ยนเป็นธรรมดา“ฮ่า ๆ ผมเอาทั้งหมดเลยคุณไตร คุณเสนออะไรมาผมก็รับไว้ทั้งหมดนั่นแหละ ก็อย่างที่บอกว่าผมน่ะไว้ใจคุณ ผมรู้ว่าของจากบริษัทคุณมันดีทั้งนั้น”เสียงพูดคุยเคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะกังวานเป็นตัวบ่งบอกได้ว่าการเจรจาดีลสินค้าเป็นไปอย่างราบรื่น ไตรพัฒน์ยิ้มรับบาง ๆ พลางโน้มตัวหยิบวิสกี้สีอำพันมาเติมให้กับคู่ค้าคนสำคัญเองกับมือ เมื่อเห็นว่าของเหลวภายในแก้วทรงเตี้ยนั้นพร่องไปจนเกือบครึ่งแล้ว“ขอบคุณครับเสี่ยยศ เสี่ยโอนเงินมาเมื่อไหร่ อีกสองวีคก็เตรียมรับสินค้าไปได้เลยครับ แล้วก็ไม
บทที่ 45พลาด“กล่อมเด็กเข้านอนเรียบร้อยแล้วเหรอครับ”เมื่อไตรพัฒน์เดินเข้ามาในห้องทำงาน เสียงของมือขวาคนสนิทก็ไม่วายเอ่ยแซวอย่างขบขัน นัยน์ตาพราวเป็นประกาย จนคนที่ถูกถามเป็นต้องรีบปั้นหน้านิ่งขรึมพร้อมกับกดสายตาดุส่งไปให้“ไอ้ตุลย์ไปถึงหรือยัง”“อ้าว นายยังไม่ตอบคำถามผมเลยนะครับ” มารุตเลือกที่จะถามต่อ น้ำเสียงหยอกเย้าไม่เกรงกลัวในอำนาจของผู้เป็นนาย เพราะทำงานด้วยกันมานานหลายปี การได้เห็นนายตัวเองกล่อมเด็กสาวคนโปรดเข้านอนก็นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่าเก็บภาพเป็นที่ระลึกไว้มากที่สุด“ไอ้รุต!” ไตรพัฒน์ตวัดสายตาดุดันให้กับมือขวา ทั้งที่เปลี่ยนเรื่องเข้าสู่งานในค่ำคืนนี้แล้วก็ยังไม่วายไล่ต้อนเขาถึงสิ่งที่ไม่เคยทำอย่างการง้องอนเด็กในปกครองแต่เขาก็ทำมันไปแล้วจริง ๆ นั่นแหละ...“โอเคครับ ไม่พูดแล้วครับ ตอนนี้คุณตุลย์ไปรอยังจุดนัดหมายแล้วครับนาย คนของเรารายงานว่าอีกสิบนาทีลูกค้าก็จะเดินทางมาถึง” มารุตยกมือปิดปากตัวเองเมื่อได้ยินน้ำเสียงเข้ม ๆ ของนายที่แสดงออกว่าไม่มีทีท่าจะเล่นด้วย จากนั้นถึงได้วกกลับเข้าเรื่องการส่งสินค้าที่เขาได้มอบหมายให้ตุลธรผู้เป็นน้องชายจัดการ“แล้วเรื่องหนอนมึงคิดว่าใคร”
บทที่ 44เลี้ยงส่งวันสุดท้ายของการเป็นนักศึกษาฝึกงานไม่มีภาระความรับผิดชอบใด ๆ นอกเหนือจากการเลือกร้านอาหารให้กับหัวหน้าสาวเลี้ยงอำลาก่อนจะแยกจากกันเมื่อถึงเวลาเลิกงานเหล่าพนักงานออฟฟิศก็รวมตัวกัน โดยมีการนัดหมายและจุดหมายปลายทางเป็นสถานที่เดียวกันก็คือร้านอาหารไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริษัท จุดประสงค์ก็เพื่อเป็นการเลี้ยงส่งน้องเล็กสุดอย่างสายป่านที่จะไม่ได้มาทำงานที่บริษัทอีกต่อไปแล้ว“โห พี่นุ้ย...สั่งอาหารไว้รอแล้วเหรอคะเนี่ย”ทันทีที่เดินเข้ามาในห้องอาหารที่ถูกจองไว้ล่วงหน้าก็เป็นต้องตกตะลึงเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าหัวหน้าสาวที่สนิทสนมกันจะเลือกจองห้องรับรองพิเศษเพื่อความเป็นส่วนตัว อีกทั้งยังสั่งอาหารไว้ล่วงหน้าที่ตอนนี้กำลังวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะจนเธอตาลายไปหมด“ระดับพี่นุ้ยไม่ธรรมดาอยู่แล้วแหละป่าน” เสียงจากทางด้านหลังซึ่งเป็นของหนึ่งในพี่ที่ทำงานที่เธอเองก็สนิทสนมด้วยเช่นกัน“ใช่จ้ะ เลี้ยงส่งป่านทั้งทีนี่นา ป่านน่ะเป็นเด็กฝึกงานคนแรกของบริษัทเราเลยนะ แถมพี่เองก็ทั้งรักทั้งเอ็นดู นี่ยังเสียดายเลยที่ครบกำหนดฝึกงานแล้ว ไม่งั้นพี่จะขอให้บอสทำสัญญาว่าจ้างต่อนะเนี่ย”“โอ๊ย อย่าเพิ่งพูดกันเลย
บทที่ 43ระบายอารมณ์ฉันเดินไปเดินมาภายในตัวบ้านเนื่องจากเป็นห่วงและไม่รู้ว่าคุณไตรจะเป็นยังไงบ้าง หลังจากที่เขาเก็บตัวอยู่ในห้องทำงานหลายชั่วโมง ก็มีเพียงพี่มารุตคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ ลองสอบถามจากพี่มารุตตอนที่เขาเดินออกมาก็ได้รับเพียงการส่ายหน้า นั่นเลยทำให้ฉันเลือกที่จะรอคอยเขาอยู่ด้านล่าง และหวังให้เขากลับมาเป็นตัวของตัวเองได้ในไม่ช้าเหตุการณ์ในวันนี้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับบริษัทไทรอัมพ์มาก นอกจากจะพลาดการร่วมหุ้นกับนักธุรกิจคนสำคัญแล้ว เขายังถูกหยามหน้ากับบริษัทคู่แข่งที่หวังแย่งชิงพื้นที่ทางธุรกิจอีกด้วยแล้วสิ่งที่เจ็บช้ำที่สุดที่ทำให้คุณไตรเดือดดาลมากขนาดนี้ก็คงไม่พ้นเรื่องข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ออกไป พอรู้ว่าเขาไม่ได้พูดเรื่องนี้กับใคร หากแต่มันหลุดรอดถึงอีกฝ่ายจนถูกตัดหน้าแก่งแย่งแบบนี้ มันเลยทำให้คิดเป็นอื่นไม่ได้เลยว่าเขากำลังถูกหักหลังจากคนที่เป็นหนอนแฝงตัวและสิ่งที่ทำให้ฉันสะท้อนใจก็คือเรื่องนี้...หากฉันคิดร่วมมือเป็นนางนกต่อหวังพรากชีวิตของเขา ฉันก็ไม่ต่างจากหนอนบ่อนไส้ดี ๆ นี่เอง!“ผมว่าคุณไปหาอะไรรองท้องสักหน่อยน่าจะดีนะครับ นั่งรอแบบนี้มันก็ไม่มีอะไรดีข
บทที่ 42ปาดหน้าเค้กSAIPAN’S PART ;บรรยากาศตอนเช้าของบ้านหลังใหญ่ตกอยู่ในความวุ่นวายที่มีกำลังชายชุดดำมากกว่าเดิมสองเท่า เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่คุณไตรจะต้องออกไปดีลกับหุ้นส่วนคนใหม่ที่จะร่วมหุ้นกันในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า“หล่อแล้วค่ะ” ฉันเอ่ยพร้อมรอยยิ้มหลังจากที่จัดแจงสวมใส่ชุดสูทราคาแพงให้กับคุณไตร เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับนัดหมายในไม่ช้า“ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า” เสียงทุ้มเอ่ยถามกันอย่างอ่อนโยน ขณะที่มือใหญ่ก็ค่อย ๆ ประคองสัมผัสที่ผ้าพันแผลจากการถูกยิงบริเวณต้นแขนของฉันอย่างเบามือหลังจากที่คุณไตรพาฉันกลับมาที่บ้านหลังใหญ่ของเขา เขาก็เรียกหาหมอรินให้มารักษาเป็นการด่วน แต่โชคดีมากที่กระสุนไม่ได้ฝังเข้าสู่เนื้อกาย บาดแผลแค่ฉีกเล็ก ๆ เท่านั้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นล้วนแต่เป็นความตั้งใจของคนอีกฝ่ายทุกอย่าง“นิดหน่อยค่ะ” ฉันตอบและหลบสายตาลงเพราะไม่อาจหาญพอที่จะมองหน้าเขาได้ตอนนี้รู้สึกอับอายไม่กล้าสู้หน้า ทั้งยังสับสนวุ่นวายจนไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้มันจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของตัวเองความจริงที่ถูกเปิดเผยว่าพี่สาวที่หลงเหลืออยู่ในชีวิตนั้นเป็นมือปืนหวังพรากชีวิตคนที่ฉันเผลอมอบควา
บทที่ 41เหยื่อล่อ (2)พลั่ก!“อ๊ะ!” สายป่านร้องขึ้นเมื่อร่างสูงใหญ่ของชายชุดดำผลักให้เข้ามาด้านในโกดังมืดทึบ จนร่างกายล้มลงกระแทกกับพื้น“เฮ้ย เบาหน่อยสิวะ เดี๋ยวน้องเขาก็ระบมหมด” ผู้เป็นนายที่เดินตามมาเอ่ยปราม หากแต่แท้จริงกลับยิ้มหยันพอใจ และไม่ได้มีท่าทีตำหนิคนของตัวเองเลยสักนิด“อย่ามายุ่งกับน้องสาวฉัน!” เส้นด้ายรีบวิ่งเข้ามาผลักคนตัวใหญ่ออกห่าง ก่อนจะตรงปรี่เข้ามาประคองรั้งร่างกายน้องสาวของตัวเองเอาไว้ เพราะไม่ต้องการให้ใครหน้าไหนมาแตะต้องทั้งนั้น“อ้อ...พี่สาวของหวงซะด้วย มึงก็ระวังหน่อยสิวะ ผลักเขาล้มแบบนั้นเกิดผัวน้องเขามาเล่นงานกูจะทำยังไง” เรย์ยียวน รอยยิ้มเหยียดหยันเมื่อเห็นสองพี่น้องมองเขาด้วยความจงเกลียดจงชัง และคนที่พูดถึงก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากไตรพัฒน์ที่หวงแหนผู้หญิงคนนี้ยิ่งกว่าอะไร“ต้องการอะไรคุณเรย์ ทำไมต้องเอาน้องสาวของฉันเข้ามาเกี่ยวด้วย!” เส้นด้ายหันไปประจันหน้า น้ำเสียงตวาดกร้าวดังแผดลั่นทั้งหยาดน้ำตาที่ไหลหลั่งหมับ!“ก็เพราะน้องของเธอมันเป็นเหยื่อล่ออย่างดีน่ะสิ!” ร่างสูงให้คำตอบและเดินเข้ามาดึงรั้งเส้นด้ายให้แนบชิด มือใหญ่คว้าหมับที่ใบหน้าสะสวยของเธอ ออกแรง
บทที่ 40เหยื่อล่อ (1)“เจ็บหรือเปล่า ถ้าเจ็บบอกฉันนะป่าน” เสียงทุ้มนุ่มหูเอ่ยบอกอย่างอ่อนโยน ขณะที่มือใหญ่ก็บรรจงกดสำลีชุบยาแนบไปกับแผลถลอกตามขาเรียว“ไม่เจ็บเลยค่ะ” สายป่านส่ายหน้าพลางยิ้มออกมาบาง ๆเธอไม่ได้เจ็บกับบาดแผลเลยสักนิด กลับกันเธอเจ็บปวดในหัวใจเสียมากกว่า…หลังจากที่ไตรพัฒน์พาเธอกลับมาที่บ้าน เขาก็จัดการทำแผลให้เธอเองกับมือ ทั้งยังบอกกับนุ้ยหัวหน้างานให้แล้วด้วยว่าสายป่านเกิดอุบัติเหตุจนต้องขอตัวกลับก่อนด้วยเหตุนั้นสายป่านถึงต้องรีบส่งข้อความไปขอโทษขอโพย ทั้งยังถ่ายรูปบาดแผลเล็ก ๆ ไปยืนยันอีกแรง เนื่องจากกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจที่ไม่ยอมบอกโดยตรง แต่สิ่งที่นุ้ยตอบกลับมาล้วนแต่มีความเป็นห่วงเป็นใย ทั้งยังอนุญาตให้ลางานได้ในวันพรุ่งนี้ สายป่านเลยคลายกังวลไปได้อีกหนึ่งเรื่อง“ทำไมเธอถึงไปเจอกับมันได้ล่ะ คนของฉันบอกว่าเธอเดินเข้าไปหามันเอง” มาเฟียหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ นัยน์ตาคมเข้มแต่ไม่มีการตำหนิใด ๆ เลยสักนิด ทว่ามันกลับทำให้สายป่านร้อนรุ่มจนแสดงท่าทีกังวลออกมา“อึก! ปะ...ป่าน ป่าน...”“ตอนแรกคนของฉันมันรายงานว่าเธอน่าจะรู้จักกับมัน เพราะเห็นจับมือพูดคุยกันด้วย
บทที่ 39ผิดแผน“พี่นุ้ยจะเอาอะไรคะ เดี๋ยวป่านไปสั่งให้ค่ะ” สายป่านถามหลังจากที่เดินเข้ามาด้านในร้านกาแฟพร้อมกับหัวหน้าที่ดูแลการฝึกงาน“อืม...เอาอะไรดีนะ เอาเลมอนโซดาดีกว่า เบื่อพวกกาแฟแล้ว อะนี่จ้ะ เอาเงินนี่จ่ายนะ ป่านเองก็สั่งมาด้วยเลย” ครุ่นคิดรายการที่จะสั่งไม่นานก็ตัดสินใจได้ เธอหยิบธนบัตรส่งให้กับเด็กสาว พร้อมกับกำชับให้สั่งเครื่องดื่มมาด้วยกัน เนื่องจากรู้ดีว่าจะต้องได้รับการปฏิเสธกลับมาเช่นทุกครั้ง“เลี้ยงป่านอีกแล้วง่า พี่นุ้ยอย่าใจดีนักสิคะ ถ้าป่านฝึกงานเสร็จแล้วป่านคงใจหายแย่ที่จะไม่ได้เจอหัวหน้าใจดีแบบพี่นุ้ยอีก” สายป่านส่งสายตาอ้อน หากแต่คำพูดที่เอื้อนเอ่ยล้วนออกมาจากหัวใจทั้งสิ้น“พี่ต่างหากที่ใจหาย นี่ก็เหลืออีกไม่ถึงเดือนแล้วด้วย เฮ้อ...ฝึกงานเสร็จแล้วก็มาสมัครที่นี่ได้นะป่าน บริษัทเรายินดีต้อนรับเสมอ”“โหย ป่านนี่เด็กเส้นดี ๆ นี่เอง”“แน่นอนสิ บอกไปเลยนะว่าเป็นเด็กพี่นุ้ย ไม่มีใครกล้าแหย็มแน่!”“คิก ๆ ป่านไปสั่งเครื่องดื่มดีกว่า พี่นุ้ยไปนั่งรอที่โต๊ะก่อนนะคะ เดี๋ยวป่านเอาไปเสิร์ฟให้ถึงที่เลย” หญิงสาวส่งยิ้มร่าก่อนจะเดินแยกไปยังเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม และเลือกสั่งตามร
บทที่ 38หุ้นส่วนหลายวันผ่านไปหลังจากที่รักษาตัวจนร่างกายหายเป็นปกติ ไตรพัฒน์ก็ให้ความสนใจกับเนื้อหางานต่อทันที ซึ่งในวันนี้เขาได้นัดหมายให้น้องชายเข้ามาหาที่บริษัท เนื่องจากมีธุระสำคัญที่จะต้องพูดคุยกันโดยด่วน รวมถึงมารุตเองก็เป็นหนึ่งในคนสำคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้องในวันนี้ด้วยเช่นกันไตรพัฒน์เข้ามาในห้องทำงานพร้อมกับมือขวา กระทั่งเห็นว่าตุลธรได้มานั่งรอที่ห้องแห่งนี้ก่อนแล้วเรียบร้อย แม้ว่าเนื้อหางานในวันนี้จะเป็นงานสำคัญ อีกทั้งตุลธรเองก็ไม่มีหน้าที่ใด ๆ กับส่วนนี้ แต่ไตรพัฒน์เองก็ยังคงหวังในภายภาคหน้าว่าเขาจะดันตุลธรขึ้นนั่งในตำแหน่งสำคัญแทนตัวเอง“มึงทำหน้าแบบนั้นหมายความว่าไง” ไตรพัฒน์นั่งลงบนโซฟาพลางกดสายตามองไปยังน้องชาย ที่ตอนนี้ทำหน้าเหนื่อยหน่ายราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบก็ไม่ปานคนเป็นพี่ชายย่อมรู้ดีว่ามันเกิดจากสิ่งใด แต่ที่เขาต้องถามออกไปนั้นก็เหมือนเป็นการติเตียนและย้ำชัดในสถานะว่าต่อให้แสดงอารมณ์ในรูปแบบไหน เขาก็ไม่มีวันตามใจได้เหมือนเรื่องอื่นตุลธรไม่มีหน้าที่กับงานของบริษัท เหตุเพราะเกลียดขยาดจนแทบไม่อยากเข้าใกล้ คงจะมีก็แต่เรื่องเดียวที่ทำงานได้ดีจนออกปากชมอยู่หลายครั้งนั
บทที่ 37ไม่เคยพอ“คุณไตร...” ฉันพยายามเปล่งเสียงเรียกรั้งให้เขาหยุด หากแต่มันบางเบาและถูกกลืนกลับลงสู่ลำคอดังเดิมเมื่อริมฝีปากฉกฉวยทาบทับซ้ำแล้วซ้ำเล่าสติของฉันถูกพรากให้ดำดิ่งอยู่ในห้วงปรารถนา ลอยล่องไปกับสัมผัสรสจูบไหวหวามของเขาจนไม่อาจกู่กลับได้อีกต่อไปฉันหลับตาพริ้มตอบรับและตอบสนอง ปล่อยตัวปล่อยใจและส่งมอบให้เขาทั้งหมด มือสองข้างยกขึ้นคล้องที่ต้นคอหนา บดเบียดร่างกายให้แนบชิดคลอคลึงหวังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันริมฝีปากของเราบดคลึงกันเนิ่นนานจนไม่รู้เลยว่าเวลาล่วงเลยไปมากเท่าไร กระทั่งรู้ตัวอีกทีเสื้อผ้าบนร่างกายของตัวเองและเขาได้หลุดหายไปจนหมดแล้วความเปลือยเปล่าถูกกระทบด้วยลมแอร์เย็นฉ่ำ ครั้นสติดวงน้อย ๆ อันเลือนรางถึงได้ย้อนคืนกลับมา จนมันประมวลได้ว่าตอนนี้คุณไตรกำลังเริ่มต้นบทบรรเลงขึ้นแล้ว“คุณไตรไม่ใส่ถุงเหรอคะ” ฉันเอ่ยถามเสียงบางเบา ตอนที่ผงกหัวมองถึงได้เห็นว่าเขากำลังชักรูดลำกายอวบก่อนจะกดจ่อพร้อมสอบกระทั้นที่ปากทาง“อยากสด ได้ไหม?”“ดะ...ได้ค่ะ ป่านกินยาคุมอยู่”“ก็ดี” สิ้นคำตอบเอวหนาก็สอบเข้าหาจนฉันสะดุ้งโหยงแม้ว่าช่องทางจะฉ่ำเยิ้มพร้อมพรักเป็นอย่างดี แต่ด้วยขนาดที่แตกต